"ท่านพี่ ท่านอยากรู้ข่าวคราวของท่านป้าข้าไหม? มีคนส่งจดหมายมายังบ้านตระกูลหลิน บอกถึงข่าวคราวของท่านป้า!"ฟู่จาวหนิงตอนแรกยังนึกไม่ทันว่าป้าที่นางพูดถึงคือใคร รอจนตอนที่หลินอี๋เจินคาดหวังคำตอบของนาง นางจึงคิดออกขึ้นมาป้าของหลินอี๋เจิน ก็คือฟู่หลินซื่อมารดาของนางนั่นเองฟู่หลินซื่อยังไม่ตายหรอกหรือ?"ทำไม ให้ข้าเดา เจ้าคิดเอาข่าวนี้มาพูดเงื่อนไขกับข้าสินะ" ฟู่จาวหนิงเลิกคิ้ว มองนางออกหมด"ในเมื่อท่านพี่เดาได้แล้ว เช่นนั้นข้าก็จะไม่ปิดบังท่านแล้ว" หลินอี๋เจินยิ้มขึ้นมา "ถูกต้อง ขอแค่ท่านรับปากข้าเรื่องเดียว ข้าจะนำเรื่องของท่านป้าบอกกับท่าน!"นางไม่เชื่อ ว่าจะมีคนไม่อยากรู้ชะตากรรมของคนในครอบครัวฟู่จาวหนิงหลายปีมานี้ไม่มีพ่อแม่มาโดยตลอด ถูกคนของบ้านสองบ้านสามของบ้านตระกูลรังแกจนน่าเวทนา ไม่แน่ว่าทุกวันตอนกลางคืนอาจจะแอบร้องไห้อยู่ในผ้าห่มก็เป็นได้พอมีข่าวคราวของมาร ก็เป็นไปได้ว่าจะรู้ถึงชะตากรรมของบิดาด้วย"เจ้าอยากจะให้ข้ารับปากเรื่องอะไร?" ฟู่จาวหนิงถาม"ให้ข้าพักในบ้านตระกูลฟู่ หลังจากนี้หากท่านกลับจวนอ๋องเจวี้ยนก็พาข้าไปด้วย อ๋องเจวี้ยนให้ท่านออกไปไหนก็พาข้าไปด้วย แล้วก็
มือปราบเจียงเองก็ไม่รู้ว่า "ท่านหมอหนิง" คนนี้เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลฟู่แต่วหลังจากที่หลายวันนี้เขาสืบเรื่องของตระกูลฟู่ มือปราบเจียงก็รู้สึกว่าคนในตระกูลฟู่พวกนั้นไม่ได้เรื่องเลย นี่มันนกพิราบครองรังนกกางเขนชัดๆ!บ้านตระกูลฟู่เป็นของท่านผู้เฒ่าฟู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พวกเขากลับจะขายบ้านตระกูลฟู่ทิ้งเสียอย่างนั้นถ้าบ้านตระกูลฟู่ถูกขายทิ้ง แล้วผู้เฒ่าฟู่จะไปอยู่ที่ไหนกันล่ะ?ตอนนี้มีคนมาช่วยดูแลเรื่องนี้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นท่านหมอหนิงยังรักษาอาการป่วยของลูกสาวเขาอีก มือปราบเจียงจึงยินดีช่วยเหลือธุระนี้คุณชายใหญ่ฟู่ก็คือฟู่จิ้นเชินตอนนั้นฟู่จิ้นเชินเองก็เป็นอัจฉริยะที่เลื่องชื่อในเมืองหลวงแคว้นเจา นอกจากพรสวรรค์ด้านโคลงกลอนแล้ว ยังใช้กระบี่ล่าสัตว์ ยิงธนูได้อีกด้วย หลังจากมีชื่อเสียงช่วงหนึ่งยังสามารถเข้าไปร่วมงานเลี้ยงในวังได้ด้วยคนทั้งหมดล้วนคิดว่าเส้นทางอนาคตของเขาก้าวไปได้อีกไกล ใครจะรู้ว่าครั้งนั้นพอเข้าวังก็เกิดเรื่องมีคนไม่น้อยพอพูดถึงฟู่จิ้นเชินขึ้นมาก็รู้สึกว่าน่าเสียดายต่มาพอเห็นฟู่จาวหนิงโง่ขนาดนั้น เรียนรู้อะไรไม่ได้เลย ทั้งวันเอาแต่ไล่ตามรัฐทายาทเซียว ผู้คนเองก็ยิ่งด
"พอมีความคิดนี้ พวกเขาถ้าไม่ได้โลภขนาดนี้ บ้านตระกูลฟู่คงจะถูกขายไปแล้ว""เช่นนั้นพวกเขามีโฉนดบ้านของบ้านตระกูลฟู่หรือ?""นั่นข้ายังไม่เห็น แต่ว่าข่าวจากผู้เฒ่าสองทางนั้นบอกออกมาว่าไม่มีปัญหา"สิ่งนี้เขาก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายได้มาอย่างไร"มือปราบเจียง ใบยืมหนี้นี้"มือปราบเจียงรีบพูดเถอะ "ท่านหมอหนิง ใบยืมหนี้ครั้งนี้ไม่ได้มอบให้ท่าน ข้านำออกมาจากท่านอาจารย์ของข้าทางนั้น อีกเดี๋ยวต้องนำกลับไปแล้ว ท่านอาจารย์ยังต้องคืนให้แก่คนของบ้านตระกูลฟู่พวกนั้น"ฟู่จาวหนิงเองก็ไม่สร้างความลำบากใจให้เขาที่แอบนำใบยืมหนี้มาให้นางดู ก็ถือว่ามีคุณธรรมน้ำมิตรมากแล้วยิ่งไปกว่านั้นมือปราบเจียงเองเองก็ช่วยนางตรวจสอบเรื่องที่คนพวกนั้นเตรียมจะขายบ้านตระกูลฟู่อย่างไรนางคืนใบยืมหนี้ให้กับมือปราบเจียง หลังจากกลับถึงก็ไปหาลุงจง"ลุงจง วันที่ข้าแต่งงาน ในกล่องสินสอดที่ท่านปู่มอบให้ข้า มีโฉนดบ้านตระกูลฟู่อยู่ด้วยใช่ไหม?"ลุงจงยังไม่รู้ว่ากล่องสินสอดของฟู่จาวหนิงหายไป พอได้ยินนางถามก็รู้สึกประหลาดใจมาก"ใช่แล้ว ไม่ใช่แค่โฉนดบ้านนะ ยังมีร้านสองร้านกับเครื่องประดับอีกหลายชุดที่ฮูหยินเหลือไว้ให้ ท่านผู้เฒ่าใ
ฟู่จาวหนิงทิ้งจงเจี้ยนไว้ที่บ้านตระกูลฟู่ดีกว่าเขาคอยคุ้มกันบ้านตระกูลฟู่ นางถึงจะออกไปได้อย่างวางใจเพราะได้ยินว่าเขาเมฆอรุณอยู่ไกลมาก ต่อให้ไม่โดนทำให้เสียเวลา ไปกลับสักรอบหนึ่งก็ยังต้องใช้เวลาสามสี่วันก่อนที่นางจะออกมาก็ยังฝังเข็มให้กับผู้เฒ่าฟู่อีกรอบหนึ่ง ทิ้งยาเอาไว้ให้อย่างเพียงพอ เสบียงของกินในบ้านก็ตระเตรียมไว้เรียบร้อยป้าจงเองก็กำลังเริ่มเย็บเสื้อผ้าฤดูหนาวขาของหู่จือก็ดีขึ้นมากแล้ว จงเจี้ยนยังช่วงเหลาไม้เท้ามา เขาใช้ไม้ค้ำตนเองลุกขึ้นยืนเดินไปมา อย่างน้อยทุกวันก็ยังมานั่งในห้องท่านผู้เฒ่าเป็นเพื่อนคุยกับเขา และคอยดูแลเขาได้ด้วยผู้เฒ่าฟู่ถามนางว่าจะไปทำอะไร ฟู่จาวหนิงก็พูดตามความจริงแต่ว่า แม้ว่าจะบอกว่าไปเขาเมฆอรุณ แต่นางก็ไม่ได้บอกว่าจะไปหาตัวฟู่เจียวเจียวกับฟู่เป่าเจิน แต่บอกว่าอาจารย์บอกนางว่าเขาเมฆอรุ่นมียาดีอยู่ นางจะไปหาวัตถุดิบยาก่อนหน้าที่ยังไม่ได้ฝากตัวเป็นศิษย์ ฟู่จาวหนิงที่ไม่รู้อะไรเลย มักจะวิ่งแจ้นออกไปขุนยา ตอนนี้ฟู่จาวหนิงที่เฉิดฉายแจ่มจรัสอยู่ในพันธมิตรโอสถใต้หล้าบอกว่าจะไปขุดยา ไม่มีใครสักคนที่ไม่เชื่อฟู่จาวหนิงพาเสี่ยวเถาไปด้วย เตรียมจะไปตล
"เจ้านี่เอง" ฟู่จาวหนิงเอ่ยปากขึ้นก่อน "ที่แท้เจ้าก็ชื่อเฉินซาน"วันนั้นตอนที่ขุดยาที่เขาจันทร์ลับฟ้า พวกนักเลงหัวไม้ที่สาวใช้ซ่งหยวนหลินซื้อตัวขึ้นมาหาเรื่องเขา ที่บอกว่าสังหารนางได้คือดีที่สุด แต่ถ้าสังหารไม่ได้ก็เอาเสื้อในของนางกลับมา คิดจะทำลายชื่อเสียงของนางและคนผู้นี้ก็วิ่งไวเสียเหลือเกินเฮ่าจื่อกับคนเหล่านั้นเรียกเขาว่าพี่ใหญ่ ตอนนี้ฟู่จาวหนิงเพิ่งจะรู้ว่านางชื่อเฉินซาน"เรื่องของพวกเฮ่าจื่อข้าไม่รู้เรื่องเลย!"เฉินซานหางตามีรอยช้ำ ที่มุมปากก็มีตุ่มพอง ดูท่าจะซมซานจริงๆ เขาถูกฟู่จาวหนิงบีบมาจนถึงมุมหนึ่งของซอย แล้วรีบร้องขึ้นมาอย่างร้อนรน"ถ้าพูดเช่นนี้ แสดงว่าเจ้ารู้ว่าพวกเขาเกิดเรื่องอะไรขึ้นสินะ" ฟู่จาวหนิงย้อนถาม"ข้า ข้ารู้แค่ว่าหลังจากวันนั้นพวกเขาก็ไม่ได้กลับมาอีก" เฉินซานมองฟู่จาวหนิงอย่างหวาดกลัว "ภายหลังข้าก็ขึ้นเขาไปที่สะพานแขวนเพื่อหาพวกเขาแล้ว พวกเขา"พวกเขาตายไปกันหมดเฉินซานเองตอนนั้นก็กลัวอย่างมากและไม่รู้ว่าวันนั้นหลังจากเขาลงเขาไปเกิดเรื่องอะไรขึ้น เฮ่าจื่อพวกนั้นตายกันไปหมดในภูเขาแล้วแต่ว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นนักเลงหัวไม้ คนที่บ้านก็ชินกับการที่พวกเ
ตอนแรกสุด รถม้าก็ขับได้มั่นคงดี แต่ค่อนข้างช้าเฉินซานกลัวมือกลัวเท้าไปหมด ยังผวาฟู่จาวหนิงอยู่อีก กลัวว่าถ้าไม่ระวังจะเอียงจนไปยั่วโมโหนางเข้าคิดไม่ถึงเลย ว่าฟู่จาวหนิงจะเป็นคุณหนูของเจ้าบ้านที่พ่อแม่ของเขาเคยทำงานอยู่!ตอนนั้นพวกเขาไม่ได้ถูกขายขาด ตอนที่ตระกูลฟู่ปล่อยคนออกมา ผู้เฒ่าฟู่ก็ให้อิสระแก่พวกเขา ตอนนั้นเขาเหมือนจะเพิ่งสองสามขวบเพียงแต่ต่อมาบิดาของเขาก็ตายไป มารดาของเขาร่างกายก็แย่ลงทุกวัน เขาจึงไม่สนใจไปศึกษาเล่าเรียนหาความสามารถ แต่ไปตะวันออกก็ทำงาน มาตะวันตก็หางานทำ หลังจากมาพบกับพวกเฮ่าจื่อก็ยิ่งแย่หนักลงไปอีกก่อนหน้านี้ฟู่จาวหนิงให้เขาขับรถม้ากลับจวนฟู่ รับป้าจงไปบ้านของเขา ป้าจงพอเจอกับมารดาของนาง พี่น้องสองสาวก็จำกันได้ขึ้นมากอดกันกลมร้องห่มร้องไห้ฟู่จาวหนิงคอยสังเกตเฉินซานอยู่ตลอด หลังจากนั้นก็ถามเขาว่าจะขายตัวเข้ามาในจวนตระกูลฟู่ไหมเฉินซานช่วงนี้เพื่อจะซื้อยามารักษาแม่ของเขาก็ติดคนคนอื่นไปไม่น้อย เกือบจะไร้ซึ่งหนทางแล้ว พอนางถาม เขาก็ไม่ลังเลเลย รีบร้อนพยักหน้าตอบรับทันทีหลังจากลงชื่อสัญญาขายตัว เขาก็กลายมาเป็นคนขับรถของฟู่จาวหนิงฟู่จาวหนิงยังฝังเข็
ผู้ตรวจการอันอายุสามสิบกว่าใบหน้าหล่อเหลาสูงโปร่ง เพียงแต่เต็มไปด้วยเศร้าหมองผู้ตรวจการอันครั้งนั้นคือเพื่อนเรียนของอ๋องเจวี้ยน นั่นเป็นตอนช่วงที่อ๋องเจวี้ยนเพิ่งอายุไม่กี่ขวบ ที่บอกว่าเพื่อเรียน อันที่จริงก็เป็นคนที่จักรพรรดิองค์ที่แล้วส่งเข้ามาดูแลอ๋องเจวี้ยนนั่นเองแต่หลังจากที่อ๋องเจวี้ยนไปยังยอดเขาโยวชิงก็ไม่ได้พบอีกเลย ไม่ได้ไปมาหาสู่ครั้งนั้นที่เล่าเรียนด้วยกันก็ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการ"อันเหนียนคารวะอ๋องเจวี้ยน" อันเหนียนพอเห็นอ๋องเจวี้ยนก็ทำการคารวะอย่างเป็นการเป็นงานเขาเองก็พิจารณาอ๋องเจวี้ยนผาดหนึ่งก่อนหน้านี้พระโอรสอ่อนแอมาก ตอนนี้ก็เติบโตสูงใหญ่ขึ้นมา ท่วงท่าดูเหนือล้ำ"ไม่ต้องมากพิธี"อ๋องเจวี้ยนส่งสัญญาณให้เขานั่งลง รอจนคนรับใช้นำน้ำชาเข้ามา "ดื่มชาก่อน"อันเหนียนยกชาขึ้นจิบ ตอนที่วางลงก็เอ่ยขึ้นว่า"อ๋องเจวีย้น ข้ารู้ว่าที่บุกมาหาท่านเป็นการรบกวนท่านและไม่เหมาะสม แต่ว่า..."ถ้าเขามีวิธี ก็คงไม่แบกหน้ามาหาอ๋องเจวี้ยนแล้ว"พูดเถอะ มีเรื่องอะไร"อ๋องเจวี้ยนไม่ได้เขากังวลมากเกินไป ถามขึ้นมาตรงๆ"ข้ามีน้องสาวคนหนึ่ง อายุน้อยกว่าข้าสิบกว่าปี ปีนี้เพิ่งอายุ
"ท่านอ๋อง?"หลังจากทหารถอยออกไป อ๋องเจวี้ยนก็ยังเหม่อไปครู่หนึ่งอันเหนียนเองก็ไม่รู้ว่าเขาได้ยินสิ่งที่ตนเองพูดหรือไม่ จึงเรียกเขาขึ้นมาอีกครั้งอ่องเจวี้ยนได้สติกลับมา มองไปที่เขา"ข้าจำได้มาตลอด ว่าตอนนั้นมีครั้งหนึ่งที่ข้าป่วย ปวดหัว แต่ตอนนั้นราชครูก็ยังมอบงานมา ให้ข้าเขียนบทความบทหนึ่ง"อันเหนียนรู้สึกเกินคาด อ๋องเจวี้ยนยังจำเรื่องในตอนได้หรือ?เพียงแต่ตอนนี้จู่ๆ พูดเรื่องนี้ขึ้นมาทำไมกัน?"ข้าตอนนั้นเดิมทีก็ไม่อยากทำ ถึงอย่างไรก็ป่วยอยู่ จึงพูดกับราชครูไป เขาควรจะเข้าใจ แต่เจ้าตอนนั้นบอกกับข้าว่า การเรียนรู้จะปล่อยวางด้วยอาการป่วยเล็กน้อยไม่ได้ เจ้าบอกว่าร่างกายข้าไม่ดี เดี๋ยวก็ป่วยนั่นนี่ไม่หยุด ถ้าหากทุกครั้งไม่สบายก็ปล่อยให้ตนเองสบาย เช่นนั้นอย่างไรก็ตามคนอื่นเขาไม่ทัน"อ๋องเจวี้ยนยินดีออกมาพบอันเหนียน อันที่จริงก็เพราะเรื่องในอดีต"เจ้าพูดกับข้า เพียงเพราะร่างกายข้าแข็งแกร่งสู้คนอื่นไม่ได้ เจ้าก็ห้ามแพ้ต่อสิ่งอื่นอีก"อ่องเจวี้ยนพูดถึงจุดนี้ มองไปยังอันเหนียนอันเหนียนรู้สึกละอายตอนนั้นเขายังเล็กไม่รู้ความ ถ้าเป็นตอนนี้ บางทีเขาก็ไม่แน่ว่าจะสามารถพูดตรงๆ แบบสมัย
ถัดจากนี้สำหรับพวกหลานหรงก็ถือเป็นการท้าทายที่มากกว่าแล้วจากที่ท่านอ๋องคาดการณื ตงฉิงจะต้องมีกลไกลและการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติแน่นอน น่าจะมีวิะีการที่ทำให้ตงฉิงได้กลับมาเห็นตะวันได้อีกครั้ง ที่ไม่ใช่การขุดทีละนิดๆ ของกำลังคนพวกของหลานหรงต้องหาวิะีให้พบ บางทีอาจจะเป็นกลไก?"ที่นี่ในเมื่อเป็นเมืองเก่าที่ตระกูลของราชครูตงฉิงอยู่ ก็น่าจะมีโอกาส นายท่านเคยพูดไว้ ตระกูลของราชครูตงฉิงมีพลังกำลังทรัพย์ที่ไม่อาจประเมินได้อยู่ เมืองชิงเย่เป็นรากฐานของพวกเขา ไม่มีทางปล่อยให้เมืองนี้ต้องล่มสลายไปแบบนี้แน่"หลานหรงหยิบจดหมายที่เซียวหลันยวนเขียนไว้ออกมา ด้านบนยังวาดรูปของเครื่องพยากรณ์ไว้ บางทีคงต้องหาจุดที่สามารถใช้เครื่องพยากรณ์นี้จดหมาย เพียงไม่นานก็ถูกส่งไปหาเซียวหลันยวนอย่างรวดเร็วฟู่จาวหนิงกับเซียวหลันยวนกำลังสาละวนอยู่ในภูเขาช่วงเช้า และได้รับอะไรมาไม่น้อยนางเจอโสมม่วงร้อยปีต้นหนึ่ง!เดิมทีสิ่งนี้ก็ถือเป็นของที่สุดยอดมากแล้ว ผลลัพธ์คือยังพบวัตถุดิบยาที่ผู้อาวุโสจี้เคยบอกกับนางแต่พันธมิตรโอสถไม่เคยพบมาก่อนอีกหลายชนิดด้วยวัตถุดิบยาพวกนั้น ว่ากันว่าในพันธมิตรโอสถมีแขกลึกลับ
นายท่านบอกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างเร่งด่วน หลังจากหาหยกดาราพบให้รีบส่งออกไปก่อน"ขอรับ"หลานหรงลองสังเกตุทะเลสาบนี้อีกหน่อย วักน้ำขึ้นมาชิม น้ำสะอาดหวาดชื่น น้ำดีที่หาได้ยาก!ที่นี่จะใช่ตำแหน่งที่เมืองหลวงตงฉิงอยู่จริงไหม?"พักกันดีแล้วใช่ไหม? เข้ามาตักน้ำ"หลานหรงเรียกคนเข้ามาทันทีทุกคนเห็นต้นกำเนิดน้ำแบบนี้ก็ดีอกดีใจ เมื่อวานตอนค่ำน้ำถูกดื่มไปจนหมดแล้ว ตอนนี้พวกเขากระหายกันจะแย่"ก่อไฟต้มน้ำ"เดิมทีตามความเคยชินก่อนหน้านี้ของพวกเขา จะไปที่ไหนก็ล้วนกินน้ำดิบไปตรงๆ แบบนี้สะดวกดี ไม่ได้พิถีพิถันมาก แต่ฟู่จาวหนิงบอกพวกเขาไว้ น้ำจะอย่างไรก็ต้องต้มก่อนถึงจะดี ด้านในอาจจะมีไข่แมลงหรือเชื้อโรคอะไรอยู่ดังนั้นพวกเขาตอนนี้จึงเชื่อฟัง ถ้ามีเวลาและเงื่อนไขเพียงพอ พวกเขาก็จะต้มน้ำให้เดือดก่อนดื่มครั้งนี้พอเห็นน้ำสกปรกขยะแขยงมามากมาย พวกเขาจึงทำตามกฏนี้อย่างเคร่งครัดตอนที่พวกเขาต้มน้ำ หลานหรงเดินไปบนทางเดินเล็กๆ ในทะเลสาบเส้นนั้น ตรงไปทางดงดอกไม้ผืนนั้นเดินอยู่กลางทะเลสาบ สองด้านล้วนเป็นน้ำใสสะอาด สะท้อนภาพฟ้าเมฆคราม ทิวทัศน์งดงามดูกว้างใหญ่ถ้าตงฉิงในอดีตยังดีอยู่ ไม่รู้ว่าจะงดงามขนา
หลานหรงพากลุ่มค้นหามานานมากแล้วก่อนหน้านี้พวกเขาเจอเมืองเล็กเมืองหนึ่งถูกดินปกคลุมไป ถนนหนทางบ้านเรือนล้วนถูกกลบฝังไปแล้ว แต่ฝนตกมาห่าใหญ่ หลังจากดินภูเขาถูกชะล้างไป ก็มีหลังคาเรือนเล็กๆ บางส่วนโผล่พ้นพื้นดินขึ้นมาดังนั้นหลานหรงจึงยืนยันว่าตงฉิงตอนนั้นถูกกลับฝังไปแล้วจริงๆพวกเขาเจอกับทางเดินเส้นหนึ่ง หลังจากเข้ามาก็พบว่ายิ่งเดินก็ยิ่งยาว และไม่รู้ว่าตรงไปที่ไหนด้วยแต่สองด้านของทางเดินก็ปรากฏศาลาหรือบ้านเป็นระยะๆ อธิบายได้ว่าแต่ก่อนนี่เป็นถนนที่อยู่บนพื้นดิน ส่วนถนนของเมืองเล็กจะตรงไปที่ไหน นอจากเมืองใหญ๋แล้วก็อาจจะเป็นวังหลวงดังนั้นตอนนั้นหลานหรงจึงออกคำสั่งให้เดินตรงไป จนหาทางออกพบคิดไม่ถึงว่าเดินมาสิบกว่าวัน ยังดีที่ด้านในยังมีบ่อน้ำอยู่แห่งหนึ่ง ยังขุดน้ำขึ้นมาได้ ไม่เช่นนั้นคงอันตรายไปแล้วแน่นอน พวกเขาไม่ใช่ว่าไม่ได้อะไรเลยหลังจากผ่านไปสิบวันในที่สุดพวกเขาก็ออกมาแล้ว แล้วจึงเห็นสถานที่นี้เข้า"พี่ใหญ่ ที่นั่นคงไม่ได้ฝังเมืองไว้อีกแห่งหรอกกระมัง?" ลูกน้องเดินเข้ามา ยื่นถุงใส่น้ำให้เขา ด้านในเหลือแค่อึกเดียวแล้ว ก่อนหน้านี้หลานหรงไม่ได้ดื่มเลย ให้พวกเขาไปจนหมด ตอนนี้
เขากุมมือนางแน่น เอ่ยขึ้นเสียงต่ำว่า "ซษงจื่อหยิบตำราเก่าม้วนหนึ่งเข้ามา ด้านบนเขียนเรื่องตระกูลถังเขาชิงถงไว้""แล้วยังไงหรือ?"นี่มันเกี่ยวอะไรกับนางล่ะ?"หนิงหนิงรู้ไหมว่าเขาชิงถงมีชื่อเสียงในการผลิตอะไร?""อะไรหรือ?""วัตถุดิบยาน่ะ" เซียวหลันยวนเอ่ยเสียงแผ่วเบาฟู่จาวหนิงเลิกคิ้วไม่ใช่สิ แม้ว่านางจะเป็นหมอ แม้ว่าจะขาดแคลนวัตถุดิบยามาก แม้จะคิดหาวัตถุดิบยาล้ำค่าอยู่ตลอด แต่ก็ไม่จำเป็นขนาดต้องยอมนับญาติเพื่อวัตถุดิบยานี่?"เซียวหลันยวนท่านรู้ไหมว่าอะไรคือความมั่งคั่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงจิตใจ?" นางใช้ศอกกระทุ้งเขาไปทีนึงถังอู๋เจวี้ยนฟังพวกเขาแอบกระซิบกระซาบกัน ก็หัวเราะขึ้นมาอย่างจนใจ"ข้าว่านะ พวกท่านต้องมากระซิบกระซาบต่อหน้าข้าแบบนี้ด้วยรึ? มีอะไรบอกมาตรงๆ ก็พอแล้ว แล้วก็อีกเรื่องหนึ่ง ช่วงนี้ปู่ข้าเพิ่งจะพบว่า สมัยหนุ่มๆ เขาเคยท่องยุทธภพไปกับผู้อาวุดสจี้กับผู้อาวุโสอีกคนหนึ่ง ดังนั้นจึงนับว่าเป็นคนครอบครัวเดียวกัน""อ๋า?"จุดนี้ฟู่จาวหนิงกลับไม่รู้เรื่องเลย!"ผู้อาวุโสจี้ตอนนี้ไม่ใช่อาจารย์ของท่านหรือ?" ถังอู๋เจวี้ยนหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมา ยื่นส่งไปตรงหน้าฟู่จาวหนิง "น
ไปแท่นชมดาวช่วงจื่อ(23.00-01.00น.)หรือ?ฟู่จาวหนิงมองไปทางเซียวหลันยวน "แท่นชมดาวเป็นสถานที่แบบไหน?""แท่นชมดาวต้องเดินขึ้นไปจากตำหนักถวายเครื่องหอม อีกด้านหนึ่ง ที่นั่นมีศาลาอยู่ ด้านนอกศาลามีลานอยู่แห่งหนึ่ง เวลาที่อากาศดีจะมองเห็นดาวระยิบระยับ เหมือนยื่นมือไปเด็ดมาได้เลย"เซียวหลันยวนเลิกคิ้วเล็กน้อย "แต่ว่าแท่นชมดาวเคยมีศิษย์คนหนึ่งตกลงไป หลังจากนั้นจึงปิดตายไว้ ไม่มีคนเข้าไปนานแล้ว"สถานที่อันตรายหรือ? ทำไมถึงมีคนตกลงไปได้?"แล้วเจ้าอารามให้พวกเราไปที่นั่นทำไมกัน?"เซียวหลันยวนมองซางจื่อซางจื่อส่ายหัว "เจ้าอารามไม่ได้บอกอะไร แต่ว่า เหมือนน่าจะไปชมดาวกระมัง"แท่นชมดาวถ้าไม่ไปชมดาวแล้วจะไปทำอะไรได้?แต่พวกเขาดูชวนฝันขนาดนั้นเลยหรือ? แล้วยังนัดไปดูดาวช่วงจื่ออีกฟู่จาวหนิงถามซางจื่อ "นอกจากเราสองคน ยังเรียกใครไปอีกไหม?""เจ้าอารามให้องค์หญิงใหญ่ไปด้วย"โอ๋? ฟู่จาวหนิงอดพึมพำขึ้นมาไม่ได้ "แยกกันไม่ได้เลยว่างั้น?"สวรรค์ให้อภัยนางด้วย เดิมทีนางไม่ใช่คนใจแคบช่างสอดรู้สอดเห็นขนาดนี้ ใครให้เจ้าอารามสร้างภวังค์เฮงซวยให้นาง แล้วไปสร้างภวังค์ที่เซียวหลันยวนกับองค์หญิงใหญ่เป็นสา
"เรียนพระชายา ชามนี้เป็นของท่านอ๋อง พ่อครัวทำอาหารให้ท่านอ๋องจนชินแล้ว ทำตามรสชาติที่ท่านอ๋องชอบ"คนที่เข้ามายกชามหมี่น้ำใสไปไว้ตรงหน้าเซียวหลันยวน ส่วนอีกชามวางไว้ตรงหน้าฟู่จาวหนิง"ชามนี้คุณชายถังเป็นคนทำ คุณชายถังบอกว่านี่เป็นหมี่ที่คนเขาชิงถงชื่นชอบ ลุงของเขาก็ชอบมาก ดังนั้นจึงลงมือทำชามนี้ให้พระชายาเป็นพิเศษ เชิญพระชายาชิม""ถังอู๋เจวี้ยนเป็นคนทำหรือ?"ฟู่จาวหนิงมองเซียวหลันยวนด้วยสัญชาตญาณ แล้วก็เห็นเขาหน้าขรึมลงจริงๆ"กลัวว่าเขาจะวางยาพิษไหม?" ฟู่จาวหนิงพูดติดตลก"พระชายาวางใจ คุณชายถังตอนที่ปรุงในห้องครัวพวกเราคอยดูอยู่ตลอด ใช้แต่วัตถุดิบในห้องครัวเท่านั้น ไม่มีปัญหาแน่นอน" คนที่นำเข้ามาเอ่ยขึ้นเซียวหลันยวนแม้จะรู้สึกจี๊ดในใจที่ถังอู๋เจวี้ยนประจบนางขนาดนี้ แต่จุดนี้ก็ยังต้องยอมรับ: "ถ้าเขากล้ามาวางยาพิษเจ้าที่นี่จริงก็แสดงว่าไม่กลัวตาย"เขากวาดล้างเขาชิงถงทิ้งทั้งหมดได้ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าอารามยอดเขาโยวชิงก็อยู่ที่นี่ด้วย ไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแน่ฟู่จาวหนิงพอได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ก็หยิบตะเกียบขึ้น "สู้ท่านลองชิมไหม? แล้วชามนั้นท่านให้ข้ากิน"นางรู้ว่าถ้าตนเองก
ฟู่จาวหนิงเห็นปฏิกิริยาของเซียวหลันยวน รู้สึกไม่เข้าใจอยู่หน่อยๆ"ทำไมหรือ? เจ้าอารามฝึกบำเพ็ญ แต่งงานไม่ได้หรือ?"ก่อนหน้านี้นางเหมือนได้ยินว่าอารามนี้ของเจ้าอาราม ไม่ใช่อารามเต๋าที่ไว้สำหรับฝึกบำเพ็ญเต๋า แล้วก็ไม่เคยได้ยินด้วยว่าจะแต่งงานไม่ได้ยิ่งไปกว่านั้น หน้าตาของเจ้าอารามยังน่าหลงใหลขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีหญิงสาวมาชอบแต่จากคำพูดของเซียวหลันยวนก่อนหน้านี้ บนยอดเขาโยวชิงนี้ไม่มีนายหญิงอยู่จริงๆ ไม่มีผู้อาวุโสหญิงที่ติดตามเจ้าอารามแล้วเลี้ยงดูเขามาจนโต"ได้ยินว่า ตอนเจ้าอารามยังหนุ่มมีคู่หมั้นอยู่" เซียวหลันยวนนึกๆ จำเรื่องนี้ขึ้นมาได้ "แต่ต่อมาไม่รู้ทำไมจึงไม่ได้แต่งงาน เรื่องนี้ข้าได้ยินมาโดยบังเอิญสมัยยังเด็กน่ะ""แล้วคู่หมั้นของเขาล่ะ?""ไม่รู้สิ ต่อมาข้าก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย และยิ่งไม่เคยถามด้วย"เซียวหลันยวนก่อนหน้านี้ไม่ใช่พวกชอบแส่เรื่องชาวบ้าน นิสัยเองก็ค่อนข้างเย็นชา เขารู้สึกว่าเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตนเองก็จะไม่ถามไม่ไถ่ให้มันมากความ"ก่อนหน้านี้ข้ากับเจ้าอารามไม่ค่อยคุยเร่องส่วนตัวกันนัก เคารพเขา แต่ก็ไม่ได้ใกล้ชิดกันมาก แขาแค่เอ็นดูข้า ไม่ได้สนิท
นิ้วของเจ้าอารามเคาะเบาๆ บนโต๊ะ มืออีกข้างก็ลูบเบาๆ วาดผ่านบนเตาถ่านข้างๆ พริบตาที่องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นมองไม่เห็น ก็มีผงฝุ่นลอดจากระหว่างนิ้วของเขาปลิวเข้าไปในไฟของเตา แล้วเผาไหม้เป็นกลิ่นหอมจางๆ ออกมาอย่างรวดเร็วองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นไม่ทันได้รู้สึกเลยนางกำลังมองเจ้าอารามอย่างตกตะลึง"เจ้าอารามกำลังล้อข้าเล่นใช่ไหม? ข้าจำได้ชัดเจนแท้ๆ แล้วจะเป็นภวังค์ได้อย่างไรกัน?"ชายคนนั้นที่นางกอด ความรู้สึกที่ริมฝีปากชุ่มชื้นอ่อนนุ่มตอนที่จูบ ใจที่เต้นระรัว มันแจ่มชัดอย่างมาก แล้วจะเป็นภวังค์ได้อย่างไรกัน?"องค์หญิงใหญ่ เจ้ามองข้านะ"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นมองดวงตาเขาข้างหูยังได้ยินจังหวะเคาะโต๊ะเบาๆ ของเขามองดวงตาที่ดูเหมือนมีความเมตตาต่อสรรพชีวิตของเจ้าอาราม นางก็ตะลึงงันไป"ไม่เกิดอะไรขึ้นทั้งนั้น เป็นแค่ภวังค์ อีกไม่นานเจ้าก็จะลืมเรื่องทั้งหมด ถ้ามีคนพูดเรื่องนี้อีก เจ้าก็แค่บอกว่าตนเองพูดเล่นไปก็พอ ไม่มีเรื่องอะไรทั้งนั้น"เสียงของเจ้าอารามค่อยๆ ไหลเข้ามาในหู แฝงไว้ด้วยการปลอบโยนที่แข็งแกร่งสายตาองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นเริ่มเลือนรางไปบ้าง"เป็นแค่ภวังค์หรือ?""ใช่แล้ว""ไม่เกิดอะไรขึ้น
องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นเงยหน้าขึ้นมองเขาช้าๆเจ้าอารามกำลังล้างถ้วยชา ไม่มองนาง"ใช่แล้ว""ตอนองค์หญิงใหญ่ยังเล็ก ข้าเคยทำนายว่าเจ้าจะมีเคราะห์ภัย ขอแค่ผ่านเคราะห์ภัยนั้นได้ แล้วมาอยู่ด้วยกันกับอ๋องเจวี้ยน ชะตาของเจ้าก็จะดีขึ้น โชคดีตลอดไปสงบสุขจนแก่เฒ่า"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นได้ยินคำพูดเขาในที่สุดก็ได้สติกลับมา"เคราะห์อะไรหรือ?""ตอนนี้ดูแล้ว เคราะห์นั้นน่าจะอยู่บนตัวฝ่าบาทต้าชื่อ และองค์หญิงใหญ่ก็เป็นแม่นางที่ฉลาด ตัดสินใจเด็ดขาด หนีออกมาจากวังหลวงต้าชื่อ วังจักรพรรดิต้าชื่อกลับไปไม่ได้อีกแล้ว ถ้าเข้าประตูวังไปก็เหมือนจมลงสู่ก้นทะเล คำนี้นำมาพูดกับองค์หญิงใหญ่แล้ว ถือว่าถูกต้องอย่างมาก"เจ้าอารามล้างชาไปรอบหนึ่ง ชงชามาสองถ้วย ยกขึ้นมาให้นาง "ดื่มชาเถอะ ชาของอายวน"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นเมื่อครู่ร้องไห้ไปยกใหญ่ ตอนนี้คอเองก็แหบพร่าไปหมดแล้ว กระหายมากด้วย พอสูดๆ จมูก นางจึงยกถ้วยช้านั่นขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น"ดื่มทีละนิด ระวังลวกปาก" เจ้าอารามเตือนนางทันที"โอ้"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นอยู่ต่อหน้าเขาก็ดูว่าง่ายขึ้นมาก ถอนหายใจแล้วหันมาจิบเบาๆในที่สุดก็ได้ดื่มชานี้แล้ว ทำไมนางถึงไม่ดีใ