ฟู่จาวหนิงเองก็ไม่ได้สนใจหยวนอี้อีก หมุนตัวเดินเข้าไปในเรือนนางกังวลหน่อยๆ ไม่รู้เมื่อกี้เข้ามารายงานด่วนเรื่องอะไร แต่ที่ทำให้เซียวหลันยวนรีบออกไปได้ จะต้องไม่ใช่เรื่องเล็กแน่ตอนนี้เรื่องมากเกินไปแล้ว ถ้ายังมีเรื่องอะไรมาอีก นางเองก็แบ่งร่างไม่ไหวแล้ว แล้วก็กังวลว่าเซียวหลันยวนจะเหนื่อยเกินไป"จาวหนิง รีบเข้ามาเร็ว ที่นี่มีคนป่วยกระตุกทั้งตัวจนนิ้วเริ่มม่วงแล้ว"เสียงฟู่จิ้นเชินดังขึ้นอย่างเร่งร้อนฟู่จาวหนิงหน้าเปลี่ยนสี รีบเดินเข้าไปคนป่วยคนนั้นเพิ่งจะส่งมาไม่ถึงสองวัน ประชาชนจากเมืองเจ้อ เดิมทีร่างกายก็อ่อนแอ ครั้งนี้บอกว่าตนเองป่วยอยู่ในบ้านมาหลายวัน พอครอบครัวพบก็รีบส่งตัวเขาเข้ามา สถานการณ์เดิมทีก็หนักอยู่แล้วดังนั้นที่นี่แม้จะที่ทางไม่พอ แต่ฟู่จาวหนิงก็พยายามเว้นที่เพื่อรับเขาเข้ามาหลังจากฟู่จาวหนิงเข้าไปตรวจสอบ สถานการณ์ก็วิกฤติ อุณภูมิร่างกายเขาสูงมาก นิ้วมือหงิกงอจนม่วง ร่างกายชักกระตุกคนป่วยอื่นๆ ล้วนล้อมมุง พูดกันไปต่างๆ นานา คนที่มือไม้เป็นระวิงทำอะไรไม่ถูกก็มี ส่วนใหญ่ล้วนมีสีหน้าหวาดกลัวปกติพอเห็นสภาพป่วยเช่นนี้ คงจะช่วยเหลือไม่ได้แล้วคนที่ขี้ขลาดหน่อ
นางรู้สึกไม่สงบ เพราะคนที่ป่วยตายไม่ได้จบแค่ตรงนี้ ยังจะมีคนที่ป่วยแล้วตายอีก ถึงอย่างไรนางก็ไม่ใช่จะทำได้ทุกอย่างศพของคนป่วยตายนี้ถูกยกออกไป ส่งให้กับคนของจวนทางการจัดการฟู่จาวหนิงก่อนหน้านี้แนะนำให้รวมคนมาตั้งกลุ่มพยาบาล วันนี้ก็จัดตั้งขึ้นมาแล้ว นางเองก็เอาแต่เสียใจไม่ได้ เข้าไปอบรมง่ายๆ กับคนเหล่านั้นทันทีพอยุ่งขึ้นมา ก็ผ่านไปอีกหลายวันหลายวันนี้ก็วุ่นจนหน้ามืดตามัว กลับถึงห้องดึกมากอยู่บ่อยๆ บางทีก็คุยกับเซียวหลันยวนคำสองคำ บางทีไม่เจอหน้าเลยก็มีคนอื่นถ้าไม่มีเรื่องสำคัญแล้วคิดจะมาคุยกับนาง คือเป็นไปไม่ได้เลยแต่ว่าในช่วงหลายวันนี้ คนที่ตายไปก็เพิ่มมากขึ้นแค่ไม่กี่วัน ก็ตายไปแล้วสิบกว่าคน และยังมีคนอีกหลายร้อยที่ติดโรคระบาดใหม่ประชาชนทั้งเมืองกับผู้ประสบภัยตกอยู่ในความหวาดกลัวและสิ้นหวัง ทุกวันได้ยินแต่เสียงร้องไห้น่าเวทนาทหารทางการกับกลุ่มพยาบาลที่ตั้งขึ้นมา ทุกวันซอกแซกไปทั่วเมือง คนทั้งหมดก็เหนื่อยมาก แต่ก็มีอ๋องเจวี้ยนคอยปรากฏตัวในเมืองทุกวัน ถือว่าเป็นยาสงบใจพิเศษ"ขนาดอ๋องเจวี้ยนก็ยังอยู่ในเมืองเจ้อ พวกเราไม่กลัว""ได้ยินว่าอ๋องเจวี้ยนสุขภาพอ่อนแอมีหลายโรค
หยวนอี้ถ้าถามว่าเสียใจไหมที่มาเมืองเจ้อ เขาก็ไม่ได้ถึงกับเสียใจอะไรนักถึงอย่างไรพอมาที่นี่ เขาจึงได้เห็นว่าฟู่จาวหนิงเป็นคนอย่างไร มีลักษณะการทำงานแบบไหน และยังได้เห็นว่านางกับอ๋องเจวี้ยนมีความรักกันแบบไหนด้วยรวมไปถึง ฟู่จิ้นเชินคนนี้ ก็ทำให้เขาตกตะลึงเหมือนกันเดิมทีเขาคิดจะมาเพื่อฟู่จาวหนิง แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่าฟู่จิ้นเชินเองก็เป็ฯคนมีความสามารถแต่ต่อให้ไม่เสียใจ ตอนนี้เขาก็ต้องออกจากเมืองเจ้ออยู่ดี และต้องกลับเมืองหลวงด้วยถ้ายังไม่กลับไป พ่อของเขาเกรงว่าได้ส่งคนมาหาเขาแน่"อ๋องเจวี้ยน ข้าแอบติดตามมาคือข้าผิดเอง แต่เดิมทีข้าก็ไม่ได้คิดจะอยู่นานขนาดนี้"หยวนอี้มองเซียวหลันยวน เอ่ยต่อว่า "ถ้าข้ายังไม่กลับไป พ่อของข้าเกรงว่าคงได้แจ้งกับฝ่าบาท แล้วจะบีบให้ฝ่าบาทส่งคนมาพาข้ากลับเมืองหลวงแน่ ถึงตอนนั้นสถานการณ์ที่เมืองเจ้อพวกท่านก็คงปิดไม่อยู่แล้ว"เขารู้สึกว่าเซียวหลันยวนคงกลัวว่าเขากลับเมืองหลวงแล้วจะเอาเรื่องที่นี่พูดออกไป"ให้ข้าลงนามสัญญาณก็ได้ รับประกันว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องที่เมืองเจ้อนี้ออกไป ไม่ใช่แค่จักรพรรดิเจา กระทั่งพ่อข้ากับทูตของข้าก็จะไม่เอ่ยถึง ถ้าหากมีอะไรจำ
แต่ว่าเซียวหลันยวนตอนนี้ได้เปรียบกว่า ไม่รีบร้อนเขาไม่กลัวหยวนอี้ตายที่นี่จุดนี้ หยวนอี้เองก็สังเกตได้ เขารู้สึกว่าเซียวหลันยวนไม่กลัวที่จะต้องรับผิดชอบกับความสัมพันธ์ร้าวฉานของสองแคว้นหรือว่าอ๋องเจวี้ยนไม่คิดจะนั่งตำแหน่งจักรพรรดิจริงๆ?ไม่เช่นนั้น เขาก็ไม่ควรจะไม่ใส่ใจเลยแบบนี้"คุณชายหยวนเองก็ค่อยๆ พิจารณาไป ข้าไม่รีบ"ถึงอย่างไรตอนที่พิจารณาเสร็จแล้ว ถ้าตอบกลับมาได้น่าพอใจถึงจะได้ออกจากเมืองเจ้อหยวนอี้เดิมทีคิดจะยกเหตุผลที่ดูดีมาสักสองสามข้อ แต่เขาก็รู้สึกว่า ถ้าหากตนเองแต่งขึ้นมาเรื่อยเปื่อย เป็นไปได้มากว่าจะไม่มีโอกาสได้ออกไปอ๋องเจวี้ยนคงจะให้โอกาสเขาแค่ครั้งเดียว ไม่มีทางให้โอกาสที่สองดังนั้นเขาจึงขยับปาก ไม่ได้พูดออกมาพล่อยๆ"ข้าจะลองคิดดู""ตามสะดวก"เพียงแต่ หยวนอี้ยังไม่ทันได้คิดถึงครึ่งวัน ก็มีข่าวส่งเข้ามาอีก มีผู้ประสบภัยที่ติดโรคระบาดก่อจราจลที่ประตูเมือง คิดจะบุกออกไปจากเมืองเจ้อพอเรื่องออกมา ทั่วเมืองก็ตึงเครียด บรรยายกาศตึงขึ้นในพริบตา ราวกับมีลมคลั่งฝนซัดเข้ากระหน่ำทหารทางการล้วนไปต่อต้านผู้ประสบภัยเหล่านั้นจนหมด และยังมีบางส่วนที่ถูกส่งไปอยู่ยั
มีคนซ่อนอยู่ในกลุ่มยุยงความคิดแย่ๆ ออกมา!เหล่าข้าราชการร้องรีบร้องขึ้นมา "ใต้เท้ามาหรือยัง? ไปเชิญอ๋องเจวี้ยน! ไปเชิญพระชายา!"พวกเขาเองก็ลนลานขึ้นมาแล้วและผู้ประสบภัยพวกนั้นมีคนหัวร้อนแล้ว พอได้ยินคำยุยง ก็ถ่มน้ำลายใส่เหล่าทหารทางการจริงๆกระทั่งยังมีคนเตรียมก้มหน้าจะกัดคนหลังถูกขวางเอาไว้ด้วย"อ๊า!"มีทหารทางการถูกกัดที่มือ เจ็บจนร้องลั่นขึ้นมา เสียงร้องดูสิ้นหวัง เพราะรู้สึกว่าตนเองต้องถูกระบาดใส่ไปแล้ว"บุกเลย พวกเขาขวางเราไม่ได้หรอก!"ทหารทางการถอยร่นกลับมา กำลังจะถูกพวกเขาบุกมาถึงประตูเมืองแล้วสถานการณ์คับขันขีดสุด ตอนนี้เอง เงาร่างหนึ่งก็พุ่งมาราวกับคันศร ร่อนลงตรงหน้าทหารทางการสองคนที่กำลังจะถูกกัดเสียงตูมดังขึ้น กระแสอากาศสั่นสะเทือน พัดผู้ประสบภัยที่หลั่งไหลเข้ามาจนปลิวออกไปชั่วขณะหนึ่งก็เห็นผู้ประสบภัยเหล่านั้นปลิวไปเหมือนเกี้ยวถูกขว้างทิ้ง ทยอยกันร่วงกระจายไปรอบๆ"ตุบๆๆ" เสียงดังขึ้นต่อเนื่อง เป็นเสียงผู้ประสบภัยเหล่านั้นร่วงลงมาบนพื้น จากนั้นก็เป็นเสียงร้องระงมทั้งหมดนี้เข้ามาอย่างรวดเร็ว เร็วจนคนที่ถูกซัดออกไปตั้งตัวกันไม่ทัน หลังจากร่วงลงมาก็เจ็บปวดขึ้
อ๋องเจวี้ยนเซียวหลันยวนอยุ่ในชุดคลุมม่วง เข็มขัดสีดำ กวานหยกม่วง หน้ากากเย็นชาสีเงิน ยืนอยู่ตรงนั้นราวกับเทพสงครามคนมากมายงงงันขึ้นมา พวกเขาต้องเข้าใจผิดแน่ อ๋องเจวี้ยนเป็นแค่ท่านอ๋องอ่อนแอที่พักฟื้นมาหลายปีนี่นาได้ยินว่ามีวรยุทธ์ แต่เขาฝึกยุทธ์ก็เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ก่อนหน้านี้ที่สะเทือนพวกเขาเป็นแค่กลยุทธ์นี่ แล้วทำไมถึงได้แกร่งปานนี้?ตอนนี้คนที่บุกมาประตูเมือง ส่วนใหญ่ยังไม่เคยเห็นวิชาของอ๋องเจวี้ยนเมื่อครั้งที่แล้วกับตา ดังนั้นพวกเขาจะอย่างไรก็ไม่เชื่อ ว่าอ๋องเจวี้ยนป่วยมาตั้งแต่ในครรภ์ที่เขาลือกัน กลับจะเป็นยอดฝีมือวรยุทธ์สุดยอดคนนึงแต่ความจริงก็วางอยู่ตรงหน้าแล้วมีคนได้สติกลับมา ร้องลั่นขึ้นว่า "ไม่ต้องกลัวเขา เขาเป็นแค่อ๋องยังกล้าสังหารประชาชนที่น่าสงสารอย่างเราไหม? ถ้าเขากล้า พวกเราก็จะสู้ตายกับเขาแล้ว! ถึงอย่างไรเขาก็อยู่เมืองเจ้อนี้มานาน คงจะติดโรคนั่นไปนานแล้ว องค์จักรพรรดเองก็ไม่ช่วยเขา""จะให้อ๋องเจวี้ยนทำให้เราตกใจจนถอยไม่ได้! สู้ตายพวกเรายังมีโอกาส! ถ้าไม่สู้พวกเราก็มีแต่ทางตาย!""หลังจากออกไปพวกเราจะไปหาหมอเทวดาที่สมาคมหมอใหญ่ พวกเขามีคนตั้งเยอะรักษาได้แน่
เซียวหลันยวนกุมมือฟู่จาวหนิงแน่น ออกแรงบีบเล็กน้อยนางเองก็กุมเขากลับ สองสามีภรรยาเหมือนกำลังให้กำลังและปลอบประโลมกันและกันอยู่"ทหาร ชักกระบี่"เสียงเซียวหลันยวนลอดออกมาอย่างเย็น่ชา พวกองครักษ์อย่างชิงอีจัดขบวนขึ้นหน้าทันที เสียงชักกระบี่ยาวดังชิ้งขึ้นมาพร้อมกันท่วงท่าพลังขององครักษ์สิบกว่าคนที่กุมกระบี่ยาวพร้อมกันทำคนตกตะลึงมาก สำหรับผู้ประสบภัยเหล่านี้ถือเป็นความพรั่นพรึงอย่างหนึ่งโดยเฉพาะก่อนหน้านี้ที่เซียวหลันยวนพอโผล่มาก็กระแทกคนลอยออกไปตั้งขนาดนั้นตอนนี้พอมองไป กระบี่ยาวเหล่านั้นก็มีประกายเย็นเยียบ ยะเยือกจนเหมือนจิตสังหาร"ตอนนี้ใครยังคิดจะออกจากเมือง ก็ลุกขึ้นมาเลย"เสียงเซียวหลันยวนดังขึ้นอีกครั้ง พวกเขาไม่ทันได้คิดว่าหมายถึงอะไร เขาก็เอ่ยต่อมาว่า "ใครที่อยากออกจากเมือง ต้องตาย องครักษ์เหล่านี้ของข้า จะสังหารพวกก่อจราจลจนหมดได้แน่นอน ต่อให้พวกเจ้าจะเข้ามาพร้อมกัน"พริบตาเมื่อครู่ ยังมีผู้ประสบภัยบางส่วนที่ได้ยินประโยคนหน้าก็ลิงโลดขึ้นมา คิดว่าอ๋องเจวี้ยนจะปล่อยพวกเขาออกไปจริงๆ แต่คิดไม่ถึงว่าพอจะมาได้ยินประโยคที่เย็นชาด้านหลังต่อมาทันทีคิดจะปล่อยพวกเขาออกไปที่ไห
ตอนที่ผู้ประสบภัยเหล่านั้นบุกเข้ามาเมื่อครู่ พวกเขาเองก็เกือบจะทนไม่ไหวชักดาบออกไปแล้ว แต่ก็อดทนไว้อยู่วินัยของพวกเขาทำให้พวกเขาไม่กล้าง้างกระบี่ใส่ประชาชนความน้อยใจและเสียใจในใจไม่รู้จะพรรณนาอย่างไร แต่ตอนนี้มีอ๋องเจวี้ยนที่เอาใจใส่พวกเขา มีพระชายาคอยรับประกันสุขภาพพวกเขาพวกเขาเดิมทีควรปกป้องอ๋องเจวี้ยนกับพระชายา แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นถูกพวกเขาปกป้องซะแล้ว"ขอบคุณท่านอ๋องพระชายา!"เหล่าทหารทางการขานออกมาเสียงดัง"พวกเจ้าล้วนเป็นลูกผู้ชายที่ยอดเยี่ยมซื่อสัตย์ต่อหน้าที่!" เซียวหลันยวนหันกลับมามองพวกเขา "ตบรางวัล!""ขอบคุณท่านอ๋อง!!"หลังจากที่ไฟในใจเหล่าผู้ประสบภัยถูกข่มลงมา ตอนนี้ไม่เหลือความกล้าอีกแล้ว พวกเขาตอนนี้อยากจะถอยหนีกันพวกเขายังคิดว่าถอยกลับไปก็น่าจะพอ พวกเขาแค่ไม่ก่อเรื่องก็จะไม่เป็นไร เรื่องสงบลง ดังนั้นจึงมีคนถามขึ้นว่า"ท่านอ๋อง พวกเราออกไปไม่ได้ แล้วต้องถูกขังอยู่ที่นี่รอฝ่าบาทส่งคนเข้ามาช่วยหรือ? ฝ่าบาทถ้าไม่ส่งคนเข้ามา หรือไม่คิดจะปล่อยพวกเราออกไปแล้วจริงๆ อย่างนั้นพวกเราจะทำอย่างไรกัน?""ใช่เลยใช่เลย พวกเราเชื่อฟังไม่ก่อเรื่องได้ แต่ก็ต้องมีคำอธิบายให้พ
ส่วนฟู่จาวหนิงเองก็มองมาทางเขา เพราะเซียวหลันยวนไม่ได้ยื่นมือมาประคองนางในตอนแรก แต่กลับมองนางอย่างงงงันหน่อยๆฟู่จาวหนิงยังไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไร ใจก็ดำดิ่งหน่อยๆยังดีที่ตอนนางมองไปอีกครั้ง เซียวหลันยวนก็ยื่นมือมาดึงนางลุกขึ้นแล้ว จากนั้นไข่มุกหมึกในมือนางก็ส่งคืนไปยังเจ้าอาราม"คืนให้ท่าน"พริบตาที่เจ้าอารามยื่นมารับ เสียงเปรี๊ยะก็ดังขึ้น ไข่มุกหมึกลูกนั้นแตกละเอียดกะทันหันคนทั้งหมดล้วนตกตะลึง มองไปทางเศษหินที่รวงลงมานั่นพวกเขาล้วนถือไข่มุกหมึกกันมาแล้ว เดิมทีก็ยังดีดีอยู่ ไม่มีรอยร้าวอะไรเลย ยิ่งไปกว่านั้นตัวลูกปัดหยกก็ตันและแข็งแกร่ง หล่นลงพื้นก็ไม่แน่ว่าจะแตกด้วยซ้ำแต่ตอนนี้จู่ๆ มันก็เป็นแบบนี้ไปแล้วเจ้าอารามโค้งตัวลงเก็บชิ้นส่วนหยกขึ้นมา หยิบขึ้นมามองๆ"ไข่มุกหมึกทำนายดารา ข้าเองก็เหลืออยู่แค่เม็ดเดียวด้วย"อยู่กับเขามาหลายสิบปี ใช้มาก็ตั้งหลายครั้ง ตอนนี้จู่ๆ ก็แตกเสียแล้วเซียวหลันยวนยื่นมือตัวเองออกมา "ข้าไม่ได้ออกแรงนะ""แล้วก็ไม่เหมือนบีบจนแตกด้วย"เจ้าอารามพูดพลางมองไปทางฟู่จาวหนิงฟู่จาวหนิงหรุบตาลง เศษหินบนพื้นเหล่านั้น "หรือพวกท่านสงสัยว่าข้าทำ
เจ้าอารามสูดลมหายใจลึก"ผลลัพธ์นี้ไม่ค่อยดีนัก สิ่งที่มันชี้นำไป ทำให้อายวนเดินไปยังทางเลือกที่จะพาสู่ความพินาศ"พอได้ยินคำพูดเขา ฟู่จาวหนิงก็หน้าเปลี่ยนสีแต่นางกลับโมโหขึ้นมา"เฮอะ"ก่อนหน้านี้นางยังรู้สึกว่าจะอย่างไรก็ได้แต่ว่าตัวนางจะเป็นอย่างไร นางก็ยังไม่สนใจได้ เพราะนางไม่ใส่ใจ และไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะส่งผลกระทบกับตัวนางแต่เรื่องดันไปอยู่บนตัวเซียวหลันยวน นางก็ไม่ชอบใจขึ้นมาแล้วยิ่งไปกว่านั้น นางไม่รู้ว่าเซียวหลันยวนจะได้รัรบผลกระทบไหม ตัวนางเป็นคนที่ผ่านการข้ามภพมา แต่เขาไม่ใช่"อายวน" นางยื่นมือไปประคองเซียวหลันยวนเขาจับมือนางลุกขึ้นยืน มองดุนาง ยื่นมือลูบใบหน้านาง สีหน้าดูซับซ้อน"เจ้าลองดู"ฟู่จาวหนิงใจดำดิ่งหน่อยๆเพราะเขารู้สึกแปลกไปอย่างเห็นได้ชัด ปฏิกิริยานี้คือถูกส่งผลกระทบเข้าแล้วเมื่อครู่เขายังบอกนางอยู่เลยว่าถ้าไม่อยากคะเนทำนายก็ไม่ต้องทำ ตอนนี้เขากลับบอกว่าให้ลองดูเสียแล้วจิตใจต่อต้านกับความอยากเอาชนะของฟุ่จาวหนิงถูกกระตุ้นขึ้นมาแล้ว"ได้"นางขานรับ และไม่ลังเลอีก นั่งลงตรงหน้ามิติดาราทั้งสามผืนนั้น"ไข่มุกหมึก"เซียวหลันยวนส่งไข่มุกหมึก
เขาไม่อยากให้นางต้องฝืนตัวทำอะไรเพื่อตัวเขา"ข้ายินยอมทดสอบดู ไม่เป็นไร" ฟู่จาวหนิงบอกเขาเซียวหลันยวนชะงักไป "เช่นนั้นข้าก่อนแล้วกัน เจ้าลองดูผลลัพธ์ของข้าก่อนว่าเป็นอย่างไร แล้วค่อยตัดสินใจ"ตอนนี้เขาเองก็ยอมที่จะคะเนทำนายด้วย เพราะคำพูดประโยคนั้นที่เจ้าอารามพูดเมื่อครู่สามปีก่อนตอนที่เขาจะกลับเมืองหลวง ก็มีการวัดคะเนดาราไว้จริงๆ ทำให้เขารู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าเขาควรจะออกจากยอดเขาโยวชิงเวลานั้น และไปถึงเมืองหลวงในวันนั้นเขาเจอกับจาวหนิงถอนหมั้นกลางถนนในวันนั้น แต่งงานกับนางในวันนั้น ตอนนี้พอมาคิดก็ดูจะเป็นคู่รักวาสนาที่ฟ้าประทานมาจริงๆเพื่อความแม่นยำครั้งนี้ เขาเองก็ไม่กังขากับการวัดคะเนดาราเซียวหลันยวนนั่งขัดสมาธิลงตรงหน้ามิติดาราทั้งสามชิ้น ยื่นมือไปทางเจ้าอาราม "ไข่มุกหมึก""เจ้าจำไว้ด้วยว่าต้องขจัดสิ่งรบกวนออก อย่าต่อต้านการชี้นำ" เจ้าอารามส่งไข่มุกหมึกให้เขา จากนั้นจึงจุดธูปขึ้นเซียวหลันยวนหลับตา สองมือกุมไข่มุกหมึกตอนที่เขาเข้าสู่สภาวะลืมตนอย่างสมบูรณ์ ฟู่จาวหนิงก็แหงนหน้ามองท้องฟ้าด้วยสัญชาตญาณ เหมือนจะพบว่าแสงดาวเต็มท้องฟ้าจะสว่างเจิดจ้ากว่าเดิมเซียวหลันยวน
เจ้าอารามถอนใจอย่างจนใจอีกครั้ง ร้องเรียกพวกเขาไว้"กลับมาก่อน ทำไมพูดไม่ถูกหูหน่อยเดียวก็จะไปแล้วล่ะ? เดี๋ยวนี้อารมณ์ขึ้นง่ายขนาดนี้เชียว? ข้าก็แค่พูดเฉยๆ ไม่ใช่ว่ามองเสี่ยวฟู่แบบนี้เสียหน่อย"ฟู่จาวหนิงเองก็ยืนนิ่ง นางดึงเซียวหลันยวนไว้ตอนนี้นางเองก็น่าจะมองการวัดคะเนดาราของเจ้าอารามเป็นเหมือนเกมลึกลับเกมนึง เมื่อครู่ที่เห็นการเปลี่ยนแปลงขององค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น นางรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากยิ่งไปกว่านั้น ฟู่จาวหนิงรู้สึกว่าเจ้าอารามทำให้นางจับทางไม่ถูกเหมือนกัน คนผู้นี้ต้องมีตัวตนที่ไม่ธรรมดาสำหรับเซียวหลันยวนแน่นอนสำหรับฮูหยินเฉิง เซียวหลันยวนบทจะไม่ยอมรับก็ไม่ยอมรับได้ จะหมดความผูกพันนั่นก็หมดไป แต่สำหรับเจ้าอารามนั้นไม่ได้เด็ดขาดไม่เช่นนั้นคงไม่พานางเดินทางนับพันลี้มายอดเขาโยวชิงแค่เพราะคำๆ เดียวของเจ้าอารามหรอกนางเองก็อยากรู้มาก สาเหตุอะไรที่ต้องให้พวกเขามาทำนายชะตาอะไรนี่ เจ้าอารามคิดจะทำอะไรกันแน่นอกเหนือจากนี้ ตัวนางเองก็ยังอยากรู้ ว่าการที่นางมายังแคว้นเจานี่ เป็นเพราะมีพลังลึกลับอะไรหรือเปล่าถ้าไม่ทำให้ชัดเจน หลังจากนี้นางคงจะตั้งรับไม่ไหวองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นถึ
เขามองไปทางเจ้าอารามอีกครั้ง น้ำเสียงเข้มงวดขึ้นมา"ท่านน้าเฉิงถ้าพูดแบบนี้จริง เช่นนั้นสายตานางก็ตื้นเขินไม่รู้จักกาลเทศะ นางเองก็ไม่เข้าใจจาวหนิง และยิ่งไม่เข้าใจว่าจาวหนิงผ่านอะไรมาบ้าง แล้วมีสิทธิ์อะไรถึงใช้ความคิดของตัวเองมาสรุป ดูท่าหลายปีนี้คงถูกเอาอกเอาใจในเมืองจื่อซวีจนเสียคนแล้วจริงๆ"เดิมทีเขาได้ยินว่าฮูหยินเฉิงตาแดงก่ำลงจากเขาไป ยังเคยคิดว่าว่าเพราะช่วยนี้เย็นชากับนางมากเกินไปหรือเปล่า เอาไว้ตอนที่จะกลับ พอผ่านอุทยานเขาเฉิงอวิ๋น ยังคิดจะเข้าไปบอกลานางเสียหน่อยแต่ตอนนี้เขารู้สึกแล้วจริงๆ ว่าใจคนมันพังไปแล้ว เช่นนั้นก็ยากที่จะได้รับการเคารพจากคนอื่นจริงๆ"ข้าจดจำได้ว่าตอนที่ข้ายังเล็กท่านน้าเฉิงเคยมาดูแลอยู่หลายครั้ง แต่อันที่จริงพวกเราก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น หลังจากข้าโตมา พวกเราก็เจอกันน้อยครั้งมาก เจอกันก็เพียงแค่ทักทาย ข้าเรียกนางว่าท่านน้า ก็เพราะเคยชินมาจากตอนเด็กเท่านั้น"เซียวหลันยวนตอนพูดถึงจุดนี้น้ำเสียงก็เย็นลงมา"ตอนยังเล็กนางดูแลข้ามาหลายครั้ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอาเจ้าอุทยานกำชับไว้ ข้าจึงเคารพนาง แต่นางก็ควรวางตัวให้ถูก ไม่ใช่จะขึ้นมาเป็นผู้อาวุโสของข้าจริ
สายตาที่องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นมองเซียวหลันยวนดูซับซ้อนมาก ดูลังเล กำลังตัดสินใจและดูเจ็บปวดทรมานมากแต่หลังจากนี้นางกลับละทิ้งเรื่องที่จะกลับเมืองหลวงหาคนอื่นหรือกระทั่งเรื่องไปแคว้นหมิ่น แล้วิคดจะอยู่ข้างกายเจ้าอารามแทนหรือ?นี่มัน...ฟู่จาวหนิงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าการเปลี่ยนความคิดกะทันหันของนางมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรตอนนี้นางกลับรู้สึกอยากรู้อยากเห็นต่อวัดคะเนดารานี้เสียแล้ว องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นสัมผัสได้ถึงอะไรกันนะ?"องค์หญิงใหญ่พักอยู่ที่นี่สองสามวันก่อนก็ได้ เอาไว้ค่อยว่ากัน"เจ้าอารามเหลือบมองกระจกทรงมุมที่แสงดับไปแล้วผาดหนึ่ง จากนั้นก็มองใบหน้าองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น แอบถอนหายใจในใจเขาเองก็ทำไม่สำเร็จ บิดชะตาฝูอวิ้นกลับมาไม่ได้ชั่วคราวผิดพลาดตรงไหนกันแน่นะ?เจ้าอารามมองต่อไปทางฟู่จาวหนิง จากการทำนายส่วนตัวของเขา ทำนายไปทำนายมา ต้นกำเนิดตัวแปรทั้งหมดก็คือฟู่จาวหนิงดังนั้น เรื่องที่เกี่ยวกับฟู่จาวหนิง เขาต้องมาขบคิดให้ดีจริงจัง""เจ้าอารามรับข้าไว้เถอะ แม้ข้าจะทำอะไรไม่เป็นเลย แต่ก็ยังเรียนรู้ได้ ข้าเรียนรู้ทำกับข้าว จริงด้วย ข้าเป็นแแม่สื่อได้ด้วยนะ หลังจากนี้ชายเส
บนพื้นมีสามจุดเปล่งแสงขึ้นรางๆ ปรากฏรูปร่างสามแบบคือ แปดเหลี่ยม ทรงกลม ทรงมุมฟู่จาวหนิงเดินเข้าไปสองก้าว จึงพบว่านั่นเป็นกระจกหลากสีเรียบลื่นสามชิ้นสลักฝังอยู่บนพื้น ใต้กระจกน่าจะเป็นหินหยกผิวเรียบ และระหว่างหยกกับกระจกมีของเหลวสีแดงเจือสีเงินไหลเอื่อยๆ อยู่ยิ่งไปกว่านั้น เพียงไม่นาน ด้านบนยังมีแสงระยิบเหมือนดวงดาว ราวกับจำลองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงดาวออกมาเจ้าอารามเดินเข้าไปใกล้ กวักมือให้กับองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น"มานี่"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นก็ค่อนข้างว่าง่าย เดินเข้าไปทันทีเจ้าอารามส่งลูกปัดหยกสีดำเม็ดหนึ่งให้นาง"นั่งขัดสมาธิ กำลูกปัดเม็ดนี้ไว้ สัมผัสดูว่ามันนำเจ้าไปยังมิติดาราไหน แล้วจงชี้ออกมา"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ทำตามที่เขาบอกนั่งลงขัดสมาธิบนพื้น สองมือกุมลูกปัดนั้น ตั้งสมาธิสัมผัสผ่านไปครู่หนึ่ง นางจึงหันหลังอย่างลังเลไปทางทรงมุมนั้น"ทางนี้"ฟู่จาวหนิงยืนมองอยู่ข้างๆจากที่นางเห็น เจ้าอารามเหมือนคนที่กำลังเล่นละครหลอกคนอย่างไรอย่างนั้น เรื่องแบบนี้จะทำนายดวงชะตาออกมาได้อย่างไร?กำลูกปัดลูกหนึ่งไว้ ก็สามารถชักนำให้ตนเองเลือกกระจกหลากสีแผ่นไหนแบ
ดาวสองดวงนั้นประกายจ้ามาก แล้วยังอยู่ใกล้มากด้วย ส่องประกายให้กันและกัน เหมือนขานรับกันและกันไม่รู้เพราะอะไร พอเห็นดาวสองดวงนี้ ฟู่จาวหนิงรู้สึกมีความสุขขึ้นมานางมองไปทางเซียวหลันยวน ถามขึ้นเสียงแผ่วเบา "ท่านเห็นดาวดวงไหนหรือ?"เซียวหลันยวนไม่ตอบ แต่กุมมือนางมัน จับนิ้วนางชี้ออกไป"เอ๋?"ที่เซียวหลันยวนชี้ก็คือดาวสองดวงนั้น!หรือพวกเขาจะมองเห็นแบบเดียวกัน?แน่นอนว่าอาจจะเพราะดาวสองดวงนั้นสว่างไสวมากที่สุด คนอื่นเองก็อาจจะมองเห็นพวกมันด้วยฟู่จาวหนิงคิดเช่นนี้ เลยมองไปทางองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น แต่กลับเห็นนางมองไปทางอื่นนางมองไล่ตามสายตาองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นไป ตรงนั้นมีดาวดวงหนึ่ง สว่างอยู่เหมือนกัน แต่ดาวที่อยู่รอบๆ เล็กเอามากๆ จึงส่องระยับอยู่เพียงดวงเดียวที่องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นมองอยู่น่าจะเป็นดวงนั้นกระมัง?ตอนที่นางจะเก็บสายตาก็กวาดไปเห็นซางจื่อพอดี และเห็นซางจื่อก็กำลังมองท้องฟ้า แต่สายตาของเขาดูสับสน สีหน้าเองก็ตกตะลึงไปฟู่จาวหนิงคิดๆ ถอยหลังสองก้าวไปอยู่ข้างๆ ซางจื่อซางจื่อเก็บสายตากลับ มองไปทางนาง ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ นางก็มาอยู่ข้างๆ"ซางจื่อ เจ้าชอบดาวดวงไหน?"ซา
"แต่ก่อนท่านเคยเห็นเขาระบำมาก่อนไหม?""ไม่มีเคยเลย"ตอนที่พวกเขาหยุดเท้ายืนมอง องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นก็มาถึงข้างกายพวกเขานางเองก็มองการร่ายรำบนแท่นชมดาว สายตาดูเคลิบเคลิ้มหน่อยๆ"ข้าได้ยินว่า แต่ก่อนตงฉิงก็มีระบำทำนายดวงดาวอยู่ประเภทหนึ่ง คิดค้นขึ้นมาโดยตระกูลราชครูตงฉิง นี่เป็นระบำที่ลึกลับมาก จังหวะก้าวเท้าทุกก้าวล้วนพิถีพิถัน นำมาซึ่งพลังแห่งดวงดาว ทำให้ผู้ทำนายดวงดาวมีพลังที่ลึกลับมากขึ้น ผลลัพธ์การทำนายเองก็แม่นยำขึ้น"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นเองก็ลืมสิ่งที่เซียวหลันยวนพูดไว้เมื่อครู่ เรื่องที่ไม่ให้นางเข้ามาใกล้นัก แต่มายืนอยู่ข้างกายพวกเขา พูดเรื่องที่ตนเองรู้มาก่อนหน้านี้ออกมาอย่างอดไม่อยู่"ตระกูลราชครูของตงฉิง?" ฟู่จาวหนิงเหลือบมองนางผาดหนึ่ง"ใช่ นี่เป็นสิ่งที่ข้าได้ยินองค์จักรพรรดิของข้าบอกมา" องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นพอเห็นว่านางยอมพูดกับตนเอง ก็รู้สึกเหมือนได้รับเกียรติจนประหลาดใจขึ้นมา "ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็ได้ยินว่าองค์จักรพรรดิข้าค้นหาตระกูลราชครูตงฉิงอยู่ตลอด ว่ากันว่า ตระกูลราชครูนั้นรู้ความลับมากมายของตงฉิง สามารถช่วยให้อาณาจักรมั่นคงได้ด้วย"เซียวหลันยวนร้องเฮอะขึ้นมาต้