สืออีตอนนี้โกรธมากนี่มันตอนไหนแล้ว? ไป๋หู่ยังคิดจะมมาทะเลาะกับเขาอีกหรือ?"ข้าเองก็เป็นห่วงพระชายานะ!"สืออีตะโกนคำนี้ออกมาอย่างอดไม่อยู่ไป๋หู่นิ่งงันไป คำพูดที่คิดจะเอ่ยต่อมาที่มุมปากก็กลืนกลับลงไปเขาตอนนี้เองก็ทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว สองตาของสืออีกแดงก่ำไปแล้วเรื่องนี้ก็โทษสืออีไม่ได้ เขาเหมือนจะพาลไปหน่อยๆ แล้วสืออีสูดลมหายใจลึก ให้ตนเองใจเย็นลงมา"การเลือกของพระชายา ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะมาตัดสินใจ ต่อให้เจ้าจะเขียนจดหมายถึงคุณชายเสิ่น ก็ไม่มีทางให้คุณชายเสิ่นมารับนางไปได้"พวกเขาก็รู้ว่าฟู่จาวหนิงเป็นคนที่มีความคิดของตนเอง นางมีจุดยืนและความคิดของตนเองอยู่ถ้าไม่สนความคิดนาง แล้วฝืนพานางออกไปมันเป็นไปไม่ได้เลย"ตอนนี้จะทำอย่างไรดี?"ไป๋หู่อันที่จริงก็เข้าใจจุดนี้ดีแต่พวกเขาก็เป็นห่วงนางจริงๆ แล้วยังกังวลว่าถ้านางเป็นเช่นนี้ต่อไปจะเหนื่อยจนป่วยเอา"ข้าจะเกขียนจดหมายถึงท่านอ๋อง จดหมายด่วน"สืออียังรู้สึกว่าตอนนี้ถ้าท่านอ๋องอยู่ที่นี่คงจะดี พวกเขาไม่มีทางเตือนพระชายาได้ บางทีท่านอ๋องอาจจะทำได้?"ใครก็ได้ ใครก็ได้ ใต้เท้าอันบาดเจ็บแล้ว!"เสียงของเสี่ยวเจียงส่งมาจากด้
"ข้าให้คนจัดการโบยผู้ประสบภัยห้าคนที่ลงมือแล้ว ควบคุมสถานการณ์ได้แล้วชั่วคราว" อันเหนียนยิ้มขืนเพียงแต่ตอนนี้คนของพวกเขาก็ไม่พอจริงๆ ถ้ามีคนมาสร้างความวุ่นวายอะไรขึ้นมาอีกกำลังก็คงไม่พอแล้วผู้บริหารท้องถิ่นโหยวช่วงนี้อาการปวดหัวกำเริบขึ้นมาแล้วอันเหนียนรู้สึกว่าหัวของเขาปวดเอามากๆ"ซี๊ด!"มือของผู้ช่วยหมอกดไปยังข้อมือที่บิดของเขา อันเหนียนสูดปาก"ใต้เท้าอัน มือของท่านน่าจะกระดูกหักแล้ว..." ผู้ช่วยเหมอหน้าเปลี่ยนสี ไม่กล้าแตะอีกก่อนหน้านี้เขาคอยตามหมอชรา สิ่งที่เรียนมาคือรักษาพวกโรคหวัดข้อเสื่อมปวดหัวมีไข้อะไรพวกนี้ สำหรับเรื่องกระดูกหักนั้นจัดการไม่เป็นเลยไม่ใช่แค่เขาทำไม่เป็น ผู้ช่วยหมออีกสองคนก็ทำไม่เป็นมีคนหนึ่งเป็นแค่พันแผลด้วยซ้ำแต่ถ้าไม่มีหมอมาพิจารณาก่อน พวกเขาก็ไม่รู้ว่าต้องพันแผลอย่างไร"แล้วก็เท้ายังบวมขึ้นมาอีก นี่ก็..."ไม่รู้ต้องจัดการอย่างไรเหมือนกันอันเหนียนงงงันไปครู่หนึ่ง ใช้แขนอีกข้างกุมหน้าผาก ถอนหายใจเอ่ยขึ้น "หมอของที่นี่ไม่พอจริงๆ""ใต้เท้าอัน ท่านจะกลับเมืองหลวงไหม?" สืออีเห็นสภาพเขาเช่นนี้ก็อดถามขึ้นมาไม่ได้หมออันเป็นข้าราชการพลเรือนคนหนึ
อันเหนียนยิ้มขืน เอาสาเหตุเล่าออกมาอีกรอบหนึ่งทางนั้น ฟู่จาวหนิงเพิ่งจะช่วยชีวิตข้าราชการไข้ขึ้นสูงกลับมา เฉินเซียวก็มาหานาง ให้นางไปฝังเข็มหยุดอาการไอพวกนางเห็นสภาพของข้าราชการคนนั้นแล้วตกใจมาก ตอนนี้จึงรีบให้ฟู่จาวหนิงฝังเข็มก่อนหน้านี้ยังไม่ยอมอยู่เลยฟู่จาวหนิงตอนนี้ก็ไม่อยากคิดเล็กคิดน้อยกับพวกนาง แต่พอเตรียมจะรับปาก ก็ได้ยินเสียงตะโกนของสืออีด้านนอก บอกว่าอันเหนียนบาดเจ็บ ต้องการให้มาจัดการให้"พวกเจ้าได้ยินแล้วนะ ใต้เท้าอันบาดเจ็บแล้ว ข้าต้องไปดูก่อน"ฟู่จาวหนิงพูดพลางแบกกล่องยาหมุนตัวรีบเดินผ่านเฉินเซียงไปเฉินเซียงถลึงตาโต ไม่อยากเชื่อ"หมอเทวดาฟู่หยุดก่อน!"นางยื่นมือมาดึงฟู่จาวหนิงไว้ ไม่ให้นางไป"ปล่อยมือ" ฟู่จาวหนิงหันหน้ากลับมาเหลือบมองนาง น้ำเสียงเองก็เย็นลงมาแล้ว"องค์หญิงใหญ่ของพวกเรารอท่านมานานแล้ว เมื่อครู่คนนั้นใกล้จะตาย พวกเราก็ยังรอ แล้วตอนนี้ล่ะ?""เจ้าไม่ได้ยินเรอะ? ใต้เท้าอันบาดเจ็บแล้ว!""ใต้เท้าอันอะไรข้าไม่รู้จัก แต่ก็แค่บาดเจ็บเท่านั้น ด้านนอกมีคนตั้งมากมายช่วยเขาพันแผลไม่ได้หรือไรกัน? แค่พันแผลแค่นี้ องครักษ์พวกนั้นของท่านก็ทำได้ พ่อของท่าน
มาถึงด้านนอกโรงหมอ ก็มีองครักษ์รีบตรงออกมาต้อนรับ เพราะคนที่มานั้นพลังท่วงท่าน่าตกตะลึง ตอนที่เข้ามาก็ทำให้องครักษ์จวนอ๋องรู้สึกได้ถึงแรงกดดันหลังจากออกมาพอเห็นคนลงจากหลังมาราวกับสายลม องครักษ์ก็ดวงตาเป็นประกาย ลิงโลดกันขึ้นมา"ท่านอ๋อง!"ท่านอ๋องมาหรือ? ท่านอ๋องมาแล้ว!องครักษ์แทบจะคิดว่าตนเองฝันไป"พระชายาอยู่ที่ไหน?" ตอนที่เซียวหลันยวนเข้ามาเจอกับผู้บริหารท้องถิ่นโหยว ไม่คิดจะให้เขาได้คารวะเลย แต่ถามถึงสถานที่ที่ฟู่จาวหนิงอยู่ทันที แล้วพุ่งผ่านไปราวกับสายลม"อยู่ที่ห้องข้างฝั่งตะวันตก..."สเียงขององครักษ์ยังไม่ทันพูดจบ ร่างของเซียวหลันยวนก็หายไปจากตรงหน้าเขาแล้ว"ดีเหลือเกิน ท่านอ๋องมาแล้ว"องครักษ์รีบเข้าไปจูงม้าตอนนี้ ฟู่จาวหนิงที่กำลังฟังคำพูดพวกนั้นของเฉินเซียง นางก็รู้สึกว่ามันเหลวไหลไร้สาระมาก"หุบปาก!"ฟู่จิ้นเชินรีบเดินเข้ามา เมื่อครู่เขาจัดการจัดแจงที่พักให้กับคนป่วยอีกหลายคน ได้ยินคำพูดของเฉินเซียงแล้วก็โมโหจนอยากจะเตะสาวใช้คนนี้ออกไปทันที"จาวหนิง เจ้าไปดูใต้เท้าอันซะ"ฟู่จิ้นเชินโบกมือให้ฟู่จาวหนิงคนที่อยู่นอกเรือนก็ล้วนได้ยินคำพูดเมื่อครู่ของเฉินเซียงห
บนตัวข้าอาจจะมีเชื้อโรคอยู่เซียวหลันยวนพอได้ยินฟู่จาวหนิงพูดประโยคนี้ ก็ไม่รู้เพราะอะไรใจถึงอ่อนยวบลงมาแต่เขาก็รู้สึกอยากจะหัวเราะ"เด็กโง่"เห็นนางแต่งตัวประหลาดแบบนี้ สุดท้ายเขาก็ฟังนาง ไม่ได้ดึงนางเข้ามาก่อนตามที่ใจปรารถนา"เสียงทำไมถึงได้แหบแบบนั้น?" เขาถามขึ้น"ดื่มน้ำน้อยไปหน่อย" ฟู่จาวหนิงตอบกลับอย่างว่าง่าย"หลังจากนี้ก็ดื่มเยอะๆ หน่อย""ได้เลย""อะแฮ่ม" อันเหนียนกระแอมออกมาสองที "ทั้งสองคน พวกเจ้ายืนอยู่ตรงหน้าข้า"ใต้เท้าผู้ตรวจการตัวเบ้อเร่ออย่างเขา มองไม่เห็นหรือไรกัน?คนบาดเจ็บตัวเบ้อเร่ออย่าเขา นี่จงใจมองข้ามกันเรอะ?เซียวหลันยวนจึงก้มหน้าเหลือบมองเขา"ใต้เท้าอันดูซมซานน่าดู ถูกใครเขาอัดมารึ?" เขาถามขึ้นอันเหนียนยิ้มขืน "กระดูกแขนน่าจะหักไปแล้ว ขาเองก็พลิกด้วย บวมอีกต่างหาก แล้วยังถูกกรีดตั้งแผลเบ้อเร่อ มันก็ดูซมซานจริงๆ นั่นล่ะ""โอ้ เมื่อครู่ข้าเห็นพระชายาจะมารักษาเจ้า แต่ใต้เท้าอันดันห้ามไว้?"พอคำนี้ออกมา ใจของคนอื่นๆ ก็พุ่งขึ้นมาถึงคอหอยแล้วใต้เท้าอันเมื่อครู่ยื่นมือไปประคองฟู่จาวหนิง ไม่ให้นางนั่งลงตรวจอาการฉากนี้ ถูกอ๋องเจวี้ยนเห็นเข้าแล้วหรื
เขามองฟู่จาวหนิงเขม็ง ครู่หนึ่ง จึงถอยออกมาสองก้าว"หนิงหนิงจะดูอาการให้ใต้เท้าอันก่อนสินะ?"ฟู่จาวหนิงเห็นแผลของอันเหนียนแล้วบาดเจ็บที่ข้อมือกับขา ไม่ร้ายแรงถึงชีวิต ดังนั้นนางจึงเบาใจขึ้นมา"ข้าขอเข้าไปเปลี่ยนเสื้อกับถุงมือก่อน"นางหมุนตัวเข้าไปในเรือนอีกครั้ง แต่เดินไปไม่กี่ก้าวก็หันกลับมา "ท่านเข้าไปไม่ได้นะ"พอพันกลับ ก็เห็นว่าเซียวหลันยวนกำลังจะเข้ามา สืออีก็เหมือนจะบื้อกันไปหมด ไม่มีใครมาขวางเขาเลย"เข้าไปไม่ได้?"เซียวหลันยวนคิดถึงสถานการณ์ที่พวกเขาเขียนไว้ในจดหมาย จึงยืนนิ่งไป"ข้าไม่เข้าไป"เขายืนอยู่ที่นี่ เฉินเซียงที่อยู่ด้านในก็มองเห็นเขาแล้วฟู่จิ้นเชินเมื่อครู่ใช้น้ำเสียงเด็ดขาดกล่าวโทษนาง นางไม่เคยเห็นชายหนุ่มที่ดุด่าอย่างไม่ไว้หน้าเช่นนี้ พอเงยหน้าขึ้นอย่างเคืองๆ ก็เห็นเข้ากับอ๋องเจวี้ยนที่ยืนอยู่ข้างประตูวงกลม จึงไม่สนใจฟู่จิ้นเชินแล้ว"อ๋องเจวี้ยน!"อ๋องเจวี้ยนมาแล้วหรือ?เฉินเซียงตาเป็นประกาย ในใจก็ลิงโลด วิ่งเข้าไปด้านในทันที"องค์หญิงใหญ่ อ๋องเจวี้ยนมาแล้ว! เขามาที่เมืองเจ้อแล้ว!"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นที่ฟุบไออยู่ข้างเตียงพอได้ยินว่าอ๋องเจวี้ยนมาแล้ว
"ชุดด้านนอกนั่น...ต้องใส่เอาไว้จริงหรือ?"เซียวหลันยวนไม่รู้มันเรียกว่าอะไรแต่ก็ปิดบังร่างนางเอาไว้จนหมดเซียวหลันยวนอันที่จริงก็ไม่ได้เจอนางมาเกือบเดือนแล้ว ฟู่จาวหนิงผอมลงไปแค่ไหน ถึงทำให้น้ำเสียงในจดหมายของสืออีร้อนรนเสียขนาดนั้นเขามองดวงตาฟู่จาวหนิงดวงตาโตขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้านั้นต้องซูบผอมลงไประดับหนึ่งแน่"ในนี้มีแต่คนที่ป่วยโรคระบาด" ฟู่จาวหนิงตอนนี้อันที่จริงก็อยากเข้าไปกอดเขา ก่อนหน้านี้นางรู้สึกมาตอลดว่าตนเองเป็นคนที่แข็งแกร่งเด็ดเดี่ยว ไม่ค่อยมีเวลาที่อ่อนแอมากนัก ต่อให้มีก็ยังรักษาตัวเองได้แต่ตอนนี้นางปรารถนาอ้อมกอดเขามากแต่นางก็ทำไม่ได้แม้จะชะล้างไป เปลี่ยนชุดอะไรก็แล้ว แต่นางก็ยังเข้าใกล้เขาในตอนนี้เซียวหลันยวนยื่นสองมือมาทางนาง"ข้ากอดหน่อย"ถ้ากอดสักหน่อย เขาก็จะรู้ว่านางผอมไปแค่ไหนแล้ว"ไม่ดีหรอก? ตอนนี้บนตัวข้าสกปรกมาก" ในดวงตาฟู่จาวหนิงมีรอยยิ้ม"ข้ามาจากเมืองหลวง ควบม้ามาสามวันยังไม่ได้อาบน้ำเลย สกปรกเหมือนกัน" เซียวหลันยวนตอบพอได้ยินว่าเขาควบม้ามาสามวัน ใจฟู่จาวหนิงก็สั่นวาบ การที่เขามาที่นี่เพื่อนาง ต้องไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อยู่แล้วเพร
ฟู่จาวหนิงเดินมาข้างๆ อันเหนียน อันเหนียนอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ "ไม่อย่างนั้น ให้ลุงฟู่มาดูข้าดีไหม?"เขามองความคิดเล็กคิดน้อยของอ๋องเจวี้ยนไม่ออกเสียที่ไหน?แต่ที่นี่ก็มีแค่ฟู่จาวหนิงคนเดียวที่เป็นหมอจริงๆ"อย่าขยับ"ฟู่จาวหนิงไม่มองเขา แค่จับแขนเขาไว้ บิดกระดูกข้อมือเขาแล้วถามไปด้วย"ไปบิดมาท่าไหน? แค่บอกท่าทางมาหน่อย แล้วก็บอกเรื่องแผลบนขาด้วย"อันเหนียนดูจนใจมาก เขาจึงต้องเล่าออกมารอบหนึ่งเซียวหลันยวนที่อยู่ข้างๆ ก็ได้ยินพอดี"ดังนั้น พวกเขาก็เลยจราจลขึ้นมา" ฟู่จาวหนิงเอ่ยคำนี้ จากนั้นจึงจับมือของอันเหนียน ดันๆ บิดๆ และได้ยิงเสียงดังแกร๊กขึ้นมาอันเหนียนปวดจนแทบจะร้องออกมาแต่พริบตาต่อมา เขากลับรู้สึกว่าความเจ็บปวดก่อนหน้านี้ที่ข้อมือเขาลดลงไปมากแล้วเขาทดลองจะหมุนๆ ดูด้วยสัญชาตญาณ"อย่าขยับ"ฟู่จาวหนิงห้ามทันที "กระดูกของท่านผิดรูปไปหน่อย หลังจากดันเข้าที่แล้วต้องดามไว้ให้นิ่งๆ สักสองสามวัน ตอนนี้ถ้าขยับมั่วซั่วเดี๋ยวจะผิดรูปไปอีก หลังจากนี้ถ้ารักษาไม่ดี ข้อมือของท่านก็จะเจ็บเป็นระยะๆ ขึ้นมา"ถ้าหากหมอทั่วไปจัดการพันให้นิ่งส่งเดช ก็จะรักษาได้ไม่ดีจนเปลี่ยนรูป ภายหลัง
ส่วนฟู่จาวหนิงเองก็มองมาทางเขา เพราะเซียวหลันยวนไม่ได้ยื่นมือมาประคองนางในตอนแรก แต่กลับมองนางอย่างงงงันหน่อยๆฟู่จาวหนิงยังไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไร ใจก็ดำดิ่งหน่อยๆยังดีที่ตอนนางมองไปอีกครั้ง เซียวหลันยวนก็ยื่นมือมาดึงนางลุกขึ้นแล้ว จากนั้นไข่มุกหมึกในมือนางก็ส่งคืนไปยังเจ้าอาราม"คืนให้ท่าน"พริบตาที่เจ้าอารามยื่นมารับ เสียงเปรี๊ยะก็ดังขึ้น ไข่มุกหมึกลูกนั้นแตกละเอียดกะทันหันคนทั้งหมดล้วนตกตะลึง มองไปทางเศษหินที่รวงลงมานั่นพวกเขาล้วนถือไข่มุกหมึกกันมาแล้ว เดิมทีก็ยังดีดีอยู่ ไม่มีรอยร้าวอะไรเลย ยิ่งไปกว่านั้นตัวลูกปัดหยกก็ตันและแข็งแกร่ง หล่นลงพื้นก็ไม่แน่ว่าจะแตกด้วยซ้ำแต่ตอนนี้จู่ๆ มันก็เป็นแบบนี้ไปแล้วเจ้าอารามโค้งตัวลงเก็บชิ้นส่วนหยกขึ้นมา หยิบขึ้นมามองๆ"ไข่มุกหมึกทำนายดารา ข้าเองก็เหลืออยู่แค่เม็ดเดียวด้วย"อยู่กับเขามาหลายสิบปี ใช้มาก็ตั้งหลายครั้ง ตอนนี้จู่ๆ ก็แตกเสียแล้วเซียวหลันยวนยื่นมือตัวเองออกมา "ข้าไม่ได้ออกแรงนะ""แล้วก็ไม่เหมือนบีบจนแตกด้วย"เจ้าอารามพูดพลางมองไปทางฟู่จาวหนิงฟู่จาวหนิงหรุบตาลง เศษหินบนพื้นเหล่านั้น "หรือพวกท่านสงสัยว่าข้าทำ
เจ้าอารามสูดลมหายใจลึก"ผลลัพธ์นี้ไม่ค่อยดีนัก สิ่งที่มันชี้นำไป ทำให้อายวนเดินไปยังทางเลือกที่จะพาสู่ความพินาศ"พอได้ยินคำพูดเขา ฟู่จาวหนิงก็หน้าเปลี่ยนสีแต่นางกลับโมโหขึ้นมา"เฮอะ"ก่อนหน้านี้นางยังรู้สึกว่าจะอย่างไรก็ได้แต่ว่าตัวนางจะเป็นอย่างไร นางก็ยังไม่สนใจได้ เพราะนางไม่ใส่ใจ และไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะส่งผลกระทบกับตัวนางแต่เรื่องดันไปอยู่บนตัวเซียวหลันยวน นางก็ไม่ชอบใจขึ้นมาแล้วยิ่งไปกว่านั้น นางไม่รู้ว่าเซียวหลันยวนจะได้รัรบผลกระทบไหม ตัวนางเป็นคนที่ผ่านการข้ามภพมา แต่เขาไม่ใช่"อายวน" นางยื่นมือไปประคองเซียวหลันยวนเขาจับมือนางลุกขึ้นยืน มองดุนาง ยื่นมือลูบใบหน้านาง สีหน้าดูซับซ้อน"เจ้าลองดู"ฟู่จาวหนิงใจดำดิ่งหน่อยๆเพราะเขารู้สึกแปลกไปอย่างเห็นได้ชัด ปฏิกิริยานี้คือถูกส่งผลกระทบเข้าแล้วเมื่อครู่เขายังบอกนางอยู่เลยว่าถ้าไม่อยากคะเนทำนายก็ไม่ต้องทำ ตอนนี้เขากลับบอกว่าให้ลองดูเสียแล้วจิตใจต่อต้านกับความอยากเอาชนะของฟุ่จาวหนิงถูกกระตุ้นขึ้นมาแล้ว"ได้"นางขานรับ และไม่ลังเลอีก นั่งลงตรงหน้ามิติดาราทั้งสามผืนนั้น"ไข่มุกหมึก"เซียวหลันยวนส่งไข่มุกหมึก
เขาไม่อยากให้นางต้องฝืนตัวทำอะไรเพื่อตัวเขา"ข้ายินยอมทดสอบดู ไม่เป็นไร" ฟู่จาวหนิงบอกเขาเซียวหลันยวนชะงักไป "เช่นนั้นข้าก่อนแล้วกัน เจ้าลองดูผลลัพธ์ของข้าก่อนว่าเป็นอย่างไร แล้วค่อยตัดสินใจ"ตอนนี้เขาเองก็ยอมที่จะคะเนทำนายด้วย เพราะคำพูดประโยคนั้นที่เจ้าอารามพูดเมื่อครู่สามปีก่อนตอนที่เขาจะกลับเมืองหลวง ก็มีการวัดคะเนดาราไว้จริงๆ ทำให้เขารู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าเขาควรจะออกจากยอดเขาโยวชิงเวลานั้น และไปถึงเมืองหลวงในวันนั้นเขาเจอกับจาวหนิงถอนหมั้นกลางถนนในวันนั้น แต่งงานกับนางในวันนั้น ตอนนี้พอมาคิดก็ดูจะเป็นคู่รักวาสนาที่ฟ้าประทานมาจริงๆเพื่อความแม่นยำครั้งนี้ เขาเองก็ไม่กังขากับการวัดคะเนดาราเซียวหลันยวนนั่งขัดสมาธิลงตรงหน้ามิติดาราทั้งสามชิ้น ยื่นมือไปทางเจ้าอาราม "ไข่มุกหมึก""เจ้าจำไว้ด้วยว่าต้องขจัดสิ่งรบกวนออก อย่าต่อต้านการชี้นำ" เจ้าอารามส่งไข่มุกหมึกให้เขา จากนั้นจึงจุดธูปขึ้นเซียวหลันยวนหลับตา สองมือกุมไข่มุกหมึกตอนที่เขาเข้าสู่สภาวะลืมตนอย่างสมบูรณ์ ฟู่จาวหนิงก็แหงนหน้ามองท้องฟ้าด้วยสัญชาตญาณ เหมือนจะพบว่าแสงดาวเต็มท้องฟ้าจะสว่างเจิดจ้ากว่าเดิมเซียวหลันยวน
เจ้าอารามถอนใจอย่างจนใจอีกครั้ง ร้องเรียกพวกเขาไว้"กลับมาก่อน ทำไมพูดไม่ถูกหูหน่อยเดียวก็จะไปแล้วล่ะ? เดี๋ยวนี้อารมณ์ขึ้นง่ายขนาดนี้เชียว? ข้าก็แค่พูดเฉยๆ ไม่ใช่ว่ามองเสี่ยวฟู่แบบนี้เสียหน่อย"ฟู่จาวหนิงเองก็ยืนนิ่ง นางดึงเซียวหลันยวนไว้ตอนนี้นางเองก็น่าจะมองการวัดคะเนดาราของเจ้าอารามเป็นเหมือนเกมลึกลับเกมนึง เมื่อครู่ที่เห็นการเปลี่ยนแปลงขององค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น นางรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากยิ่งไปกว่านั้น ฟู่จาวหนิงรู้สึกว่าเจ้าอารามทำให้นางจับทางไม่ถูกเหมือนกัน คนผู้นี้ต้องมีตัวตนที่ไม่ธรรมดาสำหรับเซียวหลันยวนแน่นอนสำหรับฮูหยินเฉิง เซียวหลันยวนบทจะไม่ยอมรับก็ไม่ยอมรับได้ จะหมดความผูกพันนั่นก็หมดไป แต่สำหรับเจ้าอารามนั้นไม่ได้เด็ดขาดไม่เช่นนั้นคงไม่พานางเดินทางนับพันลี้มายอดเขาโยวชิงแค่เพราะคำๆ เดียวของเจ้าอารามหรอกนางเองก็อยากรู้มาก สาเหตุอะไรที่ต้องให้พวกเขามาทำนายชะตาอะไรนี่ เจ้าอารามคิดจะทำอะไรกันแน่นอกเหนือจากนี้ ตัวนางเองก็ยังอยากรู้ ว่าการที่นางมายังแคว้นเจานี่ เป็นเพราะมีพลังลึกลับอะไรหรือเปล่าถ้าไม่ทำให้ชัดเจน หลังจากนี้นางคงจะตั้งรับไม่ไหวองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นถึ
เขามองไปทางเจ้าอารามอีกครั้ง น้ำเสียงเข้มงวดขึ้นมา"ท่านน้าเฉิงถ้าพูดแบบนี้จริง เช่นนั้นสายตานางก็ตื้นเขินไม่รู้จักกาลเทศะ นางเองก็ไม่เข้าใจจาวหนิง และยิ่งไม่เข้าใจว่าจาวหนิงผ่านอะไรมาบ้าง แล้วมีสิทธิ์อะไรถึงใช้ความคิดของตัวเองมาสรุป ดูท่าหลายปีนี้คงถูกเอาอกเอาใจในเมืองจื่อซวีจนเสียคนแล้วจริงๆ"เดิมทีเขาได้ยินว่าฮูหยินเฉิงตาแดงก่ำลงจากเขาไป ยังเคยคิดว่าว่าเพราะช่วยนี้เย็นชากับนางมากเกินไปหรือเปล่า เอาไว้ตอนที่จะกลับ พอผ่านอุทยานเขาเฉิงอวิ๋น ยังคิดจะเข้าไปบอกลานางเสียหน่อยแต่ตอนนี้เขารู้สึกแล้วจริงๆ ว่าใจคนมันพังไปแล้ว เช่นนั้นก็ยากที่จะได้รับการเคารพจากคนอื่นจริงๆ"ข้าจดจำได้ว่าตอนที่ข้ายังเล็กท่านน้าเฉิงเคยมาดูแลอยู่หลายครั้ง แต่อันที่จริงพวกเราก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น หลังจากข้าโตมา พวกเราก็เจอกันน้อยครั้งมาก เจอกันก็เพียงแค่ทักทาย ข้าเรียกนางว่าท่านน้า ก็เพราะเคยชินมาจากตอนเด็กเท่านั้น"เซียวหลันยวนตอนพูดถึงจุดนี้น้ำเสียงก็เย็นลงมา"ตอนยังเล็กนางดูแลข้ามาหลายครั้ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอาเจ้าอุทยานกำชับไว้ ข้าจึงเคารพนาง แต่นางก็ควรวางตัวให้ถูก ไม่ใช่จะขึ้นมาเป็นผู้อาวุโสของข้าจริ
สายตาที่องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นมองเซียวหลันยวนดูซับซ้อนมาก ดูลังเล กำลังตัดสินใจและดูเจ็บปวดทรมานมากแต่หลังจากนี้นางกลับละทิ้งเรื่องที่จะกลับเมืองหลวงหาคนอื่นหรือกระทั่งเรื่องไปแคว้นหมิ่น แล้วิคดจะอยู่ข้างกายเจ้าอารามแทนหรือ?นี่มัน...ฟู่จาวหนิงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าการเปลี่ยนความคิดกะทันหันของนางมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรตอนนี้นางกลับรู้สึกอยากรู้อยากเห็นต่อวัดคะเนดารานี้เสียแล้ว องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นสัมผัสได้ถึงอะไรกันนะ?"องค์หญิงใหญ่พักอยู่ที่นี่สองสามวันก่อนก็ได้ เอาไว้ค่อยว่ากัน"เจ้าอารามเหลือบมองกระจกทรงมุมที่แสงดับไปแล้วผาดหนึ่ง จากนั้นก็มองใบหน้าองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น แอบถอนหายใจในใจเขาเองก็ทำไม่สำเร็จ บิดชะตาฝูอวิ้นกลับมาไม่ได้ชั่วคราวผิดพลาดตรงไหนกันแน่นะ?เจ้าอารามมองต่อไปทางฟู่จาวหนิง จากการทำนายส่วนตัวของเขา ทำนายไปทำนายมา ต้นกำเนิดตัวแปรทั้งหมดก็คือฟู่จาวหนิงดังนั้น เรื่องที่เกี่ยวกับฟู่จาวหนิง เขาต้องมาขบคิดให้ดีจริงจัง""เจ้าอารามรับข้าไว้เถอะ แม้ข้าจะทำอะไรไม่เป็นเลย แต่ก็ยังเรียนรู้ได้ ข้าเรียนรู้ทำกับข้าว จริงด้วย ข้าเป็นแแม่สื่อได้ด้วยนะ หลังจากนี้ชายเส
บนพื้นมีสามจุดเปล่งแสงขึ้นรางๆ ปรากฏรูปร่างสามแบบคือ แปดเหลี่ยม ทรงกลม ทรงมุมฟู่จาวหนิงเดินเข้าไปสองก้าว จึงพบว่านั่นเป็นกระจกหลากสีเรียบลื่นสามชิ้นสลักฝังอยู่บนพื้น ใต้กระจกน่าจะเป็นหินหยกผิวเรียบ และระหว่างหยกกับกระจกมีของเหลวสีแดงเจือสีเงินไหลเอื่อยๆ อยู่ยิ่งไปกว่านั้น เพียงไม่นาน ด้านบนยังมีแสงระยิบเหมือนดวงดาว ราวกับจำลองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงดาวออกมาเจ้าอารามเดินเข้าไปใกล้ กวักมือให้กับองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น"มานี่"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นก็ค่อนข้างว่าง่าย เดินเข้าไปทันทีเจ้าอารามส่งลูกปัดหยกสีดำเม็ดหนึ่งให้นาง"นั่งขัดสมาธิ กำลูกปัดเม็ดนี้ไว้ สัมผัสดูว่ามันนำเจ้าไปยังมิติดาราไหน แล้วจงชี้ออกมา"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ทำตามที่เขาบอกนั่งลงขัดสมาธิบนพื้น สองมือกุมลูกปัดนั้น ตั้งสมาธิสัมผัสผ่านไปครู่หนึ่ง นางจึงหันหลังอย่างลังเลไปทางทรงมุมนั้น"ทางนี้"ฟู่จาวหนิงยืนมองอยู่ข้างๆจากที่นางเห็น เจ้าอารามเหมือนคนที่กำลังเล่นละครหลอกคนอย่างไรอย่างนั้น เรื่องแบบนี้จะทำนายดวงชะตาออกมาได้อย่างไร?กำลูกปัดลูกหนึ่งไว้ ก็สามารถชักนำให้ตนเองเลือกกระจกหลากสีแผ่นไหนแบ
ดาวสองดวงนั้นประกายจ้ามาก แล้วยังอยู่ใกล้มากด้วย ส่องประกายให้กันและกัน เหมือนขานรับกันและกันไม่รู้เพราะอะไร พอเห็นดาวสองดวงนี้ ฟู่จาวหนิงรู้สึกมีความสุขขึ้นมานางมองไปทางเซียวหลันยวน ถามขึ้นเสียงแผ่วเบา "ท่านเห็นดาวดวงไหนหรือ?"เซียวหลันยวนไม่ตอบ แต่กุมมือนางมัน จับนิ้วนางชี้ออกไป"เอ๋?"ที่เซียวหลันยวนชี้ก็คือดาวสองดวงนั้น!หรือพวกเขาจะมองเห็นแบบเดียวกัน?แน่นอนว่าอาจจะเพราะดาวสองดวงนั้นสว่างไสวมากที่สุด คนอื่นเองก็อาจจะมองเห็นพวกมันด้วยฟู่จาวหนิงคิดเช่นนี้ เลยมองไปทางองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น แต่กลับเห็นนางมองไปทางอื่นนางมองไล่ตามสายตาองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นไป ตรงนั้นมีดาวดวงหนึ่ง สว่างอยู่เหมือนกัน แต่ดาวที่อยู่รอบๆ เล็กเอามากๆ จึงส่องระยับอยู่เพียงดวงเดียวที่องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นมองอยู่น่าจะเป็นดวงนั้นกระมัง?ตอนที่นางจะเก็บสายตาก็กวาดไปเห็นซางจื่อพอดี และเห็นซางจื่อก็กำลังมองท้องฟ้า แต่สายตาของเขาดูสับสน สีหน้าเองก็ตกตะลึงไปฟู่จาวหนิงคิดๆ ถอยหลังสองก้าวไปอยู่ข้างๆ ซางจื่อซางจื่อเก็บสายตากลับ มองไปทางนาง ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ นางก็มาอยู่ข้างๆ"ซางจื่อ เจ้าชอบดาวดวงไหน?"ซา
"แต่ก่อนท่านเคยเห็นเขาระบำมาก่อนไหม?""ไม่มีเคยเลย"ตอนที่พวกเขาหยุดเท้ายืนมอง องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นก็มาถึงข้างกายพวกเขานางเองก็มองการร่ายรำบนแท่นชมดาว สายตาดูเคลิบเคลิ้มหน่อยๆ"ข้าได้ยินว่า แต่ก่อนตงฉิงก็มีระบำทำนายดวงดาวอยู่ประเภทหนึ่ง คิดค้นขึ้นมาโดยตระกูลราชครูตงฉิง นี่เป็นระบำที่ลึกลับมาก จังหวะก้าวเท้าทุกก้าวล้วนพิถีพิถัน นำมาซึ่งพลังแห่งดวงดาว ทำให้ผู้ทำนายดวงดาวมีพลังที่ลึกลับมากขึ้น ผลลัพธ์การทำนายเองก็แม่นยำขึ้น"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นเองก็ลืมสิ่งที่เซียวหลันยวนพูดไว้เมื่อครู่ เรื่องที่ไม่ให้นางเข้ามาใกล้นัก แต่มายืนอยู่ข้างกายพวกเขา พูดเรื่องที่ตนเองรู้มาก่อนหน้านี้ออกมาอย่างอดไม่อยู่"ตระกูลราชครูของตงฉิง?" ฟู่จาวหนิงเหลือบมองนางผาดหนึ่ง"ใช่ นี่เป็นสิ่งที่ข้าได้ยินองค์จักรพรรดิของข้าบอกมา" องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นพอเห็นว่านางยอมพูดกับตนเอง ก็รู้สึกเหมือนได้รับเกียรติจนประหลาดใจขึ้นมา "ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็ได้ยินว่าองค์จักรพรรดิข้าค้นหาตระกูลราชครูตงฉิงอยู่ตลอด ว่ากันว่า ตระกูลราชครูนั้นรู้ความลับมากมายของตงฉิง สามารถช่วยให้อาณาจักรมั่นคงได้ด้วย"เซียวหลันยวนร้องเฮอะขึ้นมาต้