สืออีเองก็ตกตะลึงไปเมื่อครู่ท่านอ๋องยังดูดีดีอยู่เลย ตอนนี้พระชายายังไม่ได้หารือกับเขา ก็ให้ท่านอ๋องแกล้งป่วยเสียแล้ว มันจะหลอกได้หรือ?แต่พอเขามองเข้าไปในห้องขังอีกครั้ง กลับเห็นอ๋องเจวี้ยนนั่งอยู่บนพื้นไปแล้ว หัวพิงกับประตูลูกกรง มือเองก็ห้อยตกลงมา"ท่านอ๋อง!" สืออีร้องเสียงหลงปฏิกิริยานี้ของเขามันของจริงนี่นาผู้คุมพอเห็นอ๋องเจวี้ยนเป็นเช่นนี้ก็ตกใจสะดุ้งโหยงไม่ใช่สิ?เห็นผลเร็วขนาดนี้เชียวหรือ?พวกเขามองไปที่ห้องขังฝังตรงข้ามด้วยสัญชาตญาณ ถอยออกไปหลายก้าวเมื่อครู่ที่พวกเขาเข้ามาช้าหน่อย อันที่ก็เพราะกลัวศพนี่ พวกเขาล้วนรู้ว่าคนผู้นี้เป็นโรคสกปรก ถ้าเผื่อถูกระบาดเข้ามาจะทำอย่างไร?ดังนั้นผู้คุมพวกนั้นจึงผลักกันไปผลักกันมา ต่อมาพอไม่มีทางเลือก ถึงได้มีสองตัวซวยนี้เข้ามาตอนนี้พอเห็นสภาพของอ๋องเจวี้ยน พวกเขาก็อดถอยหนีอย่างหวาดกลัวไม่ได้"อ๋องเจวี้ยนเป็นอะไรไป?""เป็นอะไร? พวกเจ้าก็รู้อยู่แกใจดีไม่ใช่หรือ?" ฟู่จาวหนิงตะคอกใส่เสียงเย็ฯชา "เตาที่ข้าเอามาก่อนหน้านี้ล่ะ? ผ้าม่านล่ะ? หายไปไหนหมดแล้ว! ท่านอ๋องของข้าป่วยมาตั้งยี่สิบปี ร่างกายเดิมทีก็อ่อนแอมาก แล้วยังต้องอยู่ใ
สืออีรีบเข้ามา แบกเซียวหลันยวนขึ้นหลังพอแตกโดนเซียวหลันยวน สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปท่านอ๋องตัวแข็งเหมือนกับน้ำแข็งจริงๆ! เย็นกว่าน้ำแข็งเสียอีก!ถึงแม้เขาคิดว่านี่น่าจะเกี่ยวอะไรกับยาเม็ดนั้นที่พระชายามอบออกไปแน่นๆ แต่ก็ยังรู้สึกน่าตกใจมากอุณหภูมิร่างกายเช่นนี้ ท่านอ๋องจะไม่เป็นไรจริงหรือ?"ไป กลับไปจวนอ๋องเจวี้ยนเดี๋ยวนี้" ฟู่จาวหนิงแบกกล่องยาเดินนำหน้า กุญแจพวกนั้นก็โยนคืนให้ผู้คุมไป "พวกเจ้าถ้ากล้าขวาง ข้าจะแทงเข็มใส่เสีย!"ผู้คุมพวกนั้นตอนนี้ยังยืนกันอยู่ด้านอกคุกเลย ผู้คุมสองคนนี้ยังกล้าเสียที่ไหนพวกเขามองฟู่จาวหนิงพาคนออกไปอย่างทำอะไรไม่ได้แต่ว่า มือที่ห้อยลงมาของอ๋องเจวี้ยนนนั่น หลังมือกลายเป็นสีขาวเขียวไร้สีเลือด เหมือนเย็นจัดจนจะจับน้ำค้างแข็งขึ้นมาเลยทีเดียว ราวกับเป็นมือของคนที่แข็งตาย มีผู้คุมหลายคนที่มองเห็นและเพราะเห็นเข้าพอดี พวกเขาจึงไม่มีใครกล้ามาขวาง อันที่จริงในใจก็ยังสั่นกลัวอยู่ อ๋องเจวี้ยนคงไม่ได้ตายไปจริงๆ หรอกนะ?สืออีพาเซียวหลันยวนแบกขึ้นรถม้า ฟู่จาวหนิงเองก็ตามขึ้น"กลับจวนอ๋อง""ขอรับ"รถม้าแล่นออกไปอย่างรวดเร็ว ล้อรถม้ามีเกล็ดหิมะติดอยู่"
ชินอ๋องเซียวคิดจะเข้าวังรายงานกับองค์จักรพรรดิ หารือถึงขั้นต่อไปกับองค์จักรพรรดิ แต่เขาก็ถูกกันเอาไว้ที่นอกประตูเสียแล้ว"ผู้บัญชาการอวี๋หมายความว่าอย่างไร?"ผู้บัญชาการอวี๋ไม่ได้อยู่ตรงหน้าชินอ๋องเซียว แต่ให้ราชองครักษ์หลายคนมาขวางเซียวเหยียนจิ่งไว้ ส่วนตัวเขาก็อยู่ด้านหลังห่างออกมาหน่อยหลายเดือนนี้ ชินอ๋องเซียวยกระดับฐานะขึ้นมาในใจองค์จักรพรรดิ เข้าวังบ่อยครั้ง องค์จักรพรรดิเองก็ให้อำนาจกับเขาระดับหนึ่ง สามารถเข้าออกวังเพื่อพบพระองค์ได้ตลอดเวลานี่เป็นครั้งแรกที่ถูกกันเอาไว้นอกประตูวังผู้บัญชาการอวี๋คนนี้ก่อนหน้าก็เอาอกเอาใจเขาอยู่ พอเห็นเขาก็รีบเอาอกเอาใจไม่หยุด แต่ตอนนี้กลับยืนห่างหลายก้าวโดยมีราชองครักษ์กั้นกลาง สายตาเองก็ดูห่างเหินขึ้นมาชินอ๋องเซียวใจดำดิ่งลงมา"ชินอ๋องเซียว วันนี้ฝ่าบาทไม่ว่าง ไม่ขอพบท่านแล้ว เชิญท่านกลับไปก่อน" ผู้บัญชาการอวี๋เอ่ยขึ้น"ไร้สาระ ที่ข้ามาเข้าวังก็เพราะเป็นห่วงพระองค์ องค์จักรพรรดิก่อนหน้านี้พูดอยู่แท้ๆ ว่ามีเรื่องอะไรให้เข้าวังมาแจ้งได้เลย นี่เจ้าคิดจะทำอะไร?""นั่นเป็นเรื่องก่อนหน้าของวันนี้นี่? ถึงอย่างไรช่วงนี้องค์จักรพรรดิก็ไม่ว่าง
เขาจนกรอบแล้วจริงๆ ก่อนหน้านี้ไท่ซ่างหวงก็ไม่ได้ทิ้งของไว้ให้เขาเท่าไรนัก! ไท่ซ่างหวงตอนที่สละบัลลังก์ให้เขาก็บอกกับเขาว่าเราจนมาก ไม่ใช่แค่ในคลังหลวงที่ว่างเปล่า กระทั่งคลังส่วนตัวก็มีของอยู่ไม่กี่ชิ้นไท่ซ่างหวงยังพูดอย่างน่าฟังไว้ว่า เหลือบังลังก์จักรพรรดิที่น่าสมเพชนี่ไว้ให้เขา ต้องขอโทษเขาด้วย แต่ก็ยังหวังว่าเขาจะสามารถเป็นองค์จักรพรรดิที่ดีได้ ใช้ความพยายามอย่างมากทำให้ประชาชนมีคืนวันที่ดี แล้วทำให้คลังหลวงอุดมสมบูรณ์ขึ้นมาถุดเขาไม่เชื่อหรอกว่าสมบัติไท่ซ่างหวงจะใช้ออกไปจนหมดในภัยพิบัติครั้งใหญ่ก่อนหน้านั้นจะต้องเอาไปให้เซียวหลันยวนแน่ๆทำเอาเขาตอนนี้แค่จะให้รางวัลกับพระชายาที่รักก็ยังไม่มีของดีดีที่จะหยิบออกมาของที่เซียวหลันยวนไปนำมาเมื่อปีที่แล้ว มันคืออะไรกันแน่นะ? ไท่ซ่างหวงทิ้งสิ่งยืนยันเอาไว้ให้เขาสามชิ้น แล้วให้เขาไปได้อะไรมากัน?องค์จักรพรรดิอยากหาโอกาสส่งคนเข้าไปค้นในจวนอ๋องเจวี้ยนมากแต่นี่ก็นานมากแล้ว เขาก็ยังหาโอกาสที่ดีข้ออ้างที่ดีไม่ได้เลยตอนนี้เซียวหลันยวนน่าจะติดโรคนั้นแล้ว เขายิ่งไปจวนอ๋องเจวี้ยนไม่ได้อีกองค์จักรพรรดิเรียกองครักษ์ลับ สีหน้าเคร่งขร
คนไม่น้อยที่เห็นใจอ๋องเจวี้ยนเพราะอ๋องเจวี้ยนร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เกิด ตอนเด็กก็ยังถูกวางยาพิษอีก หลายปีมานี้ต้องไปอยู่ที่ยอดเขาโยวชิง ใช้ชีวิตที่ห่างจากอำนาจและความสูงส่งต่อมายังข่าวลือเรื่องที่หน้าตาของเขายับเยินไปแล้วอีกถึงอย่างไร คนทั้งเมืองหลวงก็รู้กันเกือบหมด ว่าอ๋องเจวี้ยนถ้าไม่เจอกับเรื่องเหล่านั้น อ๋องเจวี้ยนในตอนนี้จะต้องเป็นท่านอ๋องที่หล่อเหลาที่สุดในใต้หล้าไปแล้วพอเขาปรากฏตัวคงได้สะเทือนไปทั้งบางแน่นอน ยังไม่รุ้ว่ามีแม่นางตั้งเท่าไรที่อยากแต่งงานกับเขา เขาไม่รู้เลยว่าตนเองหล่อแล้วและโดดเด่นเพียงไรแต่ตอนนี้แค่เอ่ยชื่อเขาก็รู้สึกใจไม่สงบขึ้นมาเสียแล้ว"ไท่ซ่างหวงของพวกเจ้าไม่ใช่ว่าโปรดปรานเขามากหรือ?"จวนตระกูลอัน องค์หญิงหนานฉือกำลังแทะเมล็ดบัวพลางคุยกับพี่น้องอันเหนียนอันชิง อันที่จริงวันนี้พวกนางก็ได้ข่าวนั้นแล้วเช่นกันองค์หญิงหนานฉือส่งคนไปหาข่าวที่จวนอ๋องเจวี้ยนเป็นลำดับแรก แต่ก็ไม่ได้อะไรกลับมา จวนอ๋องเจวี้ยนปิดประตูไม่รับแขกใครไปก็ไม่ยอมเปิดประตูจวนอ๋องให้หลังจากกลับมาองค์หญิงหนานฉือจึงดึงอันเหนียนที่เพิ่งเลิกประชุมเช้า กับอันชิงที่กังวลใจมากมานั่งคุยก
นางเองก็เป็นคนที่ดีงาม เรื่องเช่นนั้น สถานที่แบบนั้น ความสกปรกและโรคภัยแบบนั้น นางจะไปเคยรู้จักได้อย่างไรกัน?ดังนั้นถึงแม้เขาจะเชื่อมั่นในวิชาแพทย์ของฟู่จาวหนิงมาก แต่ครั้งนี้กลับกังวลเอามากๆ"วิชาแพทย์ของพระชายาอ๋องเจวี้ยนยอดเยี่ยมกว่าหมอหลวงทั้งหมดอีกไม่ใช่หรือ? พวกเจ้ามากังวลแบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์นี่ จะว่าไป ตอนนี้เจ้าไม่ใช่ว่าต้องไม่ถูกกับอ๋องเจวี้ยนอยู่หรือ? เขาเป็นคนจับเจ้ามาอยู่กับองค์หญิงอย่างข้านี่นา! เจ้าไม่ควรจะโกรธเขาหรือไรกัน?องค์หญิงหนานฉือร้องเชอะ"ข้าไม่ได้โกรธเสียหน่อย""เอาล่ะ ไม่ต้องมาเสแสร้งกับข้า เจ้าโกรธแล้วข้าจะทำอะไรเจ้าได้"พวกเขาแต่งงานกับแบบงงๆ ถูกจัดการเรื่องใหญ่ทั้งชีวิตให้ ด้วยความถือตัวหยิ่งยโสของอันเหนียน จะไม่โกรธได้อย่างไรกัน?หลายวันนี้นางเองก็เข้าใจเขาขึ้นมาบ้างแล้ว ชายคนนี้ถือตัวเอามากๆ หยิ่งด้วยยังไม่รู้ว่าในใจเขาใฝ่ฝันถึงหญิงงามแบบไหนที่จะมาคอยปรนนิบัติ แต่ดันถูกเจ้าหญิงหยิ่งๆ อย่างนางมาแย่งตำแหน่งภรรยาไป เขาจะรู้สึกอย่างไรกัน?หลายวันนี้ยังเสแสร้งนิ่งอยู่นั่นล่ะ"ไม่ได้โกรธ" อันเหนียนพูดซ้ำมาอีกคำอันชิงมองพี่ชาย แล้วก็มองพี่สะใภ้ นา
ตอนนี้เลยเวลาอาหารเย็นไปแล้วเขาลืมตาขึ้น ไม่รีบขยับตัว แต่ยังนอนอยู่ตรงนั้น คิดถึงเรื่องก่อนที่เขาจะสลบไปพอคิดขึ้นมาได้ก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกคิดไม่ถึงว่ายาของจาวหนิงตอนนี้จะร้ายกาจขนาดนี้ เขาตอนนั้นรีบยาของนางไป พอได้ยินนางบอกก็กลืนลงไปอย่างไม่ลังเล แต่คิดไม่ถึงว่ายานั่นประสิทธิภาพจะน่ากลัวขนาดนี้เขาเพิ่งกลืนลงไป ก็ล้มพับไปทันที สติสัมปชัญญะหายไปจนเกลี้ยงเรื่องต่อมาแน่นอนว่าเขาไม่รู้เพิ่งจะตื่นเอาตอนนี้แต่ว่าพอลืมตาขึ้นเขาก็รู้ ว่านี่คือบนเตียงของตนเองจากความเข้าใจต่อตัวฟู่จาวหนิงของเขา คิดว่าพอเขาสลบไป นางก็คงจะเอาเขาออกมาจากในคุกเลยแต่ตอนนั้นเป็นช่วงเช้า ตอนนี้ค่ำแล้ว เขาไม่รู้ว่าวันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้างเขาเลิกผ้าห่มลุกขึ้นนั่ง "หนิงหนิง?"พอลุกขึ้น เขาก็รู้สึกว่าร่างกายของตนเองเย็นเฉียบ พอยกมือมองหลังมือตนเอง ก็ไม่มีสีเลือดอยู่เลย ขาวซีดมาก ราวกับตอนที่เขาป่วยเมื่อก่อนหน้านี้ถ้าไม่ใช่ตอนนี้เขารู้สึกว่าร่างกายไม่มีปัญหาอะไร เขายังสงสัยเลยว่าตนเองย้อนกลับไปที่สภาพร่างกายเมื่อสองปีก่อนที่ยังไม่ได้แก้พิษนั่นหรือเปล่าในห้องไม่มีใครเซียวหลันยวนลงจากเตี
"พระชายากินข้าวเย็นแล้วหรือยัง" เซียวหลันยวนถามอีกครั้งเขาหิวจะแย่อยู่แล้ว ไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน นอนหลับมาตลอด ตอนนี้พอลุกขึ้นมาจึงหิวเป็นพิเศษ แต่ว่าเขาก็อยากกิจด้วยกันกับฟู่จาวหนิงถ้าตอนนี้เขากินข้าวคนเดียว เขาคงจะอาหารไม่ย่อยแน่กินไม่ลงด้วยโดยเฉพาะตอนที่รู้ว่าฟู่จาวหนิงน่าจะยังโกรธเขาอยู่"พระชายากินแล้ว" เฝิ่นซิงรีบเสริมมาคำหนึ่ง "แต่อาหารกลางวันกับอาหารเย็นกินน้อยมาก พระชายาบอกว่านางไม่อยากอาหาร"เซียวหลันยวนฟังถึงจุดนี้ ทั้งรู้สึกปวดใจขึ้นมา และทั้งรู้สึกดีใจหน่อยๆ จาวหนิงน่าจะเหมือนกับเขา ตอนนี้ถ้าไม่ได้กินข้าวด้วยกันจะรู้สึกไม่อยากอาหารหรือเปล่านะ?"ไปเตรียมอาหารเย็นมา ข้ากับพระชายาจะกินด้วยกัน""เจ้าค่ะ"หงจั๋วกับเฝิ่นซิงรีบออกไปเตรียมตัวในห้องหนังสือ ฟู่จาวหนิงได้ยินเสียงของเซียวหลันยวนนานแล้ว แต่ว่านางกำลังฝึกอักษร เลยไม่สนใจยานั่นนางเพิ่งใช้เป็นครั้งแรก อัตราส่วนยังจัดได้ไม่ดี จึงทำให้เขาสลบมาถึงป่านนี้เดิมทีนางคิดว่าหลังจากช่วงบ่ายก็น่าจะตื่นขึ้นมาแล้ว แต่ว่าประสิทธิภาพของยาก็อธิบายได้ว่าหลายวันนี้สภาพร่างกายของเซียวหลันยวนลดต่ำมากจริงๆ ภูมิคุ้มกันจึงลด
ส่วนฟู่จาวหนิงเองก็มองมาทางเขา เพราะเซียวหลันยวนไม่ได้ยื่นมือมาประคองนางในตอนแรก แต่กลับมองนางอย่างงงงันหน่อยๆฟู่จาวหนิงยังไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไร ใจก็ดำดิ่งหน่อยๆยังดีที่ตอนนางมองไปอีกครั้ง เซียวหลันยวนก็ยื่นมือมาดึงนางลุกขึ้นแล้ว จากนั้นไข่มุกหมึกในมือนางก็ส่งคืนไปยังเจ้าอาราม"คืนให้ท่าน"พริบตาที่เจ้าอารามยื่นมารับ เสียงเปรี๊ยะก็ดังขึ้น ไข่มุกหมึกลูกนั้นแตกละเอียดกะทันหันคนทั้งหมดล้วนตกตะลึง มองไปทางเศษหินที่รวงลงมานั่นพวกเขาล้วนถือไข่มุกหมึกกันมาแล้ว เดิมทีก็ยังดีดีอยู่ ไม่มีรอยร้าวอะไรเลย ยิ่งไปกว่านั้นตัวลูกปัดหยกก็ตันและแข็งแกร่ง หล่นลงพื้นก็ไม่แน่ว่าจะแตกด้วยซ้ำแต่ตอนนี้จู่ๆ มันก็เป็นแบบนี้ไปแล้วเจ้าอารามโค้งตัวลงเก็บชิ้นส่วนหยกขึ้นมา หยิบขึ้นมามองๆ"ไข่มุกหมึกทำนายดารา ข้าเองก็เหลืออยู่แค่เม็ดเดียวด้วย"อยู่กับเขามาหลายสิบปี ใช้มาก็ตั้งหลายครั้ง ตอนนี้จู่ๆ ก็แตกเสียแล้วเซียวหลันยวนยื่นมือตัวเองออกมา "ข้าไม่ได้ออกแรงนะ""แล้วก็ไม่เหมือนบีบจนแตกด้วย"เจ้าอารามพูดพลางมองไปทางฟู่จาวหนิงฟู่จาวหนิงหรุบตาลง เศษหินบนพื้นเหล่านั้น "หรือพวกท่านสงสัยว่าข้าทำ
เจ้าอารามสูดลมหายใจลึก"ผลลัพธ์นี้ไม่ค่อยดีนัก สิ่งที่มันชี้นำไป ทำให้อายวนเดินไปยังทางเลือกที่จะพาสู่ความพินาศ"พอได้ยินคำพูดเขา ฟู่จาวหนิงก็หน้าเปลี่ยนสีแต่นางกลับโมโหขึ้นมา"เฮอะ"ก่อนหน้านี้นางยังรู้สึกว่าจะอย่างไรก็ได้แต่ว่าตัวนางจะเป็นอย่างไร นางก็ยังไม่สนใจได้ เพราะนางไม่ใส่ใจ และไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะส่งผลกระทบกับตัวนางแต่เรื่องดันไปอยู่บนตัวเซียวหลันยวน นางก็ไม่ชอบใจขึ้นมาแล้วยิ่งไปกว่านั้น นางไม่รู้ว่าเซียวหลันยวนจะได้รัรบผลกระทบไหม ตัวนางเป็นคนที่ผ่านการข้ามภพมา แต่เขาไม่ใช่"อายวน" นางยื่นมือไปประคองเซียวหลันยวนเขาจับมือนางลุกขึ้นยืน มองดุนาง ยื่นมือลูบใบหน้านาง สีหน้าดูซับซ้อน"เจ้าลองดู"ฟู่จาวหนิงใจดำดิ่งหน่อยๆเพราะเขารู้สึกแปลกไปอย่างเห็นได้ชัด ปฏิกิริยานี้คือถูกส่งผลกระทบเข้าแล้วเมื่อครู่เขายังบอกนางอยู่เลยว่าถ้าไม่อยากคะเนทำนายก็ไม่ต้องทำ ตอนนี้เขากลับบอกว่าให้ลองดูเสียแล้วจิตใจต่อต้านกับความอยากเอาชนะของฟุ่จาวหนิงถูกกระตุ้นขึ้นมาแล้ว"ได้"นางขานรับ และไม่ลังเลอีก นั่งลงตรงหน้ามิติดาราทั้งสามผืนนั้น"ไข่มุกหมึก"เซียวหลันยวนส่งไข่มุกหมึก
เขาไม่อยากให้นางต้องฝืนตัวทำอะไรเพื่อตัวเขา"ข้ายินยอมทดสอบดู ไม่เป็นไร" ฟู่จาวหนิงบอกเขาเซียวหลันยวนชะงักไป "เช่นนั้นข้าก่อนแล้วกัน เจ้าลองดูผลลัพธ์ของข้าก่อนว่าเป็นอย่างไร แล้วค่อยตัดสินใจ"ตอนนี้เขาเองก็ยอมที่จะคะเนทำนายด้วย เพราะคำพูดประโยคนั้นที่เจ้าอารามพูดเมื่อครู่สามปีก่อนตอนที่เขาจะกลับเมืองหลวง ก็มีการวัดคะเนดาราไว้จริงๆ ทำให้เขารู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าเขาควรจะออกจากยอดเขาโยวชิงเวลานั้น และไปถึงเมืองหลวงในวันนั้นเขาเจอกับจาวหนิงถอนหมั้นกลางถนนในวันนั้น แต่งงานกับนางในวันนั้น ตอนนี้พอมาคิดก็ดูจะเป็นคู่รักวาสนาที่ฟ้าประทานมาจริงๆเพื่อความแม่นยำครั้งนี้ เขาเองก็ไม่กังขากับการวัดคะเนดาราเซียวหลันยวนนั่งขัดสมาธิลงตรงหน้ามิติดาราทั้งสามชิ้น ยื่นมือไปทางเจ้าอาราม "ไข่มุกหมึก""เจ้าจำไว้ด้วยว่าต้องขจัดสิ่งรบกวนออก อย่าต่อต้านการชี้นำ" เจ้าอารามส่งไข่มุกหมึกให้เขา จากนั้นจึงจุดธูปขึ้นเซียวหลันยวนหลับตา สองมือกุมไข่มุกหมึกตอนที่เขาเข้าสู่สภาวะลืมตนอย่างสมบูรณ์ ฟู่จาวหนิงก็แหงนหน้ามองท้องฟ้าด้วยสัญชาตญาณ เหมือนจะพบว่าแสงดาวเต็มท้องฟ้าจะสว่างเจิดจ้ากว่าเดิมเซียวหลันยวน
เจ้าอารามถอนใจอย่างจนใจอีกครั้ง ร้องเรียกพวกเขาไว้"กลับมาก่อน ทำไมพูดไม่ถูกหูหน่อยเดียวก็จะไปแล้วล่ะ? เดี๋ยวนี้อารมณ์ขึ้นง่ายขนาดนี้เชียว? ข้าก็แค่พูดเฉยๆ ไม่ใช่ว่ามองเสี่ยวฟู่แบบนี้เสียหน่อย"ฟู่จาวหนิงเองก็ยืนนิ่ง นางดึงเซียวหลันยวนไว้ตอนนี้นางเองก็น่าจะมองการวัดคะเนดาราของเจ้าอารามเป็นเหมือนเกมลึกลับเกมนึง เมื่อครู่ที่เห็นการเปลี่ยนแปลงขององค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น นางรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากยิ่งไปกว่านั้น ฟู่จาวหนิงรู้สึกว่าเจ้าอารามทำให้นางจับทางไม่ถูกเหมือนกัน คนผู้นี้ต้องมีตัวตนที่ไม่ธรรมดาสำหรับเซียวหลันยวนแน่นอนสำหรับฮูหยินเฉิง เซียวหลันยวนบทจะไม่ยอมรับก็ไม่ยอมรับได้ จะหมดความผูกพันนั่นก็หมดไป แต่สำหรับเจ้าอารามนั้นไม่ได้เด็ดขาดไม่เช่นนั้นคงไม่พานางเดินทางนับพันลี้มายอดเขาโยวชิงแค่เพราะคำๆ เดียวของเจ้าอารามหรอกนางเองก็อยากรู้มาก สาเหตุอะไรที่ต้องให้พวกเขามาทำนายชะตาอะไรนี่ เจ้าอารามคิดจะทำอะไรกันแน่นอกเหนือจากนี้ ตัวนางเองก็ยังอยากรู้ ว่าการที่นางมายังแคว้นเจานี่ เป็นเพราะมีพลังลึกลับอะไรหรือเปล่าถ้าไม่ทำให้ชัดเจน หลังจากนี้นางคงจะตั้งรับไม่ไหวองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นถึ
เขามองไปทางเจ้าอารามอีกครั้ง น้ำเสียงเข้มงวดขึ้นมา"ท่านน้าเฉิงถ้าพูดแบบนี้จริง เช่นนั้นสายตานางก็ตื้นเขินไม่รู้จักกาลเทศะ นางเองก็ไม่เข้าใจจาวหนิง และยิ่งไม่เข้าใจว่าจาวหนิงผ่านอะไรมาบ้าง แล้วมีสิทธิ์อะไรถึงใช้ความคิดของตัวเองมาสรุป ดูท่าหลายปีนี้คงถูกเอาอกเอาใจในเมืองจื่อซวีจนเสียคนแล้วจริงๆ"เดิมทีเขาได้ยินว่าฮูหยินเฉิงตาแดงก่ำลงจากเขาไป ยังเคยคิดว่าว่าเพราะช่วยนี้เย็นชากับนางมากเกินไปหรือเปล่า เอาไว้ตอนที่จะกลับ พอผ่านอุทยานเขาเฉิงอวิ๋น ยังคิดจะเข้าไปบอกลานางเสียหน่อยแต่ตอนนี้เขารู้สึกแล้วจริงๆ ว่าใจคนมันพังไปแล้ว เช่นนั้นก็ยากที่จะได้รับการเคารพจากคนอื่นจริงๆ"ข้าจดจำได้ว่าตอนที่ข้ายังเล็กท่านน้าเฉิงเคยมาดูแลอยู่หลายครั้ง แต่อันที่จริงพวกเราก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น หลังจากข้าโตมา พวกเราก็เจอกันน้อยครั้งมาก เจอกันก็เพียงแค่ทักทาย ข้าเรียกนางว่าท่านน้า ก็เพราะเคยชินมาจากตอนเด็กเท่านั้น"เซียวหลันยวนตอนพูดถึงจุดนี้น้ำเสียงก็เย็นลงมา"ตอนยังเล็กนางดูแลข้ามาหลายครั้ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอาเจ้าอุทยานกำชับไว้ ข้าจึงเคารพนาง แต่นางก็ควรวางตัวให้ถูก ไม่ใช่จะขึ้นมาเป็นผู้อาวุโสของข้าจริ
สายตาที่องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นมองเซียวหลันยวนดูซับซ้อนมาก ดูลังเล กำลังตัดสินใจและดูเจ็บปวดทรมานมากแต่หลังจากนี้นางกลับละทิ้งเรื่องที่จะกลับเมืองหลวงหาคนอื่นหรือกระทั่งเรื่องไปแคว้นหมิ่น แล้วิคดจะอยู่ข้างกายเจ้าอารามแทนหรือ?นี่มัน...ฟู่จาวหนิงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าการเปลี่ยนความคิดกะทันหันของนางมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรตอนนี้นางกลับรู้สึกอยากรู้อยากเห็นต่อวัดคะเนดารานี้เสียแล้ว องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นสัมผัสได้ถึงอะไรกันนะ?"องค์หญิงใหญ่พักอยู่ที่นี่สองสามวันก่อนก็ได้ เอาไว้ค่อยว่ากัน"เจ้าอารามเหลือบมองกระจกทรงมุมที่แสงดับไปแล้วผาดหนึ่ง จากนั้นก็มองใบหน้าองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น แอบถอนหายใจในใจเขาเองก็ทำไม่สำเร็จ บิดชะตาฝูอวิ้นกลับมาไม่ได้ชั่วคราวผิดพลาดตรงไหนกันแน่นะ?เจ้าอารามมองต่อไปทางฟู่จาวหนิง จากการทำนายส่วนตัวของเขา ทำนายไปทำนายมา ต้นกำเนิดตัวแปรทั้งหมดก็คือฟู่จาวหนิงดังนั้น เรื่องที่เกี่ยวกับฟู่จาวหนิง เขาต้องมาขบคิดให้ดีจริงจัง""เจ้าอารามรับข้าไว้เถอะ แม้ข้าจะทำอะไรไม่เป็นเลย แต่ก็ยังเรียนรู้ได้ ข้าเรียนรู้ทำกับข้าว จริงด้วย ข้าเป็นแแม่สื่อได้ด้วยนะ หลังจากนี้ชายเส
บนพื้นมีสามจุดเปล่งแสงขึ้นรางๆ ปรากฏรูปร่างสามแบบคือ แปดเหลี่ยม ทรงกลม ทรงมุมฟู่จาวหนิงเดินเข้าไปสองก้าว จึงพบว่านั่นเป็นกระจกหลากสีเรียบลื่นสามชิ้นสลักฝังอยู่บนพื้น ใต้กระจกน่าจะเป็นหินหยกผิวเรียบ และระหว่างหยกกับกระจกมีของเหลวสีแดงเจือสีเงินไหลเอื่อยๆ อยู่ยิ่งไปกว่านั้น เพียงไม่นาน ด้านบนยังมีแสงระยิบเหมือนดวงดาว ราวกับจำลองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงดาวออกมาเจ้าอารามเดินเข้าไปใกล้ กวักมือให้กับองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น"มานี่"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นก็ค่อนข้างว่าง่าย เดินเข้าไปทันทีเจ้าอารามส่งลูกปัดหยกสีดำเม็ดหนึ่งให้นาง"นั่งขัดสมาธิ กำลูกปัดเม็ดนี้ไว้ สัมผัสดูว่ามันนำเจ้าไปยังมิติดาราไหน แล้วจงชี้ออกมา"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ทำตามที่เขาบอกนั่งลงขัดสมาธิบนพื้น สองมือกุมลูกปัดนั้น ตั้งสมาธิสัมผัสผ่านไปครู่หนึ่ง นางจึงหันหลังอย่างลังเลไปทางทรงมุมนั้น"ทางนี้"ฟู่จาวหนิงยืนมองอยู่ข้างๆจากที่นางเห็น เจ้าอารามเหมือนคนที่กำลังเล่นละครหลอกคนอย่างไรอย่างนั้น เรื่องแบบนี้จะทำนายดวงชะตาออกมาได้อย่างไร?กำลูกปัดลูกหนึ่งไว้ ก็สามารถชักนำให้ตนเองเลือกกระจกหลากสีแผ่นไหนแบ
ดาวสองดวงนั้นประกายจ้ามาก แล้วยังอยู่ใกล้มากด้วย ส่องประกายให้กันและกัน เหมือนขานรับกันและกันไม่รู้เพราะอะไร พอเห็นดาวสองดวงนี้ ฟู่จาวหนิงรู้สึกมีความสุขขึ้นมานางมองไปทางเซียวหลันยวน ถามขึ้นเสียงแผ่วเบา "ท่านเห็นดาวดวงไหนหรือ?"เซียวหลันยวนไม่ตอบ แต่กุมมือนางมัน จับนิ้วนางชี้ออกไป"เอ๋?"ที่เซียวหลันยวนชี้ก็คือดาวสองดวงนั้น!หรือพวกเขาจะมองเห็นแบบเดียวกัน?แน่นอนว่าอาจจะเพราะดาวสองดวงนั้นสว่างไสวมากที่สุด คนอื่นเองก็อาจจะมองเห็นพวกมันด้วยฟู่จาวหนิงคิดเช่นนี้ เลยมองไปทางองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น แต่กลับเห็นนางมองไปทางอื่นนางมองไล่ตามสายตาองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นไป ตรงนั้นมีดาวดวงหนึ่ง สว่างอยู่เหมือนกัน แต่ดาวที่อยู่รอบๆ เล็กเอามากๆ จึงส่องระยับอยู่เพียงดวงเดียวที่องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นมองอยู่น่าจะเป็นดวงนั้นกระมัง?ตอนที่นางจะเก็บสายตาก็กวาดไปเห็นซางจื่อพอดี และเห็นซางจื่อก็กำลังมองท้องฟ้า แต่สายตาของเขาดูสับสน สีหน้าเองก็ตกตะลึงไปฟู่จาวหนิงคิดๆ ถอยหลังสองก้าวไปอยู่ข้างๆ ซางจื่อซางจื่อเก็บสายตากลับ มองไปทางนาง ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ นางก็มาอยู่ข้างๆ"ซางจื่อ เจ้าชอบดาวดวงไหน?"ซา
"แต่ก่อนท่านเคยเห็นเขาระบำมาก่อนไหม?""ไม่มีเคยเลย"ตอนที่พวกเขาหยุดเท้ายืนมอง องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นก็มาถึงข้างกายพวกเขานางเองก็มองการร่ายรำบนแท่นชมดาว สายตาดูเคลิบเคลิ้มหน่อยๆ"ข้าได้ยินว่า แต่ก่อนตงฉิงก็มีระบำทำนายดวงดาวอยู่ประเภทหนึ่ง คิดค้นขึ้นมาโดยตระกูลราชครูตงฉิง นี่เป็นระบำที่ลึกลับมาก จังหวะก้าวเท้าทุกก้าวล้วนพิถีพิถัน นำมาซึ่งพลังแห่งดวงดาว ทำให้ผู้ทำนายดวงดาวมีพลังที่ลึกลับมากขึ้น ผลลัพธ์การทำนายเองก็แม่นยำขึ้น"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นเองก็ลืมสิ่งที่เซียวหลันยวนพูดไว้เมื่อครู่ เรื่องที่ไม่ให้นางเข้ามาใกล้นัก แต่มายืนอยู่ข้างกายพวกเขา พูดเรื่องที่ตนเองรู้มาก่อนหน้านี้ออกมาอย่างอดไม่อยู่"ตระกูลราชครูของตงฉิง?" ฟู่จาวหนิงเหลือบมองนางผาดหนึ่ง"ใช่ นี่เป็นสิ่งที่ข้าได้ยินองค์จักรพรรดิของข้าบอกมา" องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นพอเห็นว่านางยอมพูดกับตนเอง ก็รู้สึกเหมือนได้รับเกียรติจนประหลาดใจขึ้นมา "ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็ได้ยินว่าองค์จักรพรรดิข้าค้นหาตระกูลราชครูตงฉิงอยู่ตลอด ว่ากันว่า ตระกูลราชครูนั้นรู้ความลับมากมายของตงฉิง สามารถช่วยให้อาณาจักรมั่นคงได้ด้วย"เซียวหลันยวนร้องเฮอะขึ้นมาต้