ผ่านไปครบหนึ่งสัปดาห์แล้ว เหตุการณ์เป็นจริงตามที่หวังซานเยว่ องค์ชายสามผู้นี้บอก หวังซีเอ่อจากองครัชทายาทเลื่อนขั้นขึ้นสู่บัลลังก์มังกร เป็นฮ่องเต้แคว้นเหยาองค์ที่สิบ หวังหลินอิ่นสละราชบัลลังก์เพราะต้องพักรักษาตัว พระพลานามัยไม่แข็งแรงแล้วเป็นโรคชราไปตามกาลเวลา และจางฮองเฮาเองก็ดำรงค์ตำแหน่งใหม่ เป็น ฮองไทเฮา ฮองเฮาคนต่อไปที่หวังซีเอ่อมีใจให้ทั้งดวงคือเฟิ่งอี๋อู๋เสี่ยวหวา
“อู๋เฟิ่งอี๋โปรดรับราชโองการจากฮ่องเต้ อู๋เฟิ่งอี๋คุณธรรมดีมีเมตตาจิต โอบอ้อมอารี ช่วยเหลือราชวงศ์ ดูแลงานราชการได้ดีไม่บกพร่อง จึงได้เลื่อนขั้นรับตำแหน่งฮองเฮาพระมารดาของแผ่นดินองค์ต่อไป มอบของกำนัลฉลองตำแหน่ง กำไลทองคำ ปิ่นปักผมหงส์ทอง หยกแก้วเหมันต์ โปรดน้อมรับราชโองการ”
หัวหน้าขันทีโจวจือหยวนกงกงประกาศเป็นทางการ และยินดีกับอู๋เสี่ยวหวาด้วยที่ได้เลื่อนขั้นจากนายสนมขั้นห้า ชั้นเอก ขึ้นเป็นฮองเฮา อู๋เสี่ยวหวาไม่คาดคิด อ้ำอึ้งทำตัวไม่ถูก
เหล่าพระสนมในอดีตองค์รัชทายาทต่างก็ได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งใหม่เช่นเดียวกัน เฉิงลี่เฉี่ยว จาก เหลียงตี้ ได้เป็นกุ้ยเฟย เหลียนเสี่ยนหรู จากตำแหน่ง เ
อีกทั้งไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำกับผู้ชายมีอะไรเสียหาย นางชื่นชอบในการค้าขายเรือนร่างแลกกับเงินทอง รวมทั้งความรู้สึกที่ถูกผู้อื่นแสวงหา เชิดชูนางเหนือผู้อื่น ประคองไว้ในฝ่ามือ กระทั่งพูดบ่อย ๆ ว่าขนาดพ่อแม่ของตัวเองยังไม่ดีต่อกันขนาดนี้ แม้ ‘ดี’ เหล่านั้นล้วนมีเป้าหมายก็ตามที“หากเจ้าอยากไปจากที่นี่ ข้าไถ่ตัวเจ้าได้นะ”หวังเผยจูเคยพูดเอาไว้ แต่ฟางเย่เซียนไม่ยินยอม ทั้งยังพูดว่า “ข้าชอบทุกสิ่งของที่นี่ การใช้ร่างกายแลกเปลี่ยนทรัพย์สมบัติเงินทองก็มิได้เลวร้ายอะไร นอกเสียจากว่าท่านอยากได้ข้า ข้าจึงจะไปกับท่าน หากท่านจะไถ่ตัวข้า แล้วให้ข้าออกไปอยู่ลำพังภายนอกนั่น ข้าไม่ไปหรอกนะนายท่าน” ที่แห่งนี้นางชินชาและรู้สึกปลอดภัยมากแล้ว หวังเผยจูจึงไม่รบเร้านางอีกความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองไม่เหมือนแขกกับนางคณิกา คล้ายพี่ชายคนโตกับน้องสาวมากกว่า เพียงแต่ในใจน้องสาวผู้นี้มีความรู้สึกเคารพรักมาก มักคิดหาวิธีที่จะได้อยู่กับพี่ชายนาน ๆ เสมอ“ท่านอยู่ต่ออีกสักครู่เถิด ข้าสัญญาว่าจะไม่พูดเรื่องของนายท่านกับขุนนางเหล่านั้นอีก” ฟางเย
“ค่ำคืนเดียวดาย ราตรีมืดมิด หิ่งห้อยน้อยโบยบิน ความคำนึงหามากล้น ดั่งแสงเทียนส่องสว่างเพียงลำพัง เผาไหม้ตนเองจนสิ้น...”เขาท่องบทกวีที่เกี่ยวข้องกับ ‘ความงามแห่งสารทฤดู’ ไม่ออก แต่ชั่วขณะที่เกิดอารมณ์อ้างว้างซึมเศร้า กลับมีกวีโบราณจำนวนไม่น้อยที่ยกขึ้นมาเอ่ยได้ อู๋เสี่ยวหวาไม่ปฏิเสธ เป็นเพราะเขาคิดถึงหวังซีเอ่อ ตนเองจึงนอนไม่หลับ ที่สำคัญ ยิ่งนอนไม่หลับก็ยิ่งคิดถึงเขา“ซีเอ่อ...ตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหนนะ..”ยืนที่หน้าต่างนานพอควรจึงรู้สึกถึงไอเย็น อู๋เสี่ยวหวาลูบจมูก เป็นอย่างที่คิด เขาไม่ควรเลียนแบบคนสมัยก่อน ท่องกวีแต่งกลอนหน้าดอกไม้ใต้จันทราอะไรนั่น มันไม่สามารถกลบความกลัดกลุ้มในใจได้เลย กลับเย็นจนเกินทนเสียด้วยซ้ำ อู๋เสี่ยวหวาตกลงใจละทิ้งความคิดที่จะทำตามคำแนะนำของฮองไทเฮาจางหรงผิงรูปลักษณ์สวยหรูไม่เหมาะกับเขาจริง ๆ พรุ่งนี้ถ้าฮองไทเฮาทดสอบอีก ก็แกล้งทำเป็นคิดไม่ออกแล้วกัน ใบไม้ร่วงอะไรนั่นให้มันปลิวไปตามลม ตอนนี้เขามีเรื่องอื่นที่ปวดหัวมากกว่าอู๋เสี่ยวหวาหมุนตัวก็เห็นอันเต๋อจื่อยืนหดคอกอดผ้าคลุมหนังจิ้งจ
ภายในห้องบนชั้นสามของเรือสำราญอิงซื่อ ฟางเย่เซียนล้มลงเข่าขวากระแทกโดนมุมโต๊ะหินหยกปูดเป็นก้อนทันที เจ็บจนลุกไม่ขึ้น นั่งอยู่กับพื้น มือข้างหนึ่งจับหัวเข่า ครั้นหันหน้าจะเรียกเหล่าอิงซื่อ หรงเค่อซิวก็ผลักนางล้มไปกับพื้นก่อนจะกระโจนเข้าใส่ ดุจพยัคฆ์หิวโหย อีกทั้งกุมปากของนางไว้ด้วย“อย่าได้คิดเรียกผู้ใดมา ไม่มีทาง!”สองขาคร่อมเหนือเอวบางของฟางเย่เซียนอย่างหยาบคาย เปลี่ยนท่าทีต่ำต้อยคุกเข่าวิงวอนเมื่อครู่ไปแบบพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ กล่าวยกตนข่มท่านด้วยหน้าตาหยามเหยียด“นังโสเภณี! แกไม่อยากได้เงินงั้นเรอะ ทำตัวสูงส่งนัก กล้าวางท่าต่อหน้าข้าผู้นี้!”ก่อนหน้านี้ฟางเย่เซียนไม่รับ ‘การขอโทษ’ ของเขา ทั้งยังไม่ให้มาที่นี่และไม่รับเป็นแขกด้วย เหตุนี้เองที่ยั่วโทสะเขาจนเกินทน“อึก! ปล่อยข้านะ!”เมื่อหรงเค่อซิวเริ่มลงมือลงไม้ ฟางเย่เซียนซึ่งรูปร่างบอบบาง ไม่รู้ทักษะการต่อสู้ ไม่ว่าจะขัดขืนอย่างไร โดยพื้นฐานก็ไม่ใช่คู่มือของผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่อยู่แล้ว“นางสารเลวเอ๊ย! ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ฆ่าเจ้าหรอกหนาเซียนเอ๋อร์”หลังจากสะบัดมือตบหน้าไปหลายฉาด หรงเค่อซิวเอามือหนึ่งกุมปากกับจมูกของฟางเย่เซียนไว้ อี
“คือ...เฮ้อ!” เฉิงกุ้ยเฟยวางท่าแบบไม่ได้รับความเป็นธรรมมาก เดินมานั่งลงด้านข้าง กอดอกกล่าวแบบไม่พอใจ“เมื่อไหร่ท่านจะจัดการฮ่องเต้กับฮองเฮาเสีย โดยเฉพาะอู๋เสี่ยวหวาชาวซีเป๋ยนั่น ให้มันเป็นแพะรับบาปเสียที ข้าชักจะอดใจรอแผนการของท่านกับใต้เท้าจงไม่ได้แล้วนะ! จะให้ข้าอดทนรอไปถึงไหน!”ใต้เท้าเฉิงทำเสียงเยาะในลำคอหนึ่งคํา แล้วผ่อนลมหายใจ ทัดผมให้นาง “เอาน่าลี่เฉี่ยว เจ้าอดใจรออีกนิด อีกไม่นาน แผนของเราใกล้สำเร็จแล้ว"“จริงหรือไม่”เฉิงกุ้ยเฟยถามย้ำ ใต้เท้าเฉิงพยักหน้าส่งยิ้มให้ นางก็พลันหน้าแดงก่ำไปทั้งหน้าเผยยิ้มแห้ง ข่าวสารทางทหารรัฐเหยาชุนแต่ละอย่างล้วนส่งต่อผ่านมือเฉิงกุ้ยเฟย ดังนั้นจึงไม่อาจใช้ไม้แข็งกำราบรวบรัดนางได้โดยตรง“ข้ากล่าวจริงแล้ว ตำแหน่งที่เจ้าหวังนั้นจะเป็นจริงลี่เฉี่ยว” ใต้เท้าเฉิงกล่าวจบก็มองสำรวจเฉิงกุ้ยเฟยที่ยังคงงามสะพรั่งไม่มีเปลี่ยน เขายกมือขึ้นถอดเสื้อผ้าของตนเอง เฉิงลี่เฉี่ยวเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย เหตุใดใต้เท้าเฉิงจึงถอดเสื้อ นางหันไปมองหรงเค่อซิวที่นอนเปลือยกายอยู่ก็ไม่ได้มีสีหน้าตกใจ เหมือนนางนั้นคุ้นชินเสียจะมากกว่า“งั้นคืนนี้ข้าขอตัวก่อน” เฉิงกุ้ยเฟยพูดแบบรู
เรื่องเมื่อคืนชินอ๋องจูยืนยันได้แล้วว่าผู้คิดทรยศมีใครบ้าง แต่เขาจะใส่ร้ายคนแบบไม่มีหลักฐานไม่ได้ หากกล่าวหาเลื่อนลอยฮ่องเต้ต้องไม่ทรงเชื่อเป็นแน่ วันนี้เขาจะหวนกลับไปหาแม่นางฟางเย่เซียนอีก แต่พอนึกถึงเรื่องเมื่อคืนที่เขาหลั่งในตัวนาง ก็หน้าแดงขึ้น มองเงาตนเองที่สะท้อนในอ่างล้างหน้าก็รีบวิดน้ำทิ้ง“นี่เจ้าเป็นอะไรไปเผยจู ตกหลุมรักนางคณิกาผู้นั้นงั้นรึ? เหลวไหลสิ้นดี!”“นางมิได้มีเกียรติมากพอจะเป็นชายาเอกได้ คงเป็นได้เพียงอนุเท่านั้น”หวังเผยจูพึมพำกับตนเอง พลางสลัดไล่ความคิดฟุ้งซ่านแล้วรีบจัดการกิจวัตรประจำวัน เขาต้องรีบไปรายงานนี้ให้ไท่ซ่างหวง(อดีตฮ่องเต้ที่ยังมีชีวิต)พระบิดาและฮ่องเต้หวังซีเอ่อได้รับรู้ไว้คร่าว ๆ แต่เรื่องของกุ้ยเฟยนั้นจะต้องรอหาหลักฐานให้แน่ใจเสียก่อนตัดมาที่ฟางเย่เซียน จดหมายฉบับนี้ดูมีความสำคัญมาก เพราะเมื่อคืนนางก็ได้ยินตามที่หวังเผยจูแอบฟังทุกถ้อยคำ นางค่อย ๆ ย่องมายังหน้าโต๊ะหนังสือ คลี่กระดาษเซวียนจื่อแผ่นหนึ่งออก คัดลอกจดหมายลับฉบับนี้ลงมาทั้งหมด จากนั้นก็ม้วนกระดาษเซวียนจื่อใส่เข้าไปในกระบอกม้วนภาพแล้วปิดปลายกระบอกทั้งสองด้านอย่างดี ท้ายสุดจึงเอาจดหมายฉบับ
ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคนทรยศขายชาติสมคบกับศัตรูทั้งสิ้น และคนเหล่านี้เป็นเป้าหมายที่หวังซีเอ่อและหวังเผยจูกําลังตรวจสอบอยู่ เขากุมหลักฐานการกระทำความผิดที่คนพวกนั้นรับสินบน คบค้าส่วนตัวเป็นการลับ ๆ กับทูตพิเศษเฉิงเสี่ยอี้ไว้ได้เรียบร้อยแล้ว แต่ในรายชื่อนั้นที่หวังซีเอ่อไม่อยากจะเชื่อในการอ่านและวิเคราะห์คือ ‘ฮ่องเต้อู๋ซั่วกู๋’ ผู้ที่สวามิภักดิ์กลับคิดทรยศ ส่งสายลับพิเศษเข้าร่วมด้วยนั่นคือ ‘อู๋เสี่ยวหวา’ ฮองเฮาแคว้นเหยาชุน หวังซีเอ่อหน้ามืดแทบจะเป็นลม สับสนขุ่นมัวข้องใจจนหายใจไม่ออก ยิ่งคำพูดของเฉิงกุ้ยเฟยก่อนหน้านี้หลายวันก็ย้ำชัด ตอนขอเข้าพบเขาเป็นการส่วนตัวว่ามีหนอนบ่อนไส้ในแคว้นเหยาชุน หวังยึดครองอำนาจและบ่อนทำลาย นางบอกว่าเป็นคนใกล้ตัวที่ฮ่องเต้คงคาดไม่ถึง“เสด็จพี่ทรงอย่าไว้ใจฮองเฮามาก แล้วท่านจะเสียใจภายหลังได้นะเพคะ”นั่นคือคำพูดที่เฉิงลี่เฉี่ยวทิ้งไว้ให้ก่อนจากลา ทำให้เขาจิตใจว้าวุ่นไม่สงบ ไปพบหน้าอู๋เสี่ยวหวาที่สดใส กลับเป็นเขาที่มืดหม่นจนเสียบรรยากาศ“เสี่ยวหวา เป็นเจ้าที่คิดแทงข้างหลังข้าหรือ ทำไมกัน...”และที่อึ้งไปกว่านั้นคือ คนที่เสด็จพ่อเขาทรงโปรดปรานไว้วางใจ กลายเป็นเล
“หวังซีเอ่อมันติดกับแล้ว หน้าโง่ชะมัด ฮ่า ๆ”“ดี แผนการสารลับปลอมที่ข้าปลอมแปลงบิดเบือนขึ้นมาทำให้พวกมันแตกคอกันเอง ไม่ต้องเปลืองแรงข้า ถึงแม้จะเปลืองตัวข้าไปหน่อยที่เล่าเรื่องตนเองเข้าไปด้วย เอ้าดื่ม ทุกท่านดื่มให้กับความสำเร็จของเราที่ใกล้จะมาถึงนี้!”เขาผู้นี้ยกจอกสุราขึ้นสูง ให้เกียรติร่วมดื่มกับเหล่าผู้สมคบคิดที่นี่อย่างลับ ๆ มีเพียงแค่แสงเทียนที่จุดสว่างไสวอยู่ภายในเรือสำราญอิงซื่อชั้นสามห้องพิเศษ คนสมคบคิดกบฏมาอยู่รวมกันหมด ในที่นี้จะมีแต่สตรีนางหนึ่งที่สีหน้าไม่มีความสุขมีแต่อมทุกข์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ‘สนมเสียนเฟยหลิ่งเจียวหวง’ นางมีหน้าที่จับตาเฝ้าดูอู๋เสี่ยวหวาทุกย่างก้าวและคอยรายงานในกลุ่ม“ข้าขอตัวออกไปสูดอากาศหน่อยนะเจ้าคะ” หลิ่งเจียวหวงเดินออกมา วางมือบนราวกราบเรือถอนหายใจ ทัศนียภาพค่ำคืนนี้งดงามเกินบรรยาย แต่จิตใจนางนั้นไม่ได้งดงามตามเลย“นี่ข้ากำลังทำอันใดอยู่กันนะ ข้าทำถูกแล้วงั้นหรือที่ทำเช่นนี้...”นางพึมพำเสียงอ่อนดวงตาท้อเศร้าชัดเจน จงถานไถหมิงที่เห็นนางแปลกไปจากคนอื่นจึงคอยท่าให้นางออกไปก่อน จึงขอลาไปสุขาทำธุระส่วนตัว แต่นั่นคือข้ออ้าง ความจริงคือเขาย่องเบาตามสน
“ท่านแม่ทัพใหญ่จง ร้อนกําลังดีขอรับ” กงกงนายหนึ่งยกถ้วยยาต้มอุ่น ๆ เดินเข้ามา“เอาวางไว้ก่อนเถอะ” จงถานไถหมิงพูดตามองทางนอกหน้าต่างที่หิมะกําลังละลาย เสียงน้ำหยดจากใต้ชายคาฟังดูคล้ายกับฝนตก การประลองยุทธ์ปีนั้นถ้าหวังซีเอ่ออยู่ด้วย อาจไม่จําเป็นต้องมีเขาในตอนนี้ก็ได้ จงถานไถหมิงคิดในใจ นี่ก็ผ่านไปแล้วสองปี ที่ผ่านมาไท่ซ่างหวงสอนเคล็ดกระบี่ให้หวังซีเอ่อกับเขามาตลอด พยายามแทบตาย สุดท้ายเขาก็ไม่เคยจะสมหวังหรือชนะหวังซีเอ่อได้ แม้กระทั่งคนในดวงใจที่แท้จริงของหวังซีเอ่อที่ปกปิดเขามาตลอดนั้นน่าทึ่งมาก ลึกจนเกินคาดเดา ดังนั้นเมื่อหวังซีเอ่อปฏิเสธที่จะเลือกเขาเป็นผู้บัญชาการสูงสุดในศึกครั้งนี้ จึงไม่รู้สึกเหนือความคาดหมายนัก ไม่แน่ว่าหวังซีเอ่ออาจกำลังสืบความจริงของแผนการณ์นี้หรือเปล่าเลยไม่ไว้วางใจ จงถานไถหมิงวิเคราะห์ครู่หนึ่งก็กระจ่างแจ้งแก่ใจเป้าหมายของเขาจะไม่เปลี่ยนแปลงหรือไขว้เขว นี่ก็เพื่ออนาคตของอู๋เสี่ยวหวา เขาต้องการอำนาจขึ้นยึดครองราชย์บัลลังก์ มีบิดาจวิ้นอ๋องเฒ่าช่วย ไม่สนว่าจะเกิดอันใดขึ้น เตรียมใจรับผลชะตากรรมมันไว้ทั้งหมดอยู่แล้วดุจขุนเขา แม้นเผชิญหน้ากับคําวิพากษ์วิจารณ์จ
พิธีสถาปนาราชวงศ์ใหม่ถูกจัดเตรียมอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา เหล่าขุนนางทุกฝ่ายแต่งกายจัดเต็มพิธีการ ประชาราษฎร์ทุกคนต่างมายืนล้อมนอกวังหลวงเพื่อชมการแต่งตั้งฮ่องเต้และฮองเฮาองค์ใหม่ โดยมีจวิ้นอ๋องเฒ่าไห่หมิงหรา และ พระชายาไป๋ฟานเหนียนเป็นผู้ใหญ่นำพิธีการเวลาฤกษ์มงคลถูกจัดขึ้นในเวลาเที่ยงวัน พระอาทิตย์เลยดูจะร้อนแรงเป็นพิเศษ พิธีดูเหมือนจะไปได้ดี แต่หารู้ไม่ว่ากำลังจะเกิดการปฏิวัติขึ้น หวังซีเอ่อและอู๋เสี่ยวหวานั้นมาถึงแคว้นเหยาชุนแล้ว โดยมีชินอ๋องจูไปรับที่ท่าเรือเมืองควานเหลียง และได้รับกองกำลังสนับสนุนจากใต้เท้าเฉินมาช่วยเสริมทัพพร้อมกับทหารแคว้นซีเป่ยจำนวนหนึ่ง เพื่อหวนคืนสู่บัลลังก์อันชอบธรรมเมื่อกำลังจะถึงเวลาที่จงถานไถหมิงและเจียวหวงกำลังจะก้าวขึ้นสู่บัลลังก์มังกรในฐานะฮ่องเต้และฮองเฮาก็ต้องหยุดชะงัก เป็นเสียงของขันทีผู้หนึ่ง เป็นเสี่ยวสี่จื่อที่หายตัวไปตั้งแต่เช้ามืดและจงถานไถหมิงตามหาไม่พบ บัดนี้ได้เห็นเขาล้มลุกคลุกคลานกลิ้งมาหลุน ๆ จนหยุดตรงหน้าราชพิธี“เป็นบ่าวทำไม่ถูก! บ่าวสมควรตาย!” เสี่ยวสี่จื่อคุกเข่ากับพื้น เป็นแส้หนังที่หวดขึ้นเหนือหัวของอู๋เสี่ยวหวาที่กระทำอุกอาจลงแส้เฆี
โคมไฟสว่างไสวแขวนห้อยสูง แสงเทียนเหลืองแกมส้มให้แสงสว่างครอบคลุมลานสวนของตำหนักสนมเสียนเฟยประหนึ่งม่านโปร่งสีเหลืองคฤหาสน์แห่งนี้ห่างจากวังหลวงจะว่าใกล้ก็ไม่ใกล้ จะว่าไกลก็ไม่ไกล สวนและสิ่งก่อสร้างลอกเลียนรูปแบบซูรวมมียี่สิบห้องพัก หลังคาเชิงชายกิเลนทองสัมฤทธิ์กระดกเชิดสูงเป็นสัญลักษณ์แทนความรุ่งโรจน์รุ่งเรือง เมื่อสายลมยามค่ำโชยแผ่วยังสามารถได้ยินเสียงกระดิ่งลมด้านล่างชายคาดังเสนาะเพราะพริ้งชวนให้สดชื่นรื่นใจจะมีต้นไม้เยอะมากกว่าตำหนักอื่นเป็นพิเศษโดยเฉพาะต้นกุ้ยเหม่ยขวับ!เสียงคมกระบี่แหวกลมเด็ดขาดว่องไว เกิดประกายแสงทองจุดเล็กพร่างตาประหนึ่งดาราทองจํานวนนับไม่ถ้วนกะพริบวิบวับกลางท้องนภายามราตรี พร้อมกันนั้นร่างผู้ถือกระบี่เหินแฉลบวนเวียนในสวนเบาดุจนกนางแอ่น“เจียวหวง เจ้าอยู่นี่เอง”เสียงเรียกอันคุ้นเคยจู่ ๆ ก็ดังขึ้นมา ทําให้การร่ายกระบี่สะดุดหยุดชั่วขณะ เจียวหวงพลิกตัวลงจากบนหลังคามาอยู่ข้างหน้าคนผู้นั้นอย่างแผ่วเบา“ฝ่าบาท?! ทรงมาได้อย่างไรเพคะ” นี่เป็นครั้งที่สองอีกฝ่ายมาเยือนตำหนักเหม่ยกุ้ยของนาง เจียวหวงแปลกใจพอสมควรคุกเข่าลงเสียงดังตุบ“สนมเสียนเฟยน้อมรับเสด็จ ขอทรงพระเจร
ตลอดจนถึงนาทีนี้จงจวิ้นอ๋องเฒ่ายังคิดว่าทำแบบนี้จะบีบบังคับให้หวังเผยจูสิโรราบแก่เขาได้ จะต้องคุกเข่าวิงวอนขอให้อภัย อย่างไรเสียชินอ๋องหวังเผยจูก็ไม่กล้าเหยียบออกจากจวนอ๋องสักก้าวแน่ หากไร้ที่พึ่งพิงอย่างเสด็จพี่ใหญ่ของเขา ผ่านมาหกเดือนแล้วที่ฟางเย่เซียนเข้ามาสวมบทบาทเป็นพระชายาเอกปรนนิบัติดูแลชินอ๋องจูเป็นอย่างดี จนเกิดความรักใคร่กันขึ้นมาจริง ๆ แต่ยังไม่สุกงอมดี หวังเผยจูยังไม่เคยร่วมเตียงเคียงหมอนกับนาง นับแต่พลาดพลั้งครั้งแรกไปเขาก็ไม่แตะต้องตัวนางอีก ให้เกียรติฟางเย่เซียนเป็นอย่างมาก เรียกนางว่าพระชายาหาใช้คำพูดว่านังโสเภณีหรือนางคณิกาหอนางโลมอีกเลยเมื่อตอนยังไม่เกิดเรื่อง ฟางเย่เซียนก็ใช้ชีวิตอยู่ในจวนอ๋องนี้สุขสบาย แต่นางไม่ใช่คนอยู่นิ่งเฉย ก็คอยหาอะไรทำตามที่พ่อบ้านเหอชิงอบรมสั่งสอนเพิ่มเติม ทุกคนในตำหนักก็ต่างพากันชื่นชอบพระชายาฟางเย่เซียน แล้วพอหลังจากที่ฮ่องเต้หวังซีเอ่อถูกถอดถอนจากราชบัลลังก์ ฝ่ายพระชายาไป๋ฟานเหนียนก็ควบคุมภรรยาหวังชินอ๋องจูอย่างเข้มงวดในฐานะอาสะใภ้ พระชายาฟางเย่เซียนตะลึงงันจากนางขับร้องที่เพียงเหลือบตาคลี่ยิ้มก็บังเกิดเสน่ห์ล้นเหลือคนหนึ่ง กลายเป็นนางอ
อีกสองวันจะถึงพิธีสถาปนาฮ่องเต้และฮองเฮาองค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ แสงอาทิตย์ระอุอบอ้าวทำคนแทบจะละลายได้ แต่ในจวนหวังชินอ๋องจู มีทหารยืนกันชนิดเต็มทางเดิน แน่นขนัดไปถึงสวนดอกไม้รอบตำหนัก ระยะสองก้าวต่อหนึ่งคน พวกเขากําลังเฝ้าจวนหวังชินอ๋องจูไว้ตามคำสั่งจวิ้นอ๋องเฒ่าจงไห่หมิงหรา บนใบหน้าทหารทุกนายต่างมีเหงื่อกาฬผุดพราย มือทั้งคู่เหยียดยื่นส่งต่อของมีค่า สิ่งเหล่านี้เป็นของที่นําออกมาจากคลังสมบัติของตำหนักชินอ๋องจู มีเครื่องเคลือบงานฝีมือชั้นยอด ดาบล้ำค่าประดับมุกตะวันออก กระทั่งไม้แกะสลักหรือหินประหลาดขนาดเกินฝ่ามือล้วนไม่ปล่อยผ่านของเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นลาภผลซึ่งตำหนักชินอ๋องจูรับจากภายนอกโดยใช้ประโยชน์จากชื่อเสียงของหวังซีเอ่อ นับแต่ก่อนเขาจะมาเป็นชินอ๋อง เป็นเพียงแค่องค์ชายรอง ถึงแม้พระประสงค์องค์ฮ่องเต้องค์ใหม่คือให้ชินอ๋องจูส่งมอบทรัพย์สินเอง แต่หลังสิ้นอำนาจราชวงศ์หวัง ใต้เท้าที่ไม่ชอบหน้าชินอ๋องได้ทีจึงแสร้งตรวจสอบเปิดโปงโกงกินรับสินบนก็อยู่ในความรับผิดชอบของตนด้วย ทว่ามิได้ล่วงรู้ก็ละเลยหน้าที่เสียแล้ว กระนั้นวัวหายล้อมคอกก็ยังดี ด้วยเหตุนี้จึงนําทหารชั้นดีจํานวนหนึ่งมาอย่าง
“ไม่เป็นไร ข้าไม่กินก็ได้...” จงถานไถหมิงพูดอุบอิบเสียงเบาวางตะเกียบลง“ฝ่าบาท เสวยเพคะ” เฉิงกุ้ยเฟยปล่อยชิ้นนั้น หันไปเลือกชิ้นอื่น ขยับมือคีบส่งถึงปากของฮ่องเต้อย่างว่องไว“ฝ่าบาท เสวยของหม่อมฉันเถิดเพคะ” เจียวหวงไม่ยอมตกอยู่ข้างหลัง ขยับตะเกียบคีบข้าวแปดสมบัติชิ้นนั้นส่งไปจ่อตรงหน้าจงถานไถหมิงอย่างเร็ว จงถานไถหมิงมองซ้ายมองขวายิ้มบางรับมาทั้งหมด หัวหน้าราชองครักษ์เองก็ยื่นตะเกียบออกไปคีบข้าวแปดสมบัติชิ้นเล็กวางใส่ในจานของตัวเองอย่างเงียบ ๆ“เอาเถอะอย่ามัวแต่ดูแลเรา พวกเจ้าก็กินด้วยสิ”จงถานไถหมิงเอ่ย จากนั้นก็พยายามจัดการของที่อยู่ในจานตัวเอง พอเจียวหวงคีบขนมชิ้นหนึ่งให้จงถานไถหมิง ลี่เฉี่ยวก็เช่นกัน ท้ายสุดเจียวหวงยื่นตะเกียบไปทางลี่เฉี่ยวที่กําลังเอาโต้วเหลียงเกาชิ้นเล็กวางลงในจานของจงถานไถหมิง แล้วหนีบหยุดตะเกียบลี่เฉี่ยวไว้เสียงดังเพียะเข้าหูอย่างต่อเนื่อง ตะเกียบทองแกะสลักลายเมฆาสองคู่ตะลุมบอนกันเร็วเสียจนตามองแทบไม่ทัน จงถานไถหมิงเองก็ตะลึงมองกับการกระทำของสตรี“คีบให้ฝ่าบาทมากขนาดนั้น เสด็จพี่หญิงไม่กลัวฝ่าบาททรงเสาะท้องเช่นนั้นหรือ” เจียวหวงพูดแล้วเลือกเอาเฉพาะขนมที่ลี่เฉี่
ใกล้ถึงวันราชาภิเษกฮ่องเต้องค์ใหม่แคว้นเหยาชุนรุ่นที่สิบเอ็ด สองวันหลังการจากไปของฮ่องเต้หวังซีเอ่อที่ละเลยทิ้งหน้าที่บริหารบ้านเมือง จิตใจอกตัญญูสั่งขังไท่ซ่างหวงและฮองไทเฮา หายสาบสูญไปสามเดือนแล้ว จึงมีประกาศจากอัครเสนาบดีทั้งสองฝ่ายให้ถอดถอนฮ่องเต้หวังซีเอ่อออกแล้วผลักดัน ‘ท่านแม่ทัพใหญ่ จงถานไถหมิง ขึ้นครองราชย์ เป็น ฮ่องเต้ราชวงศ์จงรุ่นที่หนึ่ง’ดังนั้นหวังซีเอ่อและอู๋เสี่ยวหวาจึงเร่งเดินทางกลับไปยังแคว้นเหยาชุนให้เร็วที่สุด และหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายลอบสังหารในเมืองอันเว่ยที่อยู่ติดชายแดนใกล้แคว้นหลิ่ง มีแม่น้ำขวางต้องเดินเรือสำเภาข้ามไปยังแคว้นเหยาชุน มาพร้อมรับเด็กทารกที่มารดาเสียชีวิตกลับมาเลี้ยงดู โดยให้อันเต๋อจื่อดูแลไว้ก่อนในแคว้นซีเป่ยแสงตะวันแผดจ้าสาดส่องลอดช่องว่างของแมกไม้ซึ่งส่งเสียงเสียดสีกันไม่หยุดหย่อนตรงลงมายังพื้นดินผืนใหญ่ ผู้ที่นั่งอยู่ในศาลาอู๋เหม่ยของอุทยานตะวันตกทอดตามองด้านนอกดอกไม้ใบหญ้าเฉกเช่นกับผืนทุ่งนากสิกรรม เห็นเพียงสีเขียวเข้มขจี ท้องฟ้าวันนี้สว่างสดใสมาก หลังจากม่านไผ่รอบศาลาถูกปล่อยลงโดยนางกํานัลภายใต้การสั่งการจากหัวหน้าขันที ภายในศาลาโบราณก็พลั
“หลีกไป! อันเต่อจื่อ เจ้า..เจ้านี่! หาญกล้าขวางเราเรอะ!” เสียงโหวกเหวกโกรธเกรี้ยวดังขึ้นตรงประตูตำหนัก องค์ชายหกอู๋ซั่วสีเห็นว่าหวังซีเอ่อเอาอกเอาใจน้องสิบเขาเหลือเกินจนน่าหมั่นไส้“อ้า ใช่ ๆ ยังมีคนนี้อีกคนที่โอ๋องค์ชายสิบมากพ่ะย่ะค่ะ” หลิวเฉิงเอินเคยได้ยินประวัติองค์ชายหกมาก่อน“เจ้าเอะอะมากไปแล้วหรือเปล่า คิดรบกวนเสี่ยวหวาพักผ่อนรึ?” หวังซีเอ่อสาวเท้าก้าวใหญ่เข้าไปตําหนิองค์ชายหกอู๋ซั่วสีแบบไม่เกรงใจ“เหอะ! น้องสิบพักผ่อนแล้วจริงนะ” อู๋ซั่วสีเห็นหวังซีเอ่อออกมา เพลิงโกรธดูเหมือนจะใหญ่ขึ้น นัยน์ตาหงส์ถลึงวาวโรจน์“ทำไมกัน น้องสิบของข้าต้องโชคร้ายมาแต่งเป็นฮองเฮาของเจ้านะซีเอ่อจอมทรราชย์!”“หา..!! ข้าจะโกหกเจ้าทําไม เสี่ยวหวาบรรทมแล้วจริง และเรื่องที่ว่าข้าเป็นทรราชย์ ทรงตรัสใหม่ด้วย เหลวไหลสิ้นดี!” หวังซีเอ่อเดือดกลับ จ้องอู๋ซั่วสีอย่างเย็นชา ถึงแม้เขาจะเป็นพี่หกคนสนิทของอู๋เสี่ยวหวา โครงเค้าหน้ามีความคล้ายกันหลายส่วน แต่สําหรับหวังซีเอ่อมิได้มีความรู้สึกเอ็นดูให้แม้แต่น้อย กลับเป็นเตรียมป้องกันเสียมากกว่า เพราะเจ้าหมอนี่ถ้าแค่ ‘ห่วงใย’ แบบบริสุทธิ์ใจก็ไม่เป็นไร กลัวแต่จะนําความยุ่ง
อาจเพราะการต่อสู้กับหวังซีเอ่อก่อนหน้านี้หอมหวานเกินไป เดิมอู๋เสี่ยวหวาง่วงจนไม่ไหวแล้ว ขณะนี้กลับไร้ซึ่งความง่วง เขาเอนตัวลงบนเตียงบรรทมหันหน้าแดงซ่านไปด้านในด้วยความโกรธปุด ๆ ไร้คําพูดไปชั่วคราวเวลานี้เองด้านนอกแจ้งเข้ามาว่าหลิวเฉิงเอินเยวียนสื่อสำนักหมอหลวงขอเข้าเฝ้า เดี๋ยวอีกสองชั่วยามเขาก็ต้องเดินทางกลับแคว้นเหยาชุนพร้อมหวังซีเอ่อแล้ว เวลาแสนสุขที่ได้อยู่ด้วยกันช่างแสนสั้นยิ่งนัก“หมองั้นหรือ?” อู๋เสี่ยวหวาจำได้ว่าตนเองมิได้เรียกหมอหลวงนี่นา ครั้นจะหันไปมองหวังซีเอ่อด้วยความสงสัย คอกลับแข็งทื่อเสียอย่างนั้น หวังซีเอ่อกลับแก้ความคิดของอู๋เสี่ยวหวากล่าวโดยไม่ปรึกษาใคร“ฮองเฮา เป็นข้าที่เรียกหมอหลวงในวังเจ้ามาเอง” จากนั้นหวังซีเอ่อก็ให้คนเรียกหมอหลวงเข้ามา“ข้าอยากให้เขามาตรวจร่างกายเจ้าเตรียมความพร้อมออกเดินทาง” หวังซีเอ่อพูด นั่งลงที่ข้างเตียง ยื่นมือลูบหน้าผากของอู๋เสี่ยวหวา“ดูเหมือนจะร้อนนิดหน่อย”“ไม่มีสักหน่อย! ข้าสบายดีมาก ต่อให้เดินทางไกลหลายร้อยลี้ด้วย ข้าแข็งแรงจะตาย!” อู๋เสี่ยวหวางอนเหมือนเด็ก หันหลังให้“ข้ารู้แล้ว” หวังซีเอ่อตอบรับแต่หมอหลวงหลิวก็เข้ามาอยู่ดี“ข้าผู้น
อาจจะรู้สึกผิดที่ต้องให้ฮองเฮามานอนในที่ทุรกันดาร ในถ้ำที่อับชื้นเพียงมีกองไฟที่ให้ความอบอุ่น พอประทังไม่ให้อู๋เสี่ยวหวาล้มป่วยได้ หลังการขอคืนดี ทั้งสองคนกลับมาปรองดองรักกันดั่งเดิม หวังซีเอ่อก็ได้วางแผนจะกลับแคว้นเหยาเพื่อทวงคืนบัลลังก์ของเขาคืนจากไห่หมิงหราจวิ้นอ๋อง มารเฒ่าที่กล้ายึดครองอำนาจ และพิธีแต่งตั้งขึ้นเป็นฮ่องเต้อย่างเป็นทางการจะเริ่มขึ้นอีกในห้าวันต่อจากนี้ หวังซีเอ่อต้องรีบกระตือรือร้นทำอะไรสักอย่างรุ่งเช้าขึ้นเขาจะพาฮองเฮาไปส่งวังหลวงตามที่อู๋เสี่ยวหวาบอกให้นำตัวเขาไปต่อรองกับพวกราชองครักษ์ทหารที่ฮ่องเต้อู๋ซั่วกู๋ส่งให้มาตามล่าหวังซีเอ่อ เปิดทางให้หวังซีเอ่อเข้าไปพูดคุยเจรจาและขอโทษอย่างจริงใจต่อชาวซีเป่ยที่ชาวหยานชุนเคยกดขี่ไว้ฝนหยุดตกแล้ว ภายนอกถ้ำบรรยากาศสดชื่นพร้อมต่อสู้กับวันใหม่ หวังซีเอ่อและอู๋เสี่ยวหวาเดินทางกลับเข้าวัง ถูกหัวหน้าองครักษ์รักษาการณ์วังหลวง ‘ซือมัวหลง’ ขวางไว้ที่นอกประตูวังหลวง แต่แล้วทั้งสองก็เข้ามาได้เพราะองค์ชายสามอู๋ติ้งเกาและอันเต๋อร์จื่อที่รอร่วมแผนการณ์กู้บัลลังก์ให้ฮ่องเต้หวังซีเอ่ออยู่แล้วเมื่ออู๋เสี่ยวหวามาถึงก็ได้แจ้งหัวหน้าขันทีให้