ข้าตั้งครรภ์
เช้าวันใหม่
ด้วยความที่ชอบกิน ประกอบกับอาชีพเดิมของนางมีความเร่งรีบในการทำงานเสมอ เมื่อก่อนจึงไม่ใคร่ได้ลิ้มรสชาติอาหารอย่างที่ควรจะเป็น ในโลกที่จากมานางเลยเป็นคนที่ผอมอยู่สักหน่อย ทว่าเมื่ออยู่ในโลกคู่ขนาน สวีหรันเฟยสามารถเนรมิตอาหารง่ายๆ ได้อย่างชำนาญและก็ถูกปาก มีรสชาติดี
และยามนี้ความรู้สึกที่เกิดขึ้น สวีหรันเฟยย่อมรู้ดีว่าตนเองไม่ได้อ้วน ร่างกายใหม่ถูกฝึกมาอย่างหนักจากตระกูลเดิม ทว่าสิ่งที่นูนอยู่กลางหน้าท้อง คือชีวิตน้อยๆ ที่ยามนี้นับได้เกือบห้าเดือนเศษ อีกทั้งนางยังมีอาการเหนื่อยง่ายในบางครั้ง บางวันแพ้อาหาร ตัวร้อน หนักสุดคืออาการที่ชวนให้น่าหวาดหวั่น นางปรารถนาอยากร่วมรักกับบุรุษ ไม่ใช่ร่วมรักแบบธรรมดา หากอยากซาบซ่านสยิวใจ ทั้งบนเตียงในที่ลับตาผู้อื่น ทั้งหมดย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องกับแมวสีเทาไร้ยางอาย ซึ่งมันมีอีกร่างเป็นบุรุษตัวสูงใหญ่ เรื่องนี้ประหลาด แน่นอนกว่านางจะทำใจยอมรับได้ก็ใช้เวลาพักใหญ่ทีเดียว
“โอ้ ข้าท้อง!?” สวีหรันเฟยเพ้อเหมือนคนเบาปัญญา และคำนี้ก็หลุดปากบ่อยครั้ง และนางไม่รู้ว่าใครเป็นบิดาของเด็กในครรภ์ มันคล้ายภาพความฝันแสนน่ากลัว นางภาวนาว่าอย่าให้เกี่ยวข้องกับแมวปีศาจที่กลายร่างเป็นบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ได้
สวีหรันเฟยคนใหม่ พยายามปรับตัวเข้ากับโลกคล้ายจีนโบราณอย่างที่สุด กระทั่งได้รับความช่วยเหลือให้มาอยู่ในบ้านบรรพชนของสกุลจ้าว ได้ทำสวนผัก เลี้ยงไก่ เป็ด หมู ทั้งหมดคือผลผลิตที่ใช้ในการเลี้ยงชีพ
“นายหญิงน้อย...” เสียงชายวัยกลางคนร้องถาม ฝ่ายนั้นคือคนที่พาเขามาเรือนบรรพชนสกุลจ้าวที่ถูกปล่อยทิ้งร้างไว้ เนื่องจากถูกฆ่าตายทั้งหมด
ซานซือเป็นคนเก่าคนแก่ในตระกูลสวี ซึ่งหลังจากถูกไล่ล่าฆ่าล้างตระกูลต่างหนีเอาตัวรอด ฝ่ายสวีหรันเฟยต้องอยู่ที่อย่างเงียบๆ ไม่แสดงตัวให้ผู้อื่นรู้
สวีหรันเฟยมองตาเฒ่าซาน
“มีสิ่งใดหรือ”
“บ่าวมาแจ้งว่า เตรียมไข่ไก่ มะเขือเทศเรียบร้อยแล้ว คงเหลือขนมหัวผักกาดที่นายหญิงน้อยนึ่งเอาไว้ เพื่อนำไปเถ้าแก่ตง”
“ได้สิ เดี๋ยวข้าจัดการให้ ช่วงนี้ลำบากลุงซานหน่อยนะ ที่ต้องเดินทางปล่อยกว่าแต่ก่อน อีกทั้งยามนี้ข้าแพ้อาหารหนัก ชิมสิ่งใดแล้วไม่ค่อยถูกใจ จึงจำเป็นต้องได้ลุงมาช่วยเหลือเรื่องรสชาติ”เขาบอกเช่นนั้น และกลัวว่าฝีมือตนเองจะตก ทว่าซานซือไม่เห็นด้วย รสมือนางเมื่อก่อนมีฉายาโอสถพิษ แต่ยามนี้กลับใช้ปรุงอาหารได้ระดับเทพเซียน อาจกล่าวได้ว่าร้อยปีถือกำเนิดยอดคนครัวเทวดา
“หามิได้นายหญิงน้อยมีรสมือล้ำลึก อีกทั้งขนมหัว
ผักกาดนั้นกลมกล่อม เนื้อนุ่มแต่เด้งสู้ลิ้นและฟัน ถั่วต้มที่อยู่ด้านในก็เพิ่มความมัน ทั้งยังเห็ดหอมช่วยเสริมกันอย่างลงตัว พริกไทยที่ใส่เข้าไป สร้างความเผ็ดร้อนเป็นอย่างดี ที่ขาดไม่ได้คือ ผักขึ้นฉ่าย ทั้งใบ และก้านของมันเพิ่มความสดชื่นยิ่งนัก”
ได้ฟังซานซือกล่าวมาทั้งหมด สวีหรันเฟยก็ยิ้ม นางมีนักชิมที่ดี และยังอธิบายอาหารที่ปรุงได้อย่างละเอียด
“ข้าดีใจที่ลุงซานไม่ทอดทิ้ง คนเขลาผู้นี้”
ซานซือมองผู้เป็นเจ้านาย ในอดีตเขาเป็นทั้งพ่อบ้าน อีกทั้งคอยดูแลสวีหรันเฟยตั้งแต่แบเบาะ ลมหายใจที่เหลืออยู่ อย่างไรย่อมมีไว้ดูแลเพื่อสวีหรันเฟยรวมถึงชีวิตน้อยๆ ที่อีกฝ่ายกำลังอุ้มท้อง
“ความจริงแล้ว ล้วนเป็นบ่าวที่บกพร่องต่อหน้าที่ จนนายหญิงน้อยลำบากถึงเพียงนี้”
“ลุงซาน ข้านับเจ้าเหมือนญาติ ดังนั้นอย่าคิดมาก อีกอย่างของที่เตรียมไว้เพื่อนำไปเพียงพอแล้ว เดี๋ยวข้าจะไปจัดขนมหัวผักกาด และเราจะออกจากเรือน ไปตลาดกัน”
“เอ นายหญิงน้อยจะไปกับบ่าวหรือขอรับ”
“ใช่ เกลือหมด และยังมีของที่ข้าอยากเตรียมไว้ เพื่อทำจานอาหารอื่นๆ ไว้ส่งขายภายหน้า ข้าจะได้มีเงินพอสำหรับพักฟื้น ยามคลอดเด็กน้อยในท้อง”
ซานซือพยักหน้าอย่างเข้าใจ กระนั้นก็อยากเอ่ยห้าม แต่อีกฝ่ายยกมือห้ามไว้
“สองมือ สองเท้าข้ายังดี อีกอย่างทำอาหารพอใช้ได้ หากไม่คิดหยิบจับอะไร เพื่อหาเงินทอง ไม่แน่ เราต้องอดตายเข้าสักวัน” สวีหรันเฟยเอ่ยจบ ก็เตรียมหมุนตัวไปยังห้องครัว ทว่าเป็นตอนนั้นที่เด็กในท้องเริ่มดิ้น นางรู้สึกเจ็บปวด จนแทบทรุดลงไปกองบนพื้น แต่แสร้งยิ้มให้ซานซือ
“เจ้าไปรอข้าที่ด้านนอกเถิด อีกสักชั่วหนึ่งก้านธูปดับ ข้าก็เตรียมของเสร็จ...”
บอกชายชราผมขาวแล้ว สวีหรันเฟยก็พาตัวเองไปนั่งพัก การหายใจไม่ปกติ ร่างกายอ่อนเพลียมาก อาการดังกล่าว ไม่ใช่แค่ถูกแมวปีศาจทำเรื่องไร้ยางอายเท่านั้น เมื่อคืนนางลุกขึ้นมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวแล้ว ก็ไปอ่านตำราอาหารและเรื่องสมุนไพร แต่เผลองีบหลับ ก่อนได้พบเรื่องที่ชวนให้ประหลาดใจ สวีหรันเฟยได้อ่านเรื่องของคนผู้หนึ่ง ฝ่ายนั้นดูลึกลับ มีกลิ่นอายของความตายโอบคลุมร่าง ตัวหญิงสาวนั้น หาใช่คนขี้กลัว ถึงอย่างนั้นการได้พบเห็นเรื่องดังกล่าวก็ทำให้ครั่นคร้ามใจ นั่นเป็นเพราะมีสวีหรันเฟยอีกคน ซึ่งดูร้ายกาจและแสนอำมหิต
ณ ตำหนักวิเวิก (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นตำหนักเย็น) ด้านล่างมีสุสานลับ ซึ่งถูกปิดตายเอาไว้ หนูตัวนั้น มันเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของเขาอีกแล้ว นอกจากกัดแทะเสื้อผ้า มันยังบังอาจพยามทำลายหน้ากากเขา หวังกัดแทะใบหน้างดงามนี้ เซียวเหิงจิ้นคำรามอยู่ในใจ นั่นคือสิ่งเดียวที่เขาทำได้ ร่างกายเขาแข็งทื่อ ความตายหรือ หึๆ ๆ สำหรับเขา สิ่งนี้ยังไม่ใช่จุดจบของชีวิต เขานอนนิ่งอยู่เช่นนี้ คล้ายหนอนหรือคางคกจำศีล เวลาล่วงผ่านไปนานเท่าใด เขาไม่อาจคะเนได้ อาจเป็นแค่หนึ่งวันหรือพันปี แล้วต่างกันเช่นไร ในเมื่อยามนี้ เขาไร้ซึ่งหัวใจ มิรู้สึกเจ็บปวด เนื่องจากถูกหมุดควบคุม เจ็ดอารมณ์ หกปรารถนา ถึงอย่างนั้นก็รับรู้ได้ถึงการถูกจองจำเอาไว้ในที่คับแคบ และแม้จะไร้หัวใจ แต่ภาพต่างๆ ยังวิ่งวนในหัว เป็นความทรงจำที่บ่มเพาะ ซึ่งนับระเบิดทุออกมา พวกหนูสกปรกและตะกละยังพยายามกัดแกะหน้ากากเขาอยู่เช่นนั้น และชินอ๋องผู้มีนามว่า เซียวเหิงจิ้น ได้แต่ส่งเสียงในใจอย่างกึกก้อง ความบังอาจของมันสมควรได้รับโทษอย่างสาหัสหากเขาสามารถฟื้นคืนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง แต่โทษของพวกมัน ดูเหมือนจะเล็กน้อยราวกับฝุ่น
“โอ้...อ๋องจิ้น!” สวีหรันเฟยตกใจ รีบผลักอกแกร่งออกห่างตัว แต่เซียวหยางเฟิ่งกลับรั้งร่างบางกลับคืน และเอ่ยเสียงเข้มขึ้นสักหน่อย เสียงที่คล้ายเป็นการตำหนิ “นี่ไม่ใช่ สิ่งที่เฟยเฟยต้องการหรอกหรือ” หัวคิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากัน เกือบสองปีที่นางทำตามคำสั่งบิดา เพื่อให้ได้ใกล้ชิดเซียวเหิงจิ้น ใช้เสน่ห์ปั่นหัวอีกฝ่าย คือแผนที่นางเองก็เต็มใจ เพราะเมื่อทำสำเร็จก็จะเป็นคนโปรดของบุรุษอีกคนที่หลงรักมาเนิ่นนาน “ข้าจะเป็นบุรุษเดียวที่ได้ครอบครองเจ้า และใครหน้าไหน ก็ไม่มีใครพรากเจ้าไปจากชายผู้นี้” สวีหรันเฟยรับรู้ว่าอีกฝ่ายปรารถนาในตัวนาง แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อหัวใจดวงนี้มอบให้เซียวตันเหวิน ผู้เป็นพี่ชายต่างมารดาของเซียวเหิงจิ้น “ข้า คงเป็นผู้โชคดีอย่างที่สุด หากอ๋องจิ้น...ให้ได้รับใช้ใกล้ชิด” เซียวเหิงจิ้นหัวเราะหึๆ ก่อนเคลื่อนริมฝีปากไปบดเบียดริมฝีปากสวีหรันเฟยเขาจูบหนักหน่วง และรุนแรงราวกับต้องการดูดกลืนวิญญาณอีกฝ่าย ปลายลิ้นของเขาแทรกผ่านเข้าไปข้างในโพรงปากหวานฉ่ำ ดูดดุน เร่งเร้าเพื่อให้เรียวลิ้นเล็กๆ แสนขี้อายสวีหรันเฟยตอบรับพาย
โฉมงามนางร้ายถูกรังแก สวีหรันเฟยที่กำลังตั้งครรภ์ และนางได้ซ่อนรูปร่างของตนไว้ในเสื้อผ้าเนื้อหยาบและสวมมันหลายชั้น อีกอย่างยามนี้นางเจ้าเนื้ออยู่สักหน่อย จึงดูเหมือนคนตัวอวบๆ มากกว่าจะมีทายาทให้บุรุษสักคน ส่วนบิดาของเด็กๆ เป็นใคร ความจริงแล้ว ภาพทั้งหมดยังดำมืด ชวนให้ครั่นคร้ามใจ แน่นอนนางฝันร้ายบ่อยครั้ง ทั้งเห็นแมวสีเทาตัวโต ที่มีร่างเป็นบุรุษสูงใหญ่ที่ชอบเปลือยกาย และทำสิ่งสัปดนกับนาง และภาพของคนที่นอนอยู่ในโลงศพศิลา ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ขนลุกได้เสมอ ฝ่ายนั้นสวมหน้ากากปิดบังใบหน้าไว้ ทั้งยังส่งไอสังหารคุกคามนางแม้แต่อยู่ในห้วงความฝัน และที่น่าเห็นใจ สวีหรันเฟยลืมหลายสิ่ง ส่วนวิชาการแพทย์ที่ในโลกคู่ขนาน นางยังดึงมันกลับมาใช้ไม่ได้อย่างเต็มที่ ทั้งที่เป็นคนเก่ง มากด้วยความรู้ ช่วยชีวิตผู้อื่นให้พ้นความตายมาหลายครั้งหลายหน อนิจจา นับแต่เดินทางมาอยู่ในร่างนี้ สมองถูกปิดกั้น ด้วยเจ้าของร่างตั้งใจลืมสิ่งเลวร้ายที่ตนได้ก่อไว้ ประกอบกับน้ำแกงลืมเลือนที่ถูกกรอกปากนั้นก็ส่งผลร้ายถึงวันนี้ ยามนั้น หญิงสาวปวดข้อมือ มันคงระบมเป็นแน่ เพราะเผยอี้ฮุ่ยออ
“ฮ่าๆ ๆ ดี เช่นนั้น ข้าเผยอี้ฮุ่ย ก็จะซื้อทั้งทาสผู้นี้ แล้วก็แม่นางไปพร้อมกัน” กล่าวไม่ทันจบดี เผยอี้ฮุ่ยก็คว้าร่างสวีหรันเฟยกลับคืน แล้วสูดกลิ่นกายแสนยั่วยวน จมูกโด่งซุกไซ้ร่างของสวีหรันเฟยอย่างล่วงเกิน คนตัวใหญ่ทั้งแข็งแรง จึงทำให้สวีหรันเฟยยากจะขัดขืน ความรู้สึกน่าอดสูเป็นเช่นนี้ และมืออีกฝ่ายป่ายแปะสำรวจเนื้อตัวจองสวีหรันเฟยกระทั่งวางที่หน้าท้องนูนขึ้นมาเล็กน้อย แล้วเริ่มลูบไล้อย่างล่วงเกิน สวีหรันเฟยตัวแข็งทื่อ และแทบหยุดหายใจ และน้ำตาเอ่อคลอหน่วย ไม่ได้กลัว แต่โกรธ ทั้งรู้สึกว่าตนช่างอ่อนด้อย ไม่อาจรักษาศักดิ์ศรีของตน “แม่นางเนื้อตัวนุ่มนิ่มดีแท้ ทว่า...หน้าท้องยื่นๆ นี่เล่า สวมเสื้อผ้าหลายชั้น เยี่ยงนี้ ต้องการปกปิดสิ่งใดไว้หรือ!?” น้ำเสียงเผยอี้ฮุ่ยทั้งเย้าหยอก และต้องการข่มขู่อยู่ในที สวีหรันเฟยโกรธที่ทำสิ่งใดตอบโต้อีกฝ่ายไม่ได้ “จู่ๆ แม่นางก็เป็นใบ้ขึ้นมา หรือว่าอับอายที่มีมารหัวขนซ่อนเอาไว้ในท้อง และไม่กล้าบอกผู้อื่น เพราะเด็กนั่นไม่มีพ่อ” เผยอี้ฮุ่ยทำให้นางโมโหอย่างหนัก ร่างกายนี้จึงร้อนรุ่มขึ้น
กำจัดมารหัวขน เรื่องนี้น่าประหลาดใจและชวนให้หงุดหงิด ก็คือการที่สวีหรันเฟยถามออกไปแล้ว กลับไร้คำตอบ ทั้งซานซือ และหนิเจี้ยนต่างทำท่าเหมือนคนน้ำท่วมปาก เมื่อเป็นเช่นนี้ นางรู้ว่าตนคงต้องคอยมองว่า แมวเทาตัวนั้นจะโผล่มาอีกเมื่อใด ซึ่งแน่นอน หนูที่อาละวาดย่อมเป็นฝีมือแมวปีศาจ เมื่อส่งขนมหัวผักกาดและลูกอมถั่วที่โรงเตี้ยม กับเหลาอาหารเรียบร้อย สวีหรันเฟยต้องพบเรื่องที่ไม่คาดฝันอีกหน คราวนี้กลายเป็นว่านางไม่อาจเดินทางกลับเรือนบรรพชนสกุลจ้าวได้ในทันที นั่นเป็นเพราะหนิงเจี้ยนปวดท้องอย่างหนัก สถานการณ์เช่นนี้ ไม่น่าไว้วางใจ ดังนั้นจึงให้ซานซือ เปิดห้องพักพาหนิงเจี้ยนไปรอพบหมอตำแย แต่ทุกอย่างกลับไม่ง่ายดาย เนื่องจาก จู่ๆ ประตูเมืองเปิดต้อนรับ คนแปลกหน้า ทั้งพ่อค้า ชาวต่างแคว้น และมือสังหารไม่ทราบฝ่าย ที่เป็นเช่นนี้ เพราะการมาเยือนของทหารที่มีเผยอี้ฮุ่ยนำทัพนั่นเอง ร้านค้าต่างๆ จึงปิดเร็วกว่าปกติ ใครที่ไม่อยากมีเรื่องกับพวกขุนนางพากันเก็บตัวเงียบ “ไหวหรือไม่” หนิงเจี้ยน ถูกทรมานร่างกายจากสามีมาไม่น้อย ครั้งหนึ่งฝ่ายนั้นแจ้งความประสงค์ว่า ไม่ต้องการให้นางตั
“เท่าที่ข้าดูด้วยสายตา หากอยากให้นางคนนี้รอด จงรีบป้อนยาขับเลือดให้เขาเสีย ท้องยังไม่โตมาก หนึ่งชีวิตแลกหนึ่งชีวิต นี่คือสิ่งที่ข้าพอจะช่วยได้!” หญิงชรากล่าว และทำให้ทั้งห้องพักเงียบลงราวกับอยู่ในป่าช้า “มารดาท่านเถอะ อาชีพท่านคือ ทำคลอดให้ผู้อื่น ไฉนถึงมีวาจาราวกับสุนัขที่ชอบกินอาจม” สวีหรันเฟยทำให้ทั้งหมอตำแยและผู้อื่นทึ่ง แต่เดิมนางสงบปากสงบคำ ไม่ชอบด่าทอ สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ด้วยกดดัน ทั้งยังเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้อื่นเสียชีวิต ซึ่งมันเป็นบาปกรรมใหญ่หลวง “ฮึ หากเจรจากันไม่รู้ความ ข้าก็ไม่อาจช่วยเหลือได้ ขอตัวก่อน” หมอตำแยกล่าวจบ ก็เตรียมผละออกจากห้องพัก แต่ซานซือยกมือห้ามนางไว้ “ข้าเสียเวลาตามเจ้ามา ก่อนหน้านี้ก็อวดอ้างว่าตนมีฝีมือเป็นเลิศในเมืองเผิง ไฉนถึงคิดปัดก้นแล้วเดินหนีไปง่ายๆ” “ข้ารับงานมานับสามสิบปี ช่วยเหลือหลายชีวิตมามิน้อย ชื่อเสียงย่อมประจักษ์แจ้ง ส่วนแน่นางน้อยคนนี้ อย่างที่บอก หากอยากให้รอด ต้องสละชีวิตในครรภ์เสีย มิอย่างนั้น จงไปหาหมอจากสำนักแพทย์มาช่วย แต่นางต้องเปลื้องผ้าตรวจร่างกายอย่างละเอียด ต่อหน้าคนอื่น จึงจะได้รู้ว
อันที่จริงสวีหรันเฟยอยากรู้หลายสิ่งจากปากของสัตว์เหล่านั้นอีกสักหน่อย ทว่าใจนางห่วงหนิงเจี้ยน สถานการณ์ยามนี้ของอีกฝ่ายอยู่ระหว่างความเป็นความตาย เมื่อเป็นเยี่ยงนี้ จึงต้องหาหมอสักคนไปดูอาการหนิงเจี้ยน สำนักแพทย์อยู่ห่างจากโรงเตี้ยมไม่ไกล ทว่าเป็นตอนนั้นที่สวีหรันเฟยรับรู้ได้ว่ามีคนติดตามนางแต่พอหันกลับไปมองก็ไม่พบพวกสะกดรอย นี่คือสิ่งที่คิดไว้ เฮ้อ ก้าวขาออกจากสกุลจ้าวเมื่อเช้านี้ นางลืมไหว้เจ้าที่เจ้าทาง เหตุนี้ทุกอย่างจึงไม่สะดวก ทั้งพบอุปสรรคขวางหน้า กระทั่งมาถึงด้านหน้าสำนักแพทย์ มีทหารของเผยอี้ฮุ่ยยืนขวางเอาไว้ “โอ้ นึกว่าผู้ใด ที่แท้ก็เป็นแม่นางที่ชิงตัวทาสของรองแม่ทัพเผยไป” สวีหรันเฟยไม่ชอบใจต่อการแสดงความเจ้าชู้ของคนพวกนี้ “ข้าไม่ได้ต้องการหาเรื่องผู้อื่น ยามนี้มีธุระเร่งด่วนโปรดหลีกทาง” สวีหรันเฟยกัดฟันกรอดๆ “หมอที่มีฝีมือทั้งหมด กำลังรับใช้รองแม่ทัพเผย ข้าย้ำเช่นนี้เข้าใจหรือไม่” สวีหรันเฟยกำหมัดแน่น เหตุใดเรื่องราวถึงกำหนดไว้เช่นนี้ กระนั้นเมื่อออกปากจะช่วยหนิงเจี้ยน อีกทั้งคิดถึงตน หากภายภาคหน้า ต้องคลอดบุตรและไม่ได
ขันทีไม่แท้ การนั่งรถม้าไปยังจวนรับรองของเผยอี้ฮุ่ย ผู้เป็นรองแม่ทัพประจิม สร้างความอึดอัด และครั่นคร้ามใจแก่สวีหรันเฟยเหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น คงเพราะในหัวคิดสิ่งต่างๆ ว้าวุ่นไปหมด ซึ่งในห้วงเวลาหนึ่งนางรู้สึกคลับคล้ายว่า คุ้นเคยชายร่างสูงคนนี้ ผิดแต่ชื่อของเขา และเรื่องราวในหนหลังดูเหมือนจะถูกลบหายไปจากหน่วยความทรงจำ ส่วนในยามนี้รับรู้ได้ว่า เจิ้นหลี่ฉางมีหน้าที่สำคัญในการมาเมืองเผิง ซึ่งสำคัญต่อบ้านเมืองยิ่ง “ท่านเป็นผู้ใด และยื่นมือเข้าช่วยข้า มีประสงค์ร้ายหรือดี” สวีหรันเฟยถาม ทั้งระแวง ซึ่งนางออกมาเพียงลำพัง ไม่มีซานซือคุ้มครอง แม้ไม่กลัวอันตราย แต่ซานซือเคยบอกว่าในอดีต ตัวนางมีศัตรูที่จ้องเอาชีวิตตลอด อย่างไรก็ให้ระวังเอาไว้ ฝ่ายเจิ้นหลี่ฉาง อมยิ้มในสีหน้า ท่าทางที่ขึงขังก่อนหน้ากลับผ่อนคลาย และยังส่งความอบอุ่นมาถึงสวีหรันเฟย “บอกตามตรงข้าไม่เบื่อหรอกนะ หากเราต้องทำความรู้จักกันใหม่ อีกสักร้อยหน พันหน” สวีหรันเฟยเลิกคิ้วสูง และฉงนหนัก “อย่าเล่นลิ้น ข้าต้องการความจริง” “โถ กำลังจะเป็นมารดาผู้อื่นแล้ว เจ้าคงต้องการพ่อทูนหัวของเ
ตัวละคร เซียวเจ๋อ บุตรชายคนโต(แฝดพี่) ของสวีหรันเฟย เซียวจ้าน บุตรชายคนเล็ก(แฝดน้อง) ของสวีหรันเฟย เผยอันกั๋ว ลูกชายแม่ทัพใหญ่ หลินซีโม่ แม่ทัพหญิงตอนพิเศษ โฉมงามของท่านแม่ทัพ ชายหนุ่มกำลังต้องใช้ความคิดอย่างหนัก นี่เขาต้องแต่งงานกับสตรีใจร้ายและรูปร่างราวกับบุรุษ เนื้อหนังก็แข็งไปทุกส่วน หาความนุ่มนิ่มไม่พบ แล้วยังชอบใช้ชีวิตกลางดินกลางทราย มีทหารอยู่ในมือหลายหมื่นชีวิตเช่นนั้นจริงๆ หรือ ชีวิตนี้นับแต่ได้พบแม่เลี้ยง เผยอันกั๋วก็ตั้งใจจะศึกษาเรื่องอาหาร สมุนไพร จวบจนได้ตั้งสำนักศึกษาอย่างสันโดนบนภูเขา หากสุดท้ายบิดามีคำสั่งให้เข้าเมือง เพื่อไปสมรสพระราชทานกับสตรีคนนั้น ที่เขารู้เพียงว่า นางคือแม่ทัพหญิง เมืองนอกด้าน ก่อนหน้านั้น เผยอันกั๋วได้ สวีหรันเฟย ดูแลเขา และนั่นทำให้เขาอยากใช้ชีวิตเช่นนาง คอยช่วยเหลือผู้คน พร้อมมีความสุขกับเรื่องเรียบง่าย ส่วนบิดาบุญธรรม ก็ไม่ต่างจากบิดาแท้ๆ ของเขา ทั้งคู่ต่างอยากให้เผยอันกั๋ว มีความรู้ความสามารถทางด้านทหาร ด้วยจะเป็นกำลังหลักในการปกป้องบ้านเมือง ทว่าเมื่อเขาเลือกใช้ชีวิตอย
บทส่งท้าย สามเดือนผ่านไป เซียวเหิงจิ้นเข้ามาดูคนงามของเขาสองหนแล้ว และสั่งให้ซานซือเป็นธุระเรื่องทำความสะอาดรอบๆ เรือนรับรองแห่งนี้ ซึ่งอยู่ในสถานที่คนนอกไม่อาจเข้ามาถึงได้ง่ายๆ โดยที่เซียวเหิงจิ้นได้เตรียมการไว้ตั้งแต่เขาฟื้นออกมาจากหลุมศพ มันแปลกประหลาดไปทั้งหมดนั่นแหละ แต่จะว่าไปแล้ว บุรุษผู้นี้ ไม่ว่าช่วงเวลาที่หายใจ หรืออยู่ในหลุมศพ ฝ่ายเขาก็เอาแต่คิดเรื่องสวีหรันเฟย แม้ปากจะร้าย แกล้งใช้คำขู่สารพัด หากเนื้อแท้ในใจเซียวเหิงจิ้นไม่เคยที่จะโกรธแค้นต่อนาง นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่า ชีวิตของสวีหรันเฟยตั้งแต่เกิด จนต้องมารับใช้บิดาทำงานสกปรก เพื่อเป็นที่สนใจของรัชทายาทนั้น ก็เพื่อช่วยมารดา และน้องชายให้อยู่รอดปลอดภัย “ทั้งรองแม่ทัพเผย และขุนนางเจิ้น ทั้งคู่นั้นให้รออยู่ด้านนอก ข้าไม่อนุญาต ห้ามเดินเผ่นผ่านเด็ดขาด” “เอ่อ แล้วคุณชายน้อยอันกั๋วละขอรับ เรียกร้องจะมาหาชินอ๋อง และแม่นางสวีตลอดเลย” “เฮ้อ... เด็กอ้วนคนนี้ คงถูกตามใจจนเคยตัว เอาล่ะให้เขาเข้ามาได้ แต่ข้าจะจับตาดูตลอด และบอกว่า เขามีเวลาเพียงชั่วหนึ่งก้านธูปดับที่จะพบภรรยาข้า” เซี
ตัวร้ายที่สุดย่อมเป็นท่าน สิบห้าวันต่อมา ณ ป้อมไม้ดำ สวีหรันเฟยรู้ว่าอาการของเซียวตันเหวินหนักหนาพอสมควร ด้วยข้อมือเขาขาดซึ่งเกิดจากการถูกผู้ติดเชื้อกัด จากนั้นเพื่อปกป้องไม่ให้ตนต้องกลายเป็นผีดิบ เขาเลยตัดมือตนทิ้งทันที ทว่าตอนแรกมีการรักษาที่ไม่ถูกต้องทำให้เขาเกือบเอาชีวิตไม่รอด กระทั่งได้สวีหรันเฟยช่วยเหลือ และสิ่งที่น่าประหลาดใจ สวีหรันเฟยไม่ใช่แค่เชี่ยวชาญสมุนไพร แต่การรักษาแผล และเย็บแผลเขาก็ทำได้ดี ทั้งหมดคือความชำนาญจากการเป็นแพทย์โลกเดิม “เสี่ยวเฟย ข้านึกไม่ถึงว่า สุดท้ายก็เป็นเจ้าที่ดึงข้าพ้นจากมือพญายม” “กล่าวเกินไปแล้ว ข้าอยากเป็นหมอ มากกว่ามีฉายาว่าโอสถพิษ เรื่องนี้รัชทายาทสมควรรู้” และในยามนี้ ซานซือเข้ามาในป้อม ทำหน้าที่ช่วยสวีหรันเฟยเนื่องจากข้างใน แพทย์ไม่เพียงพอ อีกทั้งพวกเขาไม่รอบรู้เท่าซานซือที่ติดตามสวีหรันเฟยมานาน ในการรักษารัชทายาท รวมถึงคนอื่นๆ ซึ่งมีอาการบาดเจ็บ ซึ่งสวีหรันเฟยมีสมุนไพรดี อีกทั้งนางให้คำแนะนำในการทำความสะอาดแผล ฆ่าเชื้อด้วยสุรา อีกทั้งการเย็บแผลด้วยไหมรวมถึงการใช้ไฟสำหรับปิดปากแผลเพื่
กองทัพผีดิบ ยามนั้นมีสายตาของผู้ติดตาม และองครักษ์คนสนิทเตรียมจะทักทวง แต่สวีหรันเฟยก็มือเร็วรีบยื่นมือไปรับป้ายคำสั่ง พร้อมใช้เข็มเงินฝังที่ลำคอของเซียวตันเหวิน “แค่ป้ายยังไม่พอ อ๋องเหวินต้องบอกพวกเขาให้เคารพข้าด้วย” “นับแต่นี้ คุณชายรองฮั่ว จะเป็นหมอประจำตัวข้า สิ่งที่ใดที่เขาทำย่อมเป็นข้าสนับสนุน” กล่าวจบ จู่ๆ เซียวตันเหวินก็ค่อยๆ อ่อนแรงลง เผยอันกั๋วเป็นเด็กอยากรู้อยากเห็น แต่ไม่ใช่คนดื้อรั้น หรือชอบสร้างปัญหา ทว่าหนนี้ เขาได้ยินเสียงร้องโหยหวน และรู้ว่ามีการบุกรุกของบางสิ่งที่ทำให้เขานอนไม่รับ และเผยอันกั๋วมีซางจูคอยดูแลอยู่ด้วย รวมถึงหน่วยคุ้มกันที่บิดาเตรียมไว้ให้ “พี่จูจู ข้าอยากไปดูตรงนั้นสักหน่อย” “คุณชายน้อย อันตรายอยู่นะขอรับ ตอนนี้จวนจะได้เวลาออกนอกเมือง ไปซ่อนตัวแล้ว” “แต่ข้าเห็นว่ามีหนูวิ่งไปตรงนั้น และก็ได้ยินเสียงคนร้องด้วย” ซางจูไม่อยากตามใจ แต่เขาก็ได้ยินอย่างที่เด็กชายบอก “ให้พี่ไปสำรวจก่อน คุณชายน้อยรออยู่สักประเดี๋ยว”กลาวจบซางจูก็พุ่งตัวไปอย่างเร็ว คนผู้นี้ติดตามเยว่ซูหั่วมาหลายปี และเขาก็พอ
“เสี่ยวเฟย ไม่ช้าก็เร็วทุกคนต้องอยู่ใต้แทบเท้าข้า ส่วนเจ้า หากทำตัวดี ข้าจะโอกาสรับใช้อย่างใกล้ชิด” คิ้วโก่งเรียวสวยเลิกขึ้น ก่อนที่สวีหรันเฟยจะถามอีกฝ่าย “อ๋องเหวิน มั่นใจหรือว่าตำแหน่งรัชทายาทของท่านยังจะอยู่ในมือต่อไป หากข้าคาดการณ์ไม่ผิด ที่ท่านออกจากเมืองหลวง และใช้วิธีแสนสกปรกก่อตั้งทัพผีดิบขึ้นมาอีกครั้ง ก็เพราะจะใช้เป็นเครื่องมือ ในการบีบให้มีการเปลี่ยนฮ่องเต้องค์ใหม่ และเมื่อท่านแจ้งใจว่า เผยอี้ฮุ่ย ได้รับคำสั่งให้ปกป้องบ้านเมือง และกลับไปขึ้นตรงต่อฮ่องเต้ ตัวท่านก็ร้อนใจหนัก จนทำเรื่องเสียหายมากมาย อีกทั้งตอนนี้ยัง...พลาดพลั้งจนพาตัวเองไปถูกกัด สุดท้ายถึงขั้นต้องตัดมือข้างหนึ่งทิ้ง” เรื่องที่เขาถูกกัด และตัดมือ สาเหตุที่แท้จริงถูกเก็บไว้เป็นความลับ แล้วเหตุใดสวีหรันเฟยถึงล่วงรู้ได้ “เสี่ยวเฟย ใครบอกเรื่องนี้กับเจ้า... เป็นสตรีโง่เขลาหลิวเสี้ยนใช่หรือไม่” “สตรีของท่านไม่ได้มีความสามารถมากนัก นางได้แต่ใช้คนทำเรื่องบัดซบ จับตัวผู้อื่น ไปทรมาน และยัง...คิดจะกำจัดทายาทของท่านด้วย เรื่องนี้มีผู้ใดรายงานแล้วหรือไม่” เซียวตันเหวินเครีย
หากเป็นผู้อื่นคงกลัวเหล่าผีดิบจะออกมาจากที่ซ่อน แต่คนที่มาจากโลกคู่ขนาน ย่อมประเมินสถานการณ์ได้ และยามนี้เหล่าผีดิบ ไร้จิตวิญญาณและสิ่งที่นางได้ยินคือความคิดในห้วงสุดท้าย ผสมปนเปกับสิ่งที่พวกมันสำนึกได้คือความหิว อยากจะกินอยู่ตลอดเวลา นั่นจึงทำให้กัดทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า สวีหรันเฟยขี่ม้าตัวโต และหยุดอยู่หน้าประตูที่ป้องกันแน่นหนา อีกทั้งมีหลายชั้น ป้อมไม้ดำเซียวตันเหวินออกแบบไว้นานแล้ว และสร้างขึ้นตั้งแต่เขายังเยาว์วัย “ข้าต้องการเจรจากับรัชทายาท” สวีหรันเฟยแจ้งความประสงค์ เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ ก่อนที่ประตูบานเล็กจะเปิดต้อนรับสวีหรันเฟย “มีคำสั่งจากรัชทายาท ข้างในนี้ต้อนรับเพียงแค่คุณหนูร้องสวีเท่านั้น!” ซานซือที่ขี่ม้าตามหลังมา เดือดขึ้น เขาดูแลสตรีผู้นี้มาตั้งแต่เยาว์วัย และรักสวีหรันเฟยมากกว่าชีวิตของตน “นายหญิงน้อยรัชทายาทปลิ้นปล้อน และไว้ใจไม่ได้ เมื่อก่อนข้าเตือนท่านหลายครั้งหลายหน แต่นี่จะเป็นอีกครั้งที่ข้าขอย้ำให้แน่ชัด คนผู้นี้ไร้สัจจะ และยังสร้างเรื่องโป้ปดท่านเสมอ” สวีหรันเฟยมองซานซือ บ่าวผู้นี้จงรักภักดีต่อนาง
เผชิญหน้ากับอดีตคนรัก สวีหรันเฟยก้าวออกมายืนนอกกระโจม นางพบทหารหลายคนที่กำลังเตรียมเดินทางไปช่วยที่ด่านหน้า และซานซือก็อยู่บริเวณนั้นด้วย“นายหญิงน้อย ยามนี้อาเจี้ยนส่งข่าวมา เมืองเผิงปิดแล้ว ห้ามผู้ใดเข้าออก และรอบๆ มีดิบป้วนเปี้ยนไปมา” “เวลาไม่กี่คืน เหตุใด เชื้อร้ายถึงแพร่เร็วอย่างนี้” ซานซือสูดลมหายใจลึก และตอบกลับ “ความจริง พวกผีดิบมากับขบวนของพระชายาหลิว อีกอย่าง...อาเจี้ยนมาจากเมืองหลวง เคยเล่าว่ามีคนตายแล้วฟื้น ลุกขึ้นมากินของดิบๆ และกัดซากศพสัตว์ที่ตายแล้ว” สวีหรันเฟยหนักใจอย่างที่สุด นางคิดถึงโรคที่จากมาเชื้อร้ายที่ทำให้ซากศพฟื้นชีวิต และจุดจบของผีดิบเหล่านี้คือ ต้องตัดหัวและเผาร่าง ส่วนทุกคนหากอย่างมีชีวิตรอดก็ห้ามถูกกัด หรือถูกผีดิบทำร้ายจนเกิดแผล “คนตายแล้วฟื้น ยามนี้ยังมียารักษา เราแค่ป้องกันไม่ให้ได้บาดเจ็บ ห้ามได้แผลที่เกิดจากผีดิบเหล่านั้น นี่คือทางรอดที่ง่ายที่สุด และต้องกำจัดพื้นที่ของพวกมันเอาไว้” “รองแม่ทัพเผย และใต้เท้าเจิ้น ได้เตรียมการเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน พวกเขาเตรียมล่อมันไปที่สุสานใต้ดิน และขังเอาไว้ในนั้น”
เตรียมรับมือ เผยอี้ฮุ่ยมีสีหน้าเครียดจัด และหนักใจอย่างที่สุดเมื่อได้รับข้อมูลจากทหารว่า สวีหรันเฟยกำลังมุ่งหน้ามาหาเขาที่ค่ายทหาร ชายหนุ่มไม่รอช้ารีบขึ้นควบม้าออกไปพบอีกฝ่ายทันที ยามนี้เขาประจักษ์แจ้งว่า คนที่เผยใบหน้าที่แท้จริงของอีกฝ่ายนั้น งดงามล่มเมืองเพียงใด อีกทั้งกลิ่นกายก็หอมหวานจนเผยอี้ฮุ่ยทำตัวไม่ถูก “แม่ของลูกกั๋ว เหตุใดทั้งมาหาข้ากลางดึกเช่นนี้ อันตรายนัก” “รองแม่ทัพเผย เรียกข้าว่า อาเฟิ่งเถิด...” “ได้น้องเฟิ่ง เท่าที่สืบรู้ เมืองเผิงกำลังมีภัย และข้าได้แบ่งทัพบางส่วนไปคุ้มกัน อีกไม่เกินห้าชั่วยามก็เดินทางไปถึง” “ท่านวางแผนได้ดี แต่ข้าได้อยากลดการปะทะ และเปลี่ยนเป้าหมาย เพื่อให้รัชทายาทไม่อาจทำร้ายผู้บริสุทธิ์” เผยอี้ฮุ่ยรู้สึกเลื่อมใสสวีหรันเฟยอีกฝ่ายแม้จะเคยเป็นโฉมงามล่มเมือง แต่ยามนี้เขากลับไม่เห็นภาพดังกล่าว หากเป็นภาพของคนที่สง่า แฝงด้วยความรอบรู้ ทั้งดูเปี่ยมเมตตา “บอกแผนของเจ้ามาเถิด” “คนผู้นั้นฟื้นคืนมาแล้ว และยังไม่มีใครพบตัวเขา หากข้าเดาไม่ผิด รัชทายาทให้พระชายาหลิวออกตามหาข้า เพื่อจะจับตัวไ
ซางจูที่ไปตามข่าวของเยว่ซูหั่ว กลับมาแจ้งว่า “นายหญิงเยว่ให้ข้านำจดหมายมามอบให้” สวีหรันเฟยรีบเปิดจดหมายอ่าน พบว่า อีกฝ่ายอาการดีขึ้นมาก และคนที่ช่วยเขียนจดหมายคือหมอเจี่ยง“ข้าอาจทำให้ทุกคนเดือดร้อน รัชทายาทกำลังวางแผนร้าย...” สิ่งอยู่ในเนื้อความจดหมายคล้ายเรื่องราวหนหลังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เซียวตันเหวิน(รัชทายาท) เป็นคนปลิ้นปล้อนหลอกใช้ผู้อื่นไปทั่ว แต่เดิมเขายืมมือน้องชายคนที่สาม จัดการผู้ที่ขวางทางเขา สุดท้ายก็ส่งเซียวเหิงจิ้นลงหลุมด้วยน้ำมือคนที่เขารัก แล้วโยนความผิดให้สามสกุลใหญ่ หนึ่งในนั้นคือสกุลสวี และยามนี้ รองแม่ทัพเผย ได้รับตราเคลื่อนพลและเขาย้ายข้างไม่สนับสนุนรัชทายาท นี่คือเรื่องที่ชวนให้หนักใจ ซึ่งหมายความได้ว่าเมืองเผิงเป็นเป้าหมายที่รัชทายาทจะใช้บีบเผยอี้ฮุ่ยให้เปลี่ยนใจกับมาเป็นสุนัขรับใช้ของตน “อาจู... เจ้ารับใช้เจี่ยเยว่มานาน และหวังว่าจะทำหน้าที่นี้ต่อไป ตัวข้ายังพอมีประโยชน์บ้าง หากยับยั้งภัยที่จะเกิดขึ้นกับชาวเมืองเผิงได้ย่อมดี” ที่สวีหรันเฟยกล่าวเช่นนั้นกับซางจู ด้วยอีกฝ่ายแม้เป็นบ่าวของเยว่ซูหั่ว แต่ได้รั