ขันทีไม่แท้ การนั่งรถม้าไปยังจวนรับรองของเผยอี้ฮุ่ย ผู้เป็นรองแม่ทัพประจิม สร้างความอึดอัด และครั่นคร้ามใจแก่สวีหรันเฟยเหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น คงเพราะในหัวคิดสิ่งต่างๆ ว้าวุ่นไปหมด ซึ่งในห้วงเวลาหนึ่งนางรู้สึกคลับคล้ายว่า คุ้นเคยชายร่างสูงคนนี้ ผิดแต่ชื่อของเขา และเรื่องราวในหนหลังดูเหมือนจะถูกลบหายไปจากหน่วยความทรงจำ ส่วนในยามนี้รับรู้ได้ว่า เจิ้นหลี่ฉางมีหน้าที่สำคัญในการมาเมืองเผิง ซึ่งสำคัญต่อบ้านเมืองยิ่ง “ท่านเป็นผู้ใด และยื่นมือเข้าช่วยข้า มีประสงค์ร้ายหรือดี” สวีหรันเฟยถาม ทั้งระแวง ซึ่งนางออกมาเพียงลำพัง ไม่มีซานซือคุ้มครอง แม้ไม่กลัวอันตราย แต่ซานซือเคยบอกว่าในอดีต ตัวนางมีศัตรูที่จ้องเอาชีวิตตลอด อย่างไรก็ให้ระวังเอาไว้ ฝ่ายเจิ้นหลี่ฉาง อมยิ้มในสีหน้า ท่าทางที่ขึงขังก่อนหน้ากลับผ่อนคลาย และยังส่งความอบอุ่นมาถึงสวีหรันเฟย “บอกตามตรงข้าไม่เบื่อหรอกนะ หากเราต้องทำความรู้จักกันใหม่ อีกสักร้อยหน พันหน” สวีหรันเฟยเลิกคิ้วสูง และฉงนหนัก “อย่าเล่นลิ้น ข้าต้องการความจริง” “โถ กำลังจะเป็นมารดาผู้อื่นแล้ว เจ้าคงต้องการพ่อทูนหัวของเ
ข้อตกลง ภายในห้องโถงรับรองอันกว้างขวางเมืองเผิง ฝ่ายเผยอี้ฮุ่ยหงุดหงิดยิ่งนัก เขาต้องการให้หมอจากสำนักแพทย์ช่วยตรวจสมุนไพร และยาที่รับมาจากต่างแคว้น เพื่อทำการซื้อขายกับต่างชาติเพื่อใช้ในกองทัพ ทว่าคนเหล่านี้ หัวโบราณ ทั้งยังบอกว่าสิ่งเหล่านี้หากต้องการให้ปรุงเป็นยา ย่อมใช้เวลานาน และต้องศึกษาอย่างน้อยก็ราวๆ ครึ่งปี ถึงจะสามารถนำเข้าไปใช้กองทัพได้ นอกจากนั้นยังมีสถานการณ์เร่งด่วน ยามนี้มีโรคระบาดที่ส่งผลแก่กองทัพเขา ซึ่งต้องระวังเป็นอย่างมาก รวมถึงตัวเขามีอาการคล้ายคนเป็นไข้มาสองสามวัน และรู้สึกแสบๆ คันๆ ที่หางตากับในร่มผ้า เรื่องนี้เขายังไม่อาจเปิดเผยต่อผู้อื่น แต่ทหารคนสนิทซึ่งเขาเรียกใช้งานบ่อยๆ นั้น ยามนี้ป่วยหนักจนถึงขั้นนอนซม ที่เผยอี้ฮุ่ยย่อมทราบว่าเมืองเผิง มีกำลังผลิตสมุนไพรต่างๆ เป็นอันดับหนึ่งของแคว้น และเผยอี้ฮุ่ย อยากได้ส่วนแบ่งทางการค้า เขาต้องการเป็นนายหน้าโดยให้ญาติฝ่ายมารดาเป็นธุระจัดหา และนำมาขายให้กองทัพ ดังนั้นสำนักแพทย์เมืองเผิงที่เลื่องชื่อ ทั้งยังมีโรงยา โรงปลูกสมุนไพร หากลงความเห็นว่า สิ่งที่เขาให้ตรวจสอบมีคุณภาพดี ภายภาคหน้าเขาจะค้ากำ
ร่างไร้ศีรษะในตำหนักบูรพาเมืองหลวง แคว้นปู้โจว ตำหนักบูรพา เป็นเวลาหัวค่ำที่บรรยากาศเงียบ และหนาวเย็นอยู่สักหน่อย ในห้องทำงานกว้าง ร่างเซียวตันเหวิน (รัชทายาท) เกือบพลัดตกเก้าอี้ เพราะหลังจากได้รับข่าวจากขันทีคนสนิท ซึ่งฝ่ายนั้นแจ้งว่า ตำหนักวิเวิก ถูกไฟไหม้ และมีความเสียหายอย่างหนัก แต่สิ่งที่ทำให้เขาตื่นตระหนก เป็นเพราะสุสานลับใต้ดินพังทลาย เมื่อเข้าไปค้นร่างที่ถูกฝังเอาไว้ กลับหายไป และดูเหมือนว่าในโลงศพศิลา ไม่มีได้ร่างของคนผู้นั้นอยู่บัดซบ เรื่องเช่นนี้ไม่สมควรเกิดขึ้น ในช่วงเวลาที่เขาต้องการอำนาจให้มาอยู่ในมือ อีกทั้งบิดากลับมาแข็งแรงเช่นเดิม ไม่มีทางว่าจะสิ้นลมหายใจเหมือนก่อนหน้านี้ นั่นย่อมหมายความว่า ผู้เป็นฮ่องเต้อาจคิดเปลี่ยนรัชทายาทคนใหม่ และเขาจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น ยังไม่ทันที่เซียวตันเหวินจะได้คิดสิ่งใดให้กระจ่างแจ้งหลิวเสี้ยนผู้เป็นพระชายาพลันกรีดร้องลั่น นางไม่ได้สวมเสื้อ ด้านล่างเป็นกางเกงชั้นในตัวบาง วิ่งเข้ามายังห้องทำงานของรัชทายาท หญิงสาวส่งเสียงไม่หยุด ก่อนหน้านี้ก็ล้มลุกคลุกคลานมาตามพื้น แต่แข็งใจ บ่ายหน้าออกวิ่งไม่หยุด นางกลั
ลูกหมูของรองแม่ทัพ โถงรับรองที่ว่าการเมืองเผิง ดวงตากลมโตกวาดมองของบนโต๊ะที่มีอยู่มากมาย และสวีหรันเฟยเอ่ยด้วยน้ำเสียงชัดเจน และเป็นท่าทีของผู้มีความรู้ “ของพวกนี้เป็นสมุนไพรช่วยผ่อนคลาย และทำให้ร่างกายแข็งแรง ซึ่งอย่างที่นักปราชญ์กล่าวไว้ การไม่มีโรคย่อมเป็นลาภอันประเสริฐ ร่างกายดี มาจากการกินอาหารดี เช่นนั้น โรคภัยต่างๆ ย่อมไม่กล้ำกราย และช่วยให้หมอในสำนักแพทย์เบาแรง” เผยอี้ฮุ่ยพยักหน้าๆ และรู้สึกว่าตนละอายใจที่เคยเหยียดหยาม ทั้งล่วงเกินอีกฝ่ายก่อนหน้านี้ แต่ให้ทำอย่างไรได้ เมื่อเห็นใครน่ารัก มีเสน่ห์ เขามักจะก่อกวนเพื่อเรียกร้องให้อีกฝ่ายสนใจ กล่าวได้ว่าเผยอี้ฮุ่ยเข้าหาคนไม่เก่ง เขามักใจร้อน บุ่มบ่าม นอกจากนั้นยังทำตัวได้แย่เสมอ หากพบคนถูกใจ “แม่นางจ้าวคนงาม” สวีหรันเฟยยกมือห้ามอีกฝ่าย พลางคิดใคร่ครวญอยู่ประเดี๋ยวก็บอกรองแม่ทัพว่า “หากต้องการให้เกียรติข้า จงเรียกว่านายหญิงจ้าวเถิด” เผยอี้ฮุ่ยยิ้มกว้าง และหัวเราะเสียงดัง “ฮ่าๆ ดีๆ เรียกเช่นนั้นนับว่าเหมาะสม” สวีหรันเฟยไม่ได้ตอบ แต่คนที่ฉุนหนัก และปัดถ้วยนำชาซึ่
ลูกชาย(จอมปลอม)ที่พลัดพราก พ่อบ้านซึ่งถูกส่งตัวให้มาดูแลความเรียบร้อยที่เรือนรับรองต้องปวดหัวหนัก เมื่อครู่มีหนูวิ่งผ่านเข้ามาด้านใน เขาต้องตามจับจนวุ่นวาย ตอนนี้เป็นแมลงสาบ ก่อนจะเห็นแมวสีเทาตัวอ้วนวิ่งหายไปด้านใน กระทั่งเดินออกไปตรวจสอบความเรียบร้อยที่พื้นที่เตรียมลำเลียงอาหารไปยังโถงจัดเลี้ยง เขาพบเด็กชายวัยสิบขวบต้นๆ ฝ่ายนั้น แขนขายาวเก้งก้าง ยืนตาขวางราวกับไม่สบอารมณ์ต่อทุกสิ่ง เด็กชายแต่งตัวคล้ายพวกยาจก ถือพัดใบลานที่สภาพดูแทบไม่ได้ มันขาดแหว่ง และเป็นรู อีกมือหนึ่งเป็นลำไม้ไผ่ยาวราวหนึ่งช่วงตัวผู้ใหญ่ ประเมินแล้วคงเป็นอาวุธ เนื้อตัวดูเหนียวเหนอะหนะ น้ำคงไม่ได้อาบน้ำมานาน ทว่ามีเรื่องน่าประหลาด เพราะไร้กลิ่นเหม็นเน่า แต่พอเข้าไปใกล้ๆ กลับสัมผัสได้ถึงไอเย็นราวกับหลุดเข้าไปในถ้ำน้ำแข็ง พ่อบ้านโบกมือไล่ แต่เด็กชายทำเฉยเมย ดวงตาคมๆ นั้นแดงก่ำอย่างผิดปกติ “ไอ้คนชั้นต่ำ เข้ามาในพื้นที่ด้านในได้อย่างไร” คนที่ถูกต่อว่าแยกเขี้ยวขู่ ท่าทางดุร้ายยิ่ง “หิว ข้าต้องการอาหาร” “เฮอะ มันใช่ที่ซึ่งเจ้าจะมาเดินเผ่นผ่านหรือ เนื้อตัวสกปรก และสา
เจิ้นหลี่ฉางถลึงตาใส่เด็กน้อย อายุเพียงเท่านี้ ฝีปากดีเกินวัย ทำให้เขาอยากจับมัด ปล่อยให้อดข้าวอดน้ำสักสามวันสามคืนเสียจริงๆ “รีบไปหาแม่นมของเจ้าเสีย ไม่ก็ไปนอนเล่นให้อ้วนฉุ จนลุกเดินไม่ได้ อย่ามากวนใจผู้ใหญ่” “ไม่ใช่เรื่องของผู้ใหญ่ขอรับ แต่เป็นเรื่องของอันกั๋วกับมารดาเลี้ยง และข้าต้องดูแลนาง” “กั๋วเอ๋อร์ อย่าทำนิสัยไม่น่ารัก หากยังไม่หยุด ข้าจะสั่งให้คุกเข่าสำนักตนสักครึ่งวัน”เผยอันกั๋วมองหน้าสวีหรันเฟยและเม้มปาก พร้อมกลั้นน้ำตาที่มันเจียนจะไหลออกมาอย่างรวดเร็ว “ท่านแม่ขอรับ หากลูกผิด ลูกพร้อมยอมรับโทษ โดยไร้เงื่อนไข” เมื่อเด็กชายทำตาแดงๆ และกำลังกลั้นก้อนสะอื้น ฝ่ายสวีหรันเฟยที่อาการดีขึ้น จึงกวักมือเรียกเขา เพื่อจะปลอบขวัญ ทว่าเป็นตอนนั้นที่ จู่ๆ เกิดเสียงดังโหวกเหวก “ท่านแม่ ท่านแม่คนงามขอรับ ลูกรักของท่านโดนรังแก ท่านแม่ สกุลจ้าวกำลังจะสิ้นทายาทแล้ว!” เสียงดังกล่าวดังมาก ก่อนที่จะมีร่างหนึ่ง วิ่งหลบหน้าหลบหลังจากพ่อบ้าน และมายืนอยู่ต่อหน้าสวีหรันเฟย เจิ้นหลี่ฉางที่มีองครักษ์เงาติดตามตัวเสมอ ส่งสัญญาณออกไป เพียงเท่
โหมวเซียนเมามาย ในห้องโถงรับรองสวีหรันเฟยต้องยอมรับว่าตนกระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก การปรากฏตัวของเด็กน้อยขอทาน ที่อ้างว่าตน ชื่อจ้าวซุ่นอี้ ดูอย่างไรก็มีนัยยะแอบแฝง ตอนนี้นางอยากพบตัวซานซือเหลือเกิน อีกฝ่ายคงให้คำตอบเรื่องต่างๆ แก่นางได้บ้าง เมื่อสีหน้าสวีหรันเฟยเครียด และนั่นจึงทำให้เจิ้นหลี่ฉางถามอย่างห่วงใย “เสี่ยวเฟย หากไม่สบายใจ ข้าจะให้คนจับขอทานน้อย ออกนอกเมืองดีหรือไม่ ไม่อย่างนั้น ก็ทำให้มันหายสาบสูญไปจากโลกนี้ ย่อมดีที่สุด” แต่เดิมสวีหรันเฟยไม่ได้ใส่ใจคนผู้นี้ และไม่ได้รำคาญ ทั้งยินดีรับน้ำใจที่อีกฝ่ายช่วยเป็นธุระพามาพบรองแม่ทัพเผย แต่พอเขาแสดงอำนาจไม่ต่างจากเผยอี้ฮุ่ย ฝ่ายสวีหรันเฟยก็เริ่มชังน้ำหน้า “ใต้เท้าเจิ้น ชีวิตผู้อื่นล้วนมีค่า อีกอย่างแม้ท่านแสดงออกว่า รู้จักข้าอย่างเปิดเผย ทว่าให้ตายเถอะ ข้าจดจำเรื่องราวระหว่างเราไม่ได้เลย และในหัวตอนนี้มันว่างเปล่า...” สวีหรันเฟยกล่าวจบ ยามนั้นก็มีเสียงหัวเราะขบขันลอยมา เสียงดังกล่าวทำให้เจิ้นหลี่ฉางขมวดหัวคิ้ว และสงบปากลง ก่อนนางจะมองเห็นร่างเจ้าเนื้อของเผยอันกั๋วที่วิ่งตุ้บตับเข้ามา
สวีหรันเฟยมองไปยังหมออีกหลายคนที่นั่งอยู่ พวกเขาละล้าละลัง ต่ออาหารคำเดียวตรงหน้า หากสุดท้ายก็ไม่อาจทนต่อกลิ่นอันเย้ายวน “ข้ายังยืนยันว่า ปรุงสมุนไพรเหล่านี้เป็นอาหาร และพวกท่านก็ศึกษาตำราแพทย์มามิน้อย ไฉนถึงกลัวคนครัวต่ำต้อยผู้หนึ่ง จนไม่กล้าหยิบของตรงหน้าเข้าปาก!” สิ่งที่นางกล่าวท้าทายหมอเหล่านั้น กระทั่งทุกคนส่งมันเข้าปากเรียบร้อย จึงมีสีหน้ายิ้มแย้ม พร้อมกับมองมาที่สวีหรันเฟย “อ่อ มีเรื่องสำคัญที่ข้าลืมบอกทุกท่าน เมื่อกินอาหารที่ข้าปรุงแล้ว มันคือการเปิดปุ่มรับรสชาติใหม่ ๆ ความยาก ความโหยหาจะมีมากกว่าเดิม ซึ่งหวังว่า เรื่องนี้คงไม่ทำให้ทุกคนลำบากในภายภาคหน้า!” “มะ หมายความว่าอย่างไร” จู่ๆ เจิ้นหลี่ฉาง ต้องชะงักมือ ด้วยเขากำลังจะหยิบใบกัญชาทอดเข้าปากอยู่พอดี สวีหรันเฟยคนใหม่นี้ สำเร็จวิชามารถึงขั้นปรุงอาหารเป็นยาพิษหลอกล่อผู้คนได้แล้วหรือ “โถ อาหารข้าย่อมเป็นยาวิเศษ ข้าแค่อยากบอกว่า ฝีมือข้า จะทำให้ผู้ที่ได้กิน ระลึกถึงเสมอ เพียงเท่านั้นเอง” แม้สวีหรันเฟยบอกอย่างไม่ปิดปัง แต่เจิ้นหลี่ฉางสังหรณ์ใจไปในทางร้าย พอเขาหันไป
ครึ่งเดือนต่อมา รถม้าของเผยอันกั๋วออกจากสถานศึกษา มุ่งตรงเข้าเมืองหลวง ครั้งนี้เขาตั้งใจไปเยี่ยมแม่เล็ก (สวีหรันเฟย) ทว่าเดินทางได้ไม่ทันไร ก็มีกลุ่มมือสังหารไม่ทราบฝ่ายปิดล้อมรถม้าของเขา “ผู้ใดอยู่ในนั้น จงลงมาด้านล่างเดี๋ยวนี้” เผยอันกั๋วแม้ไม่ได้มีทหารของบิดาติดตามเหมือนเมื่อครั้งเยาว์วัย แต่เขาไม่ได้กลัวตาย ยิ่งกว่านั้นก็พอจะรู้วิธีเอาตัวรอดได้ ชายหนุ่มเปิดหน้าต่างรถม้า กวาดตามองคนที่ออกคำสั่ง “พวกเจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่ และรู้หรือไม่ กฎหมายต้าโจวรุนแรงหากคิดทำร้ายผู้อื่นจนเสียชีวิต อีกอย่างแต่งกายเช่นนั้น ดูอย่างไรก็ไม่ใช่พวกมือขาวสะอาด” “ฮ่าๆ ๆ มือพวกข้ากำลังจะเปื้อนเลือดเจ้าอยู่นี่ไง” “ช้าก่อน ข้าไม่รู้จักพวกเข้า อีกอย่างเราไม่ได้มีเรื่องบาดหมางกัน” “ถูกต้อง เพียงแค่ตอนนี้ มีคนสั่งให้พวกข้ากวาดล้าง พวกมีความรู้ โดยเฉพาะบุรุษที่ท่าทางเหมือนแพทย์ หรือ อาจารย์เช่นเจ้า”คนที่กล่าวช่างไร้เหตุผลยิ่ง และนั่นก็ทำให้เผยอันกั๋วเตรียมของบางสิ่งที่พักติดตัว เพื่อใช้ถ่วงเวลาในการหลบหนี ชายหนุ่มส่งสัญญาณให้คนขับรถม้า เพื
ตัวละคร เซียวเจ๋อ บุตรชายคนโต(แฝดพี่) ของสวีหรันเฟย เซียวจ้าน บุตรชายคนเล็ก(แฝดน้อง) ของสวีหรันเฟย เผยอันกั๋ว ลูกชายแม่ทัพใหญ่ หลินซีโม่ แม่ทัพหญิงตอนพิเศษ โฉมงามของท่านแม่ทัพ ชายหนุ่มกำลังต้องใช้ความคิดอย่างหนัก นี่เขาต้องแต่งงานกับสตรีใจร้ายและรูปร่างราวกับบุรุษ เนื้อหนังก็แข็งไปทุกส่วน หาความนุ่มนิ่มไม่พบ แล้วยังชอบใช้ชีวิตกลางดินกลางทราย มีทหารอยู่ในมือหลายหมื่นชีวิตเช่นนั้นจริงๆ หรือ ชีวิตนี้นับแต่ได้พบแม่เลี้ยง เผยอันกั๋วก็ตั้งใจจะศึกษาเรื่องอาหาร สมุนไพร จวบจนได้ตั้งสำนักศึกษาอย่างสันโดนบนภูเขา หากสุดท้ายบิดามีคำสั่งให้เข้าเมือง เพื่อไปสมรสพระราชทานกับสตรีคนนั้น ที่เขารู้เพียงว่า นางคือแม่ทัพหญิง เมืองนอกด้าน ก่อนหน้านั้น เผยอันกั๋วได้ สวีหรันเฟย ดูแลเขา และนั่นทำให้เขาอยากใช้ชีวิตเช่นนาง คอยช่วยเหลือผู้คน พร้อมมีความสุขกับเรื่องเรียบง่าย ส่วนบิดาบุญธรรม ก็ไม่ต่างจากบิดาแท้ๆ ของเขา ทั้งคู่ต่างอยากให้เผยอันกั๋ว มีความรู้ความสามารถทางด้านทหาร ด้วยจะเป็นกำลังหลักในการปกป้องบ้านเมือง ทว่าเมื่อเขาเลือกใช้ชีวิตอย
บทส่งท้าย สามเดือนผ่านไป เซียวเหิงจิ้นเข้ามาดูคนงามของเขาสองหนแล้ว และสั่งให้ซานซือเป็นธุระเรื่องทำความสะอาดรอบๆ เรือนรับรองแห่งนี้ ซึ่งอยู่ในสถานที่คนนอกไม่อาจเข้ามาถึงได้ง่ายๆ โดยที่เซียวเหิงจิ้นได้เตรียมการไว้ตั้งแต่เขาฟื้นออกมาจากหลุมศพ มันแปลกประหลาดไปทั้งหมดนั่นแหละ แต่จะว่าไปแล้ว บุรุษผู้นี้ ไม่ว่าช่วงเวลาที่หายใจ หรืออยู่ในหลุมศพ ฝ่ายเขาก็เอาแต่คิดเรื่องสวีหรันเฟย แม้ปากจะร้าย แกล้งใช้คำขู่สารพัด หากเนื้อแท้ในใจเซียวเหิงจิ้นไม่เคยที่จะโกรธแค้นต่อนาง นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่า ชีวิตของสวีหรันเฟยตั้งแต่เกิด จนต้องมารับใช้บิดาทำงานสกปรก เพื่อเป็นที่สนใจของรัชทายาทนั้น ก็เพื่อช่วยมารดา และน้องชายให้อยู่รอดปลอดภัย “ทั้งรองแม่ทัพเผย และขุนนางเจิ้น ทั้งคู่นั้นให้รออยู่ด้านนอก ข้าไม่อนุญาต ห้ามเดินเผ่นผ่านเด็ดขาด” “เอ่อ แล้วคุณชายน้อยอันกั๋วละขอรับ เรียกร้องจะมาหาชินอ๋อง และแม่นางสวีตลอดเลย” “เฮ้อ... เด็กอ้วนคนนี้ คงถูกตามใจจนเคยตัว เอาล่ะให้เขาเข้ามาได้ แต่ข้าจะจับตาดูตลอด และบอกว่า เขามีเวลาเพียงชั่วหนึ่งก้านธูปดับที่จะพบภรรยาข้า” เซี
ตัวร้ายที่สุดย่อมเป็นท่าน สิบห้าวันต่อมา ณ ป้อมไม้ดำ สวีหรันเฟยรู้ว่าอาการของเซียวตันเหวินหนักหนาพอสมควร ด้วยข้อมือเขาขาดซึ่งเกิดจากการถูกผู้ติดเชื้อกัด จากนั้นเพื่อปกป้องไม่ให้ตนต้องกลายเป็นผีดิบ เขาเลยตัดมือตนทิ้งทันที ทว่าตอนแรกมีการรักษาที่ไม่ถูกต้องทำให้เขาเกือบเอาชีวิตไม่รอด กระทั่งได้สวีหรันเฟยช่วยเหลือ และสิ่งที่น่าประหลาดใจ สวีหรันเฟยไม่ใช่แค่เชี่ยวชาญสมุนไพร แต่การรักษาแผล และเย็บแผลเขาก็ทำได้ดี ทั้งหมดคือความชำนาญจากการเป็นแพทย์โลกเดิม “เสี่ยวเฟย ข้านึกไม่ถึงว่า สุดท้ายก็เป็นเจ้าที่ดึงข้าพ้นจากมือพญายม” “กล่าวเกินไปแล้ว ข้าอยากเป็นหมอ มากกว่ามีฉายาว่าโอสถพิษ เรื่องนี้รัชทายาทสมควรรู้” และในยามนี้ ซานซือเข้ามาในป้อม ทำหน้าที่ช่วยสวีหรันเฟยเนื่องจากข้างใน แพทย์ไม่เพียงพอ อีกทั้งพวกเขาไม่รอบรู้เท่าซานซือที่ติดตามสวีหรันเฟยมานาน ในการรักษารัชทายาท รวมถึงคนอื่นๆ ซึ่งมีอาการบาดเจ็บ ซึ่งสวีหรันเฟยมีสมุนไพรดี อีกทั้งนางให้คำแนะนำในการทำความสะอาดแผล ฆ่าเชื้อด้วยสุรา อีกทั้งการเย็บแผลด้วยไหมรวมถึงการใช้ไฟสำหรับปิดปากแผลเพื่
กองทัพผีดิบ ยามนั้นมีสายตาของผู้ติดตาม และองครักษ์คนสนิทเตรียมจะทักทวง แต่สวีหรันเฟยก็มือเร็วรีบยื่นมือไปรับป้ายคำสั่ง พร้อมใช้เข็มเงินฝังที่ลำคอของเซียวตันเหวิน “แค่ป้ายยังไม่พอ อ๋องเหวินต้องบอกพวกเขาให้เคารพข้าด้วย” “นับแต่นี้ คุณชายรองฮั่ว จะเป็นหมอประจำตัวข้า สิ่งที่ใดที่เขาทำย่อมเป็นข้าสนับสนุน” กล่าวจบ จู่ๆ เซียวตันเหวินก็ค่อยๆ อ่อนแรงลง เผยอันกั๋วเป็นเด็กอยากรู้อยากเห็น แต่ไม่ใช่คนดื้อรั้น หรือชอบสร้างปัญหา ทว่าหนนี้ เขาได้ยินเสียงร้องโหยหวน และรู้ว่ามีการบุกรุกของบางสิ่งที่ทำให้เขานอนไม่รับ และเผยอันกั๋วมีซางจูคอยดูแลอยู่ด้วย รวมถึงหน่วยคุ้มกันที่บิดาเตรียมไว้ให้ “พี่จูจู ข้าอยากไปดูตรงนั้นสักหน่อย” “คุณชายน้อย อันตรายอยู่นะขอรับ ตอนนี้จวนจะได้เวลาออกนอกเมือง ไปซ่อนตัวแล้ว” “แต่ข้าเห็นว่ามีหนูวิ่งไปตรงนั้น และก็ได้ยินเสียงคนร้องด้วย” ซางจูไม่อยากตามใจ แต่เขาก็ได้ยินอย่างที่เด็กชายบอก “ให้พี่ไปสำรวจก่อน คุณชายน้อยรออยู่สักประเดี๋ยว”กลาวจบซางจูก็พุ่งตัวไปอย่างเร็ว คนผู้นี้ติดตามเยว่ซูหั่วมาหลายปี และเขาก็พอ
“เสี่ยวเฟย ไม่ช้าก็เร็วทุกคนต้องอยู่ใต้แทบเท้าข้า ส่วนเจ้า หากทำตัวดี ข้าจะโอกาสรับใช้อย่างใกล้ชิด” คิ้วโก่งเรียวสวยเลิกขึ้น ก่อนที่สวีหรันเฟยจะถามอีกฝ่าย “อ๋องเหวิน มั่นใจหรือว่าตำแหน่งรัชทายาทของท่านยังจะอยู่ในมือต่อไป หากข้าคาดการณ์ไม่ผิด ที่ท่านออกจากเมืองหลวง และใช้วิธีแสนสกปรกก่อตั้งทัพผีดิบขึ้นมาอีกครั้ง ก็เพราะจะใช้เป็นเครื่องมือ ในการบีบให้มีการเปลี่ยนฮ่องเต้องค์ใหม่ และเมื่อท่านแจ้งใจว่า เผยอี้ฮุ่ย ได้รับคำสั่งให้ปกป้องบ้านเมือง และกลับไปขึ้นตรงต่อฮ่องเต้ ตัวท่านก็ร้อนใจหนัก จนทำเรื่องเสียหายมากมาย อีกทั้งตอนนี้ยัง...พลาดพลั้งจนพาตัวเองไปถูกกัด สุดท้ายถึงขั้นต้องตัดมือข้างหนึ่งทิ้ง” เรื่องที่เขาถูกกัด และตัดมือ สาเหตุที่แท้จริงถูกเก็บไว้เป็นความลับ แล้วเหตุใดสวีหรันเฟยถึงล่วงรู้ได้ “เสี่ยวเฟย ใครบอกเรื่องนี้กับเจ้า... เป็นสตรีโง่เขลาหลิวเสี้ยนใช่หรือไม่” “สตรีของท่านไม่ได้มีความสามารถมากนัก นางได้แต่ใช้คนทำเรื่องบัดซบ จับตัวผู้อื่น ไปทรมาน และยัง...คิดจะกำจัดทายาทของท่านด้วย เรื่องนี้มีผู้ใดรายงานแล้วหรือไม่” เซียวตันเหวินเครีย
หากเป็นผู้อื่นคงกลัวเหล่าผีดิบจะออกมาจากที่ซ่อน แต่คนที่มาจากโลกคู่ขนาน ย่อมประเมินสถานการณ์ได้ และยามนี้เหล่าผีดิบ ไร้จิตวิญญาณและสิ่งที่นางได้ยินคือความคิดในห้วงสุดท้าย ผสมปนเปกับสิ่งที่พวกมันสำนึกได้คือความหิว อยากจะกินอยู่ตลอดเวลา นั่นจึงทำให้กัดทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า สวีหรันเฟยขี่ม้าตัวโต และหยุดอยู่หน้าประตูที่ป้องกันแน่นหนา อีกทั้งมีหลายชั้น ป้อมไม้ดำเซียวตันเหวินออกแบบไว้นานแล้ว และสร้างขึ้นตั้งแต่เขายังเยาว์วัย “ข้าต้องการเจรจากับรัชทายาท” สวีหรันเฟยแจ้งความประสงค์ เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ ก่อนที่ประตูบานเล็กจะเปิดต้อนรับสวีหรันเฟย “มีคำสั่งจากรัชทายาท ข้างในนี้ต้อนรับเพียงแค่คุณหนูร้องสวีเท่านั้น!” ซานซือที่ขี่ม้าตามหลังมา เดือดขึ้น เขาดูแลสตรีผู้นี้มาตั้งแต่เยาว์วัย และรักสวีหรันเฟยมากกว่าชีวิตของตน “นายหญิงน้อยรัชทายาทปลิ้นปล้อน และไว้ใจไม่ได้ เมื่อก่อนข้าเตือนท่านหลายครั้งหลายหน แต่นี่จะเป็นอีกครั้งที่ข้าขอย้ำให้แน่ชัด คนผู้นี้ไร้สัจจะ และยังสร้างเรื่องโป้ปดท่านเสมอ” สวีหรันเฟยมองซานซือ บ่าวผู้นี้จงรักภักดีต่อนาง
เผชิญหน้ากับอดีตคนรัก สวีหรันเฟยก้าวออกมายืนนอกกระโจม นางพบทหารหลายคนที่กำลังเตรียมเดินทางไปช่วยที่ด่านหน้า และซานซือก็อยู่บริเวณนั้นด้วย“นายหญิงน้อย ยามนี้อาเจี้ยนส่งข่าวมา เมืองเผิงปิดแล้ว ห้ามผู้ใดเข้าออก และรอบๆ มีดิบป้วนเปี้ยนไปมา” “เวลาไม่กี่คืน เหตุใด เชื้อร้ายถึงแพร่เร็วอย่างนี้” ซานซือสูดลมหายใจลึก และตอบกลับ “ความจริง พวกผีดิบมากับขบวนของพระชายาหลิว อีกอย่าง...อาเจี้ยนมาจากเมืองหลวง เคยเล่าว่ามีคนตายแล้วฟื้น ลุกขึ้นมากินของดิบๆ และกัดซากศพสัตว์ที่ตายแล้ว” สวีหรันเฟยหนักใจอย่างที่สุด นางคิดถึงโรคที่จากมาเชื้อร้ายที่ทำให้ซากศพฟื้นชีวิต และจุดจบของผีดิบเหล่านี้คือ ต้องตัดหัวและเผาร่าง ส่วนทุกคนหากอย่างมีชีวิตรอดก็ห้ามถูกกัด หรือถูกผีดิบทำร้ายจนเกิดแผล “คนตายแล้วฟื้น ยามนี้ยังมียารักษา เราแค่ป้องกันไม่ให้ได้บาดเจ็บ ห้ามได้แผลที่เกิดจากผีดิบเหล่านั้น นี่คือทางรอดที่ง่ายที่สุด และต้องกำจัดพื้นที่ของพวกมันเอาไว้” “รองแม่ทัพเผย และใต้เท้าเจิ้น ได้เตรียมการเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน พวกเขาเตรียมล่อมันไปที่สุสานใต้ดิน และขังเอาไว้ในนั้น”
เตรียมรับมือ เผยอี้ฮุ่ยมีสีหน้าเครียดจัด และหนักใจอย่างที่สุดเมื่อได้รับข้อมูลจากทหารว่า สวีหรันเฟยกำลังมุ่งหน้ามาหาเขาที่ค่ายทหาร ชายหนุ่มไม่รอช้ารีบขึ้นควบม้าออกไปพบอีกฝ่ายทันที ยามนี้เขาประจักษ์แจ้งว่า คนที่เผยใบหน้าที่แท้จริงของอีกฝ่ายนั้น งดงามล่มเมืองเพียงใด อีกทั้งกลิ่นกายก็หอมหวานจนเผยอี้ฮุ่ยทำตัวไม่ถูก “แม่ของลูกกั๋ว เหตุใดทั้งมาหาข้ากลางดึกเช่นนี้ อันตรายนัก” “รองแม่ทัพเผย เรียกข้าว่า อาเฟิ่งเถิด...” “ได้น้องเฟิ่ง เท่าที่สืบรู้ เมืองเผิงกำลังมีภัย และข้าได้แบ่งทัพบางส่วนไปคุ้มกัน อีกไม่เกินห้าชั่วยามก็เดินทางไปถึง” “ท่านวางแผนได้ดี แต่ข้าได้อยากลดการปะทะ และเปลี่ยนเป้าหมาย เพื่อให้รัชทายาทไม่อาจทำร้ายผู้บริสุทธิ์” เผยอี้ฮุ่ยรู้สึกเลื่อมใสสวีหรันเฟยอีกฝ่ายแม้จะเคยเป็นโฉมงามล่มเมือง แต่ยามนี้เขากลับไม่เห็นภาพดังกล่าว หากเป็นภาพของคนที่สง่า แฝงด้วยความรอบรู้ ทั้งดูเปี่ยมเมตตา “บอกแผนของเจ้ามาเถิด” “คนผู้นั้นฟื้นคืนมาแล้ว และยังไม่มีใครพบตัวเขา หากข้าเดาไม่ผิด รัชทายาทให้พระชายาหลิวออกตามหาข้า เพื่อจะจับตัวไ