“เป็นเยี่ยงไรบ้างเพคะเจ้านางน้อย รู้สึกดีหรือไม่” เพียงแค่ฉันลืมตาตื่นเสียงทักก็ดังขึ้น จึงหันไปมองพบเป็นกาลัดที่นั่งอยู่ข้างเตียง
“อืม หลับสนิทดี แล้วนี่กลีบบัวไปไหนล่ะ?” ฉันพยุงตัวลุกนั่งทั้งที่ยังมีอาการงัวเงีย ไม่เห็นกลีบบัวจึงได้ถามขึ้น
“ห้องครัวเพคะ เตรียมสำรับให้เจ้านางน้อย” กาลัดตอบ
“ตอนนี้กี่โมงกี่ยามละ” ฉันถามกาลัดทั้งที่ยังสะลืมสะลือมือขยี้ตาเบา ๆ
“ย่ำค่ำแล้วเพคะเจ้านางน้อย” กาลัดตอบฉัน และมันก็ทำเอาตาฉันสว่างโล่ เพราะงุนงงกับเวลาที่กาลัดบอก
“ย่ำค่ำนี่กี่โมงวะ” ฉันเกาหัวงึมงำกับตัวเอง “เออย่ำค่ำก็ย่ำค่ำ”
“เจ้านางน้อยทรงตรัสว่ากระไรหรือเพคะ” กาลัดถามพลางขมวดคิ้วงง
“ไม่มีอะไรหรอก บ่นไปเรื่อยน่ะ” ฉันฉีกยิ้มแล้วตอบเธอ
“กลีบบัวไปนานนัก ทำให้เจ้านางน้อยต้องคอยอยู่นาน” กาลัดบ่น พร้อมกับชะเง้อมองไปทางบานประตู
“เออนี่กาลัด แล้วถ้าฉันอยากจะอาบน้ำล่ะต้องไปตรงไหน”
“สระบัวแก้วมรกตเพคะ เป็นสระส่วนพระองค์ที่เจ้าหลวงสร้างขึ้นเพื่อเจ้านางน้อยพระองค์เดียวอย่างไรเพคะ...ทรงลืมอีกแล้วรึเพคะ”
“ชื่อเพราะดีจัง”
“กลีบบัวมาพอดี”
ฉันกำลังนั่งคิดเพลิน ๆ ต้องชะงักเมื่อเสียงเปิดประตูดังขึ้น เป็นกลีบบัวที่มาพร้อมกับสำรับที่มีคนยกตามหลังเข้ามา
“ผ้าชุบน้ำเพคะเจ้านางน้อย จะได้รู้สึกสดชื่นขึ้น” กลีบบัวยื่นผ้าชุ่มน้ำมาตรงหน้า ฉันรับมาและทำตามอย่างว่าง่าย ก็ไม่รู้ว่าจะฝืนไปเพื่ออะไร ขนาดการมาที่นี่ฉันก็ยังจับจุดไม่ได้ด้วยซ้ำ
“ขอบใจนะ”
“จะ จะ เจ้านางน้อยพูดขอบใจบ่าวอย่างนั้นหรือเจ้าคะ ข้าหูฝาดไปไหมวะกาลัด”
มันแปลกตรงไหนกับการที่ฉันพูดแบบนี้ ทำให้ทั้งกาลัดและกลีบมองมองหน้ากันด้วยความงุนงง และฉันก็งงพวกหล่อนเช่นกัน
“ข้าก็เช่นกันกลีบบัว”
“อะไรกันอะ แค่พูดขอบใจเองนะแปลกตรงไหน?”
“ตรงที่เจ้านางน้อยไม่เคยพูดกับพวกหม่อมฉันอย่างไรเล่าเพคะ” กลีบบัวรีบตอบหน้าตาตื่น
“เป็นสตรีที่ขึ้นชื่อว่าสุดแสนจะเย็นชา แล้วมากล่าววาจาเช่นนี้กับบ่าวอย่างหม่อมฉันเลยรู้สึกแปลกหูเพคะ” กาลัดพูดเสริมต่อ
“ฉันเป็นคนแบบนั้นเหรอ? (“ไม่สินั่นไม่ใช่ฉัน แต่เป็นผณินทรต่างหาก”)” ฉันชี้นิ้วเข้าหาตัวเองด้วยความไม่เข้าใจ แต่ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้าไม่ใช่ตัวตนของตัวเองจึงเข้าใจได้
“เพคะ”
“หิวแล้วล่ะ”
“พวกเจ้ายกสำรับมาถวายเจ้านางน้อยได้แล้ว” กลีบบัวหันไปออกคำสั่งคำเหล่าบริวาร จากนั้นสำรับก็ถูกวางตรงหน้าของฉันมากมาย หน้าตาของอาหารสวยสดงดงาม จนฉันไม่กล้าจะตักเข้าปาก
“ทอดพระเนตรอยู่นานแล้ว เจ้านางน้อยไม่สบายพระองค์หรืออย่างไรเพคะ” กลีบบัวพูดขึ้นทำให้ฉันต้องละสายตาจากอาหาร แล้วมองไปยังเธอที่กำลังชักสีหน้าสงสัย
“หน้าตาอาหารดีเกินไปจนไม่กล้ากิน” ฉันให้คำตอบ
“เสวยเถิดเพคะ ประเดี๋ยวจะเย็นเสียก่อน” เป็นกาลัดที่พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
จากนั้นฉันก็ข่มใจตักอาหารเหล่านั้นเข้าปาก คำแรกที่ได้ลิ้มรสมันจะจับใจเสียเหลือเกิน มันอร่อยมากจนฉันอยากจะตะโกนดัง ๆ รสชาติอาหารทำให้ฉันลืมเรื่องหน้าตาไปหมดสิ้น ตอนนี้ฉันนั่งตักอาหารเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย จนท้องของฉันเริ่มจุกแน่น
“เอิ้ก! อุ๊ย!...โคตรอิ่มเลยอร่อยมาก” ฉันเผลอหลุดเสียงออกมาเพราะความอิ่ม จนรีบยกมือปิดปากแล้วมองไปทางกาลัดกับกลีบบัวด้วยความอับอาย ทั้งสองคนก็ก้มหน้าอมยิ้มก้ำกึ่งหัวเราะ คงเพราะเสียงเรออันน่ารักของฉันที่พ่นออกมาหลังกินข้าวเสร็จ
“ต่อหน้าผู้อื่นเจ้านางน้อยจะกระทำเยี่ยงนี้ไม่งามนะเพคะ” กลีบบัวผู้เรียบร้อยบอกฉันด้วยคำพูดอ่อนโยน
“จ้า ฉันรู้...แค่ลืมตัวไปนิดนึง”
“เจ้านางน้อยทรงสรงน้ำเลยหรือไม่เพคะ นี่ก็มืดมากแล้ว”
“อืม เหนียวตัวจะแย่”
หลังจากที่นั่งย่อยสักพักกาลัดก็พูดขึ้น เป็นอะไรที่ดีมากเพราะตั้งแต่ที่ฉันรู้สึกตัวน้ำยังกระทบผิวของฉันสักหยด การมาอยู่ตรงนี้แม้จะยังไม่ข้ามคืน ความคิดถึงและคะนึงหาครอบครัวก็ทำให้หัวใจของฉันหว้าเหว่เหลือเกิน แต่จะทำยังไงได้ล่ะในเมื่อมันไร้หนทางกลับ ฉันจำต้องอยู่ในสถานะนี้ด้วยความจำยอมอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง และต้องปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ให้ได้ แม้ว่ามันจะยากเย็นแสนเข็ญมากเหลือเกินก็ตาม
แสงไฟจากตะเกียงเพียงรำไร ทำให้พอเห็นเส้นทางเดินที่กำลังจะมุ่งหน้าเพื่อไปยังสระบัวแก้วมรกต ฉันเดินตามหลังกาลัดกับกลีบบัว พร้อมกับสอดสายตามองโดยรอบด้วยความใคร่รู้ และหูของฉันก็ดันได้ยินเสียงบางอย่างแว่วเข้ามา ทำให้ฉันต้องชะงักขาหยุดเดินทันที
“เสียงอะไรอะ”
“เสียงจากที่ใดหรือเพคะเจ้านางน้อย”
“มาจากทางนั้น”
ฉันหยุดนิ่งแล้วพยายามฟังเสียงนั้นอย่างตั้งใจ เสียงเหมือนกำลังมีการปะทะกัน เสียงของการต่อสู้หรืออะไรสักอย่าง จนกาลัดถามขึ้นฉันจึงขี้นิ้วไปตามเสียงที่ดังเข้าหู ซึ่งอยู่ฝั่งขวามือของฉัน
“หม่อมฉันไม่ยักจะได้ยินเพคะ” กลีบบัวพูดต่อ
“แต่ฉันได้ยินจริง ๆ นะ นั่นไงดังอีกแล้ว”
(“เจ้านางน้อย!”)
เสียงเริ่มดังขึ้นอีกระลอก พูดจบฉันก็รีบวิ่งไปตามเสียงนั้นทันที โดยไม่สนกาลัดกับกลีบบัวเลย มันดึงดูดความอยากรู้ของฉันมาก เสียงเหมือนเหล็กกระทบกระทั่งดังขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนว่าฉันกำลังเข้าใกล้เสียงนั้นเต็มที และสุดท้ายฉันก็มาถึงที่หมายเห็นภาพทุกอย่างเต็มสองตา มันทำให้ฉันแทบหยุดหายใจ...
“โอ้แม่เจ้า! มันตัวอะไรวะนั่น”ฉันเงยหน้ามองขึ้นไปยังกลางอากาศ ความใหญ่โตของสิ่งตรงหน้าทำเอาฉันอ้าปากค้างและรู้สึกกลัว ตัวหนึ่งเหมือนนกยักษ์ ส่วนอีกตัวเหมือนกับพญางูใหญ่กำลังต่อสู้กัน หัวใจของฉันเต้นระส่ำและกลัวมาก อยากจะวิ่งหนีไปหลบแต่ขาดันก้าวไม่ออกเสียอย่างนั้น ได้แต่กลืนน้ำลายลงคอเงยหน้ามองดูเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างสิ่งมีชีวิตแสนแปลกประหลาดด้วยความหวาดหวั่น“นั่นมันท่านอาศิรวิษนี่เพคะเจ้านางน้อย” กลีบบัวว่าขึ้นด้วยน้ำเสียงตระหนก“จริงด้วย” กาลัดเอ่ยตาม“!!!” ส่วนฉันได้แต่ยืนนิ่งประหนึ่งคนหยุดหายใจ ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร แต่การต่อสู้และสิ่งตรงหน้าทำให้ฉันกลัวจนตัวเริ่มสั่น อยากจะก้าวขาวิ่งหนีแต่ก็เหมือนมีใครฉุดไว้ จึงทำได้เพียงกลั้นลมหายใจกัดฟันมองดูภาพตรงหน้า พร้อมกับหัวใจที่เต้นระรัว“เจ้านางน้อยหลบเถิดเพคะ” กาลัดจับแขนของฉันไว้“ข ข ขาฉันก้าวไม่ได้ อยากวิ่งตั้งนานแล้ว” แต่ขาเจ้ากรรมดันแข็งทื่อประหนึ่งท่อนไม้“ขยับสิเพคะเจ้านางน้อย อันตรายนักหากยังยืนอยู่ตรงนี้” กลีบบัวพูดด้วยความวิตกลนลานทั้งกาลัดและกลีบบัวพยายามยกขาของฉันให้ก้าวเดิน แต่มันก็แสนจะลำบากเหลือเกิน ยิ่งฉันอยากจะวิ่งให้
(“ไม่นึกฝันว่าเราจะได้เจอกันในเวลานี้ เจ้านางน้อยผณินทร”)“เฮือก! 0.0”ร่างสูงใหญ่ปีกหนาค่อย ๆ โฉบบินลงมาสู่พื้นดินพร้อมกับประกายรัศมีสีขาว ก่อนจะผันกลายเป็นร่างมนุษย์กำยำยืนตรงหน้าของฉัน คนที่มาใหม่ทำให้ฉันรับรู้ทันทีว่าเป็นใคร กาลัดกับกลีบบัวรีบเข้ามายืนบังด้านหน้าของฉัน พร้อมกับกางแขนออกทั้งสองข้างอย่างปกป้อง“เวนไตย?” ฉันพูดชื่อของคนตรงหน้าออกมาเบา ๆ พร้อมกับจดจ้องมองหน้าอย่างใจสู้ ทั้งที่ภายในอกนั้นสั่นเทิ้มหวาดกลัว ทำเป็นใจดีสู้เสือเพื่อไม่ให้ศัตรูได้ใจ“ปลื้มใจเหลือเกินที่เจ้านางน้อยผู้สูงศักดิ์ยังจดจำนามของข้าได้” เขาพูดพร้อมกับรอยยิ้มร้ายกาจ พร้อมกับก้าวขาเดินเข้ามาใกล้อย่างเชื่องช้า กลีบบัวและกาลัดก็ดันให้ฉันเดินถอยหลังออกห่างก้าวต่อก้าวเช่นกัน“ท่านอย่าคิดแตะต้องเจ้านางน้อยเด็ดขาด” กาลัดพูดขึ้นอย่างไม่คิดกลัวฉันจ้องมองคนที่กลายร่างเป็นคนยืนตรงหน้าด้วยสายตาแข็งกร้าว เขาดูร้ายกาจจนทำให้ฉันขนลุกไปทั้งตัว ขาค่อย ๆ ขยับถอยออกห่างทีละก้าวอย่างเชื่องข้า จับสังเกตพฤติกรรมว่าจะกระทำอะไรที่มันไม่น่าไว้ใจมากกว่านี้ไหม จะได้หาทางหนีทีไล่ ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าพวกฉันต้องเจออันตรายแค่ไหน
“เจ้านางน้อยแสดงกิริยาเช่นนั้นไม่งามเจ้าค่ะ เสด็จกลับเถิดเพคะ” กาลัดยังคงพูดกรอกหูของฉัน พร้อมกับลากแขนไปพลาง“น่าโมโหชะมัด เขาด่าฉันชอบเสือกนะ...คิดว่ากลัวหรือไง!” ฉันหยุดเดินแล้วมือเท้าสะเอวพูดกับสองสาว ตามด้วยประโยคหลังตะโกนกลับหลังหวังให้เขาได้ยิน“ชู่...เบาเสียงเพคะเจ้านางน้อย” กลีบบัวปรามฉัน“ก็ดูสิเขาปากเสียขนาดนั้นนะ ไอ้คนบ้า!” แต่อารมณ์ของฉันมันเดือดมาก“เบา ๆ เพคะเจ้านางน้อย เดี๋ยวท่านอาศิรวิษก็ได้ยินนะเพคะ” กาลัดปรามอีกเสียง แถมยังเอามือปิดปากของฉันไว้อีก“ได้ยินก็ได้ไปสิใครกลัวเขากัน” อารมณ์ร้อนปะทุจนห้ามไม่ไหว ฉันหันหลังกลับแล้วแหกปากพูดเสียงดังอีกครั้ง แต่...“ไม่กลัวกระหม่อมอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”“ม ม ไม่กลัว ทำไมต้องกลัวด้วย”การมาที่ไร้เสียงทำให้ฉันตกใจจนพูดออกไปตะกุกตะกัก มองหน้าที่แสนจะเย็นชาด้วยความหวาดหวั่น สายตาของเขานั้นฉันเดาไม่ออกเลยว่ากำลังรู้สึกหรือนึกคิดอะไร มันดูว่างเปล่าซะเหลือเกิน“เจ้านางน้อยเพคะ” กลีบบัวกระตุกแขนฉัน แล้วพูดเสียงอ่อนย้ำเตือนอยู่ข้าง ๆ“ทรงลืมแล้วหรืออย่างไรว่าแม้จะเป็นองครักษ์ประจำกายของพระองค์ แต่ท่านอาศิรวิษก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นบุต
ค่ำคืนที่แสนสงบเหมือนใกล้จะจบลง เริ่มเข้าสู่วันใหม่การนอนหลับใหลในดินแดนห่างไกลทำให้ฉันฝันถึงคนที่บ้าน ป่านนี้ไม่รู้ว่าพวกเขาจะเป็นยังไงกันบ้าง ความง่วงที่มีมากไม่สามารถเปิดเปลือกตาขึ้นได้ รู้สึกตัวกึ่งหลับกึ่งตื่นเหมือนมีอะไรก่อกวนการนอนของฉันจนเริ่มรู้สึกรำคาญ“อื้อ” ฉันแค่นเสียงข่มและพลิกตัวหันไปอีกทาง“อย่ากวนได้ไหม...ขอนอนต่ออีกหน่อย” การสะกิดแขนสร้างความรำคาญ จนฉันต้องดึงผ้าห่มมาคลุมโปง“อื้อ กลีบบัว กาลัด...” ฉันเหมือนถูกถึงแขนให้นั่ง แต่เปลือกตาเจ้ากรรมก็ดันลืมไม่ขึ้น ส่งเสียงอื้ออึงอ้อนวอนแต่เหมือนว่าไม่เป็นผล ฉันคงต้องพยายามตื่นนอนแล้วจริง ๆ “อ๊ะ!”(“เจ้านางน้อยเพคะ”)ฉันยกแขนสองข้างขึ้นสูงเพื่อยืดเส้นยืนสาย แต่บิดไปบิดมากลับพลัดตกเตียงนอนเสียได้ จนก้นกระแทกกับพื้นแข็งร้องโอดโอย ความเจ็บทำเอาฉันตื่นตัวทันที มีเสียงของกาลัดและกลีบบัวร้องเรียกด้วยความตกใจ รีบประคองฉันลุกอย่างเร็วไวพาไปนั่งบนเตียง“เป็นเช่นไรบ้างเพคะ” กาลัดถามฉัน“เจ็บสิ อ้า!...แล้วทำไมต้องปลุกกันแต่เช้าด้วยล่ะ ฉันง่วง” ฉันพูดพร้อมกับเอามือลูบก้นไปด้วย“เช้าเยี่ยงไรเจ้าคะ สายจนดวงตะวันแยงตาแล้ว รีบไปล้างพระพักต
“เออนี่ พอไปถึงตำหนักช่วยเล่าให้ฟังหน่อยสิว่าแต่ก่อนฉันเป็นยังไง หรือแบบว่าฉันไม่ชอบใคร หรือมีใครเกลียดฉันไหม”“?” กาลัดกับกลีบบัวทำสีหน้างง“เอ่อ คือพอจมน้ำแล้วเลอะเลือนจำไม่ได้น่ะ” คำถามของฉันสร้างความงุนงงให้กับคนสนิท จึงรีบแก้ต่างทันที“เข้าใจแล้วเพคะ...”จากนั้นพวกฉันสามคนก็เดินกลับตามเส้นทาง มุ่งหน้าสู่ตำหนักประจำ ระหว่างทางฉันก็ถามไถ่พูดคุยกับกาลัดและกลีบบัวในสิ่งที่ฉันอยากจะรู้ เพราะการอยู่ในร่างของผณินทรทำให้ฉันเหมือนแบกภาระอันหนักอึ้ง ฉันต้องเริ่มศึกษาเก็บข้อมูลในอดีตของเธอในการสวมรอย ซึ่งไม่รู้ว่าฉันต้องอยู่ในร่างนี้นานแค่ไหน“ชู่” ฉันส่งสัญญาณและหยุดเดิน เมื่อเห็นชายสไบเล็ดลอดออกมาจากพุ่มไม้ด้านหน้า เหมือนกับว่าตรงนั้นมีคนหลบซ่อนอยู่“มีกระไรรึเพคะเจ้านางน้อย” กลีบบัวถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ฉันไม่ได้ให้คำตอบแก่เธอ แต่ชี้นิ้วไปยังพุ่มไม้ตรงหน้า“ต้องใช่เจ้านางอัปสราเป็นแน่เพคะ” กาลัดกระซิบ(“เธอไม่ชอบผณินทรสินะ”) ฉันคิดในใจเมื่อได้ยินกาลัดบอก“กาลัด กลีบบัว ไปเอาน้ำล้างเท้าตรงอ่างหน้าทางเข้าท้องพระโรงมา”(“เพคะ”)“เดี๋ยวฉันจะอ้อมไปรอทางนั้น” ฉันวนนิ้วเป็นสัญญาณเมื่อคิดแผนโต้
“เฮ้อ เกือบโดนจับได้ซะละ” ฉันถอนหายใจ แล้วยกมือลูบอกอย่างโล่งใจเมื่อเดินเข้ามาในตำหนักส่วนตัว มีกลีบบัวยืนเคียงข้างอยู่ในท่าทางไม่ต่างกับฉัน“กาลัดตามหมอหลวงถึงที่ใดกัน ยังไม่เห็นโผล่มา...คัน แสบร้อน หรือไม่เพคะเจ้านางน้อย” กลีบบัวพ่น แล้วจึงเอ่ยถามฉันด้วยความห่วงใย“ไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย” ฉันพูดบอกเธอแล้วเดินไปนั่งบนเตียงอย่างคนอารมณ์ดี“แต่...”“ฉันทำตัวเองน่ะ”กลีบบัวกำลังจะอ้าปากถาม ฉันเลยรีบบอกเธอให้เข้าใจ แต่เหมือนว่าจะยังไม่คลายความสงสัย เพราะกลีบบัวขมวดคิ้วอย่างกับมีคำคาใจ“เรียกร้องความสงสารไง ยัยเจ้านางน้อยอัปสรานั่นจะได้บทเรียนซะบ้าง ท่าทางกร่างเหลือเกิน”“ถ้าหากว่าโดนจับได้ขึ้นมาล่ะเพคะ” กลีบบัวดูกังวล“ไม่หรอกน่า เจ้าหลวงก็ทรงตัดสินโทษแล้วไม่ใช่หรือไง ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรคงไม่มีใครมารื้อฟื้นหรอก เพียงสตรีวิวาทหยอกล้อ ยิ่งใหญ่แค่เพียงปลายช้อนตักข้าว”“หม่อมฉันฟังประโยคสุดท้ายของเจ้านางน้อยเข้าใจเพคะ”“เป็นแบบนั้นแหละ...สบายใจได้ไม่มีใครรื้อฟื้นเรื่องวันนี้หรอก”“แต่วาจานี้หม่อมฉันไม่เข้าใจเพคะ”“เดี๋ยวก็ชิน ไปอาบน้ำกันเถอะเริ่มจะคันแล้ว”“เพคะ”จากนั้นกลีบบัวก็พาฉันไปอาบ
“ถ้าเยี่ยงนั้นคงจักต้องรักษาด้วยการขอดเกล็ดที่เสียหายทิ้ง”“ห๊ะ!!!”อาศิรวิษพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก ก่อนจะหันหน้ามามองฉัน และคำพูดของเขาทำเอาฉันตกใจจนร้องเสียงหลง อะไรคือการขอดเกล็ดมันไม่ใช่อย่างที่ฉันคิดใช่ไหม?“ท่านอาศิรวิษเจ้าคะ เกรงว่า...” กลีบบัวพูดเสริมขึ้น แต่ยังพูดไม่ทันจบประโยคดี ก็มีเสียงเข้มขรึมแทรกขึ้นก่อน“ก็ผิวกายเสียหาย หากปล่อยทิ้งไว้คงจะลามเป็นแผลใหญ่กว่าเดิม เจ้าไม่ห่วงนายของตัวเองหรือไร” อาศิรวิษร่ายยาว“แค่เกาตัวเองแล้วเป็นรอย ลามบ้าบออะไรกัน” ฉันก้มหน้าบ่นยุบยิบ“ห่วงเจ้าค่ะ” กลีบบัวตอบเสียงเบา“เดี๋ยวนะ!? ขอดเกล็ดที่ว่านี่แบบขอดเกล็ดปลาไหม แบบดึงเกล็ดออกจากผิวอีกชั้นแบบนี้เหรอ” ฉันถามวิธีการเพื่อให้แน่ใจ“อย่างที่เจ้านางน้อยเข้าใจ ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ” อาศิรวิษตอบหน้าตาย“นายจะบ้าเหรอกะอีแค่...เอ่อ...แค่” ฉันตอบเขาออกไปอย่างเผลอลืมตัว นึกได้จึงรีบหยุดปากไว้ เกิดอาการตะกุกตะกักพูดไม่ออก บอกเลยตอนนี้สายตาของอาศิรวิษจ้องมองมาทางฉันไม่กะพริบ เขาคงจับพิรุธฉันได้แล้วแน่ แต่ฉันจะไม่ยอมจำนนหรอก เขามันงูยักษ์เจ้าเล่ห์หลอกฉันให้จนมุม“แค่กระไรรึพ่ะย่ะค่ะเจ้านางน้
หลังจากที่เรื่องราวแสนวุ่นวายในยามเช้าจบลง สิ่งที่อาศิรวิษพูดทิ้งท้ายก่อนจากไป ทำเอายังครุ่นคิดไม่ตกปลงไม่ลงเสียที ได้แต่นอนมือก่ายหน้าผากคิดวนเวียนอยู่บนเตียงอย่างกับคนไม่มีงานการจะทำ แน่ล่ะ ก็ฉันไม่รู้ว่าการเป็นเจ้านางน้อยต้องทำอะไรบ้าง กาลัดกับกลีบบัวก็ไม่ได้บอกกล่าวเล่าเรื่องอะไร พวกหล่อนทำเพียงเอนตามผู้เป็นนายเท่านั้นไม่อาจจะสั่งการให้ทำอะไรได้ สิ่งไม่รู้เป็นฉันต้องเริ่มเอ่ยปากก่อนอยู่ร่ำไป และรวมถึงเรื่องนี้เช่นกัน“ขอถามอะไรหน่อยสิ” ความไม่กระจ่างทำให้ฉันต้องตามหาคำตอบเอง“ถามกระไรหรือเพคะเจ้านางน้อย” กาลัดว่าขึ้นในขณะที่มือยังคงทำหน้าที่โบกพัดไปมา“คนของตำหนักประจิมมีใครบ้างเหรอ” ฉันผุดลุกนั่งกับเตียงแล้วถามด้วยความอยากรู้“พระสนมผศิกาเพคะ” กลีบบัวให้คำตอบ“กาลัดกับกลีบบัวพอจะเล่าเรื่องราวในวังนี้ให้ฉันฟังได้ไหม ฉันอยากจะรื้อฟื้นความทรงจำที่หายไป ขอแบบละเอียดเลยนะ” ฉันอ้างเหตุผลจากการเจ็บป่วย เพราะสีหน้าของกาลัดและกลีบบัวล้วนเต็มไปด้วยความงวยงง“ได้เพคะ พระสนมผศิกานั้นเดิมแล้วเป็นพระสหายตั้งแต่พระเยาว์ของเจ้าหลวง เติบโตมาด้วยกันเพคะ จนวันที่เจ้าหลวงต้องครองบัลลังก์เหตุจำเป็นทำ
การฝึกฝนแสนหนักหน่วงสะสมมานานนับหลายเดือนทำให้ฉันเหนื่อยล้าและเปลืองแรงมหาศาลแทบทุกวัน วันนี้ก็เช่นกันฉันฝึกวิชามาจนลึกล้ำถึงขั้นเปลี่ยนร่าง เหาะเหินเดินอากาศ และการใช้เวทย์ต่าง ๆ ตามที่ท่านอาจารย์สอนให้ ฉันรู้สึกประหลาดใจอย่างไม่คิดเชื่อเลยว่า คนธรรมดาแบบฉันสามารถฝึกวิชาโบราณได้มากถึงเพียงนี้ เป็นสิ่งที่ฉันคาดไม่ถึงเลย แม้กระทั่งความรู้สึกที่เริ่มเปลี่ยนไปกับใครบางคน“ทำได้ดีมากทีเดียวเจ้านางน้อย” ท่านอาจารย์เอ่ยเมื่อสิ้นสุดการฝึกในวันนี้“ไม่คิดว่าจะทำได้เหมือนกันเจ้าค่ะ”“สิ่งที่ติดตัวมา ต่อให้ลืมเลือนก็ย่อมรื้อฟื้นได้ไม่ยาก”“แต่หนูไม่เคยรู้วิชาพวกนี้ก่อนนะเจ้าคะ”“.....”“ท่านอาจารย์มองหน้าแบบนั้น รู้สึกแปลก ๆ เจ้าค่ะ มีอะไรเหรือเปล่าเจ้าคะ?”ระหว่างการพูดคุยกับท่านอาจารย์อยู่ในถ้ำ คำพูดบางประโยคทำให้ฉันแปลกใจ แถมสายตาที่ท่านอาจารย์มองมาที่ฉันยิ่งทำให้มีความรู้สึกแปลกประหลาด เหมือนกับว่าท่านอาจารย์รับรู้อะไรบางอย่างในตัวของฉัน หรือว่าฉันจะคิดมากไปเอง“ไม่มีกระไรหรอก วันนี้สิ้นสุดเพียงเท่านี้ เสด็จกลับตำหนักเถิดเจ้านางน้อย พรุ่งนี้ค่อยมาฝึกวิชาขั้นสูงสุด”“เจ้าค่ะ ศิษย์ของลา”แม้ท
“เจอกันจริง ๆ เสียทีนะ”“คะ?”คำพูดของท่านอาจารย์ทำให้ฉันเกิดความสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง อะไรคือคำว่าเจอกันจริง ๆ เสียที“ศิษย์ขอฝากบุตรสาวคนนี้เป็นศิษย์ของท่านด้วยเถิด นางเป็นหน่อเนื้อเชื้อไขที่ศิษย์ไว้ใจให้ปกครองมคธนครในภายภาคหน้า และเชื่อว่านางจะทำหน้าที่นี้ได้เป็นอย่างดี”เสด็จพ่อพูดขึ้น ตอนนี้ทุกอย่างประเดประดังเข้ามาในหัวของฉันไม่หยุดหย่อน นี่ฉันต้องรับภาระหน้าที่อันหนักอึ้งจริงหรือ ปกครองชีวิตนับแสนนับล้านฉันเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาจะทำมันได้อย่างไร“อย่าได้กังวลใจไป แม้จะไม่ใช่ตัวตนแต่จิตวิญญาณแท้จริงนั้นแสนลึกล้ำยิ่งนัก”“แต่ว่า...”“ปล่อยให้ทุกอย่างเดินตามเส้นทางที่ลิขิตเถิด การฝืนยิ่งจะทำให้เจ็บไม่รู้จบ”“เจ้าค่ะ”ท่านอาจารย์กล่าวออกมาอย่างกับอ่านความคิดของฉันได้ คำพูดของท่านทำให้ฉันปรายสายตามอง ในหัวตอนนี้มีเครื่องหมายคำถามเต็มไปหมด แต่ก็ไม่อาจจะเปล่งออกมาเป็นวาจาถามไถ่ ก็ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในก้นบึ้งหัวใจ และก้มหัวยอมรับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นนับจากนี้ฉันตั้งใจร่ำเรียนวิชาตามที่ท่านอาจารย์สอน มันช่างยากเย็นแสนเข็ญสำหรับฉันที่เป็นเพียงจิตวิญญาณธรรมดา วิชาเวทย์ที่ยากจะเข้าใจ
ตลอดเวลาสามวันที่ฉันรักษาตัวแช่อยู่ในสระนพเก้า มีอาศิรวิษคอยเฝ้าดูแลอย่างชิดใกล้ ได้รับการเอาใจใส่เป็นอย่างดี ร่างกายของฉันมีแรงขึ้นมากและเหมือนว่าจะมีพลังบางอย่างเวียนวนอยู่ภายในร่างกายของฉัน ระยะเวลาที่ผ่านฉันพยายามหลอกถามอาศิรวิษจนสามารถทำเบื้องต้นในสิ่งที่ผณินทรเคยทำ การเปลี่ยนร่างเหาะเหินล้วนได้รับการฝึกสอนมาจากอาศิรวิษทั้งนั้น แม้จะยังไม่ชำนาญมากแต่ก็สามารถทำได้มากกว่าแต่ก่อน เขาพาฉันกลับมายังตำหนักในเวลาพลบค่ำที่ไร้ผู้คนสัญจร ตามคำสั่งการของเจ้าหลวงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นต้องเป็นความลับ“เจ้านางน้อยพักผ่อนเสียเถิด พรุ่งนี้จักต้องเข้าเฝ้าเจ้าหลวงแต่เช้า”“อืม”อาศิรวิษส่งฉันยังหน้าทางเข้าตำหนักพักผ่อน ย้ำเตือนในหน้าที่ต้องกระทำในวันพรุ่งนี้ ฉันรับฟังด้วยความยินดี จากนั้นก็เดินแยกจากเข้าไปยังตำหนักด้านใน เดินห่างออกไปจึงได้หันหลังกลับมามอง ยังคงเห็นเขายืนส่งไม่ไปไหน ฉันจึงส่งยิ้มอ่อนให้แล้วรีบเดินเข้าด้านในด้วยรอยยิ้มเปรมปรีดิ์เวลาผ่านไปนานจนฉันแทบไม่รู้วันเวลากับการที่มาอยู่ที่นี่ สถานที่แปลกตาผู้คนที่ฉันไม่รู้จัก แต่ด้วยสถานการณ์ที่ฉันยากจะปฏิเสธทุกอย่างจำต้องเดินตามเส้นทางที่ถูก
“หึ”“หึอะไรจะหัวเราะก็หัวเราะเลยสิ”เสียงแค่นขบขันจากลำคอ ทำให้ฉันเงยหน้ามองค้อนคนที่กำลังเดินเขามาใกล้ แต่เขาก็เหมือนจะยิ่งตลกไปใหญ่มีทีท่าขำขันไม่หยุด ฉันเหมือนเป็นตัวตลกในสายตาของเขาอย่างนั้นแหละ“กิริยาประหนึ่งเด็กน้อย”“ชิ”“เอาล่ะ เอาล่ะ เจ้านางน้อยอย่าได้บูดบึ้งเช่นนี้เลย ตอนนี้รู้สึกเป็นเยี่ยงไรบ้าง ปราณภายในดีขึ้นหรือยัง” เขาถามด้วยสายตาอบอุ่น น้ำเสียงละมุนฟังแล้วเสนาะหู ถามในสิ่งที่ฉันไม่อาจจะรู้สึกได้ อะไรคือปราณ แล้วมันต้องรู้สึกแบบไหนฉันจะตอบเขาได้ยังไงกัน“อะ อืม” ตอบแบบขอทีไปทีเพราะไม่รู้จะตอบยังไง“อืม? ดีขึ้นหรือไม่ดี” อาศิรวิษย้อน“ดีขึ้น” ฉันยืนยันคำตอบ“แล้วไยถึงไม่ตอบให้ชัดเจน ช่างแปลกประหลาดนักตั้งแต่ที่เจ้านางน้อยฟื้นขึ้นมา”“แล้วจะเซ้าซี้ทำไมนักหนาเล่า” ฉันพูดขึ้นเสียงดังเมื่อเขาเอาแต่ยอกย้อนยียวน “ก็ไม่ใช่ผณินทรจะเหมือนเดิมได้ยังไงล่ะ” ประโยคนี้ฉันมองหน้าเขาแล้วพูดในใจ“ปราณภายในคงดีขึ้นจริง ๆ เพราะเสียงดังฟังชัดเพียงนี้” เขาพูดแหย่ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง“นี่เจ้าพี่ขอถามอะไรหน่อยสิ”“จะถามกระไรอย่างนั้นหรือ”“ที่เสด็จพ่อทำวันนี้เรียกว่าอะไร ทำไมมันถึงได้เจ็บปวดเ
ฉันรู้สึกถึงความเย็นเริ่มวิ่งวนอยู่ในร่างกาย แต่เปลือกตาไม่อาจจะเบิกมองได้ มันหนักอึ้งไปหมด เสียงของผู้คนพูดคุยกันแว่วผ่านเข้ามาในหู ฉันได้ยินเพียงบางเบาไม่สามารถจับใจความได้เลยว่าผู้คนเหล่านั้นพูดคุยอะไรกัน บางคนกำลังจับแขนของฉันเขย่าเบา ๆ ทำให้ฉันเริ่มรู้สึกตัวและพยายามจะลืมตามอง ภาพเลือนรางตรงหน้าทำให้ฉันมองเห็นใครบางคน ฉันพยายามปรับสายตาเพ่งมอง จนเห็นภาพตรงหน้าชัดเจน ใบหน้ายุ่งคิ้วขมวดอยู่ในระยะใกล้ อาศิรวิษ“เจ้าพี่” ฉันเรียกขานด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง ไม่รู้ว่าเขาจะได้ยินมันหรือไม่“เจ้านางน้อย” อาศิรวิษเรียกฉันพร้อมกับกุมมือฉันแน่น เรี่ยวแรงที่เคยมีตอนนี้มันปวกเปียกไม่มีแรงพอแม้จะยกแขน“ยังรู้สึกเจ็บปวดหรือไม่ลูก” เป็นเจ้าหลวงที่เข้ามาถามด้วยน้ำเสียงฟังแล้วเหมือนห่วงใย“ที่นี่ที่ไหน” เจ้าถามเมื่อมองโดยรอบแล้วเป็นสถานที่ไม่คุ้นตา และมีเพียงอาศิรวิษกับเจ้าหลวงเท่านั้นที่อยู่ตรงนี้“สระนพเก้า” อาศิรวิษตอบฉัน“อะไรคือสระนพเก้า” ฉันย้อนถามเพราะไม่คุ้นเคยมาก่อน“สระนพเก้าเป็นสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถรักษาทุกการบาดเจ็บได้ ที่แห่งนี้ไม่มีผู้ใดรู้นอกจากพ่อและอาศิรวิษ” เจ้าหลวงพูดขึ้น“ท
“เจ้านางน้อย”“เพคะ”เจ้าหลวงที่ก่อนหน้ายืนมือไขว้หลัง เรียกฉันแล้วหันมาประจันหน้า สายตานิ่งมองมายังฉัน จนทำให้รู้สึกขนลุกไปทั้งแขน“กาลเบื้องหน้าพ่อไม่รู้ว่าจักเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามฟ้าลิขิต เจ้าเป็นบุตรเพียงคนเดียวของพระมเหสี และจำต้องแบกรับภาระหน้าที่บ้านเมืองดูแลปกป้องเหล่าประชาต่อจากพ่อ” เจ้าหลวงพูดขึ้นทำให้ฉันรู้สึกตกใจ มันเป็นคำพูดปริศนาที่คุณยายคนนั้นเคยบอกฉัน“แต่ว่าหนูเป็นผู้หญิงนะคะ คงไม่สามารถ...”“มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่จะรับหน้าที่นี้ได้”ฉันยังพูดไม่ทันจบประโยค เจ้าหลวงก็พูดแทรกขึ้นด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจัง แววตาเปล่งประกายรัศมีที่ยากจะคาดเดา ฉันไม่สามารถสัมผัสได้เลยว่าเจ้าหลวงกำลังวางแผนอะไรอยู่ในหัว แต่เรื่องราวที่ฉันเคยเจอมา คำพูดปริศนาและเหตุการณ์มากมาย ทำให้ฉันเริ่มเป็นกังวล เพราะคนธรรมดาอย่างฉันมันจะปกป้องดูแลใครได้ เวทย์คาถาอะไรก็ไม่มี แค่จะป้องกันตัวจากคนรอบข้างก็แสนจะยากเย็น“แล้วทำไมถึงต้องเป็นหนูละคะ...หนูไม่เข้าใจเลย” ฉันย้อนถาม“เพราะเจ้านางน้อยถูกลิขิตไว้แล้ว และหน้าที่นี้ไม่มีผู้ใดกระทำแทนได้”“หนูก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เพราะเสด็จพ่อก็มี
หลังจากที่เรื่องราวแสนวุ่นวายในยามเช้าจบลง สิ่งที่อาศิรวิษพูดทิ้งท้ายก่อนจากไป ทำเอายังครุ่นคิดไม่ตกปลงไม่ลงเสียที ได้แต่นอนมือก่ายหน้าผากคิดวนเวียนอยู่บนเตียงอย่างกับคนไม่มีงานการจะทำ แน่ล่ะ ก็ฉันไม่รู้ว่าการเป็นเจ้านางน้อยต้องทำอะไรบ้าง กาลัดกับกลีบบัวก็ไม่ได้บอกกล่าวเล่าเรื่องอะไร พวกหล่อนทำเพียงเอนตามผู้เป็นนายเท่านั้นไม่อาจจะสั่งการให้ทำอะไรได้ สิ่งไม่รู้เป็นฉันต้องเริ่มเอ่ยปากก่อนอยู่ร่ำไป และรวมถึงเรื่องนี้เช่นกัน“ขอถามอะไรหน่อยสิ” ความไม่กระจ่างทำให้ฉันต้องตามหาคำตอบเอง“ถามกระไรหรือเพคะเจ้านางน้อย” กาลัดว่าขึ้นในขณะที่มือยังคงทำหน้าที่โบกพัดไปมา“คนของตำหนักประจิมมีใครบ้างเหรอ” ฉันผุดลุกนั่งกับเตียงแล้วถามด้วยความอยากรู้“พระสนมผศิกาเพคะ” กลีบบัวให้คำตอบ“กาลัดกับกลีบบัวพอจะเล่าเรื่องราวในวังนี้ให้ฉันฟังได้ไหม ฉันอยากจะรื้อฟื้นความทรงจำที่หายไป ขอแบบละเอียดเลยนะ” ฉันอ้างเหตุผลจากการเจ็บป่วย เพราะสีหน้าของกาลัดและกลีบบัวล้วนเต็มไปด้วยความงวยงง“ได้เพคะ พระสนมผศิกานั้นเดิมแล้วเป็นพระสหายตั้งแต่พระเยาว์ของเจ้าหลวง เติบโตมาด้วยกันเพคะ จนวันที่เจ้าหลวงต้องครองบัลลังก์เหตุจำเป็นทำ
“ถ้าเยี่ยงนั้นคงจักต้องรักษาด้วยการขอดเกล็ดที่เสียหายทิ้ง”“ห๊ะ!!!”อาศิรวิษพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก ก่อนจะหันหน้ามามองฉัน และคำพูดของเขาทำเอาฉันตกใจจนร้องเสียงหลง อะไรคือการขอดเกล็ดมันไม่ใช่อย่างที่ฉันคิดใช่ไหม?“ท่านอาศิรวิษเจ้าคะ เกรงว่า...” กลีบบัวพูดเสริมขึ้น แต่ยังพูดไม่ทันจบประโยคดี ก็มีเสียงเข้มขรึมแทรกขึ้นก่อน“ก็ผิวกายเสียหาย หากปล่อยทิ้งไว้คงจะลามเป็นแผลใหญ่กว่าเดิม เจ้าไม่ห่วงนายของตัวเองหรือไร” อาศิรวิษร่ายยาว“แค่เกาตัวเองแล้วเป็นรอย ลามบ้าบออะไรกัน” ฉันก้มหน้าบ่นยุบยิบ“ห่วงเจ้าค่ะ” กลีบบัวตอบเสียงเบา“เดี๋ยวนะ!? ขอดเกล็ดที่ว่านี่แบบขอดเกล็ดปลาไหม แบบดึงเกล็ดออกจากผิวอีกชั้นแบบนี้เหรอ” ฉันถามวิธีการเพื่อให้แน่ใจ“อย่างที่เจ้านางน้อยเข้าใจ ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ” อาศิรวิษตอบหน้าตาย“นายจะบ้าเหรอกะอีแค่...เอ่อ...แค่” ฉันตอบเขาออกไปอย่างเผลอลืมตัว นึกได้จึงรีบหยุดปากไว้ เกิดอาการตะกุกตะกักพูดไม่ออก บอกเลยตอนนี้สายตาของอาศิรวิษจ้องมองมาทางฉันไม่กะพริบ เขาคงจับพิรุธฉันได้แล้วแน่ แต่ฉันจะไม่ยอมจำนนหรอก เขามันงูยักษ์เจ้าเล่ห์หลอกฉันให้จนมุม“แค่กระไรรึพ่ะย่ะค่ะเจ้านางน้
“เฮ้อ เกือบโดนจับได้ซะละ” ฉันถอนหายใจ แล้วยกมือลูบอกอย่างโล่งใจเมื่อเดินเข้ามาในตำหนักส่วนตัว มีกลีบบัวยืนเคียงข้างอยู่ในท่าทางไม่ต่างกับฉัน“กาลัดตามหมอหลวงถึงที่ใดกัน ยังไม่เห็นโผล่มา...คัน แสบร้อน หรือไม่เพคะเจ้านางน้อย” กลีบบัวพ่น แล้วจึงเอ่ยถามฉันด้วยความห่วงใย“ไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย” ฉันพูดบอกเธอแล้วเดินไปนั่งบนเตียงอย่างคนอารมณ์ดี“แต่...”“ฉันทำตัวเองน่ะ”กลีบบัวกำลังจะอ้าปากถาม ฉันเลยรีบบอกเธอให้เข้าใจ แต่เหมือนว่าจะยังไม่คลายความสงสัย เพราะกลีบบัวขมวดคิ้วอย่างกับมีคำคาใจ“เรียกร้องความสงสารไง ยัยเจ้านางน้อยอัปสรานั่นจะได้บทเรียนซะบ้าง ท่าทางกร่างเหลือเกิน”“ถ้าหากว่าโดนจับได้ขึ้นมาล่ะเพคะ” กลีบบัวดูกังวล“ไม่หรอกน่า เจ้าหลวงก็ทรงตัดสินโทษแล้วไม่ใช่หรือไง ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรคงไม่มีใครมารื้อฟื้นหรอก เพียงสตรีวิวาทหยอกล้อ ยิ่งใหญ่แค่เพียงปลายช้อนตักข้าว”“หม่อมฉันฟังประโยคสุดท้ายของเจ้านางน้อยเข้าใจเพคะ”“เป็นแบบนั้นแหละ...สบายใจได้ไม่มีใครรื้อฟื้นเรื่องวันนี้หรอก”“แต่วาจานี้หม่อมฉันไม่เข้าใจเพคะ”“เดี๋ยวก็ชิน ไปอาบน้ำกันเถอะเริ่มจะคันแล้ว”“เพคะ”จากนั้นกลีบบัวก็พาฉันไปอาบ