“เออนี่ พอไปถึงตำหนักช่วยเล่าให้ฟังหน่อยสิว่าแต่ก่อนฉันเป็นยังไง หรือแบบว่าฉันไม่ชอบใคร หรือมีใครเกลียดฉันไหม”
“?” กาลัดกับกลีบบัวทำสีหน้างง
“เอ่อ คือพอจมน้ำแล้วเลอะเลือนจำไม่ได้น่ะ” คำถามของฉันสร้างความงุนงงให้กับคนสนิท จึงรีบแก้ต่างทันที
“เข้าใจแล้วเพคะ...”
จากนั้นพวกฉันสามคนก็เดินกลับตามเส้นทาง มุ่งหน้าสู่ตำหนักประจำ ระหว่างทางฉันก็ถามไถ่พูดคุยกับกาลัดและกลีบบัวในสิ่งที่ฉันอยากจะรู้ เพราะการอยู่ในร่างของผณินทรทำให้ฉันเหมือนแบกภาระอันหนักอึ้ง ฉันต้องเริ่มศึกษาเก็บข้อมูลในอดีตของเธอในการสวมรอย ซึ่งไม่รู้ว่าฉันต้องอยู่ในร่างนี้นานแค่ไหน
“ชู่” ฉันส่งสัญญาณและหยุดเดิน เมื่อเห็นชายสไบเล็ดลอดออกมาจากพุ่มไม้ด้านหน้า เหมือนกับว่าตรงนั้นมีคนหลบซ่อนอยู่
“มีกระไรรึเพคะเจ้านางน้อย” กลีบบัวถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ฉันไม่ได้ให้คำตอบแก่เธอ แต่ชี้นิ้วไปยังพุ่มไม้ตรงหน้า
“ต้องใช่เจ้านางอัปสราเป็นแน่เพคะ” กาลัดกระซิบ
(“เธอไม่ชอบผณินทรสินะ”) ฉันคิดในใจเมื่อได้ยินกาลัดบอก
“กาลัด กลีบบัว ไปเอาน้ำล้างเท้าตรงอ่างหน้าทางเข้าท้องพระโรงมา”
(“เพคะ”)
“เดี๋ยวฉันจะอ้อมไปรอทางนั้น” ฉันวนนิ้วเป็นสัญญาณเมื่อคิดแผนโต้กลับได้ แล้วเดินนำหน้าสองสาวนั้นไป อัปสราคงคิดจะแกล้งผณินทร
“เดี๋ยวเจอมณีณิน!”
“น้ำตามที่รับสั่งเพคะ” ฉันยืนรอกาลัดกับกลีบบัวไม่นาน ทั้งสองคนก็กลับมาพร้อมกับน้ำทั้งสองอ่าง
“กาลัดไปทางนั้น เดี๋ยวฉันกับกลีบบัวจะไปอีกฝั่ง โอเคนะ” ฉันสั่งการ
“เพคะเจ้านางน้อย”
จากนั้นพวกเราก็เริ่มแผนการเอาคืนฉบับเร่งด่วน และเป็นอย่างที่คาดเดา เป็นอัปสราจริง ๆ ฉันพยักหน้าให้สัญญาในการเตรียมพร้อมกับกาลัด โน้มแขนลงมาสะกิดไหล่ของอัปสรา แต่เหมือนกับว่าสาวใช้ที่กาลัดยืนคุมอีกฝั่งจะมองเห็นฉัน
“เจ้านางอัปส...”
ซ่า! ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบน้ำในอ่างของกาลัดก็ราดลงหัวของเธอเต็ม ๆ และตามด้วยอัปสรากับสาวรับใช้อีกคนที่โดนไม่ต่างกัน
(กรี๊ด!!!) เสียงหวีดร้องดั่งเจ็บปวดเหลือแสนดังลั่น พวกเธอรีบกูลีกูจอลุกขึ้นยืน น้ำบริสุทธิ์ผุดผ่องเปียกโชกตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ฉันแทบกลั้นหัวเราะไม่ไหวกับท่าทางโหยหวน สายตาอัปสราจ้องมาทางฉันอย่างเคืองโกรธ แต่จะโทษฉันไม่ได้นะ เพราะพวกเธอคิดไม่ซื่อก่อนเอง
“แก! นังผณินทร”
“ตายแล้ว! เจ้านางอัปสราทรงร้อนขนาดนั้นเชียวหรือเนี่ย ทำไมไม่กลับไปอาบน้ำที่ตำหนักตัวเองให้ดีเล่า ใยถึงได้เอาน้ำในบึงบัวมาชโลมเช่นนี้” ฉันจริตท่ายกมือปิดปากดั่งตกใจ พูดออกไปอย่างเย้ยหยัน
“กล้าสาดน้ำใส่ข้างั้นรึ”
“แล้วเธอคิดจะทำอะไรฉันก่อนล่ะ”
“เปล่า” เธอตอบเสียงแข็ง ทั้งที่ฉันเห็นอยู่เต็มสองตา รวมทั้งขวดอะไรบางอย่างที่อยู่ในมือของสาวรับใช้ทั้งสองคน
“แล้วอะไรอยู่ในมือสองคนนั้น” ฉันเพ่งไปยังขวดในมือ แต่สาวรับใช้ของอัปสราก็หลบมือไปด้านหลัง ฉันพยักหน้าให้กาลัดแย่งหลักฐานออกมาดู
“เป็นน้ำพิษจากยางต้นอากาเว่เพคะ เป็นต้นไม้หายากเกิดเพียงบนบกเท่านั้น หากโดนพระวรกายจะทำให้เกิดอาการคันและผื่นแดงเพคะเจ้านางน้อย” กาลัดบอกฉัน
“กะทำให้เสียโฉมสินะ แสบนักนะอัปสรา” ฉันกัดฟันแล้วต่อว่าเธอในใจ
“ต้องรายงานเจ้าหลวงเพคะเจ้านางน้อย”
“เป็นแค่ขี้ข้า ไม่ต้องสอด!” อัปสราชี้หน้าด่ากลีบบัว เธอร้ายกว่าที่ฉันคิดไว้ซะอีก
“อ๊ะ!” ฉันร้องด้วยความตกใจ เมื่ออัปสราผลักฉันจนกระเด็น ล้มก้นกระแทกพื้น
เกิดการตะลุมบอนกันขึ้นระหว่างสองฝั่ง และการที่ทำฉันเจ็บก็ไม่ยอมเหมือนกัน ฉันเข้าไปดึงผมของอัปสรา ที่กำลังง้างมือตบหน้ากลีบบัว
“กรี๊ด!!! ปล่อยข้านะ เจ็บ ๆ”
“อยู่ใครอยู่มันไม่เป็นหรือไง ทำไมต้องมาหาเรื่อง นี่แน่ ๆ ๆ”
ฉันจับมือของเธอไขว้หลัง จากนั้นก็หยิกตามตัวช่วงเอว หน้าท้องของเธอไปเรื่อย ๆ เท่าที่แรงจะมี ส่วนอัปสราก็พยายามยกขาถีบฉันจนตอนนี้รู้สึกเจ็บบ้างแล้ว ตอนนี้ต่างไม่มีใครยอมใคร ผมเผ้าหลุดลุ่ยรุงรังปานรังนกร้าง ต่างฝ่ายต่างต่อสู้เพื่อการเอาตัวรอด เสียงหวีดร้องโวยวาย ทั้งสาวใช้ของฉันและของอัปสรา ตอนนี้สภาพของฉันก็ยับเยิน แต่น่าจะน้อยกว่าอัปสราที่คงตัวเขียวช้ำจากการหยิก และรอยสุดท้ายที่ฉันประทับตราไว้คือรอยฟัน ฉันกัดเขาต้นขาของเธอเต็มแรง ได้ทันท่วงที
(หยุดเดี๋ยวนี้!)
เหมือนไหวพริบของกาลัดและกลับบัวจะดีมาก พวกเธอรีบคว้าอ่างน้ำล้างเท้ายัดเข้าพุ่มไม้ เมื่อเสียงเข้มดังแทรกเข้ามา เสียงเหี้ยมเช่นนี้ที่แสนจะคุ้นหู แว่วผ่านสายลมแผ่วเบาก็รับรู้ได้ทันที ฉันรีบปล่อยมือจากอัปสราทันที เธอตั้งตัวได้ก็ยกมือจะฟาดเข้าแก้มของฉัน แต่ว่าคนที่กำลังวิ่งหน้าตั้งมาทำให้ฉันต้องแสดงละครฉากใหญ่ ฉันแสร้งเซถลาล้มลงให้หน้าผากกระแทกกับขอบอ่างบัวที่อยู่ไม่ไกล คิดว่าคงจะมีเลือดออกมาได้บ้าง ความอ่อนแอบังเกิด ฉันรีบเค้นน้ำตาออกมาด้วยความพยายาม แม้จะมีน้อยนิดแต่ก็ยังพอจะแสดงละครได้ต่อ
(“หยุด! บอกให้หยุด”)
“น้ำตาก็ไม่เป็นใจเอาซะเลย” ฉันยังคงก้มหน้ากับพื้นเพื่อเรียกน้ำตา จนตอนนี้เจ้าของเสียงห้ามเข้ามาใกล้ แล้วพยุงฉันให้ลุกยืน
“ท ท่านพ่อ” อัปสราเรียกขานด้วยน้ำเสียงสั่นเหมือนกับกลัว
“......” อาศิรวิษมองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร สายตาที่เขามองอย่างจับสังเกต ทำให้ฉันต้องก้มหน้ามองพื้น ยกมือปิดแก้มเอาไว้ ไม่รู้ว่าฉันต้องรู้สึกอะไรกับสายตานี้ที่กำลังจดจ้องมองฉันอยู่
“มันเกิดอันใดขึ้น” เจ้าหลวงเอ่ยถามเสียงแข็ง
“เจ้าพี่ผณินทรราดน้ำรดหัวลูกเพคะ” อัปสรารีบฟ้อง ส่วนฉันยังคงเงียบปากอยู่ แสดงสีหน้าบีบหน้าให้ดูน่าสงสาร
“จริงรึผณินทร” เจ้าหลวงหันมาถามฉัน
“ลูกเปล่าเพคะ ฮึก ฮึก” ฉันปฏิเสธด้วยน้ำเสียงสะอื้นจากการแสดง
“จะเปล่าเยี่ยงไร ท่านพ่อเห็นสภาพลูกเป็นเยี่ยงไรเพคะ...ยังจะหาว่าใช่ฝีมือเจ้าพี่หรือไม่” อัปสราพูดเสียงดัง ท่าทางดูเกรี้ยวโกรธมองมาทางฉัน
“ลูกถูกน้องอัปสราสาดพิษต้นอากาเว่เพคะท่านพ่อ ฮึก ฮึก” ปากฉันพูดและซ่อนแขนไว้ด้านหลัง รีบเกาให้เกิดรอยแดง
“!!!” ทุกคนที่รายล้อมมีสีหน้าตกใจหลังจากที่ฉันพูดจบ อาศิรวิษรีบจับไหล่ของฉันและมองสำรวจ
“ลูกรู้สึกแสบคัน เห็นน้ำในอ่างบัวนี้จึงรีบไปล้าง น้องอัปสราเดินไม่ระวังเองจึงพลาดลื่นตกอ่างบัวเอง ใยถึงจะโทษว่าลูกกระทำ ฮึก ฮึก” ฉันยังคงการละครต่ออย่างน่าสงสาร
“ต้นอากาเว่อย่างนั้นรึ?”
“เพคะเจ้าหลวงหม่อมฉันดูแน่แล้ว่าใช่ต้นไม้พิษจริงเพคะ...พระองค์ลองทอดพระเนตรดูอีกคราเพคะ” กาลัดพูดเสริมขึ้น พร้อมกับยื่นขวดยาพิษให้กับคนข้างกายเจ้าหลวง ฉันเหลือบเห็นอัปสราเบิกตากว้างด้วยความตกใจ คงลืมไปแล้วว่าตัวเองมัวแต่คิดจะเอาคืนฉันจนลืมเก็บหลักฐาน อยากจะหัวเราะดัง ๆ ซะจริง
“อาศิรวิษ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าหลวงเรียกนั่นทำให้อาศิรวิษรับรู้ถึงความประสงค์ทันที เขาหยิบขวดยาพิษขึ้นมาตรวจดู ฉันก็แอบลุ้นไปด้วย มองไปทางกาลัดและกลีบบัวที่ตอนนี้มายืนขนาบสองข้างฉัน
“เป็นพิษต้นอากาเว่พ่ะย่ะค่ะ” อาศิรวิษรายงาน
“อัปสรา! เจ้าช่างกล้านัก”
“ลูกถูกปรักปรำเพคะท่านพ่อ ไม่เพคะ ไม่ใช่ลูก” อัปสรารีบคุกเข่าแล้วปฏิเสธทันทีด้วยท่าทีร้อนรน
“หากไม่ใช่เจ้า ใยพิษนี่ถึงอยู่กับเจ้าได้” เจ้าหลวงว่าขึ้นด้วยท่าทีน่าเกรงขาม ทำเอาอัปสราตอนนี้ถึงกับตัวสั่นเทา
“ไม่ใช่ลูกเพคะ” เธอยังคงปฏิเสธ
“เฮ้อ เจ้านะเจ้าใยถึงได้เกเรเช่นนี้ ...ออกราชโองการไปกักบริเวณเจ้านางอัปสราสำนึกผิดตนอยู่ตำหนักเจ็ดวัน!”
“ท่านพ่อ! ท่านพ่อเพคะ ทรงลำเอียงเช่นนี้ไม่ได้นะเพคะ ท่านพ่อ!”
เจ้าหลวงพูดจบก็เดินจากไป อัปสราร้องไห้น้ำตาไหล พยายามคลานเข้าเพื่ออ้อนวอน แต่เจ้าหลวงแสนเด็ดขาดไม่หันมองกลับหลังแม้แต่น้อย
“ครั้งนี้รอดได้ ครั้งหน้าเราจะไม่รามือเป็นแน่ผณินทร” หลังจากที่เจ้าหลวงเดินลับสายตาไปไกล อัปสราก็ลุกยืนมือปาดน้ำตา แล้วหันหน้ามาข่มขู่ฉัน เธอคงจะโกรธแค้นแต่ฉันไม่กลัว อัปสราชักสีหน้าโกรธ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความเคียดแค้นก่อนจะเดินจากไป ฉันมองตามหลังของเธอแล้วหัวเราะเบา ๆ ยกมือปิดปาก เพราะไม่อยากจะเยาะเย้ยจนออกหน้าออกตา เพราะว่าอาศิรวิษยังคงคอยมองอยู่
“ข้าจะไปตามหมอหลวงมาดูเจ้านางน้อย” กาลัดพูดกับกลีบบัว
“รีบไป ๆ...เป็นผื่นแดงหมดเลยเพคะเจ้านางน้อย รีบเสด็จกลับตำหนักเถิดเพคะ” กลับบัวพูดพร้อมกับจับแขนของฉันขึ้นมาดู และมีอีกสายตาคู่หนึ่งมองฉันนิ่ง ๆ
“ลาเจ้าค่ะ ท่านพี่อาศิรวิษ” สายตาที่ไม่อาจคาดเดา ทำเอาฉันเริ่มทำตัวไม่ถูก จนต้องรีบปลีกตัวออกมา ถ้าหากอยู่ต้องฉันคงโดนเขาจับได้แน่ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนมาจากการละครทั้งนั้น
“เฮ้อ เกือบโดนจับได้ซะละ” ฉันถอนหายใจ แล้วยกมือลูบอกอย่างโล่งใจเมื่อเดินเข้ามาในตำหนักส่วนตัว มีกลีบบัวยืนเคียงข้างอยู่ในท่าทางไม่ต่างกับฉัน“กาลัดตามหมอหลวงถึงที่ใดกัน ยังไม่เห็นโผล่มา...คัน แสบร้อน หรือไม่เพคะเจ้านางน้อย” กลีบบัวพ่น แล้วจึงเอ่ยถามฉันด้วยความห่วงใย“ไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย” ฉันพูดบอกเธอแล้วเดินไปนั่งบนเตียงอย่างคนอารมณ์ดี“แต่...”“ฉันทำตัวเองน่ะ”กลีบบัวกำลังจะอ้าปากถาม ฉันเลยรีบบอกเธอให้เข้าใจ แต่เหมือนว่าจะยังไม่คลายความสงสัย เพราะกลีบบัวขมวดคิ้วอย่างกับมีคำคาใจ“เรียกร้องความสงสารไง ยัยเจ้านางน้อยอัปสรานั่นจะได้บทเรียนซะบ้าง ท่าทางกร่างเหลือเกิน”“ถ้าหากว่าโดนจับได้ขึ้นมาล่ะเพคะ” กลีบบัวดูกังวล“ไม่หรอกน่า เจ้าหลวงก็ทรงตัดสินโทษแล้วไม่ใช่หรือไง ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรคงไม่มีใครมารื้อฟื้นหรอก เพียงสตรีวิวาทหยอกล้อ ยิ่งใหญ่แค่เพียงปลายช้อนตักข้าว”“หม่อมฉันฟังประโยคสุดท้ายของเจ้านางน้อยเข้าใจเพคะ”“เป็นแบบนั้นแหละ...สบายใจได้ไม่มีใครรื้อฟื้นเรื่องวันนี้หรอก”“แต่วาจานี้หม่อมฉันไม่เข้าใจเพคะ”“เดี๋ยวก็ชิน ไปอาบน้ำกันเถอะเริ่มจะคันแล้ว”“เพคะ”จากนั้นกลีบบัวก็พาฉันไปอาบ
“ถ้าเยี่ยงนั้นคงจักต้องรักษาด้วยการขอดเกล็ดที่เสียหายทิ้ง”“ห๊ะ!!!”อาศิรวิษพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก ก่อนจะหันหน้ามามองฉัน และคำพูดของเขาทำเอาฉันตกใจจนร้องเสียงหลง อะไรคือการขอดเกล็ดมันไม่ใช่อย่างที่ฉันคิดใช่ไหม?“ท่านอาศิรวิษเจ้าคะ เกรงว่า...” กลีบบัวพูดเสริมขึ้น แต่ยังพูดไม่ทันจบประโยคดี ก็มีเสียงเข้มขรึมแทรกขึ้นก่อน“ก็ผิวกายเสียหาย หากปล่อยทิ้งไว้คงจะลามเป็นแผลใหญ่กว่าเดิม เจ้าไม่ห่วงนายของตัวเองหรือไร” อาศิรวิษร่ายยาว“แค่เกาตัวเองแล้วเป็นรอย ลามบ้าบออะไรกัน” ฉันก้มหน้าบ่นยุบยิบ“ห่วงเจ้าค่ะ” กลีบบัวตอบเสียงเบา“เดี๋ยวนะ!? ขอดเกล็ดที่ว่านี่แบบขอดเกล็ดปลาไหม แบบดึงเกล็ดออกจากผิวอีกชั้นแบบนี้เหรอ” ฉันถามวิธีการเพื่อให้แน่ใจ“อย่างที่เจ้านางน้อยเข้าใจ ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ” อาศิรวิษตอบหน้าตาย“นายจะบ้าเหรอกะอีแค่...เอ่อ...แค่” ฉันตอบเขาออกไปอย่างเผลอลืมตัว นึกได้จึงรีบหยุดปากไว้ เกิดอาการตะกุกตะกักพูดไม่ออก บอกเลยตอนนี้สายตาของอาศิรวิษจ้องมองมาทางฉันไม่กะพริบ เขาคงจับพิรุธฉันได้แล้วแน่ แต่ฉันจะไม่ยอมจำนนหรอก เขามันงูยักษ์เจ้าเล่ห์หลอกฉันให้จนมุม“แค่กระไรรึพ่ะย่ะค่ะเจ้านางน้
หลังจากที่เรื่องราวแสนวุ่นวายในยามเช้าจบลง สิ่งที่อาศิรวิษพูดทิ้งท้ายก่อนจากไป ทำเอายังครุ่นคิดไม่ตกปลงไม่ลงเสียที ได้แต่นอนมือก่ายหน้าผากคิดวนเวียนอยู่บนเตียงอย่างกับคนไม่มีงานการจะทำ แน่ล่ะ ก็ฉันไม่รู้ว่าการเป็นเจ้านางน้อยต้องทำอะไรบ้าง กาลัดกับกลีบบัวก็ไม่ได้บอกกล่าวเล่าเรื่องอะไร พวกหล่อนทำเพียงเอนตามผู้เป็นนายเท่านั้นไม่อาจจะสั่งการให้ทำอะไรได้ สิ่งไม่รู้เป็นฉันต้องเริ่มเอ่ยปากก่อนอยู่ร่ำไป และรวมถึงเรื่องนี้เช่นกัน“ขอถามอะไรหน่อยสิ” ความไม่กระจ่างทำให้ฉันต้องตามหาคำตอบเอง“ถามกระไรหรือเพคะเจ้านางน้อย” กาลัดว่าขึ้นในขณะที่มือยังคงทำหน้าที่โบกพัดไปมา“คนของตำหนักประจิมมีใครบ้างเหรอ” ฉันผุดลุกนั่งกับเตียงแล้วถามด้วยความอยากรู้“พระสนมผศิกาเพคะ” กลีบบัวให้คำตอบ“กาลัดกับกลีบบัวพอจะเล่าเรื่องราวในวังนี้ให้ฉันฟังได้ไหม ฉันอยากจะรื้อฟื้นความทรงจำที่หายไป ขอแบบละเอียดเลยนะ” ฉันอ้างเหตุผลจากการเจ็บป่วย เพราะสีหน้าของกาลัดและกลีบบัวล้วนเต็มไปด้วยความงวยงง“ได้เพคะ พระสนมผศิกานั้นเดิมแล้วเป็นพระสหายตั้งแต่พระเยาว์ของเจ้าหลวง เติบโตมาด้วยกันเพคะ จนวันที่เจ้าหลวงต้องครองบัลลังก์เหตุจำเป็นทำ
“เจ้านางน้อย”“เพคะ”เจ้าหลวงที่ก่อนหน้ายืนมือไขว้หลัง เรียกฉันแล้วหันมาประจันหน้า สายตานิ่งมองมายังฉัน จนทำให้รู้สึกขนลุกไปทั้งแขน“กาลเบื้องหน้าพ่อไม่รู้ว่าจักเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามฟ้าลิขิต เจ้าเป็นบุตรเพียงคนเดียวของพระมเหสี และจำต้องแบกรับภาระหน้าที่บ้านเมืองดูแลปกป้องเหล่าประชาต่อจากพ่อ” เจ้าหลวงพูดขึ้นทำให้ฉันรู้สึกตกใจ มันเป็นคำพูดปริศนาที่คุณยายคนนั้นเคยบอกฉัน“แต่ว่าหนูเป็นผู้หญิงนะคะ คงไม่สามารถ...”“มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่จะรับหน้าที่นี้ได้”ฉันยังพูดไม่ทันจบประโยค เจ้าหลวงก็พูดแทรกขึ้นด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจัง แววตาเปล่งประกายรัศมีที่ยากจะคาดเดา ฉันไม่สามารถสัมผัสได้เลยว่าเจ้าหลวงกำลังวางแผนอะไรอยู่ในหัว แต่เรื่องราวที่ฉันเคยเจอมา คำพูดปริศนาและเหตุการณ์มากมาย ทำให้ฉันเริ่มเป็นกังวล เพราะคนธรรมดาอย่างฉันมันจะปกป้องดูแลใครได้ เวทย์คาถาอะไรก็ไม่มี แค่จะป้องกันตัวจากคนรอบข้างก็แสนจะยากเย็น“แล้วทำไมถึงต้องเป็นหนูละคะ...หนูไม่เข้าใจเลย” ฉันย้อนถาม“เพราะเจ้านางน้อยถูกลิขิตไว้แล้ว และหน้าที่นี้ไม่มีผู้ใดกระทำแทนได้”“หนูก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เพราะเสด็จพ่อก็มี
ฉันรู้สึกถึงความเย็นเริ่มวิ่งวนอยู่ในร่างกาย แต่เปลือกตาไม่อาจจะเบิกมองได้ มันหนักอึ้งไปหมด เสียงของผู้คนพูดคุยกันแว่วผ่านเข้ามาในหู ฉันได้ยินเพียงบางเบาไม่สามารถจับใจความได้เลยว่าผู้คนเหล่านั้นพูดคุยอะไรกัน บางคนกำลังจับแขนของฉันเขย่าเบา ๆ ทำให้ฉันเริ่มรู้สึกตัวและพยายามจะลืมตามอง ภาพเลือนรางตรงหน้าทำให้ฉันมองเห็นใครบางคน ฉันพยายามปรับสายตาเพ่งมอง จนเห็นภาพตรงหน้าชัดเจน ใบหน้ายุ่งคิ้วขมวดอยู่ในระยะใกล้ อาศิรวิษ“เจ้าพี่” ฉันเรียกขานด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง ไม่รู้ว่าเขาจะได้ยินมันหรือไม่“เจ้านางน้อย” อาศิรวิษเรียกฉันพร้อมกับกุมมือฉันแน่น เรี่ยวแรงที่เคยมีตอนนี้มันปวกเปียกไม่มีแรงพอแม้จะยกแขน“ยังรู้สึกเจ็บปวดหรือไม่ลูก” เป็นเจ้าหลวงที่เข้ามาถามด้วยน้ำเสียงฟังแล้วเหมือนห่วงใย“ที่นี่ที่ไหน” เจ้าถามเมื่อมองโดยรอบแล้วเป็นสถานที่ไม่คุ้นตา และมีเพียงอาศิรวิษกับเจ้าหลวงเท่านั้นที่อยู่ตรงนี้“สระนพเก้า” อาศิรวิษตอบฉัน“อะไรคือสระนพเก้า” ฉันย้อนถามเพราะไม่คุ้นเคยมาก่อน“สระนพเก้าเป็นสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถรักษาทุกการบาดเจ็บได้ ที่แห่งนี้ไม่มีผู้ใดรู้นอกจากพ่อและอาศิรวิษ” เจ้าหลวงพูดขึ้น“ท
“หึ”“หึอะไรจะหัวเราะก็หัวเราะเลยสิ”เสียงแค่นขบขันจากลำคอ ทำให้ฉันเงยหน้ามองค้อนคนที่กำลังเดินเขามาใกล้ แต่เขาก็เหมือนจะยิ่งตลกไปใหญ่มีทีท่าขำขันไม่หยุด ฉันเหมือนเป็นตัวตลกในสายตาของเขาอย่างนั้นแหละ“กิริยาประหนึ่งเด็กน้อย”“ชิ”“เอาล่ะ เอาล่ะ เจ้านางน้อยอย่าได้บูดบึ้งเช่นนี้เลย ตอนนี้รู้สึกเป็นเยี่ยงไรบ้าง ปราณภายในดีขึ้นหรือยัง” เขาถามด้วยสายตาอบอุ่น น้ำเสียงละมุนฟังแล้วเสนาะหู ถามในสิ่งที่ฉันไม่อาจจะรู้สึกได้ อะไรคือปราณ แล้วมันต้องรู้สึกแบบไหนฉันจะตอบเขาได้ยังไงกัน“อะ อืม” ตอบแบบขอทีไปทีเพราะไม่รู้จะตอบยังไง“อืม? ดีขึ้นหรือไม่ดี” อาศิรวิษย้อน“ดีขึ้น” ฉันยืนยันคำตอบ“แล้วไยถึงไม่ตอบให้ชัดเจน ช่างแปลกประหลาดนักตั้งแต่ที่เจ้านางน้อยฟื้นขึ้นมา”“แล้วจะเซ้าซี้ทำไมนักหนาเล่า” ฉันพูดขึ้นเสียงดังเมื่อเขาเอาแต่ยอกย้อนยียวน “ก็ไม่ใช่ผณินทรจะเหมือนเดิมได้ยังไงล่ะ” ประโยคนี้ฉันมองหน้าเขาแล้วพูดในใจ“ปราณภายในคงดีขึ้นจริง ๆ เพราะเสียงดังฟังชัดเพียงนี้” เขาพูดแหย่ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง“นี่เจ้าพี่ขอถามอะไรหน่อยสิ”“จะถามกระไรอย่างนั้นหรือ”“ที่เสด็จพ่อทำวันนี้เรียกว่าอะไร ทำไมมันถึงได้เจ็บปวดเ
ตลอดเวลาสามวันที่ฉันรักษาตัวแช่อยู่ในสระนพเก้า มีอาศิรวิษคอยเฝ้าดูแลอย่างชิดใกล้ ได้รับการเอาใจใส่เป็นอย่างดี ร่างกายของฉันมีแรงขึ้นมากและเหมือนว่าจะมีพลังบางอย่างเวียนวนอยู่ภายในร่างกายของฉัน ระยะเวลาที่ผ่านฉันพยายามหลอกถามอาศิรวิษจนสามารถทำเบื้องต้นในสิ่งที่ผณินทรเคยทำ การเปลี่ยนร่างเหาะเหินล้วนได้รับการฝึกสอนมาจากอาศิรวิษทั้งนั้น แม้จะยังไม่ชำนาญมากแต่ก็สามารถทำได้มากกว่าแต่ก่อน เขาพาฉันกลับมายังตำหนักในเวลาพลบค่ำที่ไร้ผู้คนสัญจร ตามคำสั่งการของเจ้าหลวงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นต้องเป็นความลับ“เจ้านางน้อยพักผ่อนเสียเถิด พรุ่งนี้จักต้องเข้าเฝ้าเจ้าหลวงแต่เช้า”“อืม”อาศิรวิษส่งฉันยังหน้าทางเข้าตำหนักพักผ่อน ย้ำเตือนในหน้าที่ต้องกระทำในวันพรุ่งนี้ ฉันรับฟังด้วยความยินดี จากนั้นก็เดินแยกจากเข้าไปยังตำหนักด้านใน เดินห่างออกไปจึงได้หันหลังกลับมามอง ยังคงเห็นเขายืนส่งไม่ไปไหน ฉันจึงส่งยิ้มอ่อนให้แล้วรีบเดินเข้าด้านในด้วยรอยยิ้มเปรมปรีดิ์เวลาผ่านไปนานจนฉันแทบไม่รู้วันเวลากับการที่มาอยู่ที่นี่ สถานที่แปลกตาผู้คนที่ฉันไม่รู้จัก แต่ด้วยสถานการณ์ที่ฉันยากจะปฏิเสธทุกอย่างจำต้องเดินตามเส้นทางที่ถูก
“เจอกันจริง ๆ เสียทีนะ”“คะ?”คำพูดของท่านอาจารย์ทำให้ฉันเกิดความสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง อะไรคือคำว่าเจอกันจริง ๆ เสียที“ศิษย์ขอฝากบุตรสาวคนนี้เป็นศิษย์ของท่านด้วยเถิด นางเป็นหน่อเนื้อเชื้อไขที่ศิษย์ไว้ใจให้ปกครองมคธนครในภายภาคหน้า และเชื่อว่านางจะทำหน้าที่นี้ได้เป็นอย่างดี”เสด็จพ่อพูดขึ้น ตอนนี้ทุกอย่างประเดประดังเข้ามาในหัวของฉันไม่หยุดหย่อน นี่ฉันต้องรับภาระหน้าที่อันหนักอึ้งจริงหรือ ปกครองชีวิตนับแสนนับล้านฉันเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาจะทำมันได้อย่างไร“อย่าได้กังวลใจไป แม้จะไม่ใช่ตัวตนแต่จิตวิญญาณแท้จริงนั้นแสนลึกล้ำยิ่งนัก”“แต่ว่า...”“ปล่อยให้ทุกอย่างเดินตามเส้นทางที่ลิขิตเถิด การฝืนยิ่งจะทำให้เจ็บไม่รู้จบ”“เจ้าค่ะ”ท่านอาจารย์กล่าวออกมาอย่างกับอ่านความคิดของฉันได้ คำพูดของท่านทำให้ฉันปรายสายตามอง ในหัวตอนนี้มีเครื่องหมายคำถามเต็มไปหมด แต่ก็ไม่อาจจะเปล่งออกมาเป็นวาจาถามไถ่ ก็ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในก้นบึ้งหัวใจ และก้มหัวยอมรับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นนับจากนี้ฉันตั้งใจร่ำเรียนวิชาตามที่ท่านอาจารย์สอน มันช่างยากเย็นแสนเข็ญสำหรับฉันที่เป็นเพียงจิตวิญญาณธรรมดา วิชาเวทย์ที่ยากจะเข้าใจ
การฝึกฝนแสนหนักหน่วงสะสมมานานนับหลายเดือนทำให้ฉันเหนื่อยล้าและเปลืองแรงมหาศาลแทบทุกวัน วันนี้ก็เช่นกันฉันฝึกวิชามาจนลึกล้ำถึงขั้นเปลี่ยนร่าง เหาะเหินเดินอากาศ และการใช้เวทย์ต่าง ๆ ตามที่ท่านอาจารย์สอนให้ ฉันรู้สึกประหลาดใจอย่างไม่คิดเชื่อเลยว่า คนธรรมดาแบบฉันสามารถฝึกวิชาโบราณได้มากถึงเพียงนี้ เป็นสิ่งที่ฉันคาดไม่ถึงเลย แม้กระทั่งความรู้สึกที่เริ่มเปลี่ยนไปกับใครบางคน“ทำได้ดีมากทีเดียวเจ้านางน้อย” ท่านอาจารย์เอ่ยเมื่อสิ้นสุดการฝึกในวันนี้“ไม่คิดว่าจะทำได้เหมือนกันเจ้าค่ะ”“สิ่งที่ติดตัวมา ต่อให้ลืมเลือนก็ย่อมรื้อฟื้นได้ไม่ยาก”“แต่หนูไม่เคยรู้วิชาพวกนี้ก่อนนะเจ้าคะ”“.....”“ท่านอาจารย์มองหน้าแบบนั้น รู้สึกแปลก ๆ เจ้าค่ะ มีอะไรเหรือเปล่าเจ้าคะ?”ระหว่างการพูดคุยกับท่านอาจารย์อยู่ในถ้ำ คำพูดบางประโยคทำให้ฉันแปลกใจ แถมสายตาที่ท่านอาจารย์มองมาที่ฉันยิ่งทำให้มีความรู้สึกแปลกประหลาด เหมือนกับว่าท่านอาจารย์รับรู้อะไรบางอย่างในตัวของฉัน หรือว่าฉันจะคิดมากไปเอง“ไม่มีกระไรหรอก วันนี้สิ้นสุดเพียงเท่านี้ เสด็จกลับตำหนักเถิดเจ้านางน้อย พรุ่งนี้ค่อยมาฝึกวิชาขั้นสูงสุด”“เจ้าค่ะ ศิษย์ของลา”แม้ท
“เจอกันจริง ๆ เสียทีนะ”“คะ?”คำพูดของท่านอาจารย์ทำให้ฉันเกิดความสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง อะไรคือคำว่าเจอกันจริง ๆ เสียที“ศิษย์ขอฝากบุตรสาวคนนี้เป็นศิษย์ของท่านด้วยเถิด นางเป็นหน่อเนื้อเชื้อไขที่ศิษย์ไว้ใจให้ปกครองมคธนครในภายภาคหน้า และเชื่อว่านางจะทำหน้าที่นี้ได้เป็นอย่างดี”เสด็จพ่อพูดขึ้น ตอนนี้ทุกอย่างประเดประดังเข้ามาในหัวของฉันไม่หยุดหย่อน นี่ฉันต้องรับภาระหน้าที่อันหนักอึ้งจริงหรือ ปกครองชีวิตนับแสนนับล้านฉันเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาจะทำมันได้อย่างไร“อย่าได้กังวลใจไป แม้จะไม่ใช่ตัวตนแต่จิตวิญญาณแท้จริงนั้นแสนลึกล้ำยิ่งนัก”“แต่ว่า...”“ปล่อยให้ทุกอย่างเดินตามเส้นทางที่ลิขิตเถิด การฝืนยิ่งจะทำให้เจ็บไม่รู้จบ”“เจ้าค่ะ”ท่านอาจารย์กล่าวออกมาอย่างกับอ่านความคิดของฉันได้ คำพูดของท่านทำให้ฉันปรายสายตามอง ในหัวตอนนี้มีเครื่องหมายคำถามเต็มไปหมด แต่ก็ไม่อาจจะเปล่งออกมาเป็นวาจาถามไถ่ ก็ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในก้นบึ้งหัวใจ และก้มหัวยอมรับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นนับจากนี้ฉันตั้งใจร่ำเรียนวิชาตามที่ท่านอาจารย์สอน มันช่างยากเย็นแสนเข็ญสำหรับฉันที่เป็นเพียงจิตวิญญาณธรรมดา วิชาเวทย์ที่ยากจะเข้าใจ
ตลอดเวลาสามวันที่ฉันรักษาตัวแช่อยู่ในสระนพเก้า มีอาศิรวิษคอยเฝ้าดูแลอย่างชิดใกล้ ได้รับการเอาใจใส่เป็นอย่างดี ร่างกายของฉันมีแรงขึ้นมากและเหมือนว่าจะมีพลังบางอย่างเวียนวนอยู่ภายในร่างกายของฉัน ระยะเวลาที่ผ่านฉันพยายามหลอกถามอาศิรวิษจนสามารถทำเบื้องต้นในสิ่งที่ผณินทรเคยทำ การเปลี่ยนร่างเหาะเหินล้วนได้รับการฝึกสอนมาจากอาศิรวิษทั้งนั้น แม้จะยังไม่ชำนาญมากแต่ก็สามารถทำได้มากกว่าแต่ก่อน เขาพาฉันกลับมายังตำหนักในเวลาพลบค่ำที่ไร้ผู้คนสัญจร ตามคำสั่งการของเจ้าหลวงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นต้องเป็นความลับ“เจ้านางน้อยพักผ่อนเสียเถิด พรุ่งนี้จักต้องเข้าเฝ้าเจ้าหลวงแต่เช้า”“อืม”อาศิรวิษส่งฉันยังหน้าทางเข้าตำหนักพักผ่อน ย้ำเตือนในหน้าที่ต้องกระทำในวันพรุ่งนี้ ฉันรับฟังด้วยความยินดี จากนั้นก็เดินแยกจากเข้าไปยังตำหนักด้านใน เดินห่างออกไปจึงได้หันหลังกลับมามอง ยังคงเห็นเขายืนส่งไม่ไปไหน ฉันจึงส่งยิ้มอ่อนให้แล้วรีบเดินเข้าด้านในด้วยรอยยิ้มเปรมปรีดิ์เวลาผ่านไปนานจนฉันแทบไม่รู้วันเวลากับการที่มาอยู่ที่นี่ สถานที่แปลกตาผู้คนที่ฉันไม่รู้จัก แต่ด้วยสถานการณ์ที่ฉันยากจะปฏิเสธทุกอย่างจำต้องเดินตามเส้นทางที่ถูก
“หึ”“หึอะไรจะหัวเราะก็หัวเราะเลยสิ”เสียงแค่นขบขันจากลำคอ ทำให้ฉันเงยหน้ามองค้อนคนที่กำลังเดินเขามาใกล้ แต่เขาก็เหมือนจะยิ่งตลกไปใหญ่มีทีท่าขำขันไม่หยุด ฉันเหมือนเป็นตัวตลกในสายตาของเขาอย่างนั้นแหละ“กิริยาประหนึ่งเด็กน้อย”“ชิ”“เอาล่ะ เอาล่ะ เจ้านางน้อยอย่าได้บูดบึ้งเช่นนี้เลย ตอนนี้รู้สึกเป็นเยี่ยงไรบ้าง ปราณภายในดีขึ้นหรือยัง” เขาถามด้วยสายตาอบอุ่น น้ำเสียงละมุนฟังแล้วเสนาะหู ถามในสิ่งที่ฉันไม่อาจจะรู้สึกได้ อะไรคือปราณ แล้วมันต้องรู้สึกแบบไหนฉันจะตอบเขาได้ยังไงกัน“อะ อืม” ตอบแบบขอทีไปทีเพราะไม่รู้จะตอบยังไง“อืม? ดีขึ้นหรือไม่ดี” อาศิรวิษย้อน“ดีขึ้น” ฉันยืนยันคำตอบ“แล้วไยถึงไม่ตอบให้ชัดเจน ช่างแปลกประหลาดนักตั้งแต่ที่เจ้านางน้อยฟื้นขึ้นมา”“แล้วจะเซ้าซี้ทำไมนักหนาเล่า” ฉันพูดขึ้นเสียงดังเมื่อเขาเอาแต่ยอกย้อนยียวน “ก็ไม่ใช่ผณินทรจะเหมือนเดิมได้ยังไงล่ะ” ประโยคนี้ฉันมองหน้าเขาแล้วพูดในใจ“ปราณภายในคงดีขึ้นจริง ๆ เพราะเสียงดังฟังชัดเพียงนี้” เขาพูดแหย่ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง“นี่เจ้าพี่ขอถามอะไรหน่อยสิ”“จะถามกระไรอย่างนั้นหรือ”“ที่เสด็จพ่อทำวันนี้เรียกว่าอะไร ทำไมมันถึงได้เจ็บปวดเ
ฉันรู้สึกถึงความเย็นเริ่มวิ่งวนอยู่ในร่างกาย แต่เปลือกตาไม่อาจจะเบิกมองได้ มันหนักอึ้งไปหมด เสียงของผู้คนพูดคุยกันแว่วผ่านเข้ามาในหู ฉันได้ยินเพียงบางเบาไม่สามารถจับใจความได้เลยว่าผู้คนเหล่านั้นพูดคุยอะไรกัน บางคนกำลังจับแขนของฉันเขย่าเบา ๆ ทำให้ฉันเริ่มรู้สึกตัวและพยายามจะลืมตามอง ภาพเลือนรางตรงหน้าทำให้ฉันมองเห็นใครบางคน ฉันพยายามปรับสายตาเพ่งมอง จนเห็นภาพตรงหน้าชัดเจน ใบหน้ายุ่งคิ้วขมวดอยู่ในระยะใกล้ อาศิรวิษ“เจ้าพี่” ฉันเรียกขานด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง ไม่รู้ว่าเขาจะได้ยินมันหรือไม่“เจ้านางน้อย” อาศิรวิษเรียกฉันพร้อมกับกุมมือฉันแน่น เรี่ยวแรงที่เคยมีตอนนี้มันปวกเปียกไม่มีแรงพอแม้จะยกแขน“ยังรู้สึกเจ็บปวดหรือไม่ลูก” เป็นเจ้าหลวงที่เข้ามาถามด้วยน้ำเสียงฟังแล้วเหมือนห่วงใย“ที่นี่ที่ไหน” เจ้าถามเมื่อมองโดยรอบแล้วเป็นสถานที่ไม่คุ้นตา และมีเพียงอาศิรวิษกับเจ้าหลวงเท่านั้นที่อยู่ตรงนี้“สระนพเก้า” อาศิรวิษตอบฉัน“อะไรคือสระนพเก้า” ฉันย้อนถามเพราะไม่คุ้นเคยมาก่อน“สระนพเก้าเป็นสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถรักษาทุกการบาดเจ็บได้ ที่แห่งนี้ไม่มีผู้ใดรู้นอกจากพ่อและอาศิรวิษ” เจ้าหลวงพูดขึ้น“ท
“เจ้านางน้อย”“เพคะ”เจ้าหลวงที่ก่อนหน้ายืนมือไขว้หลัง เรียกฉันแล้วหันมาประจันหน้า สายตานิ่งมองมายังฉัน จนทำให้รู้สึกขนลุกไปทั้งแขน“กาลเบื้องหน้าพ่อไม่รู้ว่าจักเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามฟ้าลิขิต เจ้าเป็นบุตรเพียงคนเดียวของพระมเหสี และจำต้องแบกรับภาระหน้าที่บ้านเมืองดูแลปกป้องเหล่าประชาต่อจากพ่อ” เจ้าหลวงพูดขึ้นทำให้ฉันรู้สึกตกใจ มันเป็นคำพูดปริศนาที่คุณยายคนนั้นเคยบอกฉัน“แต่ว่าหนูเป็นผู้หญิงนะคะ คงไม่สามารถ...”“มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่จะรับหน้าที่นี้ได้”ฉันยังพูดไม่ทันจบประโยค เจ้าหลวงก็พูดแทรกขึ้นด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจัง แววตาเปล่งประกายรัศมีที่ยากจะคาดเดา ฉันไม่สามารถสัมผัสได้เลยว่าเจ้าหลวงกำลังวางแผนอะไรอยู่ในหัว แต่เรื่องราวที่ฉันเคยเจอมา คำพูดปริศนาและเหตุการณ์มากมาย ทำให้ฉันเริ่มเป็นกังวล เพราะคนธรรมดาอย่างฉันมันจะปกป้องดูแลใครได้ เวทย์คาถาอะไรก็ไม่มี แค่จะป้องกันตัวจากคนรอบข้างก็แสนจะยากเย็น“แล้วทำไมถึงต้องเป็นหนูละคะ...หนูไม่เข้าใจเลย” ฉันย้อนถาม“เพราะเจ้านางน้อยถูกลิขิตไว้แล้ว และหน้าที่นี้ไม่มีผู้ใดกระทำแทนได้”“หนูก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เพราะเสด็จพ่อก็มี
หลังจากที่เรื่องราวแสนวุ่นวายในยามเช้าจบลง สิ่งที่อาศิรวิษพูดทิ้งท้ายก่อนจากไป ทำเอายังครุ่นคิดไม่ตกปลงไม่ลงเสียที ได้แต่นอนมือก่ายหน้าผากคิดวนเวียนอยู่บนเตียงอย่างกับคนไม่มีงานการจะทำ แน่ล่ะ ก็ฉันไม่รู้ว่าการเป็นเจ้านางน้อยต้องทำอะไรบ้าง กาลัดกับกลีบบัวก็ไม่ได้บอกกล่าวเล่าเรื่องอะไร พวกหล่อนทำเพียงเอนตามผู้เป็นนายเท่านั้นไม่อาจจะสั่งการให้ทำอะไรได้ สิ่งไม่รู้เป็นฉันต้องเริ่มเอ่ยปากก่อนอยู่ร่ำไป และรวมถึงเรื่องนี้เช่นกัน“ขอถามอะไรหน่อยสิ” ความไม่กระจ่างทำให้ฉันต้องตามหาคำตอบเอง“ถามกระไรหรือเพคะเจ้านางน้อย” กาลัดว่าขึ้นในขณะที่มือยังคงทำหน้าที่โบกพัดไปมา“คนของตำหนักประจิมมีใครบ้างเหรอ” ฉันผุดลุกนั่งกับเตียงแล้วถามด้วยความอยากรู้“พระสนมผศิกาเพคะ” กลีบบัวให้คำตอบ“กาลัดกับกลีบบัวพอจะเล่าเรื่องราวในวังนี้ให้ฉันฟังได้ไหม ฉันอยากจะรื้อฟื้นความทรงจำที่หายไป ขอแบบละเอียดเลยนะ” ฉันอ้างเหตุผลจากการเจ็บป่วย เพราะสีหน้าของกาลัดและกลีบบัวล้วนเต็มไปด้วยความงวยงง“ได้เพคะ พระสนมผศิกานั้นเดิมแล้วเป็นพระสหายตั้งแต่พระเยาว์ของเจ้าหลวง เติบโตมาด้วยกันเพคะ จนวันที่เจ้าหลวงต้องครองบัลลังก์เหตุจำเป็นทำ
“ถ้าเยี่ยงนั้นคงจักต้องรักษาด้วยการขอดเกล็ดที่เสียหายทิ้ง”“ห๊ะ!!!”อาศิรวิษพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก ก่อนจะหันหน้ามามองฉัน และคำพูดของเขาทำเอาฉันตกใจจนร้องเสียงหลง อะไรคือการขอดเกล็ดมันไม่ใช่อย่างที่ฉันคิดใช่ไหม?“ท่านอาศิรวิษเจ้าคะ เกรงว่า...” กลีบบัวพูดเสริมขึ้น แต่ยังพูดไม่ทันจบประโยคดี ก็มีเสียงเข้มขรึมแทรกขึ้นก่อน“ก็ผิวกายเสียหาย หากปล่อยทิ้งไว้คงจะลามเป็นแผลใหญ่กว่าเดิม เจ้าไม่ห่วงนายของตัวเองหรือไร” อาศิรวิษร่ายยาว“แค่เกาตัวเองแล้วเป็นรอย ลามบ้าบออะไรกัน” ฉันก้มหน้าบ่นยุบยิบ“ห่วงเจ้าค่ะ” กลีบบัวตอบเสียงเบา“เดี๋ยวนะ!? ขอดเกล็ดที่ว่านี่แบบขอดเกล็ดปลาไหม แบบดึงเกล็ดออกจากผิวอีกชั้นแบบนี้เหรอ” ฉันถามวิธีการเพื่อให้แน่ใจ“อย่างที่เจ้านางน้อยเข้าใจ ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ” อาศิรวิษตอบหน้าตาย“นายจะบ้าเหรอกะอีแค่...เอ่อ...แค่” ฉันตอบเขาออกไปอย่างเผลอลืมตัว นึกได้จึงรีบหยุดปากไว้ เกิดอาการตะกุกตะกักพูดไม่ออก บอกเลยตอนนี้สายตาของอาศิรวิษจ้องมองมาทางฉันไม่กะพริบ เขาคงจับพิรุธฉันได้แล้วแน่ แต่ฉันจะไม่ยอมจำนนหรอก เขามันงูยักษ์เจ้าเล่ห์หลอกฉันให้จนมุม“แค่กระไรรึพ่ะย่ะค่ะเจ้านางน้
“เฮ้อ เกือบโดนจับได้ซะละ” ฉันถอนหายใจ แล้วยกมือลูบอกอย่างโล่งใจเมื่อเดินเข้ามาในตำหนักส่วนตัว มีกลีบบัวยืนเคียงข้างอยู่ในท่าทางไม่ต่างกับฉัน“กาลัดตามหมอหลวงถึงที่ใดกัน ยังไม่เห็นโผล่มา...คัน แสบร้อน หรือไม่เพคะเจ้านางน้อย” กลีบบัวพ่น แล้วจึงเอ่ยถามฉันด้วยความห่วงใย“ไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย” ฉันพูดบอกเธอแล้วเดินไปนั่งบนเตียงอย่างคนอารมณ์ดี“แต่...”“ฉันทำตัวเองน่ะ”กลีบบัวกำลังจะอ้าปากถาม ฉันเลยรีบบอกเธอให้เข้าใจ แต่เหมือนว่าจะยังไม่คลายความสงสัย เพราะกลีบบัวขมวดคิ้วอย่างกับมีคำคาใจ“เรียกร้องความสงสารไง ยัยเจ้านางน้อยอัปสรานั่นจะได้บทเรียนซะบ้าง ท่าทางกร่างเหลือเกิน”“ถ้าหากว่าโดนจับได้ขึ้นมาล่ะเพคะ” กลีบบัวดูกังวล“ไม่หรอกน่า เจ้าหลวงก็ทรงตัดสินโทษแล้วไม่ใช่หรือไง ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรคงไม่มีใครมารื้อฟื้นหรอก เพียงสตรีวิวาทหยอกล้อ ยิ่งใหญ่แค่เพียงปลายช้อนตักข้าว”“หม่อมฉันฟังประโยคสุดท้ายของเจ้านางน้อยเข้าใจเพคะ”“เป็นแบบนั้นแหละ...สบายใจได้ไม่มีใครรื้อฟื้นเรื่องวันนี้หรอก”“แต่วาจานี้หม่อมฉันไม่เข้าใจเพคะ”“เดี๋ยวก็ชิน ไปอาบน้ำกันเถอะเริ่มจะคันแล้ว”“เพคะ”จากนั้นกลีบบัวก็พาฉันไปอาบ