(“ไม่นึกฝันว่าเราจะได้เจอกันในเวลานี้ เจ้านางน้อยผณินทร”)
“เฮือก! 0.0”
ร่างสูงใหญ่ปีกหนาค่อย ๆ โฉบบินลงมาสู่พื้นดินพร้อมกับประกายรัศมีสีขาว ก่อนจะผันกลายเป็นร่างมนุษย์กำยำยืนตรงหน้าของฉัน คนที่มาใหม่ทำให้ฉันรับรู้ทันทีว่าเป็นใคร กาลัดกับกลีบบัวรีบเข้ามายืนบังด้านหน้าของฉัน พร้อมกับกางแขนออกทั้งสองข้างอย่างปกป้อง
“เวนไตย?” ฉันพูดชื่อของคนตรงหน้าออกมาเบา ๆ พร้อมกับจดจ้องมองหน้าอย่างใจสู้ ทั้งที่ภายในอกนั้นสั่นเทิ้มหวาดกลัว ทำเป็นใจดีสู้เสือเพื่อไม่ให้ศัตรูได้ใจ
“ปลื้มใจเหลือเกินที่เจ้านางน้อยผู้สูงศักดิ์ยังจดจำนามของข้าได้” เขาพูดพร้อมกับรอยยิ้มร้ายกาจ พร้อมกับก้าวขาเดินเข้ามาใกล้อย่างเชื่องช้า กลีบบัวและกาลัดก็ดันให้ฉันเดินถอยหลังออกห่างก้าวต่อก้าวเช่นกัน
“ท่านอย่าคิดแตะต้องเจ้านางน้อยเด็ดขาด” กาลัดพูดขึ้นอย่างไม่คิดกลัว
ฉันจ้องมองคนที่กลายร่างเป็นคนยืนตรงหน้าด้วยสายตาแข็งกร้าว เขาดูร้ายกาจจนทำให้ฉันขนลุกไปทั้งตัว ขาค่อย ๆ ขยับถอยออกห่างทีละก้าวอย่างเชื่องข้า จับสังเกตพฤติกรรมว่าจะกระทำอะไรที่มันไม่น่าไว้ใจมากกว่านี้ไหม จะได้หาทางหนีทีไล่ ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าพวกฉันต้องเจออันตรายแค่ไหนบ้าง ยิ่งเขาขวางทางดักหน้าแบบนี้ ฉันยิ่งหวั่นกลัววิชาความรู้ป้องกันตัวก็ยิ่งไม่มี หรืออาจจะมีเพียงแต่ฉันไม่รู้ว่าต้องใช้ยังไง
“หึ คนที่เราชมชอบจะทำให้บอบช้ำได้เยี่ยงไร” เขายกยิ้มเจ้าเล่ห์ สายตาเพ่งมองมาทางฉัน ขาก็ยังคงก้าวเข้ามาเรื่อย ๆ
“ก็ลองดูสิแม่จะฟาดให้” ฉันทำใจดีสู้เสือเอ่ยออกไป ไม่อยากให้เขากำแหงได้ใจ
“สมแล้วที่เป็นเจ้านางน้อยแห่งมคธนคร วาจาช่างเก่งกล้านัก” ที่ฉันข่มไปเวนไตยไม่มีท่าทีว่าจะกลัวสักนิด
แสงสีขาวเปล่งประกาย ก่อนที่งูใหญ่จะกลายร่างเป็นคนมาหยุดตรงหน้ากำบังให้พวกฉันทั้งสาม ทำให้ฉันรู้สึกโล่งอกหายใจได้คล่องขึ้น รู้สึกว่าฉันปลอดภัยแล้วเมื่อเห็นเขา
“นี่เป็นเขตของมคธนคร และยังเป็นเขตหวงห้ามของเจ้านางน้อย เหตุใดท่านเวนไตยถึงได้อาจหาญ กล้ามารุกรานเช่นนี้...กลับไปเสียเถิดอย่าให้เกิดความโกลาหล สร้างเรื่องราวเข้าถึงพระกรรณเจ้าหลวงเลย” อาศิรวิษพูดขึ้นด้วยท่าทียำเกรงนิ่งขรึม
“ก็แค่อยากเห็นใบหน้าคนที่ข้ารักก่อนเข้านอน”
“เห็นแล้วก็กลับไปซะสิ”
เวนไตยพูดขึ้นด้วยท่าทางน่าสะอิดสะเอียด ฉันจึงพูดต่ออย่างไม่รีรอ เพราะเขาดูไม่น่าไว้ใจ และฉันก็รู้สึกไม่ถูกชะตากับคนผู้นี้
“เจ้านางน้อยมิใช่สตรีที่ท่านจะแทะโลมเช่นนี้ได้ กลับไปเสียเถิดอย่าให้ข้าต้องลงมือเป็นหนที่สอง เพราะครั้งนี้ข้าจะไม่ออมมือเป็นแน่”
“สุดยอดไปเลยค่ะท่านองครักษ์” ฉันยกนิ้วหัวแม่มือชูขึ้น อดไม่ได้ที่จะชื่นชมคำพูดขององครักษ์ที่น่าเกรงขามอย่างเผลอลืมตัว ทั้งกาลัดและกลีบบัวหันมองหน้าฉันด้วยสีหน้างุนงงเป็นสายตาเดียว
“ขี้ช้าเช่นเจ้าไยจึงวาจาสามหาวเช่นนี้” เวนไตยต่อว่าอาศิรวิษด้วยแววตาแข็งกร้าว ราวโกรธแค้นกับคำพูดที่หักหน้า
“แล้วเหตุใดผู้เป็นนายเหนือหัวเช่นท่านถึงได้ละลานสตรีไม่หยุดหย่อน เพลานี้มันเหมาะแล้วหรือไรที่จะพบเจอ...ไยท่านถึงได้เสมือนค้อนด้ามหักไร้ซึ่งประโยชน์นัก” อาศิรวิษว่าขึ้น ทำเอาฉันต้องตะลึงหันไปมองเขาทันที นี่เขากำลังด่าเวนไตยว่าโง่ไร้สมองใช่ไหม หรือฉันเข้าใจอะไรผิดไป
“เจ้า!!!” เวนไตยถึงกับชี้หน้า พร้อมดวงตาที่เปล่งรัศมีแห่งความแค้น
“เชิญกลับที่ที่ท่านจากมาเสียเถิดท่านเวนไตย อย่าได้สร้างความขัดแย้งไปมากกว่านี้เลย” อาศิรวิษพูดพร้อมกับเดินทีละก้าวเข้าไปใกล้ ท่าทางน่ายำเกรงทำให้เวนไตยหน้าเจื่อนลง แต่ยังคงวางท่าคงไว้
“เป็นเพียงองครักษ์แต่กับไม่รู้ที่ต่ำที่สูง” เวนไตยกล่าวตำหนิ
“ข้าก็เป็นเช่นนี้ หยาบคายไร้มารยาทเป็นองครักษ์ที่รู้จักแต่สู้รบ แล้วไยท่านเวนไตยถึงยังลดตัวต่อวาจากับข้าต่ออีก”
“อย่าให้ถึงทีของข้าก็แล้วกัน!”
“ข้าจะรอวันนั้น”
ประจันคำพูดท้าทายกันจบสิ้น เวนไตยก็เปลี่ยนร่างเป็นครุฑเหาะเหินขึ้นสู่ท้องฟ้า บินไปตามเส้นทางของเขา ส่วนฉันก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก นึกว่าจะถึงครุฑคาบไปกินซะแล้ว
“สุดยอดไปเลยค่ะท่านองครักษ์ ปากโคตรแจ๋ว” ฉันขยับไปยืนตรงหน้าอาศิรวิษ แล้วเอ่ยชมด้วยความอารมณ์ดี
(((ปากโคตรแจ๋ว?)))
“เอ่อ...ช่างเถอะน่า เอาเป็นว่าเก่งมากก็แล้วกัน”
คำพูดของฉันคงจะแปลกสำหรับพวกเขามากเหลือเกิน พูดจบทั้งสามคนก็ขมวดคิ้วเป็นปม มองมาทางฉันเป็นสายตาเดียวด้วยสีหน้างวยงง ฉันจึงรีบพูดปัดไม่ให้พวกเขาสนใจ
“เจ้านางน้อยวาจาประหลาดนักเพคะ” กลีบบัวเกาหัวหงิกแล้วพูดขึ้น
“เดี๋ยวก็ชินเองแหละน่า” ฉันบอก
“พระองค์มาทำกระไรมืดค่ำพ่ะย่ะค่ะ เป็นสตรีหาสมควรไม่”
“ก็ได้ยินเสียงดังเลยวิ่งมาดู ใครจะรู้ว่าต่อสู้ฆ่าฟันกันล่ะ”
“พระองค์มิควรอยากรู้ให้มากมาย เพราะมันอาจจะเป็นภัยกับพระองค์เอง”
“นี่นายว่าฉันขี้เสือกเหรอ?”
“...พาเจ้านางน้อยกลับเข้าตำหนักเถิด”
“เสด็จกลับเถิดเพคะเจ้านางน้อย”
ฉันหัวร้อนทันทีเมื่อนายองครักษ์หลอกด่า เขม่นสายตามองเขาด้วยความโมโห ตั้งท่าจะเดินเข้าไปประชิด แต่กาลัดกับกลีบบัวจับแขนฉันไว้ก่อน เป็นองครักษ์ที่ปากเสียมาก
“กลับอะไรล่ะ นายองครักษ์ด่าฉันอยู่นะ แค่บังเอิญมาเจอเท่านั้นไหมล่ะ”
“ยกขายกแข้งไม่งามเพคะเจ้านางน้อย เชื่อฟังท่านอาศิรวิษเถิดเพคะ”
“ไม่เชื่อ ไม่ฟัง แบร่!”
ฉันโวยวายในขณะที่กลีบบัวและกาลัดลากแขนออกมา แอบเห็นอาศิรวิษส่งสายตาเป็นสัญญาณและทั้งสองคนดันดูเชื่อฟังเขาซะอย่างนั้น สรุปใครเป็นนาย ใครเป็นบ่าวกันแน่!
“เจ้านางน้อยแสดงกิริยาเช่นนั้นไม่งามเจ้าค่ะ เสด็จกลับเถิดเพคะ” กาลัดยังคงพูดกรอกหูของฉัน พร้อมกับลากแขนไปพลาง“น่าโมโหชะมัด เขาด่าฉันชอบเสือกนะ...คิดว่ากลัวหรือไง!” ฉันหยุดเดินแล้วมือเท้าสะเอวพูดกับสองสาว ตามด้วยประโยคหลังตะโกนกลับหลังหวังให้เขาได้ยิน“ชู่...เบาเสียงเพคะเจ้านางน้อย” กลีบบัวปรามฉัน“ก็ดูสิเขาปากเสียขนาดนั้นนะ ไอ้คนบ้า!” แต่อารมณ์ของฉันมันเดือดมาก“เบา ๆ เพคะเจ้านางน้อย เดี๋ยวท่านอาศิรวิษก็ได้ยินนะเพคะ” กาลัดปรามอีกเสียง แถมยังเอามือปิดปากของฉันไว้อีก“ได้ยินก็ได้ไปสิใครกลัวเขากัน” อารมณ์ร้อนปะทุจนห้ามไม่ไหว ฉันหันหลังกลับแล้วแหกปากพูดเสียงดังอีกครั้ง แต่...“ไม่กลัวกระหม่อมอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”“ม ม ไม่กลัว ทำไมต้องกลัวด้วย”การมาที่ไร้เสียงทำให้ฉันตกใจจนพูดออกไปตะกุกตะกัก มองหน้าที่แสนจะเย็นชาด้วยความหวาดหวั่น สายตาของเขานั้นฉันเดาไม่ออกเลยว่ากำลังรู้สึกหรือนึกคิดอะไร มันดูว่างเปล่าซะเหลือเกิน“เจ้านางน้อยเพคะ” กลีบบัวกระตุกแขนฉัน แล้วพูดเสียงอ่อนย้ำเตือนอยู่ข้าง ๆ“ทรงลืมแล้วหรืออย่างไรว่าแม้จะเป็นองครักษ์ประจำกายของพระองค์ แต่ท่านอาศิรวิษก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นบุต
ค่ำคืนที่แสนสงบเหมือนใกล้จะจบลง เริ่มเข้าสู่วันใหม่การนอนหลับใหลในดินแดนห่างไกลทำให้ฉันฝันถึงคนที่บ้าน ป่านนี้ไม่รู้ว่าพวกเขาจะเป็นยังไงกันบ้าง ความง่วงที่มีมากไม่สามารถเปิดเปลือกตาขึ้นได้ รู้สึกตัวกึ่งหลับกึ่งตื่นเหมือนมีอะไรก่อกวนการนอนของฉันจนเริ่มรู้สึกรำคาญ“อื้อ” ฉันแค่นเสียงข่มและพลิกตัวหันไปอีกทาง“อย่ากวนได้ไหม...ขอนอนต่ออีกหน่อย” การสะกิดแขนสร้างความรำคาญ จนฉันต้องดึงผ้าห่มมาคลุมโปง“อื้อ กลีบบัว กาลัด...” ฉันเหมือนถูกถึงแขนให้นั่ง แต่เปลือกตาเจ้ากรรมก็ดันลืมไม่ขึ้น ส่งเสียงอื้ออึงอ้อนวอนแต่เหมือนว่าไม่เป็นผล ฉันคงต้องพยายามตื่นนอนแล้วจริง ๆ “อ๊ะ!”(“เจ้านางน้อยเพคะ”)ฉันยกแขนสองข้างขึ้นสูงเพื่อยืดเส้นยืนสาย แต่บิดไปบิดมากลับพลัดตกเตียงนอนเสียได้ จนก้นกระแทกกับพื้นแข็งร้องโอดโอย ความเจ็บทำเอาฉันตื่นตัวทันที มีเสียงของกาลัดและกลีบบัวร้องเรียกด้วยความตกใจ รีบประคองฉันลุกอย่างเร็วไวพาไปนั่งบนเตียง“เป็นเช่นไรบ้างเพคะ” กาลัดถามฉัน“เจ็บสิ อ้า!...แล้วทำไมต้องปลุกกันแต่เช้าด้วยล่ะ ฉันง่วง” ฉันพูดพร้อมกับเอามือลูบก้นไปด้วย“เช้าเยี่ยงไรเจ้าคะ สายจนดวงตะวันแยงตาแล้ว รีบไปล้างพระพักต
“เออนี่ พอไปถึงตำหนักช่วยเล่าให้ฟังหน่อยสิว่าแต่ก่อนฉันเป็นยังไง หรือแบบว่าฉันไม่ชอบใคร หรือมีใครเกลียดฉันไหม”“?” กาลัดกับกลีบบัวทำสีหน้างง“เอ่อ คือพอจมน้ำแล้วเลอะเลือนจำไม่ได้น่ะ” คำถามของฉันสร้างความงุนงงให้กับคนสนิท จึงรีบแก้ต่างทันที“เข้าใจแล้วเพคะ...”จากนั้นพวกฉันสามคนก็เดินกลับตามเส้นทาง มุ่งหน้าสู่ตำหนักประจำ ระหว่างทางฉันก็ถามไถ่พูดคุยกับกาลัดและกลีบบัวในสิ่งที่ฉันอยากจะรู้ เพราะการอยู่ในร่างของผณินทรทำให้ฉันเหมือนแบกภาระอันหนักอึ้ง ฉันต้องเริ่มศึกษาเก็บข้อมูลในอดีตของเธอในการสวมรอย ซึ่งไม่รู้ว่าฉันต้องอยู่ในร่างนี้นานแค่ไหน“ชู่” ฉันส่งสัญญาณและหยุดเดิน เมื่อเห็นชายสไบเล็ดลอดออกมาจากพุ่มไม้ด้านหน้า เหมือนกับว่าตรงนั้นมีคนหลบซ่อนอยู่“มีกระไรรึเพคะเจ้านางน้อย” กลีบบัวถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ฉันไม่ได้ให้คำตอบแก่เธอ แต่ชี้นิ้วไปยังพุ่มไม้ตรงหน้า“ต้องใช่เจ้านางอัปสราเป็นแน่เพคะ” กาลัดกระซิบ(“เธอไม่ชอบผณินทรสินะ”) ฉันคิดในใจเมื่อได้ยินกาลัดบอก“กาลัด กลีบบัว ไปเอาน้ำล้างเท้าตรงอ่างหน้าทางเข้าท้องพระโรงมา”(“เพคะ”)“เดี๋ยวฉันจะอ้อมไปรอทางนั้น” ฉันวนนิ้วเป็นสัญญาณเมื่อคิดแผนโต้
“เฮ้อ เกือบโดนจับได้ซะละ” ฉันถอนหายใจ แล้วยกมือลูบอกอย่างโล่งใจเมื่อเดินเข้ามาในตำหนักส่วนตัว มีกลีบบัวยืนเคียงข้างอยู่ในท่าทางไม่ต่างกับฉัน“กาลัดตามหมอหลวงถึงที่ใดกัน ยังไม่เห็นโผล่มา...คัน แสบร้อน หรือไม่เพคะเจ้านางน้อย” กลีบบัวพ่น แล้วจึงเอ่ยถามฉันด้วยความห่วงใย“ไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย” ฉันพูดบอกเธอแล้วเดินไปนั่งบนเตียงอย่างคนอารมณ์ดี“แต่...”“ฉันทำตัวเองน่ะ”กลีบบัวกำลังจะอ้าปากถาม ฉันเลยรีบบอกเธอให้เข้าใจ แต่เหมือนว่าจะยังไม่คลายความสงสัย เพราะกลีบบัวขมวดคิ้วอย่างกับมีคำคาใจ“เรียกร้องความสงสารไง ยัยเจ้านางน้อยอัปสรานั่นจะได้บทเรียนซะบ้าง ท่าทางกร่างเหลือเกิน”“ถ้าหากว่าโดนจับได้ขึ้นมาล่ะเพคะ” กลีบบัวดูกังวล“ไม่หรอกน่า เจ้าหลวงก็ทรงตัดสินโทษแล้วไม่ใช่หรือไง ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรคงไม่มีใครมารื้อฟื้นหรอก เพียงสตรีวิวาทหยอกล้อ ยิ่งใหญ่แค่เพียงปลายช้อนตักข้าว”“หม่อมฉันฟังประโยคสุดท้ายของเจ้านางน้อยเข้าใจเพคะ”“เป็นแบบนั้นแหละ...สบายใจได้ไม่มีใครรื้อฟื้นเรื่องวันนี้หรอก”“แต่วาจานี้หม่อมฉันไม่เข้าใจเพคะ”“เดี๋ยวก็ชิน ไปอาบน้ำกันเถอะเริ่มจะคันแล้ว”“เพคะ”จากนั้นกลีบบัวก็พาฉันไปอาบ
“ถ้าเยี่ยงนั้นคงจักต้องรักษาด้วยการขอดเกล็ดที่เสียหายทิ้ง”“ห๊ะ!!!”อาศิรวิษพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก ก่อนจะหันหน้ามามองฉัน และคำพูดของเขาทำเอาฉันตกใจจนร้องเสียงหลง อะไรคือการขอดเกล็ดมันไม่ใช่อย่างที่ฉันคิดใช่ไหม?“ท่านอาศิรวิษเจ้าคะ เกรงว่า...” กลีบบัวพูดเสริมขึ้น แต่ยังพูดไม่ทันจบประโยคดี ก็มีเสียงเข้มขรึมแทรกขึ้นก่อน“ก็ผิวกายเสียหาย หากปล่อยทิ้งไว้คงจะลามเป็นแผลใหญ่กว่าเดิม เจ้าไม่ห่วงนายของตัวเองหรือไร” อาศิรวิษร่ายยาว“แค่เกาตัวเองแล้วเป็นรอย ลามบ้าบออะไรกัน” ฉันก้มหน้าบ่นยุบยิบ“ห่วงเจ้าค่ะ” กลีบบัวตอบเสียงเบา“เดี๋ยวนะ!? ขอดเกล็ดที่ว่านี่แบบขอดเกล็ดปลาไหม แบบดึงเกล็ดออกจากผิวอีกชั้นแบบนี้เหรอ” ฉันถามวิธีการเพื่อให้แน่ใจ“อย่างที่เจ้านางน้อยเข้าใจ ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ” อาศิรวิษตอบหน้าตาย“นายจะบ้าเหรอกะอีแค่...เอ่อ...แค่” ฉันตอบเขาออกไปอย่างเผลอลืมตัว นึกได้จึงรีบหยุดปากไว้ เกิดอาการตะกุกตะกักพูดไม่ออก บอกเลยตอนนี้สายตาของอาศิรวิษจ้องมองมาทางฉันไม่กะพริบ เขาคงจับพิรุธฉันได้แล้วแน่ แต่ฉันจะไม่ยอมจำนนหรอก เขามันงูยักษ์เจ้าเล่ห์หลอกฉันให้จนมุม“แค่กระไรรึพ่ะย่ะค่ะเจ้านางน้
หลังจากที่เรื่องราวแสนวุ่นวายในยามเช้าจบลง สิ่งที่อาศิรวิษพูดทิ้งท้ายก่อนจากไป ทำเอายังครุ่นคิดไม่ตกปลงไม่ลงเสียที ได้แต่นอนมือก่ายหน้าผากคิดวนเวียนอยู่บนเตียงอย่างกับคนไม่มีงานการจะทำ แน่ล่ะ ก็ฉันไม่รู้ว่าการเป็นเจ้านางน้อยต้องทำอะไรบ้าง กาลัดกับกลีบบัวก็ไม่ได้บอกกล่าวเล่าเรื่องอะไร พวกหล่อนทำเพียงเอนตามผู้เป็นนายเท่านั้นไม่อาจจะสั่งการให้ทำอะไรได้ สิ่งไม่รู้เป็นฉันต้องเริ่มเอ่ยปากก่อนอยู่ร่ำไป และรวมถึงเรื่องนี้เช่นกัน“ขอถามอะไรหน่อยสิ” ความไม่กระจ่างทำให้ฉันต้องตามหาคำตอบเอง“ถามกระไรหรือเพคะเจ้านางน้อย” กาลัดว่าขึ้นในขณะที่มือยังคงทำหน้าที่โบกพัดไปมา“คนของตำหนักประจิมมีใครบ้างเหรอ” ฉันผุดลุกนั่งกับเตียงแล้วถามด้วยความอยากรู้“พระสนมผศิกาเพคะ” กลีบบัวให้คำตอบ“กาลัดกับกลีบบัวพอจะเล่าเรื่องราวในวังนี้ให้ฉันฟังได้ไหม ฉันอยากจะรื้อฟื้นความทรงจำที่หายไป ขอแบบละเอียดเลยนะ” ฉันอ้างเหตุผลจากการเจ็บป่วย เพราะสีหน้าของกาลัดและกลีบบัวล้วนเต็มไปด้วยความงวยงง“ได้เพคะ พระสนมผศิกานั้นเดิมแล้วเป็นพระสหายตั้งแต่พระเยาว์ของเจ้าหลวง เติบโตมาด้วยกันเพคะ จนวันที่เจ้าหลวงต้องครองบัลลังก์เหตุจำเป็นทำ
“เจ้านางน้อย”“เพคะ”เจ้าหลวงที่ก่อนหน้ายืนมือไขว้หลัง เรียกฉันแล้วหันมาประจันหน้า สายตานิ่งมองมายังฉัน จนทำให้รู้สึกขนลุกไปทั้งแขน“กาลเบื้องหน้าพ่อไม่รู้ว่าจักเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามฟ้าลิขิต เจ้าเป็นบุตรเพียงคนเดียวของพระมเหสี และจำต้องแบกรับภาระหน้าที่บ้านเมืองดูแลปกป้องเหล่าประชาต่อจากพ่อ” เจ้าหลวงพูดขึ้นทำให้ฉันรู้สึกตกใจ มันเป็นคำพูดปริศนาที่คุณยายคนนั้นเคยบอกฉัน“แต่ว่าหนูเป็นผู้หญิงนะคะ คงไม่สามารถ...”“มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่จะรับหน้าที่นี้ได้”ฉันยังพูดไม่ทันจบประโยค เจ้าหลวงก็พูดแทรกขึ้นด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจัง แววตาเปล่งประกายรัศมีที่ยากจะคาดเดา ฉันไม่สามารถสัมผัสได้เลยว่าเจ้าหลวงกำลังวางแผนอะไรอยู่ในหัว แต่เรื่องราวที่ฉันเคยเจอมา คำพูดปริศนาและเหตุการณ์มากมาย ทำให้ฉันเริ่มเป็นกังวล เพราะคนธรรมดาอย่างฉันมันจะปกป้องดูแลใครได้ เวทย์คาถาอะไรก็ไม่มี แค่จะป้องกันตัวจากคนรอบข้างก็แสนจะยากเย็น“แล้วทำไมถึงต้องเป็นหนูละคะ...หนูไม่เข้าใจเลย” ฉันย้อนถาม“เพราะเจ้านางน้อยถูกลิขิตไว้แล้ว และหน้าที่นี้ไม่มีผู้ใดกระทำแทนได้”“หนูก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เพราะเสด็จพ่อก็มี
ฉันรู้สึกถึงความเย็นเริ่มวิ่งวนอยู่ในร่างกาย แต่เปลือกตาไม่อาจจะเบิกมองได้ มันหนักอึ้งไปหมด เสียงของผู้คนพูดคุยกันแว่วผ่านเข้ามาในหู ฉันได้ยินเพียงบางเบาไม่สามารถจับใจความได้เลยว่าผู้คนเหล่านั้นพูดคุยอะไรกัน บางคนกำลังจับแขนของฉันเขย่าเบา ๆ ทำให้ฉันเริ่มรู้สึกตัวและพยายามจะลืมตามอง ภาพเลือนรางตรงหน้าทำให้ฉันมองเห็นใครบางคน ฉันพยายามปรับสายตาเพ่งมอง จนเห็นภาพตรงหน้าชัดเจน ใบหน้ายุ่งคิ้วขมวดอยู่ในระยะใกล้ อาศิรวิษ“เจ้าพี่” ฉันเรียกขานด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง ไม่รู้ว่าเขาจะได้ยินมันหรือไม่“เจ้านางน้อย” อาศิรวิษเรียกฉันพร้อมกับกุมมือฉันแน่น เรี่ยวแรงที่เคยมีตอนนี้มันปวกเปียกไม่มีแรงพอแม้จะยกแขน“ยังรู้สึกเจ็บปวดหรือไม่ลูก” เป็นเจ้าหลวงที่เข้ามาถามด้วยน้ำเสียงฟังแล้วเหมือนห่วงใย“ที่นี่ที่ไหน” เจ้าถามเมื่อมองโดยรอบแล้วเป็นสถานที่ไม่คุ้นตา และมีเพียงอาศิรวิษกับเจ้าหลวงเท่านั้นที่อยู่ตรงนี้“สระนพเก้า” อาศิรวิษตอบฉัน“อะไรคือสระนพเก้า” ฉันย้อนถามเพราะไม่คุ้นเคยมาก่อน“สระนพเก้าเป็นสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถรักษาทุกการบาดเจ็บได้ ที่แห่งนี้ไม่มีผู้ใดรู้นอกจากพ่อและอาศิรวิษ” เจ้าหลวงพูดขึ้น“ท
การฝึกฝนแสนหนักหน่วงสะสมมานานนับหลายเดือนทำให้ฉันเหนื่อยล้าและเปลืองแรงมหาศาลแทบทุกวัน วันนี้ก็เช่นกันฉันฝึกวิชามาจนลึกล้ำถึงขั้นเปลี่ยนร่าง เหาะเหินเดินอากาศ และการใช้เวทย์ต่าง ๆ ตามที่ท่านอาจารย์สอนให้ ฉันรู้สึกประหลาดใจอย่างไม่คิดเชื่อเลยว่า คนธรรมดาแบบฉันสามารถฝึกวิชาโบราณได้มากถึงเพียงนี้ เป็นสิ่งที่ฉันคาดไม่ถึงเลย แม้กระทั่งความรู้สึกที่เริ่มเปลี่ยนไปกับใครบางคน“ทำได้ดีมากทีเดียวเจ้านางน้อย” ท่านอาจารย์เอ่ยเมื่อสิ้นสุดการฝึกในวันนี้“ไม่คิดว่าจะทำได้เหมือนกันเจ้าค่ะ”“สิ่งที่ติดตัวมา ต่อให้ลืมเลือนก็ย่อมรื้อฟื้นได้ไม่ยาก”“แต่หนูไม่เคยรู้วิชาพวกนี้ก่อนนะเจ้าคะ”“.....”“ท่านอาจารย์มองหน้าแบบนั้น รู้สึกแปลก ๆ เจ้าค่ะ มีอะไรเหรือเปล่าเจ้าคะ?”ระหว่างการพูดคุยกับท่านอาจารย์อยู่ในถ้ำ คำพูดบางประโยคทำให้ฉันแปลกใจ แถมสายตาที่ท่านอาจารย์มองมาที่ฉันยิ่งทำให้มีความรู้สึกแปลกประหลาด เหมือนกับว่าท่านอาจารย์รับรู้อะไรบางอย่างในตัวของฉัน หรือว่าฉันจะคิดมากไปเอง“ไม่มีกระไรหรอก วันนี้สิ้นสุดเพียงเท่านี้ เสด็จกลับตำหนักเถิดเจ้านางน้อย พรุ่งนี้ค่อยมาฝึกวิชาขั้นสูงสุด”“เจ้าค่ะ ศิษย์ของลา”แม้ท
“เจอกันจริง ๆ เสียทีนะ”“คะ?”คำพูดของท่านอาจารย์ทำให้ฉันเกิดความสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง อะไรคือคำว่าเจอกันจริง ๆ เสียที“ศิษย์ขอฝากบุตรสาวคนนี้เป็นศิษย์ของท่านด้วยเถิด นางเป็นหน่อเนื้อเชื้อไขที่ศิษย์ไว้ใจให้ปกครองมคธนครในภายภาคหน้า และเชื่อว่านางจะทำหน้าที่นี้ได้เป็นอย่างดี”เสด็จพ่อพูดขึ้น ตอนนี้ทุกอย่างประเดประดังเข้ามาในหัวของฉันไม่หยุดหย่อน นี่ฉันต้องรับภาระหน้าที่อันหนักอึ้งจริงหรือ ปกครองชีวิตนับแสนนับล้านฉันเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาจะทำมันได้อย่างไร“อย่าได้กังวลใจไป แม้จะไม่ใช่ตัวตนแต่จิตวิญญาณแท้จริงนั้นแสนลึกล้ำยิ่งนัก”“แต่ว่า...”“ปล่อยให้ทุกอย่างเดินตามเส้นทางที่ลิขิตเถิด การฝืนยิ่งจะทำให้เจ็บไม่รู้จบ”“เจ้าค่ะ”ท่านอาจารย์กล่าวออกมาอย่างกับอ่านความคิดของฉันได้ คำพูดของท่านทำให้ฉันปรายสายตามอง ในหัวตอนนี้มีเครื่องหมายคำถามเต็มไปหมด แต่ก็ไม่อาจจะเปล่งออกมาเป็นวาจาถามไถ่ ก็ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในก้นบึ้งหัวใจ และก้มหัวยอมรับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นนับจากนี้ฉันตั้งใจร่ำเรียนวิชาตามที่ท่านอาจารย์สอน มันช่างยากเย็นแสนเข็ญสำหรับฉันที่เป็นเพียงจิตวิญญาณธรรมดา วิชาเวทย์ที่ยากจะเข้าใจ
ตลอดเวลาสามวันที่ฉันรักษาตัวแช่อยู่ในสระนพเก้า มีอาศิรวิษคอยเฝ้าดูแลอย่างชิดใกล้ ได้รับการเอาใจใส่เป็นอย่างดี ร่างกายของฉันมีแรงขึ้นมากและเหมือนว่าจะมีพลังบางอย่างเวียนวนอยู่ภายในร่างกายของฉัน ระยะเวลาที่ผ่านฉันพยายามหลอกถามอาศิรวิษจนสามารถทำเบื้องต้นในสิ่งที่ผณินทรเคยทำ การเปลี่ยนร่างเหาะเหินล้วนได้รับการฝึกสอนมาจากอาศิรวิษทั้งนั้น แม้จะยังไม่ชำนาญมากแต่ก็สามารถทำได้มากกว่าแต่ก่อน เขาพาฉันกลับมายังตำหนักในเวลาพลบค่ำที่ไร้ผู้คนสัญจร ตามคำสั่งการของเจ้าหลวงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นต้องเป็นความลับ“เจ้านางน้อยพักผ่อนเสียเถิด พรุ่งนี้จักต้องเข้าเฝ้าเจ้าหลวงแต่เช้า”“อืม”อาศิรวิษส่งฉันยังหน้าทางเข้าตำหนักพักผ่อน ย้ำเตือนในหน้าที่ต้องกระทำในวันพรุ่งนี้ ฉันรับฟังด้วยความยินดี จากนั้นก็เดินแยกจากเข้าไปยังตำหนักด้านใน เดินห่างออกไปจึงได้หันหลังกลับมามอง ยังคงเห็นเขายืนส่งไม่ไปไหน ฉันจึงส่งยิ้มอ่อนให้แล้วรีบเดินเข้าด้านในด้วยรอยยิ้มเปรมปรีดิ์เวลาผ่านไปนานจนฉันแทบไม่รู้วันเวลากับการที่มาอยู่ที่นี่ สถานที่แปลกตาผู้คนที่ฉันไม่รู้จัก แต่ด้วยสถานการณ์ที่ฉันยากจะปฏิเสธทุกอย่างจำต้องเดินตามเส้นทางที่ถูก
“หึ”“หึอะไรจะหัวเราะก็หัวเราะเลยสิ”เสียงแค่นขบขันจากลำคอ ทำให้ฉันเงยหน้ามองค้อนคนที่กำลังเดินเขามาใกล้ แต่เขาก็เหมือนจะยิ่งตลกไปใหญ่มีทีท่าขำขันไม่หยุด ฉันเหมือนเป็นตัวตลกในสายตาของเขาอย่างนั้นแหละ“กิริยาประหนึ่งเด็กน้อย”“ชิ”“เอาล่ะ เอาล่ะ เจ้านางน้อยอย่าได้บูดบึ้งเช่นนี้เลย ตอนนี้รู้สึกเป็นเยี่ยงไรบ้าง ปราณภายในดีขึ้นหรือยัง” เขาถามด้วยสายตาอบอุ่น น้ำเสียงละมุนฟังแล้วเสนาะหู ถามในสิ่งที่ฉันไม่อาจจะรู้สึกได้ อะไรคือปราณ แล้วมันต้องรู้สึกแบบไหนฉันจะตอบเขาได้ยังไงกัน“อะ อืม” ตอบแบบขอทีไปทีเพราะไม่รู้จะตอบยังไง“อืม? ดีขึ้นหรือไม่ดี” อาศิรวิษย้อน“ดีขึ้น” ฉันยืนยันคำตอบ“แล้วไยถึงไม่ตอบให้ชัดเจน ช่างแปลกประหลาดนักตั้งแต่ที่เจ้านางน้อยฟื้นขึ้นมา”“แล้วจะเซ้าซี้ทำไมนักหนาเล่า” ฉันพูดขึ้นเสียงดังเมื่อเขาเอาแต่ยอกย้อนยียวน “ก็ไม่ใช่ผณินทรจะเหมือนเดิมได้ยังไงล่ะ” ประโยคนี้ฉันมองหน้าเขาแล้วพูดในใจ“ปราณภายในคงดีขึ้นจริง ๆ เพราะเสียงดังฟังชัดเพียงนี้” เขาพูดแหย่ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง“นี่เจ้าพี่ขอถามอะไรหน่อยสิ”“จะถามกระไรอย่างนั้นหรือ”“ที่เสด็จพ่อทำวันนี้เรียกว่าอะไร ทำไมมันถึงได้เจ็บปวดเ
ฉันรู้สึกถึงความเย็นเริ่มวิ่งวนอยู่ในร่างกาย แต่เปลือกตาไม่อาจจะเบิกมองได้ มันหนักอึ้งไปหมด เสียงของผู้คนพูดคุยกันแว่วผ่านเข้ามาในหู ฉันได้ยินเพียงบางเบาไม่สามารถจับใจความได้เลยว่าผู้คนเหล่านั้นพูดคุยอะไรกัน บางคนกำลังจับแขนของฉันเขย่าเบา ๆ ทำให้ฉันเริ่มรู้สึกตัวและพยายามจะลืมตามอง ภาพเลือนรางตรงหน้าทำให้ฉันมองเห็นใครบางคน ฉันพยายามปรับสายตาเพ่งมอง จนเห็นภาพตรงหน้าชัดเจน ใบหน้ายุ่งคิ้วขมวดอยู่ในระยะใกล้ อาศิรวิษ“เจ้าพี่” ฉันเรียกขานด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง ไม่รู้ว่าเขาจะได้ยินมันหรือไม่“เจ้านางน้อย” อาศิรวิษเรียกฉันพร้อมกับกุมมือฉันแน่น เรี่ยวแรงที่เคยมีตอนนี้มันปวกเปียกไม่มีแรงพอแม้จะยกแขน“ยังรู้สึกเจ็บปวดหรือไม่ลูก” เป็นเจ้าหลวงที่เข้ามาถามด้วยน้ำเสียงฟังแล้วเหมือนห่วงใย“ที่นี่ที่ไหน” เจ้าถามเมื่อมองโดยรอบแล้วเป็นสถานที่ไม่คุ้นตา และมีเพียงอาศิรวิษกับเจ้าหลวงเท่านั้นที่อยู่ตรงนี้“สระนพเก้า” อาศิรวิษตอบฉัน“อะไรคือสระนพเก้า” ฉันย้อนถามเพราะไม่คุ้นเคยมาก่อน“สระนพเก้าเป็นสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถรักษาทุกการบาดเจ็บได้ ที่แห่งนี้ไม่มีผู้ใดรู้นอกจากพ่อและอาศิรวิษ” เจ้าหลวงพูดขึ้น“ท
“เจ้านางน้อย”“เพคะ”เจ้าหลวงที่ก่อนหน้ายืนมือไขว้หลัง เรียกฉันแล้วหันมาประจันหน้า สายตานิ่งมองมายังฉัน จนทำให้รู้สึกขนลุกไปทั้งแขน“กาลเบื้องหน้าพ่อไม่รู้ว่าจักเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามฟ้าลิขิต เจ้าเป็นบุตรเพียงคนเดียวของพระมเหสี และจำต้องแบกรับภาระหน้าที่บ้านเมืองดูแลปกป้องเหล่าประชาต่อจากพ่อ” เจ้าหลวงพูดขึ้นทำให้ฉันรู้สึกตกใจ มันเป็นคำพูดปริศนาที่คุณยายคนนั้นเคยบอกฉัน“แต่ว่าหนูเป็นผู้หญิงนะคะ คงไม่สามารถ...”“มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่จะรับหน้าที่นี้ได้”ฉันยังพูดไม่ทันจบประโยค เจ้าหลวงก็พูดแทรกขึ้นด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจัง แววตาเปล่งประกายรัศมีที่ยากจะคาดเดา ฉันไม่สามารถสัมผัสได้เลยว่าเจ้าหลวงกำลังวางแผนอะไรอยู่ในหัว แต่เรื่องราวที่ฉันเคยเจอมา คำพูดปริศนาและเหตุการณ์มากมาย ทำให้ฉันเริ่มเป็นกังวล เพราะคนธรรมดาอย่างฉันมันจะปกป้องดูแลใครได้ เวทย์คาถาอะไรก็ไม่มี แค่จะป้องกันตัวจากคนรอบข้างก็แสนจะยากเย็น“แล้วทำไมถึงต้องเป็นหนูละคะ...หนูไม่เข้าใจเลย” ฉันย้อนถาม“เพราะเจ้านางน้อยถูกลิขิตไว้แล้ว และหน้าที่นี้ไม่มีผู้ใดกระทำแทนได้”“หนูก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เพราะเสด็จพ่อก็มี
หลังจากที่เรื่องราวแสนวุ่นวายในยามเช้าจบลง สิ่งที่อาศิรวิษพูดทิ้งท้ายก่อนจากไป ทำเอายังครุ่นคิดไม่ตกปลงไม่ลงเสียที ได้แต่นอนมือก่ายหน้าผากคิดวนเวียนอยู่บนเตียงอย่างกับคนไม่มีงานการจะทำ แน่ล่ะ ก็ฉันไม่รู้ว่าการเป็นเจ้านางน้อยต้องทำอะไรบ้าง กาลัดกับกลีบบัวก็ไม่ได้บอกกล่าวเล่าเรื่องอะไร พวกหล่อนทำเพียงเอนตามผู้เป็นนายเท่านั้นไม่อาจจะสั่งการให้ทำอะไรได้ สิ่งไม่รู้เป็นฉันต้องเริ่มเอ่ยปากก่อนอยู่ร่ำไป และรวมถึงเรื่องนี้เช่นกัน“ขอถามอะไรหน่อยสิ” ความไม่กระจ่างทำให้ฉันต้องตามหาคำตอบเอง“ถามกระไรหรือเพคะเจ้านางน้อย” กาลัดว่าขึ้นในขณะที่มือยังคงทำหน้าที่โบกพัดไปมา“คนของตำหนักประจิมมีใครบ้างเหรอ” ฉันผุดลุกนั่งกับเตียงแล้วถามด้วยความอยากรู้“พระสนมผศิกาเพคะ” กลีบบัวให้คำตอบ“กาลัดกับกลีบบัวพอจะเล่าเรื่องราวในวังนี้ให้ฉันฟังได้ไหม ฉันอยากจะรื้อฟื้นความทรงจำที่หายไป ขอแบบละเอียดเลยนะ” ฉันอ้างเหตุผลจากการเจ็บป่วย เพราะสีหน้าของกาลัดและกลีบบัวล้วนเต็มไปด้วยความงวยงง“ได้เพคะ พระสนมผศิกานั้นเดิมแล้วเป็นพระสหายตั้งแต่พระเยาว์ของเจ้าหลวง เติบโตมาด้วยกันเพคะ จนวันที่เจ้าหลวงต้องครองบัลลังก์เหตุจำเป็นทำ
“ถ้าเยี่ยงนั้นคงจักต้องรักษาด้วยการขอดเกล็ดที่เสียหายทิ้ง”“ห๊ะ!!!”อาศิรวิษพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก ก่อนจะหันหน้ามามองฉัน และคำพูดของเขาทำเอาฉันตกใจจนร้องเสียงหลง อะไรคือการขอดเกล็ดมันไม่ใช่อย่างที่ฉันคิดใช่ไหม?“ท่านอาศิรวิษเจ้าคะ เกรงว่า...” กลีบบัวพูดเสริมขึ้น แต่ยังพูดไม่ทันจบประโยคดี ก็มีเสียงเข้มขรึมแทรกขึ้นก่อน“ก็ผิวกายเสียหาย หากปล่อยทิ้งไว้คงจะลามเป็นแผลใหญ่กว่าเดิม เจ้าไม่ห่วงนายของตัวเองหรือไร” อาศิรวิษร่ายยาว“แค่เกาตัวเองแล้วเป็นรอย ลามบ้าบออะไรกัน” ฉันก้มหน้าบ่นยุบยิบ“ห่วงเจ้าค่ะ” กลีบบัวตอบเสียงเบา“เดี๋ยวนะ!? ขอดเกล็ดที่ว่านี่แบบขอดเกล็ดปลาไหม แบบดึงเกล็ดออกจากผิวอีกชั้นแบบนี้เหรอ” ฉันถามวิธีการเพื่อให้แน่ใจ“อย่างที่เจ้านางน้อยเข้าใจ ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ” อาศิรวิษตอบหน้าตาย“นายจะบ้าเหรอกะอีแค่...เอ่อ...แค่” ฉันตอบเขาออกไปอย่างเผลอลืมตัว นึกได้จึงรีบหยุดปากไว้ เกิดอาการตะกุกตะกักพูดไม่ออก บอกเลยตอนนี้สายตาของอาศิรวิษจ้องมองมาทางฉันไม่กะพริบ เขาคงจับพิรุธฉันได้แล้วแน่ แต่ฉันจะไม่ยอมจำนนหรอก เขามันงูยักษ์เจ้าเล่ห์หลอกฉันให้จนมุม“แค่กระไรรึพ่ะย่ะค่ะเจ้านางน้
“เฮ้อ เกือบโดนจับได้ซะละ” ฉันถอนหายใจ แล้วยกมือลูบอกอย่างโล่งใจเมื่อเดินเข้ามาในตำหนักส่วนตัว มีกลีบบัวยืนเคียงข้างอยู่ในท่าทางไม่ต่างกับฉัน“กาลัดตามหมอหลวงถึงที่ใดกัน ยังไม่เห็นโผล่มา...คัน แสบร้อน หรือไม่เพคะเจ้านางน้อย” กลีบบัวพ่น แล้วจึงเอ่ยถามฉันด้วยความห่วงใย“ไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย” ฉันพูดบอกเธอแล้วเดินไปนั่งบนเตียงอย่างคนอารมณ์ดี“แต่...”“ฉันทำตัวเองน่ะ”กลีบบัวกำลังจะอ้าปากถาม ฉันเลยรีบบอกเธอให้เข้าใจ แต่เหมือนว่าจะยังไม่คลายความสงสัย เพราะกลีบบัวขมวดคิ้วอย่างกับมีคำคาใจ“เรียกร้องความสงสารไง ยัยเจ้านางน้อยอัปสรานั่นจะได้บทเรียนซะบ้าง ท่าทางกร่างเหลือเกิน”“ถ้าหากว่าโดนจับได้ขึ้นมาล่ะเพคะ” กลีบบัวดูกังวล“ไม่หรอกน่า เจ้าหลวงก็ทรงตัดสินโทษแล้วไม่ใช่หรือไง ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรคงไม่มีใครมารื้อฟื้นหรอก เพียงสตรีวิวาทหยอกล้อ ยิ่งใหญ่แค่เพียงปลายช้อนตักข้าว”“หม่อมฉันฟังประโยคสุดท้ายของเจ้านางน้อยเข้าใจเพคะ”“เป็นแบบนั้นแหละ...สบายใจได้ไม่มีใครรื้อฟื้นเรื่องวันนี้หรอก”“แต่วาจานี้หม่อมฉันไม่เข้าใจเพคะ”“เดี๋ยวก็ชิน ไปอาบน้ำกันเถอะเริ่มจะคันแล้ว”“เพคะ”จากนั้นกลีบบัวก็พาฉันไปอาบ