ทิพชยาไม่รอช้า หญิงสาวรีบเดินตามชายร่างสูงใหญ่ไปยังลิฟท์ซึ่งพาเธอไปยังชั้นบนสุดของโรงแรม จู่ ๆ ความประหม่าก็เข้าจู่โจมความรู้สึกของหญิงสาว เธอคิดว่าเตรียมตัวมาอย่างดีแล้วแต่ความตื่นเต้นก็เกือบจะทำลายทุกอย่างเมื่อหญิงสาวก้าวตามชายผู้นั้นมาหยุดหน้าห้องพักของคนที่เธอตั้งใจมาพบ
“เชิญคุณทิพชยาด้านในครับ ผมรายงานให้นายของผมทราบแล้วว่าคุณต้องการมาพบเขา”
น้ำเสียงของเขาเนิบลง ชายร่างใหญ่อายุน่าจะอยู่ที่ราว ๆ สามสิบก้มศีรษะลงก่อนเปิดประตูให้ร่างบอบบางก้าวเข้าไปด้าน ทิพชยาตื่นเต้นจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ แม้ความประหม่าจะแล่นพล่านขึ้นมาหากเธอก็ต้องควบคุมร่างกายไม่ให้สั่น
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีพาสเทลสืบเท้าในรองเท้าส้นแบนเข้าไปภายในห้องพักอันโอ่โถง การตกแต่งภายในนั้นเต็มไปด้วยงานศิลปะลานตาทั้งภาพวาดและเฟอร์นิเจอร์อันหรูหรา ทิพชยากวาดสายตาไปรอบ ๆ ก่อนที่เสียงทุ้มกังวานจะดังมาจากอีกฟากหนึ่งของห้องโถงใหญ่
“สวัสดี...แทมมี่”
ร่างเล็กหันไปตามเสียงนั้น ดวงตาคู่งามฉายประกายระยิบระยับเมื่อเห็นว่า ใคร ที่ยืนอยู่ที่ประตูทรงโค้ง ร่างสูงใหญ่ผึ่งผายและหล่อเหลาบาดจิตในชุดสูทสีน้ำเงิน เรือนผมสีน้ำตาลบรูเน็ตส่องประกายขับความคร้ามเข้มคมคายบนใบหน้าของโคเลสนิก รอชนีเชนโก หนุ่มเชื้อสายรัสเซียผู้มีรอยกดลึกที่สองข้างแก้มยามแย้มยิ้มทว่าเขากลับมองมาด้วยความเรียบเฉย
“สวัสดีค่ะ...คีธ...ฉันนึกว่าคุณจะจำฉันไม่ได้แล้วเสียอีก”
“ใครจะไม่รู้จักคุณ” ชายหนุ่มรูปร่างสูงสง่ากล่าวพลางยกยิ้มมุมปากซึ่งหญิงสาวไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่านั่นหาใช่รอยยิ้มที่เป็นมิตร
“ทิพชยา ไนต์ ลูกสาวยาซาโน่ ไนต์ โปรโมเตอร์ใหญ่ที่ใคร ๆ ก็รู้จักเขาดี”
“คุณสบายดีนะคะคีธ...ฉันไม่ได้พบคุณสองปี...เอ้อ...คุณดูเปลี่ยนไปมากเลยล่ะค่ะ”
ทิพชยาแทบไม่ได้สังเกตอากัปกิริยาของอีกฝ่าย เธอมัวใส่ใจอยู่กับความประหม่าและควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่น โคเลสนิกมองหญิงสาว วันนี้เขาได้เห็นหน้าสาวน้อยวัยสิบแปดคนนั้นหลังจากที่ไม่ได้เจอเธอมาสองปี หลังจากที่เขาต้องหลีกลี้หนีจากอเมริกากลับไปยังรัสเซียเพื่อรักษาบาดแผลลึกซึ่งจนถึงบัดนี้เขาก็ยังรู้สึกถึงความเจ็บปวดสาหัสที่ฝังอยู่ในเลือดเนื้อ บาดแผลใหญ่ที่พ่อของเธอผู้นี้ฝังมันเอาไว้ในวิญญาณของเขา
“เราทุกคนต่างก็ต้องเปลี่ยนแปลง แม้แต่คุณก็เปลี่ยนไป ไม่เหมือนแทมมี่ที่ผมเคยเห็นเมื่อสองปีก่อน”
เขาว่าพลางก้าวไปหยุดที่เก้าอี้หลุยส์ตัวใหญ่และทิ้งตัวลงนั่งไขว่ห้างในขณะที่ดวงตาคู่คมจ้องหญิงสาวตรงหน้าไม่วาง
“ฉันไปเรียนต่อด้านการออกแบบเสื้อผ้าที่ลอนดอนน่ะค่ะ ฉันเพิ่งกลับอเมริกาเมื่อไม่กี่วันมานี้”
ร่างบอบบางเริ่มรู้สึกอึดอัด เธอจะเริ่มต้นทุกอย่างแบบไหนดี หัวใจของเธอว้าวุ่น ไม่ใช่แค่เรื่องที่เธอต้องมาเป็นธุระให้บิดาสำเร็จลุล่วงในวันนี้ แต่เธอยังต้องเผชิญกับความรู้สึกรุมร้อนที่แล่นพล่านขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
ถึงแม้ตอนนี้โคเลสนิกจะผันตัวเองมาเป็นโปรโมเตอร์ใหญ่ ทว่าคราบของความเป็นนักมวยในตัวเขาก็ยังคงเปล่งรัศมีแรงกล้า ทั้งใบหน้าหล่อเหลานั้น ดวงตาสีน้ำตาลแกมทองแดงสะท้อนประกายดุจอำพันกร้าวกล้าที่แทบจะสยบความมุ่งมั่นของเธอได้ราบคาบ เรือนร่างสูงใหญ่กำยำที่ชุดสูทหรูระยับไม่อาจปกปิดมัดกล้ามทุกมัดภายใต้นั้นได้
“นั่งสิ” ชายหนุ่มกล่าวสั้น ๆ น้ำเสียงของเขาเริ่มดุดันหากก็ยังไม่เป็นที่สังเกตของหญิงสาวที่ยืนเก้ออยู่ดี ทิพชยานั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับเขา เห็นโคเลสนิกชัดเจน ใบหน้านั้นใช่จะอยู่ในดวงตาของเธอแต่ยังติดลึกอยู่ในความรู้สึกเสมอ
“ปกติผมจะไม่อนุญาตให้ใครเข้าพบในช่วงเวลาพักผ่อน ตารางงานของผมแน่นมากจนแทบจะหาเวลาว่างไม่ได้”
“ต้องขอโทษด้วยนะคะ คีธ ที่ฉันมารบกวนเวลาพักผ่อนของคุณตอนนี้ แต่ฉัน...มีเรื่องด่วนที่อยากจะคุยกับคุณค่ะ”
ปื้นคิ้วสีน้ำตาลเข้มบนใบหน้าหล่อเหลาเลิกขึ้น โคเลสนิกเอียงคอและถามด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น
“เรื่องด่วนอย่างนั้นหรือ? อืม...มันคงเป็นเรื่องด่วนมากซีนะ เพราะคุณบอกผมว่าเพิ่งกลับอเมริกาเมื่อไม่กี่วัน แล้วต้องเดินทางมาบรัสเซลส์ ถ้าอย่างนั้นมันเป็นเรื่องอะไรกันล่ะ ผมให้เวลาคุณหนึ่งนาทีที่จะพูดสั้น ๆ ให้ผมเข้าใจ”
พอถึงตอนนี้ทิพชยาก็เริ่มมองเห็นความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้น เธอมองบุรุษตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่แปลกเปลี่ยน เขาทำเหมือนสิ่งที่เธอกำลังจะบอกไม่มีความสำคัญ รวบรัดตัดความให้ได้ภายในนาทีเดียว สาวลูกครึ่งไทยญี่ปุ่นเม้มปากบางก่อนพูด
“ฉันอยากขอให้คุณอภัยให้พ่อของฉัน ท่านไม่ได้คิดจะหักหลังคุณ ตอนนี้บริษัทของท่านกำลังประสบปัญหา นักมวยในสังกัดพร้อมใจกันลาออก พวกเขามาอยู่กับคุณ ฉันมาที่นี่เพื่อขอให้คุณ...”
ทิพชยาเพ่งพินิจหน้าปกนิตยสารในมือด้วยความสนใจเป็นเวลานานทีเดียว บนหน้านิตยสารไทม์ซึ่งเป็นหนังสือที่มีคนดังระดับโลกขึ้นปกนั้นคือใบหน้าคร้ามคมของบุรุษซึ่งหญิงสาวลูกครึ่งไทย ญี่ปุ่น ในวัยยี่สิบปีบริบูรณ์ บุตรสาวคนเดียวของโปรโมเตอร์มวยคนดังของอเมริกา ยาซาโน่ ไนต์ คุ้นเคยและจดจำความหล่อเหลานั้นได้ไม่เคยลืมเจ้าของใบหน้าคมคายผู้มีผิวสีแทนกร้านแดดดูคมเข้มอย่างหนุ่มรัสเซีย เรือนผมสีน้ำตาลบรูเน็ตนั้นดูอบอุ่นทว่าดวงตาสีน้ำตาลเข้มแกมทองแดงกลับดูแข็งกร้าวไม่เกรงกลัวใคร จมูกโด่งยาวเป็นสันรับกับริมฝีปากหยักหนาและรอยกดลึกข้างแก้มทั้งสองซึ่งเป็นรอยลักยิ้มที่ยังตราตรึงในความทรงจำของหญิงสาวลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่นเสมอ“ลูกคงยังจำเขาได้สินะ โคเลสนิก รอชนีเชนโก?”เสียงที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้ร่างบอบบางในชุดกระโปรงฉลุลูกไม้ทั้งตัวหันกลับไปยังประตูห้องทำงานซึ่งที่นั่นชายชาวญี่ปุ่นทว่ารูปร่างสูงใหญ่ยืนมองมาด้วยแววตาอันอบอุ่น“คุณพ่อ...มานานแล้วหรือคะ?”ทิพชยาถามก่อนวางนิตยสารเล่มนั้นลงบนโต๊ะ ยาซาโน่ในชุดลำลองดูสบาย ๆ ก้าวเข้ามาในห้องทำงานอันโอ่อ่าของเขาและหยุดลงตรงหน้าบุตรสาวคนเดียวซึ่งเขาเพิ่งเรียกตัวเธอกลับมาจา
ทิพชยาไม่ได้ตั้งใจทำให้บิดาหดหู่ เธอพูดทุกอย่างออกมาจากความรู้สึกที่แท้จริง แต่ดูเหมือนว่ายาซาโน่จะไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น“ทำไม...พ่อทำหน้าแบบนั้นล่ะคะ”หญิงสาวเอ่ยถามอีกครั้งเมื่อเห็นสีหน้าของบิดา ชายวัยกลางคนผละไปนั่งที่เก้าอี้นวมตัวใหญ่หลังโต๊ะทำงานและกล่าวเสียงเครียด“ใช่...โคเลสนิกกำลังประสบความสำเร็จในอาชีพใหม่ของเขา...เขาเคยเป็นนักมวยที่พ่อปั้นมากับมือ แต่ตอนนี้เขาไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว แทมมี่”“มีอะไรอย่างนั้นหรือคะพ่อ หนูแค่รู้สึกว่าช่วงเวลาสองปีที่หนูไปเรียนออกแบบที่ลอนดอนมันมีอะไรเกิดขึ้นมากมายที่นี่”ดวงหน้างามของสาววัยยี่สิบปีบริบูรณ์เต็มไปด้วยความใคร่รู้ซึ่งเธอไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจต่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับธุรกิจของครอบครัวทิพชยาเคยอยู่ใกล้ชิดกับงานที่บริษัทของยาซาโน่ เธอรู้จักนักมวยทุกคนในสังกัดและ...ใช่ โดยเฉพาะโคเลสนิก หนุ่มรัสเซียตัวโตเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลบรูเน็ตและผิวสีแทนจัดบนเรือนร่างกำยำ สิ่งที่ทำให้เธอจดจำเขาได้ขึ้นใจคือลักยิ้มเล็ก ๆ บนใบหน้าหล่อเหลายามเขาหันมายังเธอทุกครั้งตอนนั้นเธอเป็นเด็กสาววัยสิบแปดปีที่ไม่ได้แค่วุ่นวายหรือหมกมุ่นอยู่ก
“หนูจะทำอะไรได้ล่ะคะคุณพ่อ หนูไปลอนดอนเพื่อเรียนด้านการออกแบบ ไม่ได้ร่ำเรียนทางด้านการทำธุรกิจหรือคร่ำหวอดอยู่ในแวดวงหมัดมวยอย่างที่คุณพ่อทำอยู่ตอนนี้นะคะ”“ลูกช่วยพ่อได้...แทมมี่...พ่ออยากให้ลูกไปเจรจาให้คีธคืนนักมวยที่ไปอยู่ในสังกัดของเขา กลับมาอยู่กับเรา”ทิพชยาขมวดคิ้วและส่ายหน้า “เจรจาหรือคะคุณพ่อ?...แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะคะ ในเมื่อคีธเคยโกรธคุณพ่อและที่สำคัญหนูก็ไม่เจอเขามานานเกือบสองปีแล้ว”“พ่อรู้ว่ามันอาจเป็นเรื่องยาก แต่พ่อแค่อยากให้ลูกเข้าไปขอความเห็นใจจากเขาก่อนที่ทุกอย่างในบริษัทของเราจะเหลือแค่ศูนย์ ตอนนี้เราแทบไม่มีนักมวยฝีมือดีอยู่ในสังกัด คีธดูดคนของเราไปหมด เขากำลังจะเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปเป็นของเขา”“แต่ตอนนั้นเขาเป็นคนตัดสินใจเองนะคะ เขาตัดอนาคตตัวเองซึ่งมันก็ไม่ใช่ความผิดของคุณพ่อสักนิด”“พ่อถึงอยากให้ลูกไปพบเขา” ยาซาโน่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ความตึงตึงเครียดที่ฉายอยู่บนใบหน้าซึ่งมีริ้วรอยของการผ่านชีวิตมาอย่างโชกโชนทำให้อีกฝ่ายรู้สึกผิดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้“ถ้าพ่อไปเองเขาคงจะไม่ยอมหนำซ้ำจะเยาะเย้ยความล่มจมของพ่อเสียเปล่า ๆ แต่ถ้าหากลูกไปเพื่อขอความเห็นใจจากเขา
เพียงไม่กี่คำที่เธอเคยพูดคุยกับเขา หากแต่หญิงสาวก็เก็บเอาภาพของนักมวยหนุ่มรูปร่างกำยำล่ำสันและใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรไว้ในความทรงจำมาตลอดระยะเวลาสองปีเธอจินตนาการไปต่าง ๆ นานาว่าโคเลสนิกจะยังจดจำเธอได้ เขาอาจโกรธเคืองยาซาโน่ แต่เขาคงไม่ได้มีนิสัยเลวร้ายถึงขนาดที่จะโกรธเคืองใครก็ตามที่อยู่แวดล้อมบิดา“สวัสดี...คุณชื่ออะไรหรือคะ?”ภาพในความทรงจำตอนที่เธออยู่ในวัยสิบแปดขณะก้าวเข้าไปในค่ายมวยของบิดาครั้งแรกและพบกับบุรุษร่างสูงใหญ่เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาล บรูเน็ตรับกับใบหน้าคร้ามเข้มคมคายผุดขึ้นในความทรงจำ“สวัสดี...ผม...เอ้อ...โคเลสนิก...เรียกผมว่าคีธก็ได้”“ฉันแทมมี่...เอ้อ...ฉันแค่อยากตามพ่อมาดูการฝึกซ้อมมวยค่ะ”“แทมมี่หรือ?...เอ้อ...ถ้าผมจะเรียกสั้น ๆ ว่าแทมได้มั้ย”แล้วภาพรอยยิ้มอันตรึงตราของบุรุษที่ไม่ค่อยเปิดปากคุยกับใครก็ผุดพรายขึ้นในมโนนึกของหญิงสาว ทิพชยาจดจำรอยกดลึกบนสองข้างแก้มของเขาได้ดี ใช่...โคเลสนิกมีลักยิ้มอันทรงเสน่ห์ซึ่งเธอไม่เคยลืมเลือน“ถึงแล้วครับ...คุณผู้หญิง”เสียงคนขับรถแท็กซี่ที่ดังขึ้นปลุกหญิงสาวร่างบอบบางขึ้นจากภวังค์ล่องลอย ทิพชยาหันไปมองนอกหน้าต่างรถซึ่งพาเธอม