ทิพชยาไม่ได้ตั้งใจทำให้บิดาหดหู่ เธอพูดทุกอย่างออกมาจากความรู้สึกที่แท้จริง แต่ดูเหมือนว่ายาซาโน่จะไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น
“ทำไม...พ่อทำหน้าแบบนั้นล่ะคะ”
หญิงสาวเอ่ยถามอีกครั้งเมื่อเห็นสีหน้าของบิดา ชายวัยกลางคนผละไปนั่งที่เก้าอี้นวมตัวใหญ่หลังโต๊ะทำงานและกล่าวเสียงเครียด
“ใช่...โคเลสนิกกำลังประสบความสำเร็จในอาชีพใหม่ของเขา...เขาเคยเป็นนักมวยที่พ่อปั้นมากับมือ แต่ตอนนี้เขาไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว แทมมี่”
“มีอะไรอย่างนั้นหรือคะพ่อ หนูแค่รู้สึกว่าช่วงเวลาสองปีที่หนูไปเรียนออกแบบที่ลอนดอนมันมีอะไรเกิดขึ้นมากมายที่นี่”
ดวงหน้างามของสาววัยยี่สิบปีบริบูรณ์เต็มไปด้วยความใคร่รู้ซึ่งเธอไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจต่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับธุรกิจของครอบครัว
ทิพชยาเคยอยู่ใกล้ชิดกับงานที่บริษัทของยาซาโน่ เธอรู้จักนักมวยทุกคนในสังกัดและ...ใช่ โดยเฉพาะโคเลสนิก หนุ่มรัสเซียตัวโตเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลบรูเน็ตและผิวสีแทนจัดบนเรือนร่างกำยำ สิ่งที่ทำให้เธอจดจำเขาได้ขึ้นใจคือลักยิ้มเล็ก ๆ บนใบหน้าหล่อเหลายามเขาหันมายังเธอทุกครั้ง
ตอนนั้นเธอเป็นเด็กสาววัยสิบแปดปีที่ไม่ได้แค่วุ่นวายหรือหมกมุ่นอยู่กับการอ่านหนังสือเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย ยามว่างเธอมักจะไปที่ค่ายมวยของบิดาชานกรุงแอตแลนตาบ่อยครั้ง เธอมีความสุขกับการไปคอยแอบดูการฝึกซ้อมอย่างหนักของนักมวยในสังกัดของยาซาโน่ ซึ่งมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เธอเก็บเขาเอาไปไว้ในความฝันและไม่เคยบอกใคร
โคเลสนิก รอชนีเชนโก...นักมวยหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรวัยยี่สิบสองซึ่งเดินทางไกลมาจากรัสเซีย เขาไม่ได้มีฝีมือแค่ในเรื่องหมัดมวย แต่ยังขโมยหัวใจของเธอไปโดยไม่มีใครรู้เรื่องนี้ที่เธอเก็บงำมันเอาไว้กระทั่งเดินทางไปเรียนต่อทางด้านดีไซเนอร์ที่ลอนดอน
ยาซาโน่เหลือบมองบุตรสาวที่นั่งลงบนเก้าอี้อีกฝั่งของโต๊ะ ทิพชยาเติบโตขึ้นมากจนเขาคิดว่าเธอพร้อมที่จะรับฟังปัญหาไม่ว่าจะหนักหน่วงแค่ไหน
“เมื่อก่อนคีธเคยเป็นนักมวยในสังกัดที่พ่อพยายามผลักดันเขาจนกลายเป็นนักมวยอาชีพที่มีชื่อเสียงในวงการได้สำเร็จ ใคร ๆ ก็ต้องการตัวเขา เพราะคีธไม่ใช่แค่นักมวยที่มีฝีมือเตะต่อยธรรมดา แต่เขายังเป็นคนหน้าตาหล่อเหลาและมีเสน่ห์จนบริษัทโฆษณาพยายามทาบทามให้เขารับงานเป็นพรีเซ็นเตอร์ แต่คีธมีนิสัยไม่เหมือนใคร เขาแตกต่างจากคนอื่นตรงที่เป็นคนเอาจริงเอาจังและไม่เคยหลงใหลได้ปลื้มกับชื่อเสียงเงินทองที่กำลังวิ่งเข้ามาชนเขา ถ้าจะทำอะไรคีธก็จะเลือกทำเพียงอย่างเดียวที่ตั้งใจ เขาไม่ชอบทำอะไรหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ตอนนั้นเขากำลังถึงจุดที่เรียกได้ว่า เกือบจะพีคที่สุดแล้วในชีวิต ตอนนั้นเมื่อสองปีที่แล้ว เป็นเวลาที่ลูกเดินทางไปเรียนต่อที่ลอนดอน เขากำลังจะประสบความสำเร็จในการขึ้นชกท้าชิงกับนักมวยดังที่สุดของวงการ คีธหวังจะโค่นบัลลังแชมป์โลกและชิงเข็มขัดมาให้ได้...ถ้าไม่เกิดเรื่องร้าย ๆ ขึ้นกับเขาเสียก่อน”
“เรื่องร้าย ๆ ...อย่างนั้นหรือคะ?”
“คีธถูกจับได้ว่าเขาใช้สารกระตุ้นหลังขึ้นชกชิงแชมป์โลก ทุกคนช็อค และวงการมวยอเมริกาก็ช็อคกับเหตุการณ์ในวันนั้น พ่อพยายามทำความเข้าใจคีธและคิดว่าเขาคงต้องการเป็นแชมป์โลกที่ทุกคนจะยอมรับ”
“แล้วหลังจากนั้นล่ะคะคุณพ่อ”
“หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น โคเลสนิก รอชนีเชนโกก็หายหน้าไปจากวงการมวยสมัครเล่นของอเมริกา เขาขอลาออกจากสังกัดของเราและบอกกับพ่อเพียงสั้น ๆ ว่าจะเดินทางกลับไปรัสเซีย พ่อคิดว่าเขาคงหลบไปรักษาแผลใจที่มันเกิดจากการกระทำของเขาเอง พ่อไม่ขัดขวางเขาหรอกนะ คีธหายไปนานและเมื่อปีที่แล้วเขาก็กลับเข้าสู่วงการมวยสมัครเล่นในฐานะโปรโมเตอร์เจ้าของอาคิลลาที่ดึงตัวนักมวยดังในสังกัดบริษัทของเราไปเกือบหมด”
“ทำไมคีธทำแบบนั้นล่ะคะคุณพ่อ?”
ทิพชยาเอียงหน้าสวยหวานซึ่งบัดนี้มีแต่ความกังขาต่อสิ่งที่ได้ยิน
“เขาคงโกรธพ่อกระมัง” ยาซาโน่ยักไหล่เบา ๆ เขายังกล่าวต่อด้วยท่าทีตึงเครียด
“เขาคิดว่าพ่อไม่ได้ปกป้องเขาตอนนั้นในฐานะโปรโมเตอร์ที่ผลักดันเขามาตลอดก่อนการชิงแชมป์โลก เขาคิดว่าพ่อหักหลังเขาและไม่ต้องการให้เขาได้รับชัยชนะในการแข่งขัน...แทมมี่...ลูกก็รู้ว่าพ่อเป็นยังไง ทุ่มเทมากแค่ไหนกับงานโปรโมเตอร์”
ชายวัยกลางคนประสานมือไว้บนโต๊ะ ดวงตาคู่นั้นจ้องมองทิพชยาราวกับจะเรียกร้องความเป็นธรรม
“หนูเข้าใจคุณพ่อเสมอค่ะ แต่...ทำไมคุณพ่อต้องเรียกหนูกลับมาจากลอนดอนกระทันหันด้วยล่ะคะ?”
“เพราะพ่อคิดว่าลูกจะช่วยพ่อได้”
“หนูหรือคะ?” ทิพชยาชี้นิ้วเข้าหาตัวและหรี่นัยน์ตาคู่หวานขณะบิดาของเธอพยักหน้า
“แทมมี่...ลูกคือความหวังเดียวที่พ่อยังเหลืออยู่ ลูกจะช่วยกอบกู้ทุกอย่างกลับคืนมาได้”
“หนูจะทำอะไรได้ล่ะคะคุณพ่อ หนูไปลอนดอนเพื่อเรียนด้านการออกแบบ ไม่ได้ร่ำเรียนทางด้านการทำธุรกิจหรือคร่ำหวอดอยู่ในแวดวงหมัดมวยอย่างที่คุณพ่อทำอยู่ตอนนี้นะคะ”“ลูกช่วยพ่อได้...แทมมี่...พ่ออยากให้ลูกไปเจรจาให้คีธคืนนักมวยที่ไปอยู่ในสังกัดของเขา กลับมาอยู่กับเรา”ทิพชยาขมวดคิ้วและส่ายหน้า “เจรจาหรือคะคุณพ่อ?...แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะคะ ในเมื่อคีธเคยโกรธคุณพ่อและที่สำคัญหนูก็ไม่เจอเขามานานเกือบสองปีแล้ว”“พ่อรู้ว่ามันอาจเป็นเรื่องยาก แต่พ่อแค่อยากให้ลูกเข้าไปขอความเห็นใจจากเขาก่อนที่ทุกอย่างในบริษัทของเราจะเหลือแค่ศูนย์ ตอนนี้เราแทบไม่มีนักมวยฝีมือดีอยู่ในสังกัด คีธดูดคนของเราไปหมด เขากำลังจะเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปเป็นของเขา”“แต่ตอนนั้นเขาเป็นคนตัดสินใจเองนะคะ เขาตัดอนาคตตัวเองซึ่งมันก็ไม่ใช่ความผิดของคุณพ่อสักนิด”“พ่อถึงอยากให้ลูกไปพบเขา” ยาซาโน่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ความตึงตึงเครียดที่ฉายอยู่บนใบหน้าซึ่งมีริ้วรอยของการผ่านชีวิตมาอย่างโชกโชนทำให้อีกฝ่ายรู้สึกผิดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้“ถ้าพ่อไปเองเขาคงจะไม่ยอมหนำซ้ำจะเยาะเย้ยความล่มจมของพ่อเสียเปล่า ๆ แต่ถ้าหากลูกไปเพื่อขอความเห็นใจจากเขา
เพียงไม่กี่คำที่เธอเคยพูดคุยกับเขา หากแต่หญิงสาวก็เก็บเอาภาพของนักมวยหนุ่มรูปร่างกำยำล่ำสันและใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรไว้ในความทรงจำมาตลอดระยะเวลาสองปีเธอจินตนาการไปต่าง ๆ นานาว่าโคเลสนิกจะยังจดจำเธอได้ เขาอาจโกรธเคืองยาซาโน่ แต่เขาคงไม่ได้มีนิสัยเลวร้ายถึงขนาดที่จะโกรธเคืองใครก็ตามที่อยู่แวดล้อมบิดา“สวัสดี...คุณชื่ออะไรหรือคะ?”ภาพในความทรงจำตอนที่เธออยู่ในวัยสิบแปดขณะก้าวเข้าไปในค่ายมวยของบิดาครั้งแรกและพบกับบุรุษร่างสูงใหญ่เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาล บรูเน็ตรับกับใบหน้าคร้ามเข้มคมคายผุดขึ้นในความทรงจำ“สวัสดี...ผม...เอ้อ...โคเลสนิก...เรียกผมว่าคีธก็ได้”“ฉันแทมมี่...เอ้อ...ฉันแค่อยากตามพ่อมาดูการฝึกซ้อมมวยค่ะ”“แทมมี่หรือ?...เอ้อ...ถ้าผมจะเรียกสั้น ๆ ว่าแทมได้มั้ย”แล้วภาพรอยยิ้มอันตรึงตราของบุรุษที่ไม่ค่อยเปิดปากคุยกับใครก็ผุดพรายขึ้นในมโนนึกของหญิงสาว ทิพชยาจดจำรอยกดลึกบนสองข้างแก้มของเขาได้ดี ใช่...โคเลสนิกมีลักยิ้มอันทรงเสน่ห์ซึ่งเธอไม่เคยลืมเลือน“ถึงแล้วครับ...คุณผู้หญิง”เสียงคนขับรถแท็กซี่ที่ดังขึ้นปลุกหญิงสาวร่างบอบบางขึ้นจากภวังค์ล่องลอย ทิพชยาหันไปมองนอกหน้าต่างรถซึ่งพาเธอม
ทิพชยาไม่รอช้า หญิงสาวรีบเดินตามชายร่างสูงใหญ่ไปยังลิฟท์ซึ่งพาเธอไปยังชั้นบนสุดของโรงแรม จู่ ๆ ความประหม่าก็เข้าจู่โจมความรู้สึกของหญิงสาว เธอคิดว่าเตรียมตัวมาอย่างดีแล้วแต่ความตื่นเต้นก็เกือบจะทำลายทุกอย่างเมื่อหญิงสาวก้าวตามชายผู้นั้นมาหยุดหน้าห้องพักของคนที่เธอตั้งใจมาพบ“เชิญคุณทิพชยาด้านในครับ ผมรายงานให้นายของผมทราบแล้วว่าคุณต้องการมาพบเขา”น้ำเสียงของเขาเนิบลง ชายร่างใหญ่อายุน่าจะอยู่ที่ราว ๆ สามสิบก้มศีรษะลงก่อนเปิดประตูให้ร่างบอบบางก้าวเข้าไปด้าน ทิพชยาตื่นเต้นจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ แม้ความประหม่าจะแล่นพล่านขึ้นมาหากเธอก็ต้องควบคุมร่างกายไม่ให้สั่นหญิงสาวในชุดกระโปรงสีพาสเทลสืบเท้าในรองเท้าส้นแบนเข้าไปภายในห้องพักอันโอ่โถง การตกแต่งภายในนั้นเต็มไปด้วยงานศิลปะลานตาทั้งภาพวาดและเฟอร์นิเจอร์อันหรูหรา ทิพชยากวาดสายตาไปรอบ ๆ ก่อนที่เสียงทุ้มกังวานจะดังมาจากอีกฟากหนึ่งของห้องโถงใหญ่“สวัสดี...แทมมี่”ร่างเล็กหันไปตามเสียงนั้น ดวงตาคู่งามฉายประกายระยิบระยับเมื่อเห็นว่า ใคร ที่ยืนอยู่ที่ประตูทรงโค้ง ร่างสูงใหญ่ผึ่งผายและหล่อเหลาบาดจิตในชุดสูทสีน้ำเงิน เรือนผมสีน้ำตาลบรูเน็ตส่องปร
ทิพชยาเพ่งพินิจหน้าปกนิตยสารในมือด้วยความสนใจเป็นเวลานานทีเดียว บนหน้านิตยสารไทม์ซึ่งเป็นหนังสือที่มีคนดังระดับโลกขึ้นปกนั้นคือใบหน้าคร้ามคมของบุรุษซึ่งหญิงสาวลูกครึ่งไทย ญี่ปุ่น ในวัยยี่สิบปีบริบูรณ์ บุตรสาวคนเดียวของโปรโมเตอร์มวยคนดังของอเมริกา ยาซาโน่ ไนต์ คุ้นเคยและจดจำความหล่อเหลานั้นได้ไม่เคยลืมเจ้าของใบหน้าคมคายผู้มีผิวสีแทนกร้านแดดดูคมเข้มอย่างหนุ่มรัสเซีย เรือนผมสีน้ำตาลบรูเน็ตนั้นดูอบอุ่นทว่าดวงตาสีน้ำตาลเข้มแกมทองแดงกลับดูแข็งกร้าวไม่เกรงกลัวใคร จมูกโด่งยาวเป็นสันรับกับริมฝีปากหยักหนาและรอยกดลึกข้างแก้มทั้งสองซึ่งเป็นรอยลักยิ้มที่ยังตราตรึงในความทรงจำของหญิงสาวลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่นเสมอ“ลูกคงยังจำเขาได้สินะ โคเลสนิก รอชนีเชนโก?”เสียงที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้ร่างบอบบางในชุดกระโปรงฉลุลูกไม้ทั้งตัวหันกลับไปยังประตูห้องทำงานซึ่งที่นั่นชายชาวญี่ปุ่นทว่ารูปร่างสูงใหญ่ยืนมองมาด้วยแววตาอันอบอุ่น“คุณพ่อ...มานานแล้วหรือคะ?”ทิพชยาถามก่อนวางนิตยสารเล่มนั้นลงบนโต๊ะ ยาซาโน่ในชุดลำลองดูสบาย ๆ ก้าวเข้ามาในห้องทำงานอันโอ่อ่าของเขาและหยุดลงตรงหน้าบุตรสาวคนเดียวซึ่งเขาเพิ่งเรียกตัวเธอกลับมาจา