“หนูจะทำอะไรได้ล่ะคะคุณพ่อ หนูไปลอนดอนเพื่อเรียนด้านการออกแบบ ไม่ได้ร่ำเรียนทางด้านการทำธุรกิจหรือคร่ำหวอดอยู่ในแวดวงหมัดมวยอย่างที่คุณพ่อทำอยู่ตอนนี้นะคะ”
“ลูกช่วยพ่อได้...แทมมี่...พ่ออยากให้ลูกไปเจรจาให้คีธคืนนักมวยที่ไปอยู่ในสังกัดของเขา กลับมาอยู่กับเรา”
ทิพชยาขมวดคิ้วและส่ายหน้า “เจรจาหรือคะคุณพ่อ?...แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะคะ ในเมื่อคีธเคยโกรธคุณพ่อและที่สำคัญหนูก็ไม่เจอเขามานานเกือบสองปีแล้ว”
“พ่อรู้ว่ามันอาจเป็นเรื่องยาก แต่พ่อแค่อยากให้ลูกเข้าไปขอความเห็นใจจากเขาก่อนที่ทุกอย่างในบริษัทของเราจะเหลือแค่ศูนย์ ตอนนี้เราแทบไม่มีนักมวยฝีมือดีอยู่ในสังกัด คีธดูดคนของเราไปหมด เขากำลังจะเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปเป็นของเขา”
“แต่ตอนนั้นเขาเป็นคนตัดสินใจเองนะคะ เขาตัดอนาคตตัวเองซึ่งมันก็ไม่ใช่ความผิดของคุณพ่อสักนิด”
“พ่อถึงอยากให้ลูกไปพบเขา” ยาซาโน่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ความตึงตึงเครียดที่ฉายอยู่บนใบหน้าซึ่งมีริ้วรอยของการผ่านชีวิตมาอย่างโชกโชนทำให้อีกฝ่ายรู้สึกผิดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“ถ้าพ่อไปเองเขาคงจะไม่ยอมหนำซ้ำจะเยาะเย้ยความล่มจมของพ่อเสียเปล่า ๆ แต่ถ้าหากลูกไปเพื่อขอความเห็นใจจากเขา บางที...คีธอาจจะรู้สึกว่าเขาไม่ควรใจร้ายกับคนที่เคยมีบุญคุณกับเขาก็เป็นได้”
ชายวัยกลางคนเม้มริมฝีปากแน่นในขณะที่หญิงสาวนั่งนิ่งไปพักใหญ่ เธออาจเคยมีโคเลสนิกอยู่ในหัวใจ ทว่านั่นมันก็นานจนผู้ชายคนนั้นอาจลืมไปแล้วก็เป็นได้ว่าเธอเคยแอบมองนักมวยฝีมืออันดับหนึ่งในสังกัดของยาซาโน่
ทิพชยารู้สึกตีบตันขึ้นมา แต่เมื่อนึกทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้น คนที่เครียดมากกว่าเธอยังมีอยู่นั่นคือบิดาของเธอเอง
“พ่อจะให้หนูไปพบเขาเมื่อไหร่คะ?”
ร่องรอยแห่งความหวังผุดพรายขึ้นในดวงตาแห้งผากของชายวัยกลางคนทันทีที่บุตรสาวเอ่ยถาม รอยยิ้มจาง ๆ ระบายอยู่บนริมฝีปากของยาซาโน่
“พรุ่งนี้...พ่อให้คนของพ่อไปตรวจสอบมาอย่างละเอียด ตอนนี้โคเลสนิกไม่ได้อยู่ในอเมริกา เขาเดินทางไปเบลเยี่ยมและอยู่ที่บรัสเซลส์เกือบสัปดาห์แล้ว”
บทที่ 2
“แค่ไปเจรจาใช่ไหมคะคุณพ่อ?” ทิพชยาถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ใช่...แค่เจรจา มันอาจทำให้ลูกรู้สึกกดดันบ้างเล็กน้อยเพราะปกติคีธเป็นคนที่ชอบเก็บตัวและมีความเป็นส่วนตัวสูงมาก คนของพ่อต้องเช็คอย่างละเอียดและใช้ความพยายามกว่าจะรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนและทำอะไรในตอนนี้”
“แล้วถ้า...การเจรจาไม่สำเร็จล่ะคะ ถ้าเกิดเขาแสดงความไม่พอใจขึ้นมา หรือว่า...”
“แทมมี่” ยาซาโน่ทอดน้ำเสียงอันนุ่มนวลเพื่อปลอบประโลมบุตรสาวซึ่งอยู่ในอาการประหม่ามากกว่าปกติ
“ไม่มีอะไรที่น่ากลัว แค่ลูกพยายามโน้มน้าวใจเขาให้เห็นใจพวกเรา ให้เขาเข้าใจว่าที่ผ่านมาพ่อไม่เคยหักหลังเขา หรือหากเขาต้องการคำขอโทษพ่อก็ยินดี”
“คุณพ่อไม่ได้ผิดอะไรนะคะ” ทิพชยาแย้งขึ้นมาและราวกับตัดสินใจได้ในท้ายที่สุด “พรุ่งนี้หนูจะเดินทางไปบรัสเซลส์แต่เช้าค่ะ คุณพ่อไม่ต้องให้ใครตามไปหรอกนะคะ หนูจะช่วยคุณพ่ออย่างสุดความสามารถ เจรจาให้เขาคืนนักมวยให้เรา และทำให้เขาเข้าใจคุณพ่อให้ได้”
“แทมมี่” ยาซาโน่ครางเสียงเบาหวิว แม้ใบหน้านั้นยังแสดงให้เห็นถึงความเหนื่อยล้า แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยความตื้นตันที่อัดแน่น เขาได้แต่ภาวนาขอให้แผนการที่วางไว้สำเร็จ อย่างน้อยที่สุดขั้นตอนแรกก็สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
แม้การเดินทางจากอเมริกาไปยังกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยมต้องใช้เวลาถึง 16 ชั่วโมง ทว่าหญิงสาวลูกครึ่งไทยญี่ปุ่นก็ไม่ได้แสดงความเหนื่อยล้าออกมาจากใบหน้าแสนหวานแม้ยังมีเรื่องให้ต้องครุ่นคิดตลอดระยะทางก็ตาม
ทิพชยารับปากบิดาของเธอก่อนออกจากแอตแลนตาว่าจะพยายามโน้มน้าวจิตใจโคเลสนิกที่ตอนนี้กลายเป็นเจ้าพ่อบริษัทโปรโมเตอร์ยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งของอเมริกา
ทั้งที่ยังไม่แน่ใจ ทั้งที่ก็ไม่รู้ว่าผลการพูดคุยกับคนที่ไม่ได้พบหน้ากันมานานนับปีจะออกมาเป็นเช่นไรหากเธอก็ยังคงมีความหวัง โคเลสนิก รอชนีเชนโก หรือที่ทิพชยาเรียกติดปากว่า คีธ ในสายตาของบุตรสาวโปรโมเตอร์ที่เคยประสบความสำเร็จอย่างยาซาโน่เป็นนักมวยที่ชอบเก็บตัวและพูดกับเธอเพียงน้อยคำเท่านั้น
เพียงไม่กี่คำที่เธอเคยพูดคุยกับเขา หากแต่หญิงสาวก็เก็บเอาภาพของนักมวยหนุ่มรูปร่างกำยำล่ำสันและใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรไว้ในความทรงจำมาตลอดระยะเวลาสองปีเธอจินตนาการไปต่าง ๆ นานาว่าโคเลสนิกจะยังจดจำเธอได้ เขาอาจโกรธเคืองยาซาโน่ แต่เขาคงไม่ได้มีนิสัยเลวร้ายถึงขนาดที่จะโกรธเคืองใครก็ตามที่อยู่แวดล้อมบิดา“สวัสดี...คุณชื่ออะไรหรือคะ?”ภาพในความทรงจำตอนที่เธออยู่ในวัยสิบแปดขณะก้าวเข้าไปในค่ายมวยของบิดาครั้งแรกและพบกับบุรุษร่างสูงใหญ่เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาล บรูเน็ตรับกับใบหน้าคร้ามเข้มคมคายผุดขึ้นในความทรงจำ“สวัสดี...ผม...เอ้อ...โคเลสนิก...เรียกผมว่าคีธก็ได้”“ฉันแทมมี่...เอ้อ...ฉันแค่อยากตามพ่อมาดูการฝึกซ้อมมวยค่ะ”“แทมมี่หรือ?...เอ้อ...ถ้าผมจะเรียกสั้น ๆ ว่าแทมได้มั้ย”แล้วภาพรอยยิ้มอันตรึงตราของบุรุษที่ไม่ค่อยเปิดปากคุยกับใครก็ผุดพรายขึ้นในมโนนึกของหญิงสาว ทิพชยาจดจำรอยกดลึกบนสองข้างแก้มของเขาได้ดี ใช่...โคเลสนิกมีลักยิ้มอันทรงเสน่ห์ซึ่งเธอไม่เคยลืมเลือน“ถึงแล้วครับ...คุณผู้หญิง”เสียงคนขับรถแท็กซี่ที่ดังขึ้นปลุกหญิงสาวร่างบอบบางขึ้นจากภวังค์ล่องลอย ทิพชยาหันไปมองนอกหน้าต่างรถซึ่งพาเธอม
ทิพชยาไม่รอช้า หญิงสาวรีบเดินตามชายร่างสูงใหญ่ไปยังลิฟท์ซึ่งพาเธอไปยังชั้นบนสุดของโรงแรม จู่ ๆ ความประหม่าก็เข้าจู่โจมความรู้สึกของหญิงสาว เธอคิดว่าเตรียมตัวมาอย่างดีแล้วแต่ความตื่นเต้นก็เกือบจะทำลายทุกอย่างเมื่อหญิงสาวก้าวตามชายผู้นั้นมาหยุดหน้าห้องพักของคนที่เธอตั้งใจมาพบ“เชิญคุณทิพชยาด้านในครับ ผมรายงานให้นายของผมทราบแล้วว่าคุณต้องการมาพบเขา”น้ำเสียงของเขาเนิบลง ชายร่างใหญ่อายุน่าจะอยู่ที่ราว ๆ สามสิบก้มศีรษะลงก่อนเปิดประตูให้ร่างบอบบางก้าวเข้าไปด้าน ทิพชยาตื่นเต้นจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ แม้ความประหม่าจะแล่นพล่านขึ้นมาหากเธอก็ต้องควบคุมร่างกายไม่ให้สั่นหญิงสาวในชุดกระโปรงสีพาสเทลสืบเท้าในรองเท้าส้นแบนเข้าไปภายในห้องพักอันโอ่โถง การตกแต่งภายในนั้นเต็มไปด้วยงานศิลปะลานตาทั้งภาพวาดและเฟอร์นิเจอร์อันหรูหรา ทิพชยากวาดสายตาไปรอบ ๆ ก่อนที่เสียงทุ้มกังวานจะดังมาจากอีกฟากหนึ่งของห้องโถงใหญ่“สวัสดี...แทมมี่”ร่างเล็กหันไปตามเสียงนั้น ดวงตาคู่งามฉายประกายระยิบระยับเมื่อเห็นว่า ใคร ที่ยืนอยู่ที่ประตูทรงโค้ง ร่างสูงใหญ่ผึ่งผายและหล่อเหลาบาดจิตในชุดสูทสีน้ำเงิน เรือนผมสีน้ำตาลบรูเน็ตส่องปร
ทิพชยาเพ่งพินิจหน้าปกนิตยสารในมือด้วยความสนใจเป็นเวลานานทีเดียว บนหน้านิตยสารไทม์ซึ่งเป็นหนังสือที่มีคนดังระดับโลกขึ้นปกนั้นคือใบหน้าคร้ามคมของบุรุษซึ่งหญิงสาวลูกครึ่งไทย ญี่ปุ่น ในวัยยี่สิบปีบริบูรณ์ บุตรสาวคนเดียวของโปรโมเตอร์มวยคนดังของอเมริกา ยาซาโน่ ไนต์ คุ้นเคยและจดจำความหล่อเหลานั้นได้ไม่เคยลืมเจ้าของใบหน้าคมคายผู้มีผิวสีแทนกร้านแดดดูคมเข้มอย่างหนุ่มรัสเซีย เรือนผมสีน้ำตาลบรูเน็ตนั้นดูอบอุ่นทว่าดวงตาสีน้ำตาลเข้มแกมทองแดงกลับดูแข็งกร้าวไม่เกรงกลัวใคร จมูกโด่งยาวเป็นสันรับกับริมฝีปากหยักหนาและรอยกดลึกข้างแก้มทั้งสองซึ่งเป็นรอยลักยิ้มที่ยังตราตรึงในความทรงจำของหญิงสาวลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่นเสมอ“ลูกคงยังจำเขาได้สินะ โคเลสนิก รอชนีเชนโก?”เสียงที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้ร่างบอบบางในชุดกระโปรงฉลุลูกไม้ทั้งตัวหันกลับไปยังประตูห้องทำงานซึ่งที่นั่นชายชาวญี่ปุ่นทว่ารูปร่างสูงใหญ่ยืนมองมาด้วยแววตาอันอบอุ่น“คุณพ่อ...มานานแล้วหรือคะ?”ทิพชยาถามก่อนวางนิตยสารเล่มนั้นลงบนโต๊ะ ยาซาโน่ในชุดลำลองดูสบาย ๆ ก้าวเข้ามาในห้องทำงานอันโอ่อ่าของเขาและหยุดลงตรงหน้าบุตรสาวคนเดียวซึ่งเขาเพิ่งเรียกตัวเธอกลับมาจา
ทิพชยาไม่ได้ตั้งใจทำให้บิดาหดหู่ เธอพูดทุกอย่างออกมาจากความรู้สึกที่แท้จริง แต่ดูเหมือนว่ายาซาโน่จะไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น“ทำไม...พ่อทำหน้าแบบนั้นล่ะคะ”หญิงสาวเอ่ยถามอีกครั้งเมื่อเห็นสีหน้าของบิดา ชายวัยกลางคนผละไปนั่งที่เก้าอี้นวมตัวใหญ่หลังโต๊ะทำงานและกล่าวเสียงเครียด“ใช่...โคเลสนิกกำลังประสบความสำเร็จในอาชีพใหม่ของเขา...เขาเคยเป็นนักมวยที่พ่อปั้นมากับมือ แต่ตอนนี้เขาไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว แทมมี่”“มีอะไรอย่างนั้นหรือคะพ่อ หนูแค่รู้สึกว่าช่วงเวลาสองปีที่หนูไปเรียนออกแบบที่ลอนดอนมันมีอะไรเกิดขึ้นมากมายที่นี่”ดวงหน้างามของสาววัยยี่สิบปีบริบูรณ์เต็มไปด้วยความใคร่รู้ซึ่งเธอไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจต่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับธุรกิจของครอบครัวทิพชยาเคยอยู่ใกล้ชิดกับงานที่บริษัทของยาซาโน่ เธอรู้จักนักมวยทุกคนในสังกัดและ...ใช่ โดยเฉพาะโคเลสนิก หนุ่มรัสเซียตัวโตเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลบรูเน็ตและผิวสีแทนจัดบนเรือนร่างกำยำ สิ่งที่ทำให้เธอจดจำเขาได้ขึ้นใจคือลักยิ้มเล็ก ๆ บนใบหน้าหล่อเหลายามเขาหันมายังเธอทุกครั้งตอนนั้นเธอเป็นเด็กสาววัยสิบแปดปีที่ไม่ได้แค่วุ่นวายหรือหมกมุ่นอยู่ก