หลังจากชายหนุ่มโทรศัพท์สั่งงานเสร็จเรียบร้อย ก็เดินกลับเข้ามาข้างใน เขาคิดว่าหญิงสาวคงกำลังมัวแต่ทำงานจนลืมหิว เลยว่าจะมาถามเรื่องมื้อเย็น แต่กลับเห็นคนตัวเล็กนั่งอยู่กับพื้น ตัวเอียงฟุบหลับกับโต๊ะ ทั้งๆ ที่อีกมือยังคงจับเมาส์อยู่
เขายกยิ้มมุมปากข้างหนึ่งอย่างเอ็นดู เดินเข้ามานั่งข้างๆ ยื่นมือข้างหนึ่งแตะไปที่ผมดำสลวย ไล้มาจนสุดความยาวแล้วจับปอยหนึ่งยกขึ้นประทับที่ริมฝีปาก จากนั้นก็ช้อนร่างบอบบางเข้ามาในวงแขน
ช่วงที่เขายกตัวอุ้มขึ้น มือเรียวที่จับเมาส์อยู่จึงปัดไปกระแทกกับโน้ตบุ๊ก แรงกระทบแม้จะไม่รุนแรง แต่ก็สามารถปลุกคนที่กำลังจะดำดิ่งเข้าสู่โหมดนิทราให้ต้องลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างง่วงซึมและงุนงง
ชายหนุ่มเองก็ชะงักค้าง เพราะไม่คิดว่าเธอจะตื่น เลยมองนิ่งรอดูปฏิกิริยาสะท้อนกลับ จนเธอได้สติว่าไม่ได้อยู่ที่พื้น
“นี่! คนฉวยโอกาส ปล่อยฉันลงนะ!” แล้วก็เป็นอย่างที่เขาคิด จึงได้ปล่อยมือทันทีตามที่เธอร้องขอ
“ว้าย!!” หญิงสาวตกใจ เพราะคิดว่าจะร่วงลงพื้นแข็งด้านล่าง แต่กลับหล่นลงบนโซฟาในระยะที่ไม่สูงมาก ทำให้เธอตวัดตามองค้อนเขาอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“เมื่อคืนก็นอนเร็ว ทำไมยังไม่หายเพลียอีก?”
“เจ็ทแลค!” หญิงสาวตอบสั้นๆ ได้ใจความ
“ไม่ไหวก็อย่าฝืน! เดี๋ยวทานข้าวแล้วก็ไปนอนพักผ่อนซะ”
“อยากกลับแล้วค่ะ ฉันมีงานต้องทำแต่อุปกรณ์อยู่ที่บ้านหมดเลย”
“กลับไปไหน? ผมให้คนไปรับทีมคุณย้ายมาที่นี่แล้ว!”
“หือ? ย้ายทำไมคะ?”
“ผมเช่าบ้านไว้หลังหนึ่งอยู่ข้างบ้านบาซิม คนของผมจะขับรถไปจอดไว้ที่นั่น บาซิมกับอัลวานีจะคอยสังเกตการณ์ให้เอง” หญิงสาวตาเป็นประกายวาววับ เข้าใจเหตุผลของเขาทันที
“อ๋อ! เข้าใจล่ะ! คุณคิดว่าไอ้เจ้าสติ๊กเกอร์นั่นนอกจากจะเป็นเครื่องดักฟังแล้ว ยังสามารถเป็นเครื่องติดตามได้ด้วย!” เขาทำสีหน้าคล้ายยิ้ม ความรู้สึกชื่นชมวาบผ่านนัยน์ตา
“อืม! ทีนี้เราก็จะได้รู้ว่ามิสพีราวัชร ร่วมมือกับใคร!”
“อื้อหือ! นี่มันโคตรเจ๋งเลย!” เธอลืมตัว ใช้ภาษาอังกฤษคำว่าอิท คิกส์ แอส ซึ่งเป็นศัพท์แสลง คำว่า ‘คิกส์ แอส’ ถ้าแปลตรงตัวจะหมายถึงเตะตูด ซึ่งไม่ค่อยสุภาพเท่าไหร่ เขาจึงออกปากเตือน
“เป็นผู้หญิงหัดพูดให้มันเพราะๆ หน่อย!” หญิงสาวหุบยิ้ม ตวัดสายตามองค้อน นึกบ่นกระปอดกระแปดอยู่ในใจ
เกิดจะทำตัวเป็นครูฝ่ายปกครองขึ้นมาเชียว!!
“เยสเซอร์! ยู บี คูล!” เธอเปลี่ยนมาพูดคำที่เป็นศัพท์ทางการด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ และด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย ทำให้มุมปากเขายกยิ้มขึ้นมานิดหนึ่งอย่างนึกขัน
“เอาล่ะสาวน้อย! ระหว่างที่รออาหารมาส่ง ผมมีอะไรจะให้คุณดู” เขาพูดพร้อมขยิบตาให้ข้างหนึ่ง เดินไปหยุดยืนรอที่หน้าประตู หญิงสาวจึงรีบดีดตัวลุกขึ้นด้วยความรู้อยากเห็น เดินตามเขาไปอย่างว่าง่ายไม่รอให้ชวนซ้ำสอง
ร่างสูงเดินนำเข้ามาในห้องทำงาน ลูบมือไปที่ชั้นหนังสือแล้วดึงออกมาเล่มหนึ่ง ล้วงมือเข้าไปกดอะไรสักอย่าง ชั้นหนังสือที่แนบสนิทติดกับผนังจึงค่อยๆ เลื่อนออกไปด้านข้าง
โห!! ห้องลับด้านหลังชั้นหนังสือในตำนาน!!
หญิงสาวหัวใจเต้นเร็วจนตัวเองรู้สึกได้ สัญชาตญาณบอกเธอว่า สิ่งที่ซ่อนอยู่หลังประตูนั่น ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
แล้วเธอก็ต้องตาโต ปากอ้าตาค้าง ตื่นตะลึงกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า นี่คือห้องควบคุมปฏิบัติการอัจฉริยะ ที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ไฮเทคที่ทันสมัย ราวกับถอดแบบความล้ำยุคในภาพยนต์ออกมารวมอยู่ในห้องนี้ไว้ทั้งหมด
“ว้าว! มันเจ๋งมาก! นี่มันวอร์รูมในจินตนาการของฉันเลยนะ!” ชายหนุ่มอดอมยิ้มขันในใจไม่ได้ ถ้าเขาให้ดอกไม้ หรืออัญมณีมีค่าราคาแพง คงไม่ทำให้เธอตื่นตาตื่นใจได้เท่านี้
พริมโรสเดินไปยืนมองจอภาพขนาดใหญ่บนผนัง เขาเดินมายืนเคียงข้าง
"นี่เป็นวอลล์-สกรีนขนาดใหญ่ แสดงผลแบบสมาร์ท-ทัช-สกรีน สามารถเขียนลงบนหน้าจอได้โดยตรง และบันทึกเข้าคอมพิวเตอร์ หรือส่งเป็นอีเมลล์ได้ทันที"
พริมโรสพยักหน้าและเดินเลี่ยงมาที่โต๊ะกลมใหญ่ เขาเดินตามมาด้วยแล้วกดปุ่มเปิดการทำงาน พิมพ์คำสั่งที่ต้องการแล้วกดปุ่มเอ็นเทอร์ ให้คอมพิวเตอร์รับคำสั่งการประมวลผล จากนั้นก็หยิบแว่นวีอาร์ส่งให้เธอสวม
“นี่เรียกว่า โฮโลกราฟิก แซนด์บอกซ์ เป็นแผนที่แบบสามมิติ เพียงแค่สวมแว่นนี้ ก็จะมองเห็นภาพจำลองทางภูมิศาสตร์ของพื้นที่เป้าหมายได้ทั้งหมด โดยจะแสดงผลแบบฟูลออปชั่น เห็นทุกสัดส่วนที่ตื้นลึกหนาบางอย่างเสมือนจริง ยังสามารถซูมเข้าซูมออกได้ด้วย” แล้วเขาก็ใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งหนีบและกางออกด้วยสองนิ้ว เพื่อย่อขยายเข้าออก จากนั้นก็เปลี่ยนมาหมุนสองนิ้วเป็นวงเพื่อหมุนแผนที่จำลอง
“ล้ำมาก! แบบนี้ก็ช่วยให้การวางยุทธศาสตร์ในการรบเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น แล้วถ้าผู้เกี่ยวข้องอยู่คนละที่ล่ะคะ?”
“แม้ว่าจะอยู่คนละสถานที่ แค่ให้อีกฝ่ายสวมวีอาร์และชุดอุปกรณ์หูฟังนี้ ก็จะเห็นภาพและได้ยินผู้เข้าร่วมประชุมทั้งหมด”
เขาหันมาดึงแว่นที่เธอสวมออกมาวางบนโต๊ะ
“ผมมีของเด็ดกว่านี้จะอวด!” ฝ่ามือใหญ่กุมมือเรียวเล็กแล้วดึงให้เดินไปด้วยกัน ซึ่งเธอก็ตามไปอย่างว่าง่าย ความอยากรู้อยากเห็น ทำให้เธอลืมที่จะเว้นระยะห่างจากเขาตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก
เขาพาเดินมายังทางเดินที่เป็นผนังหักมุม ทาบมือกับกระกระจกสี่เหลี่ยมสีดำบนผนัง แล้วบานประตูเล็กก็เปิดออก เขาพยักหน้าให้เธอเดินตามเข้าไป
พอเข้ามาด้านในเขาก็หยุดกะทันหัน ทำให้ศีรษะของเธอไปชนกับแผ่นหลังของเขา เขาหันมามองนิดหนึ่ง แล้วยกมือทาบกับแผ่นกระจกสีดำที่ติดกับผนังแบบเดียวกันอีก พลันไฟแสงสลัวบนเพดานก็ส่องลงมาเป็นแนวดิ่งลงไปถึงพื้นชั้นล่างสุด ทำให้เห็นบันไดวนแบบหักมุม ประมาณสิบกว่าขั้นลงมาเป็นที่พักเท้า แล้ววนไปอีกสองชั้นจนถึงพื้นด้านล่าง
เขาเดินลงมาหยุดรอที่บันไดขั้นสุดท้าย ซึ่งหญิงสาวก็ตามมาไม่ห่าง รอบๆ ตัวที่ไกลออกไป มองเห็นแต่ความมืดมิด เขาดึงให้เธอมายืนอยู่ใกล้ๆ แล้วอ้อมมายืนซ้อนหลัง ก้มลงกระซิบเบาๆ ที่ข้างหู
“พร้อมหรือยัง?” พริมโรสพยักหน้า แล้วกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง ภายในรู้สึกตื่นเต้น รอคอยที่จะเห็นของสุดล้ำของเขาอย่างใจจดใจจ่อ
หางตาเห็นเขาทาบมือไปที่กระจกสีดำที่ผนัง ตัวกระจกแสกนฝ่ามือของเขาแล้วไฟทั้งห้องก็ค่อยๆ สว่างขึ้นที่ละโซนไปจนสุดความยาวของห้อง นัยน์ตาสวยเบิกกว้างขึ้นกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า
“โว๊ะ! พระเจ้าช่วยกล้วยทอด! นี่มันคลังแสงชัดๆ!” หญิงสาวอุทานออกมาอย่างตื่นตะลึง แล้วเดินเร็วไปข้างหน้า มาหยุดหน้าตู้กระจก ที่เต็มไปด้วยปืนพก หลากหลายรุ่นวางเรียงรายกันอยู่ พลันสายตาเหลือบไปเห็นกระสุนกล่องใหญ่จึงหยิบขึ้นมาดู
“ดาร์ปา เอ็กแซ็กโต!” ชายหนุ่มมาหยุดยืนข้างๆ แต่ไม่ได้ตอบ มองท่าทางตื่นเต้นราวกับเด็กที่ได้ของเล่นถูกใจ ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มมุมปากด้วยความเอ็นดู
เธอหมุนตัวมองสำรวจไปรอบๆ ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยอาวุธสงครามหลากหลายชนิดเต็มผนัง ทั้งยังวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบบนชั้นสำหรับวางของสี่ชั้น ยาวสุดมุมห้องทั้งสามแถว ประมาณคร่าวๆ จากสายตาไม่น่าจะต่ำกว่าสามหรือสี่พันกว่ารายการ
เขาจับข้อศอกเธอ พาเดินไปสุดทางเดิน แล้วเดินเข้าไปอีกห้องหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยโดรนกามิกาเซ่ขนาดเล็ก เลยไปหน่อยจะเป็นเฮลิคอปเตอร์สอดแนมหลากหลายขนาด และเดินมายังหน้าจอคอมพิวเตอร์ หลังจากกดปุ่มที่คีย์บอร์ด ก็ขึ้นภาพจากกล้องวงจรปิดในหลายๆ มุม ของสถานที่ที่เก็บโดรนขนาดกลาง และรถถังขนาดเล็ก
“นี่เป็นโดรนลาดตระเวณ ติดตั้งมิสไซล์ ที่พร้อมโจมตีจากระยะไกลถึงสามร้อยห้าสิบกิโลเมตร ระดับการบินสูง สามารถปฏิบัติการอยู่บนอากาศได้นานกว่าสี่สิบชั่วโมง”
“นี่ไอเอไอ เฮรันใช่ไหมคะ?”
“ใช่ รู้จักด้วยรึ?”
“รู้สิคะ เป็นนวัตกรรมของอิสราเอล แต่ปัจจุบันได้พัฒนารุ่นใหม่ขึ้นมาชื่อว่าซเท็ลธ์ โดรน มีคุณสมบัติในการลดการสะท้อน ของเรด้าห์ ทำให้มีคุณลักษณะล่องหน สามารถตรวจจับได้ยาก”
“เก่ง!”
“ฉันจบจากเทคโนโลยีอิสราเอล แล้วโปรเจควิจัยก่อนจบก็คือพัฒนาซอฟต์แวร์เจ้าเฮลิคอปเตอร์พิฆาตตัวนั้น!” หญิงสาวกระดกนิ้วชี้ไปที่เฮลิคอปเตอร์ตัวเล็กที่วางอยู่บนชั้น
“จริงหรือนี่! ผมได้ข่าวมาเหมือนกันว่า เป็นโปรเจคของกลุ่มนักศึกษาของอิสราเอล ที่ทางบริษัทฯ นำมาปรับปรุงและพัฒนาต่อ ผมเลือกไม่ผิดคนจริงๆ!”
“หมายความว่าไงคะ ที่ว่าเลือกไม่ผิดคน?”
“ผมมีเรื่องต้องให้ทีมของคุณช่วย ขึ้นไปคุยข้างบนดีกว่า” เขาพูดแล้วออกเดินนำไปหยุดยืนที่บันได เพื่อรอให้เธอเดินขึ้นไปก่อน แล้วปิดไฟ
แสงสว่างจ้าในห้องที่ดับลงกระทันหัน เหลือเพียงแสงสลัวที่ส่องลงมาจากเพดานเฉพาะช่วงบันได ทำให้เธอก้าวพลาด และกำลังจะหงายหลัง แต่เขาก้าวยาวข้ามบันไดหลายขั้นขึ้นมารับไว้อย่างพอดิบพอดี
มือข้างหนึ่งกอดเอวเธอไว้แล้วหมุนตัวเข้าหาราวบันได ยึดไว้แน่นด้วยอีกมือหนึ่ง สองแขนเรียวเหนี่ยวคอแข็งแรงไว้แน่น เพื่อพยุงตัวเองไม่ให้ตก ทำให้หน้าอยู่ชิดกันแค่คืบ แขนแข็งแรงรัดร่างบอบบางไว้แนบชิดสนิทไปทั่วทั้งตัว
เขามองสบตากับดวงตาที่สวยเกินจะเปรียบของเธอ ลมหายใจสะดุดไปในพริบตา ในขณะที่หญิงสาวเองก็มองเขานิ่งอยู่เช่นกัน ความรู้สึกหวั่นไหวแปลกๆ ที่กำลังก่อตัวขึ้นภายในใจ ทำให้เธอทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วครู่
นัยน์ตาคมกริบดูอ่อนโยนลึกซึ้ง หลุบลงมองริมฝีปากอิ่มแดงระเรื่ออย่างเผลอไผล หัวใจเขาสั่นไหวแต่ไม่กล้าแม้ขยับตัว เพราะถ้าเขาสัมผัสเธอเพียงนิด หญิงสาวจะเกิดปฏิกิริยาต่อต้านขึ้นมาทันที เขาเสียดายช่วงเวลาแนบชิดแบบนี้ ซึ่งหาโอกาสได้ยากเหลือเกิน
หญิงสาวเริ่มรู้สึกตัวว่า ถูกเขากอดไว้อย่างแนบแน่น และตัวเองก็กำลังจ้องเขาอยู่ในระยะประชิด ริมฝีปากอวบอิ่มอยู่ห่างจากใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครารุงรังแค่ไม่กี่นิ้ว ลมหายใจอุ่นๆ เป่ากระทบผิวบริเวณคางของเขาเป็นระยะ ทำให้ดวงตาสีดำหรี่ลงดูลุ่มลึกยิ่งขึ้น พริมโรสกระพริบตาถี่รัว ขยับตัวเพื่อให้พ้นจากอ้อมแขน
“ขะ..ขอบคุณค่ะ!” เธอจะโทษเขาว่าฉวยโอกาสก็ไม่ได้ เพราะถ้าเขาไม่รับเอาไว้ ก็คงร่วงลงไปนอนกองอยู่ที่พื้นแล้ว
หญิงสาวก้มหน้างุดด้วยความประหม่า ใบหน้าแดงระเรื่อ จนรู้สึกร้อนไปทั้งหน้า ดันตัวออกห่างจากร่างสูงที่แนบชิดอยู่ ซึ่งเขาก็ปล่อยแต่โดยดี พอเธอทรงตัวได้ ก็รีบเดินขึ้นไปข้างบนอย่างรวดเร็วด้วยความอับอาย
……………………
- แว่นวีอาร์ VR (Virtual Reality) - เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เข้าถึงโลกเสมือนจริงที่เรียกว่า เมตาเวิร์ส (Metaverse) ปัจจุบันบริษัทภายใต้เมตาหรือเฟซบุ๊ก ได้พัฒนาแว่นวีอาร์ให้เป็นแบบสแตนอโลนในชื่อโอคูลัส เควสท์ (Oculus Quest) สามารถเปิดใช้งานได้โดยตัวมันเองโดยไม่ต้องผ่านการเรียกจากโปรแกรมอื่นอีก ซึ่งในต่างประเทศผู้ปกครองส่วนใหญ่จะซื้อแว่นโอคูลัส เควสท์ ให้ลูกๆ เล่นแทนแท็บเล็ต หรือไอแพด
- กระสุนดาร์ปา เอ็กแซ็กโต - กระสุนชนิดนี้สามารถควบคุมทิศทางได้ มีเซ็นเซอร์คอยควบคุมให้บินไปยังจุดหมายที่ล็อกเป้าไว้ ถึงแม้เป้าหมายจะเคลื่อนที่ หรือเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ก็สามารถเปลี่ยนแนววิถีกระสุนตามหลักฟิซิกส์ให้พุ่งไปยังวัตถุที่ระบุเอาไว้ได้ โดยมีระยะการยิงอยู่ที่สองพันเมตร
“คือว่า.. | คือว่า..” ทั้งสองคนพูดขึ้นมาพร้อมกัน จึงทำให้ชะงักไปทั้งคู่“คุณ.. | ผม..” แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ติดขัด ต่างคนต่างมองหน้ากันอยู่ รอโอกาสให้อีกฝ่ายได้พูดก่อน“เอ่อ..ฉันจะถามว่า..”“โอ้โห! นี่มันยิ่งกว่าคฤหาสน์ด้วยซ้ำ อย่างกับพระราชวัง!” เสียงคุ้นหูดังมาจากหน้าประตูด้านนอก พริมโรสได้ยินก็หันไปทางที่มาของเสียง เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งอิฟราอิมทำมือให้เธอเดินออกไปข้างนอกด้วยกัน “แหม! มาถึงก็ส่งเสียงดังคับที่เลยนะ!”“ด้วยความเคารพครับคุณผู้หญิง นอกจากจะไม่ขอบคุณที่กระผมช่วยขนย้ายข้าวของแล้ว ยังมาใช้วาจาประชดเสียดสีใส่กันอีก คุณธรรมในใจน่ะมีบ้างหรือเปล่า?”“งั้นฉันจะขอบคุณด้วยการคืนเงินดีไหมนะ?”“โอ๊ะ! เจ๊ประณามผมได้เต็มที่เลย จะย่ำยีไปพร้อมกันเลยก็ได้ แต่ขอคืนเต็มจำนวนเลยนะ!” เขายิ้มอย่างประจบ“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน! ดูเหมือนท่านเจ้าของบ้านมีอะไรจะพูดกับพวกคุณแหน่ะ!”“เจ้าของบ้าน? คุณเป็นเจ้าของบ้านนี้หรือครับ?” เตวิช เบิกตาโตกว้าง หันไปถามชายหนุ่มร่างสูงเชื้อสายอาหรับ“ครับ! ขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ ผมพันเอกอิฟราอิม อัล อิสมาอิล สังกัดกองทัพบก”“โว๊ะ!” เตวิชตกใจ แต่จอมทัพมีสติดีก
"โอ๊ย!!" แล้วหญิงสาวก็ร้องออกมาอย่างตกใจ คิดไม่ถึงว่าเขาจงใจกัดที่ริมฝีปากล่างอย่างแรง ทำให้เธอได้สติรีบผลักเขาออกห่างผู้ชายจิตใจคับแคบ!! นี่กำลังคิดจะเอาคืนใช่ไหม แต่ฉันไม่ได้กัดนายรุนแรงแบบนี้นี่!!หญิงสาวตวัดสายตาคมกริบมองเขม็งอย่างโมโห สีหน้าบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด เม้มริมฝีปากล่างที่กำลังเจ็บ แล้วไล้ลิ้นเลียด้านในเบาๆ “เจ็บไหม? ถือซะว่า..หายกัน!” เขาถามคล้ายไม่สำนึก เธอเลยกำหมัดทุบไปที่อกและไหล่ของเขาเสียหลายที แต่เขากลับเอาแต่หัวเราะ แล้วจับข้อมือเธอไว้ชายหนุ่มมองใบหน้าหวาน ที่ถึงแม้จะโกรธแต่ก็ยังคงดูน่ารัก กำลังส่งประกายตาคมกริบราวกับมีดมองเขม็งมาที่เขา เพียงแค่มองก็ทำให้รู้สึกเหมือนถูกทิ่มแทงไปแล้วเป็นร้อยๆ แผล เขายกยิ้มมุมปากข้างหนึ่งอย่างอารมณ์ดี นัยน์ตาพราวระยับเต็มไปด้วยรอยหัวเราะ เห็นเป็นเรื่องสนุกไปเสียอย่างนั้นพริมโรสรู้สึกว่า เธอประเมินระดับความชั่วร้ายของเขาต่ำเกินไปเสียแล้วแต่ยังไม่ทันที่เธอจะสบถความในใจออกมา ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นท่ามกลางความเงียบเสียก่อนก๊อกๆ!! ก๊อกๆ!!“คุณพริมโรสคะ! คุณพริม!” หญิงสาวสะดุ้ง หันขวับไปยังทิศทางของเสียงชายหนุ่มมองใบหน้าระเรื
บอดี้การ์ดทั้งสองคนจับต้นแขนพริมโรสไว้คนละข้าง พาเดินไปอย่างเร่งรีบจนตัวเธอแทบจะลอยได้ ก้าวเท้าเร็วคล้ายกำลังจะก้าวกระโดด สักพักก็ฝ่าฝูงชนออกมาถึงริมถนนใหญ่ มีรถลีมูซีนกำลังจอดรออยู่ คนหนึ่งรีบเดินไปขึ้นข้างหน้า อีกคนเปิดประตูให้เธอขึ้นไปนั่งด้านหลัง ขณะที่กำลังจะก้าวเข้าไป เธอก็ถูกดึงแขนให้ถอยห่างรถออกมาอย่างแรง จนเซไปปะทะร่างแข็งแรงของใครคนหนึ่ง เธอแหงนมองหน้าร่างนั้นอย่างตระหนก“แก!!” ผู้พันอิฟราอิมเค้นเสียงออกมาอย่างเกรี้ยวกราด แล้วโถมหมัดเข้าใส่บอดี้การ์ดที่ยืนอยู่ตรงนั้นทันที“เธอเป็นอะไรหรือเปล่า?” เตวิชกับจอมทัพวิ่งมาขนาบข้างตัว พริมโรสมองอย่างงุนงง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วพวกเขามาที่นี่กันได้อย่างไรยังไม่ทันที่เธอจะไต่ถาม สองหนุ่มข้างตัวก็ถลาไปหาบอดี้การ์ดอีกสองคนที่กำลังงงงันอยู่ข้างรถทันที หญิงสาวยืนมองพวกเขาตะลุมบอนกันอย่างนัวเนีย ทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วครู่ “โรส! หลีกไป!!” ผู้พันอิฟราอิมตะโกนสั่งเสียงดังลั่น ทำให้เธอได้สติ ถอยไปยืนอยู่มุมหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะเข้าไปห้ามยังไง“เดี๋ยวก่อนค่ะ! หยุดก่อน! พวกคุณกำลังเข้าใจผิด!!” เธอพยายามจะอธิบาย แต่ดูเหมือนไม่มีใครอยากจะฟังสักพ
แต่ยังไม่ทันที่จะก้าวเท้า ข้อมือก็ถูกอีกฝ่ายดึงไว้เสียก่อน จนเธอเสียหลัก เซล้มลงไปนั่งบนตักเขา“งอนแฮะ!”“ไม่ได้งอน! ปล่อย!” เขาจับข้อมือเธอไว้ข้างหนึ่งยึดไว้แน่น มืออีกข้างรวบเอวคอดกิ่วเข้ามาชิดลำตัว เนื่องจากเขารัดไว้แน่น เธอจึงต้องโยกตัวไปข้างเพื่อยืมแรงโน้มถ่วง แล้วหมุนข้อศอกเหวี่ยงโค้งไปที่บริเวณขากรรไกร เธอคิดไว้อยู่แล้วว่าเขาจะต้องเบี่ยงตัวหลบ ในช่วงที่ลำตัวเด้งกลับจึงกระทุ้งศอกไปทางด้านหลังเต็มแรง“โอ๊ยย! ทำไมดุร้ายนัก!” ชายหนุ่มโดนศอกกระแทกที่ชายโครงอย่างจัง รู้สึกจุกแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ“ใครใช้ให้คุณมาฉวยโอกาสกับฉันล่ะ!” เมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่ยอมจำนน เขาจึงปล่อยมือที่รัดเอวมากำข้อมือเล็กที่วนเวียนแต่จะทำร้ายเขาเอาไว้แน่น จับสองแขนของหญิงสาวไขว้กันที่ด้านหน้า แล้วพันธนาการรัดไว้ด้วยแขนที่แข็งดั่งปลอกเหล็กของเขา ยุติการเคลื่อนไหวโดยสิ้นเชิง“อยู่นิ่งๆ! เดี๋ยวเครื่องไม้เครื่องมือพังหมด!”“ก็ปล่อยฉันสิ!” พริมโรสตวาดลั่นพยายามขยับตัวแรงๆ เพื่อให้วงแขนคลายออก แต่ยิ่งดิ้นเขาก็ยิ่งรัดแน่นเข้าไปอีก ตอนนี้เหลือเพียงปากเท่านั้นที่ว่างพอจะใช้เป็นอาวุธได้ “คุณนี่อะไรก็ดี เสียตรงที่
ก๊อกๆ!! ก๊อกๆ!!หญิงสาวพลิกตัวนอนคว่ำ ศอกยันพื้นที่นอนนุ่ม มองไปทางทิศของเสียง“คุณ! นอนหรือยัง?”พอรู้ว่าเป็นเสียงใคร ปากอิ่มสวยก็เม้มเข้าหากัน แก้มพองออกสองข้างในลักษณะไม่สบอารมณ์นิดๆ ลุกขึ้นเดินไปแง้มประตูให้เปิดออกนิดหนึ่งผู้ชายน่าตาย! ช่างยุ่งวุ่นวายเสียจริงๆ!“มีอะไรคะ?”“ผมมีเรื่องจะคุยด้วย ขอเข้าไปได้ไหม?”“ยามวิกาล ชายหญิงไม่ควรอยู่ใกล้ในที่ลับตา เป็นกฎการใช้ชีวิตแบบเบสิคของสาวโสด หวังว่าคุณคงจะเข้าใจ”ชายหนุ่มยกยิ้มมุมปากนิดหนึ่งคล้ายจะยิ้ม ฟังกฏการใช้ชีวิตแบบลื่นไหลของเธออย่างชอบใจ“แล้วถ้าผมคุยเรื่องลับๆ ระหว่างเราสองคนที่หน้าประตูแบบนี้ ใครผ่านไปผ่านมาแล้วได้ยินเข้า กฏการใช้ชีวิตแบบสาวโสดของคุณจะสั่นคลอนไหม?”“นี่! ฉันกับคุณไปมีเรื่องลับๆ กันตั้งแต่เมื่อไหร่!” เสียงความไม่พอใจดังขึ้นเล็กน้อยท่ามกลางความเงียบสงัดของราตรี“ชู่ว! เบาหน่อยสิ! เดี๋ยวก็ได้ตื่นมาฟังกันหน้าสลอน ไม่อายรึ? แต่ก็ไม่แน่นะ..บางทีตอนนี้อาจจะมีใครบางคนเอาหูแนบประตู แอบฟังอยู่ก็ได้”“คุณ!” หญิงสาวหงุดหงิดเขาจนเกือบจะหลุดปากพูดคำแรงๆ ออกไปตามอารมณ์ แต่พอนึกได้ว่าผู้คนคงจะได้ยินกันทั้งบ้าน จึงได้แต่กัดปา
หลังวางสายจากอัลวานี เธอใช้โทรศัพท์หลักของหน่วยโทรสอบถามทันที“ว่าไง? กำลังจะโทรหาพอดีเลย”“หัวหน้าคะ! นอกจากเราสามคน ได้ส่งใครมาอีกหรือเปล่า?”“มี เป็นคนของเอ็นเอสเอที่เพิ่งจะติดต่อมา เขากำลังสงสัยและตามสืบที่มาที่ไปของเงินโอนจำนวนมหาศาลจากสำนักงานใหญ่ในสหรัฐ เข้าบัญชีบริษัทยาอาร์เอดี ผู้ผลิตและวิจัยยาชีวเภสัชภัณฑ์สาขาย่อยในทีแลนด์ เขาสงสัยว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ จึงได้ส่งคนขอมาร่วมทีมกับเราเพื่อตามสืบเรื่องนี้ด้วย”“แล้วทำไมพ่อไม่แจ้งพวกเราก่อนหน้านี้ล่ะ?”“ฉันเพิ่งจะได้รับเรื่องเมื่อวานนี้เอง กำลังจะติดต่อไปวันนี้ ก็พอดีแกโทรมาเสียก่อน เออ!..ได้ข่าวว่ามีการวางระเบิดแถวพิพิธภัณฑ์ แกอยู่ในเหตุการณ์ด้วยหรือเปล่า?”“ใช่ค่ะ หนูว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ของที่พ่อให้ไปรับคืออะไรกันแน่?”“เอ่อ..เอาเป็นว่าฉันยังบอกอะไรตอนนี้ไม่ได้ ทุกอย่างเป็นความลับระดับท็อปเอส ทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จก็พอ”พ่อวางสายไปแล้ว แต่เธอก็ยังนั่งครุ่นคิดอยู่ เธอไม่ชอบใจนักที่จะทำงานแบบถูกปิดหูปิดตา มันลับสุดยอดขนาดไหนกันถึงให้คนที่ต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายทำงานนี้โดยไม่ให้รับรู้อะไร หญิงสาวส่ายหน้า
“มิส! เอ่อ..ผมขอทราบชื่อคุณได้ไหม?” พริมโรสมองบุรุษหน้าตาหล่อเหลาคมคาย ซึ่งเป็นบิดาของเด็กชายที่ได้รับบาดเจ็บ รูปลักษณ์ของเขาดูสูงส่งสง่างาม บนร่างมีรัศมีแห่งอำนาจผิดแผกไปจากคนธรรมดา อีกทั้งยังดูสุขุมเยือกเย็น ไม่บ่งบอกอารมณ์ใด บนริมฝีปากประดับรอยยิ้มเพียงเล็กน้อย กำลังนั่งลงที่เก้าอี้ข้างตัวเธอ พอได้เห็นชัดๆ แบบนี้ เธอรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเขาเป็นอย่างมาก แต่ก็นึกไม่ออกว่าเป็นใครหรือเคยเห็นที่ไหน บางทีอาจจะคล้ายคนรู้จักที่เป็นเพื่อนของเพื่อน หรืออาจจะเป็นคนที่มีชื่อเสียงในวงการใดวงการหนึ่งก็เป็นได้ ซึ่งเธอก็เคยเห็นแบบนี้หลายครั้งในจอทีวี บางทีอยู่กันคนละประเทศ แต่รูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงราวกับเป็นญาติพี่น้อง หรือฝาแฝดกันก็มี แต่ในทางวิทยาศาสตร์ ก็มีผลวิจัยทางสถิติที่ระบุว่า ‘มนุษย์ทุกคนจะมีคนที่หน้าเหมือนเราอีกเจ็ดคนอยู่ทั่วโลก’ โดยที่คนเหล่านั้นไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กันด้วยซ้ำ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ดอพเพลแกงเกอร์(doppelgänger)“นรากรค่ะ พริมโรส นรากร”“มิสนรากร พริมโรสคงเป็นชื่อจริงของคุณ.. เอ่อ..ผมขออนุญาตเรียกคุณว่า พริมโรสได้ไหม?”“ได้ค่ะ” หญิงสาวออกปากอนุญาต
กว่าพริมโรสจะมาถึงที่พักก็เย็นแล้ว เตวิชส่งข้อความมาบอกเกี่ยวกับเรื่องที่เธอให้เขาไปสืบเมื่อวันก่อน ว่ามีความคืบหน้าแล้ว เธอเลยบอกเจ้าของบ้านว่าเพลียของดอาหารเย็น แล้วรีบหนีเข้าห้องมาก่อน จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์โทรกลับไปอย่างไว“แหม! เลือกเวลาโทรได้ดีจริงๆ! ช้าอีกวินาทีเดียวฉันจะหยิ่งไม่รับสายเธอแล้วนะ!” เตวิชโวยวายทันทีที่รับสาย“ทำไมล่ะ? นายปีกกล้าขาแข็งพอที่จะต่อต้านฉันแล้วหรือไง!”“มิกล้า! ฉันกำลังจะเอาโดรนขึ้นบินสำรวจ ไม่ช่วยออกแรงแล้วยังมาก่อกวน ยัยจิ้งจอกเหม็น!”“อ้อ! งั้นก็บอกมาคร่าวๆ ที่สำคัญๆ ก็พอ”“ฉันให้คนสืบในหน่วยอื่นๆ กลับไม่มีข้อมูล พอดีมีเพื่อนที่ไว้ใจได้แฝงตัวอยู่ในองค์กรลับใต้ดิน เลยขอให้เขาช่วยสืบให้ ได้ข้อมูลมาว่าเป็นคนขององค์กรภราดรภาพต่อต้านรัฐบาลเผด็จการ ชื่อที่เธอบอกมาเป็นตัวตนปลอม สำหรับเข้าทำงานที่สถานทูตโดยเฉพาะ เริ่มแฝงตัวเข้าไปเมื่อปีที่แล้ว แล้วก็…”“แล้วก็อะไร?”“มีข่าวลือที่ยังไม่ได้กรองมาว่า เป็นอดีตแฟนเก่าของคู่หมั้นเธอ นัยว่าสนิทสนมกันมากเกินเพื่อนร่วมงาน และเลิกกันไปเกือบปี ก่อนที่เขาจะมาคบกับเธอ”“เดี๋ยว! พวกเขาไปรู้จักกันได้ยังไง? แสดงว่าณัทธร
ค่ำคืนแห่งพระเกียรติ ถูกจัดขึ้นอย่างสมพระเกียรติ ณ พระราชวังขององค์สุลต่าน งานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพถูกเนรมิตขึ้น อย่างวิจิตรตระการตา ทุกซอกทุกมุมของพระราชวังส่องประกายด้วยโคมไฟแก้วเจียระไนระยิบระยับ พรมแดงทอดยาวจากบันไดสู่โถงต้อนรับ โต๊ะอาหารเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ พร้อมเครื่องเงินแท้ที่ขัดเงาจนแวววาว เมนูรสเลิศจากเชฟมิชลิน ถูกเสิร์ฟแบบคอร์ส เคียงคู่กับเครื่องดื่มชั้นสูงจากทั่วทุกมุมโลก ขับกล่อมด้วยเสียงดนตรีออร์เคสตร้า ที่บรรเลงอย่างไพเราะ ทำให้ค่ำคืนนี้ สมพระเกียรติขององค์สุลต่านอย่างถึงที่สุด บรรดาผู้นำจากนานาประเทศ และทูตานุทูต ต่างตบเท้าเข้าร่วมงาน แขกเหรื่อล้วนเอ่ยปากชื่นชม ถึงบรรยากาศที่ได้รับการจัดเตรียมมาอย่างไร้ที่ติ และผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของงานนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น เจ้าหญิงไลลา สตรีหมายเลขหนึ่ง พระชายาของเจ้าชายอิดรีส ผู้ลงมาดูแลทุกอย่างด้วยตนเอง อย่างละเอียดถี่ถ้วน บางคนถึงกับกล่าวชมต่อหน้าเจ้าชายอิดรีส ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แม้เขาจะยังคงยืนสงบนิ่งในท่าทีสุขุมเช่นเคย แต่ในใจลึกๆ กลับรู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ตนเลือกคู่ครองไม่ผิด สายตาของอิดรีส
แสงสว่างที่ลอยละล่องในความมืดส่องมาที่รินรดา พร้อมกับเสียงกระซิบที่แผ่วเบาแต่ชัดเจน เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของใครในโลกนี้ มันเหมือนเสียงที่มาจากที่ไกลโพ้น ฟังดูทั้งใกล้ และไกลในเวลาเดียวกัน“ถึงเวลาแล้ว...จงทำตามสัญญา!”รินรดารู้สึกเหมือนร่างกายของเธอกำลังล่องลอย แต่ในขณะเดียวกัน ก็ตกลงไปในความเวิ้งว้างอันไร้จุดสิ้นสุด เธอพยายามมองหาเจ้าของเสียงแต่ไม่พบใครเธอหลับตาลงแล้วทันใดนั้น ภาพอดีตของเธอเมื่ออายุสิบห้าปีก็ย้อนกลับมา เธอเห็นตัวเองยืนอยู่หน้าหินพ่อมดลาบราดอไลต์ ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในห้องลับใต้พระราชวัง ความศักดิ์สิทธิ์ของมันทำให้เธอรู้สึกได้ ถึงพลังลี้ลับที่ซ่อนอยู่ภายใน เธอท่องบทสวดที่แอบจดจำไว้ พร้อมกับอธิษฐานถึงสิ่งที่อยากรู้ที่สุดในชีวิต นั่นคือ..การตามหาครอบครัวที่แท้จริงจากนั้นเธอก็เริ่มฝันซ้ำๆ เดิมๆ อยู่หลายครั้ง จนกระทั่งถึงปัจจุบันเธอค่อยๆ ลืมตาขึ้น พบว่าตัวเองยืนอยู่ในอุโมงค์ที่ทอดยาวไปสู่แสงสว่างที่อยู่เบื้องหน้า เธอรู้ว่านี่คือจุดที่ผู้ตายต้องเดินผ่านไปยังภพหน้า แต่แล้วเสียงอันศักดิ์สิทธิ์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง“รินรดา เธอยังมีสิทธิ์เลือกเส้นทางของตนเองอยู่นะ”เบื้องหน้าของเ
ค่ำคืนแห่งความสุขมาถึง... ท้องฟ้ายามราตรีของอาณาจักรเปเรซประดับไปด้วยแสงจันทร์และดวงดาวระยิบระยับ ขณะที่ปราสาทหลวง ถูกประดับด้วยผ้าม่านสีขาว และทอง ลวดลายอาหรับอันวิจิตร เจิดจรัสด้วยแสงไฟนวลอบอุ่น ของไฟระย้าคริสตัลสะท้อนแสง จนดูงดงามราวสรวงสวรรค์ ดอกไม้หายากจากทั่วทั้งอาณาจักร ถูกจัดวางประดับประดาไปทั่วบริเวณ สร้างบรรยากาศที่งดงาม ราวกับหลุดออกมาจากเทพนิยาย ภายในห้องโถงใหญ่ของพระราชวัง พรมเนื้อละเอียดทอดยาวตั้งแต่ประตูไปจนถึงแท่นพิธี โต๊ะเลี้ยงอาหารค่ำประดับด้วยผ้าปักทอง ดอกกุหลาบและลิลลี่ขาวบริสุทธิ์ให้กลิ่นหอมอ่อนๆ ตัดกับแสงเทียนที่กระพริบไหว ม่านบางเบาปลิวไสวไปตามสายลมเย็นของค่ำคืน พระราชพิธีอภิเษกสมรส ถูกจัดขึ้นตามขนบธรรมเนียม เป็นพิธีนิกะห์อันศักดิ์สิทธิ์ของโมเสลม ภายใต้กฎหมายชารีอะห์ และธรรมเนียมของราชวงศ์ ซึ่งแสดงถึงความงดงาม และเปี่ยมไปด้วยความหมาย นักวิชาการศาสนา(อุละมาอ์) ผู้ประกอบพิธี นั่งอยู่บนแท่นหินอ่อน ด้านข้างมีพยานฝ่ายเจ้าบ่าวและเจ้าสาว พร้อมด้วยบุคคลสำคัญจากราชวงศ์และข้าราชบริพาร เจ้าชายอิสราร์ ประทับยืนในชุดทางการขององค์มกุฏราชกุมาร เสด็จเข้ามายังแท่นพิธี พระอ
บรรยากาศภายในพระราชวังเปเรซวันนี้ เต็มไปด้วยความสงบและเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้ง ครบหนึ่งร้อยวันแห่งการจากไปของเจ้าหญิงรินรดา องค์สุลต่านทรงมีพระราชดำริให้จัด ‘โรงทานขนาดใหญ่’ เพื่อแจกจ่ายอาหาร และสิ่งของจำเป็นแก่ประชาชนผู้ยากไร้ ถือเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับ ภายในโรงทานถูกจัดขึ้นอย่างเป็นระเบียบ เต็นท์ขนาดใหญ่ถูกกางเรียงรายภายในลานกว้างของลานพิธีหน้าพระราชวัง โต๊ะยาวหลายตัวถูกตั้งไว้ สำหรับแจกจ่ายอาหารร้อนที่ปรุงสำเร็จ และขนมหวานอาหรับ เช่น บาสบูซาและกุนาฟา รวมถึงน้ำดื่มเย็นๆ สำหรับประชาชนที่มาร่วมรับแจกอาหาร บรรดาข้าราชบริพาร และอาสาสมัครจากประชาชน ต่างช่วยกันแจกจ่ายด้วยรอยยิ้ม แม้จะเป็นวันแห่งความอาลัย แต่ทุกคนก็เต็มใจทำความดี เพื่อเป็นบุญกุศล ให้แก่เจ้าหญิงผู้ล่วงลับ นอกจากอาหารแล้ว ยังมีจุดแจกอาหารแห้ง และของใช้จำเป็น เช่น อินทผลัม ข้าวสาร น้ำมันพืช เครื่องปรุงรส สบู่ และยาสามัญ เพื่อให้ผู้ยากไร้สามารถนำกลับไปใช้ที่บ้านได้ ภายในงานยังมีแพทย์อาสา คอยตรวจสุขภาพเบื้องต้นให้กับประชาชน ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการช่วยเหลือสังคม ที่เจ้าหญิงรินรดาเคยผลักดั
เสียงไซเรนรถพยาบาลแผดก้องไปทั่วท้องถนน แต่รามิลไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น หูของเขาอื้อไปหมด มีเพียงเสียงลมหายใจบางเบาของรินรดา ที่กำลังแผ่วลงทุกขณะ เป็นสิ่งเดียวที่เขากำลังโฟกัส เลือดของเธอเปรอะเปื้อนเต็มมือเขา ลามไปตามแขนเสื้อ แผ่นอก และหยดลงเป็นทางบนเปลพยาบาล ร่างเล็กที่เคยเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา บัดนี้กลับนอนแน่นิ่ง แต่ถึงอย่างนั้น เธอยังคงยิ้มให้เขา “คุณ..รามิล…” เสียงของเธอเบาหวิวแทบไม่ได้ยิน “รดา! เดี๋ยวเราก็ถึงโรงพยาบาลแล้ว… แค่ทนไว้ก่อนนะรดา อย่าหลับนะ ได้ยินผมไหม!?” รามิลกุมมือหญิงสาวแน่น น้ำเสียงสั่นเครือ ความกลัวถาโถมเข้าใส่จนเขาหายใจแทบไม่ออก รินรดาไอออกมาเป็นเลือด ก่อนจะระบายลมหายใจบางเบา “ท่านพี่… ปลอดภัยไหม?” หัวใจของรามิลเหมือนถูกบีบจนแหลกสลาย เธอกำลังอาการสาหัส แต่ยังเป็นห่วงพี่ชายมากกว่าชีวิตตัวเองเสียอีก “ปลอดภัย! เขาปลอดภัย..” รามิลเม้มริมฝีปากแน่น พยายามกลั้นสะอื้น “ทำไมต้องทำแบบนี้ ทำไมต้องเสี่ยงขนาดนี้ด้วยฮึ!?” “เพราะเขาคือ… พี่ชายของฉัน” รินรดายิ้มจางๆ เสียงเธอขาดหายเป็นช่วงๆ เปลือกตาของเธอหนักอึ้งลงทุกที “รดา! อย่าหลับนะ! มองผมสิ มองผม!” มือของเธอใน
เสียงโกลาหลของฝูงชนยังคงดังก้องทั่วลานพิธี แต่แล้วจู่ๆ ผู้คนก็เริ่มแหวกออกเป็นสองทาง ราวกับคลื่นน้ำที่ถูกแบ่งออกโดยพลังที่มองไม่เห็น ท่ามกลางช่องว่างที่เปิดออก ปรากฏร่างของชายคนหนึ่ง เขายืนอยู่ในเงามืด แฝงตัวอยู่ในกลุ่มประชาชนที่กำลังแตกตื่น ในมือของเขากำปืนไรเฟิล ที่บรรจุกระสุนเจาะเกราะแน่น สายตาคมกริบกวาดไปรอบบริเวณอย่างระแวดระวัง ก่อนจะกลับมาตรึงอยู่ที่เป้าหมาย บุรุษผู้ตายยากที่สุดเท่าที่เขาเคยสังหารมา ร่างสูงสง่าของเจ้าชายอิสราร์ ยืนเด่นอยู่บนลานพิธียกพื้น ราวกับถูกจัดวางให้อยู่ในระยะยิงอย่างเหมาะเจาะ โอกาสมีเพียงครั้งเดียว ทุกอย่างจะต้องเกิดขึ้นเร็วที่สุด และต้องสร้างผลกระทบที่รุนแรงที่สุด ถ้าจะต้องถูกจับหลังจากเหนี่ยวไก อย่างน้อยก็ขอให้มันได้ตาย..เพื่อสังเวยผู้ที่ข้ารักและเคารพเหนือสิ่งอื่นใด ผู้ที่สมควรได้รับทุกสิ่งที่ปรารถนาบนโลกใบนี้!! “ตอนนี้แหละ!!” อาซีฟพึมพำกับตัวเองก่อนจะรีบยกปืนขึ้น ปึ่ก! แรงกระชากอย่างรุนแรง ทำให้ปืนในมือของอาซีฟหายไปในพริบตา เขาตวัดสายตาไปด้านข้าง แววตาเปลี่ยนเป็นโทสะสีเข้มจัด แต่แล้วเขาก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นใบหน้าของผู้ที่ชิงอาวุธไปจากมือเขา
ท้องฟ้าเหนือลานพิธี ถูกย้อมด้วยแสงสีทองของอาทิตย์ยามสายัณห์ แต่ภายใต้ความสว่างนั้น กลับอบอวลไปด้วยบรรยากาศอันหนักอึ้ง เสียงกระซิบกระซาบแผ่วเบา ของประชาชนเริ่มดังขึ้นเป็นระลอก เมื่อหญิงสูงศักดิ์ผู้หนึ่งก้าวเข้ามาในบริเวณลานพิธีอย่างสง่างาม พระชนนีแห่งเปเรซ ทรงฉลองพระองค์อย่างวิจิตร แต่ละย่างก้าวของพระนางแผ่รัศมีแห่งอำนาจ ทรงเชิดพระพักตร์เล็กน้อย ดวงเนตรเจิดจ้า เต็มไปด้วยความแน่วแน่และภาคภูมิ เสียงกระซิบเริ่มดังขึ้นทีละน้อย จากวงนอก ค่อยๆ แพร่กระจายออกไป “พระชนนีเสด็จ!” “พระนางมาเพื่อกอบกู้เปเรซ!” “พระมารดาของพวกเรา!” เสียงเรียกขานพระนามดังขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ มีเสียงโห่ร้องต้อนรับทุกที่ที่พระนางก้าวย่างผ่านไป ราวกับคลื่นมหาชนที่กำลังโหมกระหน่ำ พระชนนีทอดพระเนตรภาพตรงหน้าแล้ว ไม่อาจห้ามรอยแย้มสรวลที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ พระนางประสบความสำเร็จแล้ว ประชาชนกำลังเทิดทูนพระองค์ และนี่คือโอกาส ที่พระองค์จะประกาศตน ในฐานะผู้นำที่จะกอบกู้เอกราชของชาวเปเรซ จากเงื้อมมือแห่งความอยุติธรรม ขององค์สุลต่าน แต่แล้ว... เสียงอื้ออึงของฝูงชนก็เปลี่ยนไป จากเสียงเชียร์เป็น
“ดูเหมือนพวกเราจะมาผิดงานแล้วล่ะ?” พริมโรสพูดพลางกวาดตามองรอบตัว พวกนักโทษที่ตามมาหยุดเดินทันที มองหน้ากันเลิ่กลั่ก เห็นได้ชัดว่าการกระโจนเข้ากลางวงล้อม ของมือสังหารกับตำรวจที่ติดอาวุธครบมือไม่ใช่แผนที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา “เอ่อ..พวกเรา… ฉันว่าเราควรจะให้พวกเขาจัดการกันเองไหม?” นักโทษคนหนึ่งกระซิบกับพรรคพวก “ใช่ๆ เรามันแค่คนผ่านทางมา อย่าไปขวางมือขวางเท้าพวกเขาเลย” อีกคนพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนที่คนอื่นๆ จะค่อยๆ ถอยออกห่างกลุ่มลูกพี่ ไปรอดูอยู่รอบนอก พริมโรสเดินนำเตวิชกับจักรินข้ามถนนมา แล้วเดินทะลุเข้าไปกลางวงล้อมที่กำลังตึงเครียดอย่างไม่รู้สึกรู้สา รอยยิ้มเจ้าเล่ห์แต้มอยู่บนริมฝีปาก ก่อนจะปรายตามองไปยังชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างรินรดา “โอ๊ะ!” พริมโรสยกมือเท้าสะเอว “นี่รุ่นพี่กลายเป็นมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปแล้วหรอ?” รามิลเลิกคิ้ว หัวเราะเบาๆ“แล้วทำไมสภาพเธอ ถึงเหมือนคนหลงทางอย่างนี้ล่ะ?” พริมโรสหัวเราะออกมา “ฉันเดินมาไกลมากเลยนะ จากพระราชวังมาถึงโรงพยาบาลนู่นน่ะ” “นี่!..เอาไว้ค่อยทักทายกันทีหลังได้ไหม พวกเรายังติดอยู่ในวงล้อมอยู่นะ!” เตวิชพูดเสียงเครียด สายตาเหลือบไปเห็นกลุ่มคนร
“ยังมีเรื่องด่วนอีกเรื่องนึงค่ะ หน่วยข่าวกรองแจ้งมาว่ามีสายลับคนหนึ่ง ต้องการพบบอสเป็นการส่วนตัวด่วน เขาอ้างว่ามีรายงานลับจากองค์สุลต่าน ส่งถึงบอสโดยตรงค่ะ”“องค์สุลต่าน?” รินรดาค่อนข้างแปลกใจ ร้อยวันพันปีไม่เคยมีเรื่องมีราวให้ต้องติดต่อกัน แต่ครั้งนี้กลับส่งสารมาถึงเธอโดยตรง “นี่ค่ะ สถานที่นัดพบ” เลขาปัดแท็บเล็ตบนมือนายสาว เพื่อให้ดูพิกัดของจุดนัดพบ รามิลเดินมาหยุดยืนข้างหลัง สายตาเหลือบมองในแท็บเล็ต ก่อนเอ่ยเสียงเครียด“คุณจะไปหรือไง?” ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย“คงต้องไปค่ะ เขาอาจจะติดต่อท่านพี่ไม่ได้ จึงต้องส่งผ่านมาทางฉัน” “แน่ใจได้ยังไงว่าไม่มีอะไรที่ซับซ้อน? รามิลจ้องหญิงสาวเขม็ง จนเธอถอนหายใจเบาๆ “บอกตามตรงว่าไม่แน่ใจเลย เขาเป็นมนุษย์ที่เซ้นส์ผู้หญิงอย่างฉัน ไม่เคยตรวจจับอะไรได้เลย”“งั้นผมจะไปด้วย ผมเป็นห่วงคุณ”“ฉันก็เป็นห่วงคุณเหมือนกันนะคะ คุณเป็นชาวต่างชาติ ฉันไม่อยากให้มีอะไรที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นกับคุณ ฉันเติบโตที่นี่ รู้ทางหนีทีไล่ดีกว่า ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลหรอกค่ะ คุณรอท่านพี่อิดรีสอยู่ที่นี่เถอะนะคะ”“ไม่กังวลได้ยังไง เครือข่ายในเมืองถูกทำลาย แล้วผมจะติดต่อกับคุณยั