คุณชายรู้สึกทำตัวไม่ถูก...ได้แต่นั่งโง่ๆ ตัวตรงแน่วอยู่ริมขอบเตียง สองมือกำแน่นอยู่บนตัก
จริงอยู่ที่จางจงใช้เวลาสอนเขาอยู่เกือบหนึ่งชั่วยาม(สองชั่วโมง)...ให้รู้วิธีปรนนิบัติสามีบนเตียง เพราะเขามิใช่สตรีแต่เป็นบุรุษ วิธีร่วมรักของคู่บุรุษกับบุรุษนั้นแตกต่างจากคู่บุรุษกับสตรีอย่างมาก...คู่ของบุรุษกับบุรุษต้องเตรียมตัวเตรียมใจและเตรียมอุปกรณ์ช่วยเป็นพิเศษต่างหาก มิเช่นนั้นแล้วบุรุษผู้อยู่ในฐานะภรรยาอาจจะได้รับบาดเจ็บได้
แค่คิดก็สยองขวัญแล้ว!
“ฟูเหริน...”
เสียงเรียกของชินอ๋องทำให้คุณชายสะดุ้ง ปรายตามองอีกฝ่ายที่ยืนอยู่ไม่ห่าง เขาสวมเสื้อนอนสีแดงถือถ้วยน้ำชาอยู่ในมือทั้งสองข้าง
“มาดื่มน้ำชามงคลกัน” มุมปากยกยิ้มน้อยๆ มองคุณชายที่สวมเสื้อนอนสีแดงเหมือนกัน ด้วยประกายตายพราวระยิบ “ที่จริงควรจะเป็นสุรามงคล แต่ว่าระยะนี้เจ้ายังไม่ควรดื่มสุรา ข้าจึงใช้น้ำชาแทนสุรา หวังว่าฟูเหรินคงไม่ตำหนิ”
“ไม่กล้าขอรับ” คุณชายเอ่ยเบาๆ รู้สึกอึดอัดจนแทบจะหายใจไม่ออก แต่ก็ต้องยืนขึ้นเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่าย แล้วรับถ้วยชาจากมือชินอ๋องมาถ้วยหนึ่ง
ชินอ๋องคล้องแขนของคุณชายที่ร่างเตี้ยเล็กกว่า แล้วทั้งคู่ก็ดื่มน้ำชาพร้อมกันจนหมดถ้วย
ชินอ๋องดึงถ้วยเปล่าในมือของคุณชายไปซ้อนกับถ้วยของตนเองแล้วโยนไปไว้บนโต๊ะราวกับจับวาง จากนั้นก็ช้อนตัวคุณชายขึ้นอุ้มในท่าเจ้าสาว
อยู่ๆ ก็รู้สึกโคลงเคลง คุณชายรีบใช้สองมือคว้าไหล่แกร่งไว้มั่นเพื่อกันตก อุทานอย่างตกใจ
“ทะ...ท่านอ๋อง”
ใบหน้าคมคายของชินอ๋องแย้มยิ้มอ่อนโยน
“ฟูเหริน เจ้าต้องเรียกข้าว่า ฟูจวิน(สามี)” แล้วอุ้มคุณชายวางลงบนเตียงนอนอย่างนุ่มนวล “หน้าที่ของฟูจวินคืออุ้มฟูเหรินขึ้นเตียงนอน”
กล่าวจบก็ช่วยถอดรองเท้าให้คุณชาย แล้วถอดรองเท้าของตนเองออก ก่อนจะขึ้นเตียงไปนั่งชิดคุณชายที่รีบลุกขึ้นนั่งตัวลีบอยู่ด้านในของเตียงกว้าง
ชินอ๋องดึงมือที่ชื้นเหงื่อของคุณชายมากุมเอาไว้ พลางกระซิบข้างหู
“นอนเถอะ”
จัดให้คุณชายนอนลง ห่มผ้าห่มให้ แล้วก้มลงจุมพิตที่หน้าผากมนและที่ริมฝีปากแผ่วเบาอ่อนโยน ทว่าไม่มีล่วงล้ำ
คุณชายใจเต้นโครมๆ ดังจนตนเองยังได้ยิน ลุ้นระทึกว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป...
แต่ชินอ๋องเพียงล้มตัวลงนอนเคียงข้าง ห่มผ้าห่มผืนเดียวกัน แล้วหลับตา เพียงไม่นานลมหายใจก็สม่ำเสมอ
เป็นจ้าวชิงเฟิงต่างหากที่ลืมตาค้าง เพราะความในใจสับสน สักพักชินอ๋องก็พลิกกายตะแคงมาหา ป่ายมือข้างหนึ่งกับขาข้างหนึ่งโอบกอดเขาเอาไว้ราวกับกอดหมอนข้าง
คุณชายคิดจะผลักอีกฝ่ายออกในตอนแรก แต่ไม่อยากทำให้ชินอ๋องรู้สึกตัว จึงพยายามนอนนิ่งๆ ไว้อย่างอดทน...
สายวันรุ่งขึ้น...จ้าวชิงเฟิงลืมตาตื่นขึ้นก็เห็นว่า จางจงและสองสาวใช้เสี่ยวหงเสี่ยวชุ่ย ยืนรอคอยรับใช้อยู่ไม่ห่าง แต่ทุกคนต่างเงียบเสียงเพื่อจะได้ไม่รบกวนเขา ส่วนชินอ๋องนั้นไม่ได้นอนอยู่ข้างๆ ทั้งไปไหนแล้วก็ไม่รู้
“คุณชาย ตื่นแล้วหรือขอรับ?” จางจงถามด้วย สีหน้ากังวลเล็กน้อย
“อืม” คุณชายขยับตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง
“ระวัง...ระวัง...” จางจงรีบปราดเข้ามาประคองราวกับเขากลับกลายเป็นไข่ในหิน
“เจ็บตรงไหน? ปวดตรงไหน?” สีหน้าคนถามเต็มไปด้วยความเวทนา
“เมื่อยตัวเล็กน้อย”
ลองใครมาทำหน้าที่หมอนข้างทั้งคืนไม่เมื่อยตัวก็แปลกแล้ว!
แล้วไอ้สีหน้าสงสารจับใจจากบ่าวคนสนิทกับสองสาวใช้หมายความว่าอะไร?
จางจงคว้ากระปุกยาใบหนึ่งบนถาดที่เสี่ยวหงถืออยู่แล้วกระซิบถาม “เจ็บตรงนั้นมากหรือไม่ขอรับ?”
คุณชายกะพริบตามองบ่าวคนสนิท...ก่อนจะแปลความหมายในใจว่า เจ็บท้ายทอยตรงที่ถูกโบยอีกหรือไม่...ก็ส่ายหน้า
“ไม่แล้วล่ะ”
“ถ้าเจ็บ...โปรดบอกบ่าว...อย่าได้เหนียมอาย...บ่าวจะเป็นคนช่วยทายาให้เองขอรับ” จางจงทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เอ่ยกระซิบข้างหู “ครั้งแรกจะไม่เจ็บได้อย่างไรกัน?”
“ครั้งแรก...” คุณชายทวนคำแผ่วเบา แล้วหน้าแดงก่ำเมื่อนึกได้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร!
“ไม่มี...ไม่มีครั้งแรก...ไม่มีอะไรทั้งนั้น”
เขาว่าแล้วมุดกลับเข้าไปในโปงผ้าห่มใหม่
ที่จวนราชครูตู้เสียง...
พระชายาตู้จินเหลียนนั่งสนทนากับท่านราชครูผู้เป็นบิดา นางเล่าเรื่องที่ชินอ๋องหลี่เฉิงยกย่องให้จ้าวชิงเฟิงขึ้นมาเป็นพระชายารอง และให้อยู่ในห้องนอนตำหนักใหญ่ด้วยกันอย่างเปิดเผยให้บิดาฟังอย่างกลัดกลุ้ม
ราชครูตู้เสียงลูบหนวดเคราอย่างใช้ความคิด
“ก็เป็นแค่พระชายารอง จะอย่างไรก็เป็นรองเจ้า”
“ท่านพ่อ ท่านไม่เข้าใจ พอเจ้าคนสารเลวนั่นได้เป็นพระชายารอง ก็มารยาทำทีท่าน่าสงสาร ทำให้ท่านอ๋องมีคำสั่งยกเว้นธรรมเนียมยกน้ำชาถามไถ่พระชายาเอกในตอนเช้าเสีย ด้วยเกรงว่าเขาจะถูกรบกวนการพักผ่อน...ข้าละเจ็บใจยิ่งนัก”
นางดึงทึ้งผ้าเช็ดหน้าในมือจนแทบฉีกขาด
“พระชายา เจ้าเคยขอเด็กรับใช้หน้าตางดงามกับสาวใช้ที่สวยที่สุดในจวนของพ่อไปมิใช่หรือ?”
“เจ้าสองคนนั้นล้วนไม่ได้เรื่อง” พระชายาเสียงสะบัด ก่อนจะยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบคำหนึ่ง
“แล้วเจ้าจะให้พ่อทำอย่างไร?” ท่านราชครูกล่าวอย่างคนตามใจลูก “เจ้าว่ามาให้เต็มที่ พ่อจะช่วยอย่างสุดความสามารถ”
“ลูกคิดว่า...ผู้ที่ท่านอ๋องชมชอบจะต้องเป็นคุณชายมีชาติตระกูลเพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติผู้ดี และรูปโฉมงดงามอ่อนเยาว์”
“หา...” ท่านราชครูอุทาน “คุณชายเช่นนั้นจะไปหาได้จากที่ไหน ถึงแม้หาได้วงศ์ตระกูลของเขาก็คงไม่ยอมยกให้พวกเราแน่”
“ท่านพ่อ...ข้อนี้ลูกก็รู้” พระชายาลดเสียงเบาลงพอให้คนเป็นพ่อได้ยินเท่านั้น “แต่...ถ้าหานกยูงไม่ได้ ทำไมไม่เอาอีกามาย้อมสีล่ะเจ้าคะ!”
จางจงและสองสาวใช้เสี่ยวหงเสี่ยวชุ่ยช่วยกันปลอบจนสามารถเอาตัวคุณชายออกจากผ้าห่มได้ และช่วยกันจัดการธุระส่วนตัวคุณชายให้จนเรียบร้อย “เขา...ท่านอ๋องไม่อยู่จวนหรือ?” คุณชายถามขึ้นเพราะไม่เห็นเขาตั้งแต่ตื่นนอนมา “ท่านอ๋องเข้าวังไปประชุมที่ท้องพระโรงแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ ฟูเหริน” เสี่ยวชุ่ยตอบพลางแย้มยิ้มหน้าระรื่น “ท่านอ๋องยังสั่งว่าอย่ารบกวนฟูเหริน ให้ฟูเหรินพักผ่อนให้เต็มที่” เสี่ยวหงกล่าวเสริมด้วยสีหน้ายิ้มกริ่มแบบว่ารู้อะไรดีๆ “ข้าแค่...” คุณชายอยากบอกแม่สองสาวหน้าทะเล้นนี้ว่า...เมื่อคืนเขาแค่นอนไม่หลับในตอนแรกเท่านั้น เพราะไม่คุ้นชินกับการมีคนนอนด้วย ซ้ำคนนอนด้วยยังกอดเขาเป็นหมอนข้าง กว่าจะได้หลับจริงๆ ก็เลยเที่ยงคืนไปไม่น้อยแล้ว จึงทำให้ตื่นสาย แต่คำพูดมาจ่ออยู่ที่ริมฝีปาก... คุณชายก็นึกขึ้นได้ว่า...ยิ่งพูดก็ยิ่งเข้าตัว! จึงนิ่งเงียบเสีย “ท่านอ๋องยังสั่งไว้ว่า...บ่ายนี้จะพาฟูเหรินไปเที่ยวเทศกาลดอกไม้เจ้าค่ะ” เสี่ยวชุ่ยเจื้อยแจ้วต่อ ขณะที่พูดนางก็เดินนำเจ้านายมาที่โต๊ะอาหาร จัดให้คุณชายนั่งลงแล้วส่งชามรังนกตุ๋
จ้าวชิงเฟิงหลบสายตาชินอ๋องที่ฉายแววดุดัน เขาแน่ใจว่าอีกฝ่ายสามารถทำตามที่พูดได้อย่างไม่สะทกสะท้าน แต่...ทำไมแม่นางน้อยนางนั้นจะต้องมารับโทสะที่ไม่มีที่มาที่ไปของคนใหญ่คนโตอย่างชินอ๋อง เพียงเพราะมีพรสวรรค์ทางด้านดนตรีเป็นที่ชื่นชอบของผู้ได้ยินได้ฟังด้วยเล่า? ไร้เหตุผล! แม้อีกฝ่ายจะไร้เหตุผล...เขาก็ได้แต่อดทนอดกลั้น ไม่สามารถจะไปถกเหตุผลกับอีกฝ่ายได้ ได้แต่ส่งเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่ได้ชอบ” เห็นสีหน้าเจื่อนจ๋อยของคุณชาย...ชินอ๋องก็ข่มอารมณ์หงุดหงิดของตนเองลง ใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยนขึ้นเอ่ยว่า “ฟูเหริน กินอาหารเถอะ เดี๋ยวอาหารเย็นชืดเสียหมด จะหมดรสชาติ” แล้วคีบเนื้อเป็ดอบชิ้นหนึ่งส่งให้ถึงปากคุณชาย แต่คุณชายกลับใช้ตะเกียบของตนเองคีบเนื้อเป็ดชิ้นนั้นจากตะเกียบของชินอ๋องแล้วจึงกิน คิ้วเข้มของชินอ๋องกระตุกคราหนึ่ง สีหน้าเย็นชาราวฉาบด้วยน้ำแข็ง จนอยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อระบายอารมณ์หงุดหงิด “เจียงจ้าน” ชินอ๋องส่งเสียงเรียกขันทีคนสนิท เจียงกงกงก็ปรากฏตัวเข้ามาน้อมรับคำสั่งทันที “เจ้าไปเรียกแม่นางที่ดีดฉิน
“ข้าควักหัวใจของเจ้าออกมาดีหรือไม่ จะได้ไม่เจ็บ?” พร้อมกับเสียงที่ดังขึ้นแทรก...มือแข็งแรงของชินอ๋องหลี่เฉิงก็คว้าหมับที่ข้อมือของบุรุษร่างสูงและออกแรงบีบ “โอ๊ย...” คนถูกบีบข้อมือร้องเบาๆ แล้วปล่อยมือของคุณชายให้เป็นอิสระ “พี่สี่ ท่านจะมาขัดขวางความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของข้าทำไม...ข้ากำลังทำความรู้จักกับคุณชายน้อยน่ารักคนนี้อยู่” ชินอ๋องจับต้นแขนคุณชาย แล้วดึงตัวให้ไปหลบอยู่ด้านหลังของตน “หลี่จิ้ง คนที่เจ้ากำลังทำรุ่มร่ามด้วย เป็นฟูเหรินของข้า เป็นพี่สะใภ้ของเจ้า” เสียงชินอ๋องเข่นเขี้ยว “พี่สะใภ้?” หลี่จิ้งทำหน้าฉงน ยกพัดด้ามจิ้วที่หุบอยู่ขึ้นแตะคางเล่นเบาๆ “มิใช่พระชายาตู้จินเหลียนหรอกหรือ?” “เขาคือพระชายารองจ้าวชิงเฟิง” ชินอ๋องเอ่ยอย่างตัดรำคาญ แต่หลี่จิ้งกลับอ้อมชินอ๋องมากระแซะอีกข้างของคุณชาย ยกมือประสาน “ยินดีที่ได้รู้จักน้องชิงเฟิง” “พี่สะใภ้!” ชินอ๋องเน้นคำ แต่อีกฝ่ายไม่สนใจ คลี่พัดโบกลมให้ตนเอง พลางแนะนำตัว “ข้าหลี่จิ้งเป็นน้องห้าของพี่สี่ชินอ๋องหลี่เฉิง...เรียกข้าว่าพี่ห้าเถิด” ชินอ๋องผลักอกน้อง
สีหน้าชินอ๋องดำทะมึน เขาโบกมือห้ามเหล่าองครักษ์ที่ติดตามมาและเจียงจ้านที่กำลังจะโดดลงไปในน้ำเพื่อช่วยเหลือจ้าวชิงเฟิง “ไม่ต้อง” เพราะเห็นว่าคุณชายว่ายน้ำเป็น จ้าวชิงเฟิงพอลงมาในสระก็หยั่งเท้าดูความลึกของน้ำ พบว่าน้ำช่วงนี้ลึกแค่อกของเขาเท่านั้น จึงไม่ได้เป็นกังวลอะไรมากนัก รีบว่ายน้ำเข้าไปช่วยหญิงสาวที่อยู่ห่างออกไปสองจั้ง(1จั้ง=2.5เมตร)อย่างรวดเร็ว แต่แม่นางคนนั้นพอเจอคนก็เกาะหมับ เกือบทำให้คุณชายพลอยจมน้ำไปด้วย ดีที่คุณชายมีสติ จึงยืนมั่น แม้กระนั้นก็สำลักน้ำในสระเข้าไปสองสามอึก “แม่นางไม่ต้องกลัว น้ำตรงบริเวณนี้ไม่ลึกเท่าไรเพราะอยู่ใกล้ขอบสระ เจ้าเอาเท้าเหยียบพื้นสิ” นางส่ายหน้าพลางไอค่อกแค่กพลาง กอดคุณชายแน่นเนื้อตัวสั่นเทา เป็นครู่ค่อยกล่าวเสียงกระท่อนกระแท่น “ข้าขยะแขยงดินโคลนข้างใต้ยิ่งนัก” คุณชายได้แต่ถอนใจกล่าว “แม่นาง เจ้าต้องแข็งใจไว้...พวกเราจะได้เดินไปขึ้นฝั่ง” น้ำเสียงนุ่มนวล คนกล่าวก็งดงาม...นางจึงจำใจพยักหน้า ทั้งสองจึงเดินลุยโคลนมาขึ้นบันไดที่ขอบสระ ทันทีที่ขึ้นจากสระน้ำมา.
“แต่...” องครักษ์คนสนิทเอ่ยได้เพียงคำเดียว ก็ถูกอ๋องห้าแทรกขึ้น “เจ้าหุบปากไปเลย แล้วฟังข้า” จึงได้แต่ประสานมือน้อมกาย “ขอรับ” “คุณหนูเกาที่พลัดตกน้ำนางนั้นช่างโชคดียิ่งนัก ถูกคุณชายจ้าวชิงเฟิงทั้งโอบกอดทั้งประคองขึ้นจากน้ำ” อ๋องห้าสั่งต่ออย่างมีแผนการร้าย “จงไปปล่อยข่าว...คุณชายจ้าวชิงเฟิงผู้ช่วยคุณหนูเกาขึ้นจากสระน้ำนั้นพักอาศัยอยู่ในจวนชินอ๋อง แต่ปกปิดเรื่องที่เขาคือพระชายารองเอาไว้ ให้บอกไปว่าเขาเป็นญาติห่างๆ” “ทำเช่นนี้จะดีหรือท่านอ๋อง...คุณหนูเกาซิ่วจิ่นเป็นธิดาคนเดียวของมหาอำมาตย์เกาชง หากเรื่องราวแพร่งพรายออกไปว่าคุณหนูเกาตกน้ำแล้วถูกบุรุษช่วยขึ้นมา ความบริสุทธิ์ผุดผ่องของคุณหนูเกาก็ต้องแปดเปื้อน จะตบแต่งให้กับผู้ใดได้อีกขอรับ?” “ข้าถึงชี้ทางให้แม่สื่อวิ่งเข้าจวนชินอ๋องอย่างไรเล่า...ฮ่าๆๆ” หัวเราะพลางคลี่พัดโบกอย่างครึ้มอกครึ้มใจ กลับถึงจวน...คุณชายก็รีบอาบน้ำสระผมเปลี่ยนเสื้อผ้า พอออกจากห้องอาบน้ำ...เสี่ยวหงก็จัดการเช็ดผมหวีผมให้ ในขณะที่เสี่ยวชุ่ยยกชามน้ำขิงมาให้ดื่ม “ฟูเหรินเจ้าขา...ทำไมท่านถึงได้ตกน้ำละเจ้าคะ?
พระชายาตู้จินเหลียนจึงให้ตงเหมยจัดที่นั่งพักรอแก่แม่สื่ออีกห้องหนึ่ง เพื่อรอพบชินอ๋อง เมื่อชินอ๋องกลับจากประชุมในท้องพระโรง พอบ่าวที่คอยเป็นหูเป็นตาให้แก่พระชายามารายงานว่าชินอ๋องกลับมาถึงจวนแล้ว พระชายาก็รออีกสักพัก เพื่อให้เวลาชินอ๋องได้เปลี่ยนเสื้อผ้าและพักผ่อนสักเล็กน้อยก่อน จึงพาสาวใช้กับแม่สื่อมาขอเข้าพบชินอ๋อง ซึ่งชินอ๋องถึงแม้จะแปลกใจ แต่ก็ยอมให้พบที่ห้องโถงรับรอง เมื่อแม่สื่อถูกพาตัวเข้าไปยังห้องโถงรับรอง เห็นชินอ๋องที่สง่าองอาจนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน มีพระชายานั่งอยู่เบื้องขวาและชายหนุ่มอ่อนเยาว์งดงามนั่งอยู่เบื้องซ้าย ก็ลนลานคารวะจนเสียงกระดูกกระเดี้ยลั่นกรอบแกรบ “มีอะไร?” ชินอ๋องถามเสียงเรียบแต่กังวานเต็มเปี่ยมด้วยอำนาจ แม่สื่อรู้สึกถึงความกดดันอย่างมากมายมหาศาล ทว่านางยังคงทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถ “ข้าน้อยนำความน่ายินดีมาสู่จวนของท่านอ๋องเจ้าค่ะ...” แล้วนางก็สาธยายเรื่องมหาอำมาตย์เกาชงต้องการจะรับจ้าวชิงเฟิงเป็นบุตรเขยแต่งเข้าตระกูล รวมทั้งผลประโยชน์มากมายที่จ้าวชิงเฟิงจะได้รับเมื่อเข้าเป็นเขยสกุลเก
“เขาเป็นพระชายารองหรือ?” มหาอำมาตย์เกาชงกำถ้วยชาในมือเอาไว้แน่นยิ่งขึ้น... หลังจากเสร็จสิ้นการประชุมในท้องพระโรง ท่านมหาอำมาตย์ก็พบกับชินอ๋องหลี่เฉิงที่กำลังดักรอเขาอยู่ที่ประตูวัง ชินอ๋องบอกกับเขาว่ามีธุระสำคัญจะสนทนาด้วย และชวนเขามาสนทนากันที่หอสุราจุ้ยเซียนซึ่งมหาอำมาตย์เกาชงก็ตอบตกลง เพราะพอจะคาดเดาได้ว่าคงเป็นเรื่องของคุณชายจ้าวชิงเฟิงกับบุตรสาวของตน เมื่อต่างฝ่ายต่างขึ้นรถม้าของตนเอง ต่างก็ถอดเสื้อราชสำนักตัวนอกออกแล้วเปลี่ยนเป็นสวมใส่เสื้อลำลองทับเสื้อตัวกลางแทน พอมาถึงที่นัดหมาย...ชินอ๋องได้นั่งรออยู่ก่อนแล้วที่บนห้องชั้นสองของหอสุราจุ้ยเซียน ทั้งสองปิดประตูห้องสนทนากัน...ชินอ๋องเล่าเรื่องราวที่จ้าวชิงเฟิงช่วยคุณหนูเกาที่สระน้ำ ทั้งยังบอกถึงฐานะของจ้าวชิงเฟิงด้วย “ใช่แล้ว...ฟูเหรินของข้าร้อนใจจะช่วยคน จึงไม่คำนึงถึงว่าชายหญิงมิควรใกล้ชิดกัน...เรื่องนี้ข้าต้องขออภัยใต้เท้าเกาแทนเขาด้วย” “ท่านอ๋องกล่าวเกินไป ข้าน้อยมิกล้ารับ เพียงแต่...” มหาอำมาตย์เกาชงถอนหายใจยาว “ข้าน้อยมีบุตรสาวเพียงนางเดียว ชื่อเสียงของนางมีราคี
“ไม่ได้เรื่อง...คนชั้นต่ำจะอย่างไรก็ยังคงเป็นคนชั้นต่ำ!” หลังจากไล่คุณชายกำมะลออี้อันกลับไปแล้ว...พระชายาก็มานั่งอารมณ์บูด “แค่ท่านอ๋องถามคำถามง่ายๆ ก็ตอบไม่ได้...อีกาจะอย่างไรก็ยังคงเป็นอีกาวันยังค่ำ กลายเป็นนกยูงไปไม่ได้ฉันใด คนต่ำต้อยก็กลายเป็นสูงส่งไม่ได้ฉันนั้น” “พระชายาอย่าได้อารมณ์เสียไปเลยเจ้าค่ะ” ตงเหมยกล่าวเสียงอ่อนหวาน “มิเช่นนั้นบ่าวก็ไม่กล้ารายงานข่าวคราวที่ได้รู้ได้เห็นมาแก่พระชายาหรอกนะเจ้าคะ” “เจ้ารู้เจ้าเห็นอะไรมา?” พระชายาถามเสียงห้วน “วันนี้บ่าวทาสทุกคนล้วนได้รับขนมมงคลกับเงินขวัญถุงคนละสี่ตำลึงทอง” นางล้วงถุงใส่ทองคำที่ทำด้วยผ้าสีแดงใบเล็กออกมาจากที่เหน็บเอาไว้ในผ้าคาดเอวออกมาวางบนโต๊ะอย่างเบามือตรงหน้าพระชายา “บ่าวก็ได้รับมาเช่นกันเจ้าค่ะ” พระชายาใช้มือปัดถุงผ้าสีแดงตกพื้น “ทำถึงขนาดนี้...ท่านอ๋องไม่ไว้หน้าข้าเลยสักนิด” หอบหายใจอย่างรุนแรง “แล้วเรื่องภายนอกจวนเป็นอย่างไรบ้าง?” “บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ” ตงเหมยตอบตามตรง...นางเป็นสาวใช้ในตำหนัก ไม่ได้ออกจากจวนแม้แต่ก้าวเดียว หากมิได้ติด
“แม่นาง...เจ้าคงเข้าผิดห้อง” จ้าวชิงเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ไม่ผิด” นางตอบเสียงหวาน “หากห้องนี้คือห้องพักของท่านเจ้าบ้านหลี่” พลางทอดสายตาหวานหยาดเยิ้มให้แก่หลี่เฉิง จ้าวชิงเฟิงรู้สึกว่า...ตนคงพูดอะไรไม่ได้ เพราะคนที่นางมาหาไม่ใช่ตน “เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องอันใด?” นายท่านหลี่ถามเสียงเรียบๆ “มาทำความรู้จัก” นางตอบแล้วยิ้มหวาน “ข้าชื่อ...อินซวงซวง เป็นประมุขพรรคสุริยัน” “พรรคมาร” หลี่เฉิงเอ่ยขึ้น “นั่นเป็นชื่อที่พวกไร้มารยาทเรียกหา” นางกล่าวอย่างไม่พอใจ แล้วเปลี่ยนกลับมาอ่อนหวานว่า “ท่านเจ้าบ้านหลี่...ท่านน่าจะเชิญสหายของท่านผู้นี้ออกไปข้างนอกก่อน...พวกเราจะได้ทำความรู้จักกันให้ลึกซึ้ง” หลี่เฉิงมิได้กล่าวอะไร...เขาต้องการจะดูปฏิกิริยาของจ้าวชิงเฟิงว่าจะจัดการกับเรื่องเช่นนี้อย่างไรบ้าง อินซวงซวงเหลือบตามองจ้าวชิงเฟิงที่สวมหน้ากากผ้าแพรสีดำนิดหนึ่ง ก่อนจะออกปากว่า “คุณชาย สมควรจะรีบออกไปข้างนอกก่อนนะ!” “อ๊ะ...ข้า...” จ้าวชิงเฟิงลุกจากเตียงที่นั่งอยู่ จะเดินออกไปจากห้อง...หมูเขาจะหาม อย่าเ
ประมุขเฉินห้าวกับอาหลีจูงมือกันมายืนต่อหน้านายท่านหลี่และคุณชายจ้าว “พวกเราปรับความเข้าใจกันแล้ว” ประมุขเฉินห้าวเอ่ย “ข้ากับอาหลีจะแต่งงานกัน แต่คงต้องรอให้งานชุมนุมชาวยุทธที่เขาไท้ซานเสร็จสิ้นเสียก่อน” จ้าวชิงเฟิงยิ้ม แต่ยังอดถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้ว่า “อาหลี เจ้าฝืนใจหรือเปล่า?” อาหลีส่ายหน้า ทีท่าเขินอายยิ่งนัก “ถ้าเจ้ามิได้ฝืนใจ เกอเกอก็ยินดีด้วย” จ้าวชิงเฟิงแย้มยิ้มทั้งปากทั้งตา ดึงตัวอาหลีมากอดเอาไว้ เดือดร้อนนายท่านหลี่ต้องรีบจับแยก... ที่สำนักวัดไท้ซาน...พรรคต่างๆในยุทธภพต่างมารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียง ทั้งฝ่ายธรรมมะและฝ่ายอธรรม เพื่อคัดเลือกจ้าวยุทธภพที่สิบปีมีครั้งหนึ่งอย่างกระตือรือร้น พรรคฝ่ายธรรมมะประกอบด้วย... วัดไท้ซาน...ซึ่งได้ตำแหน่งผู้นำยุทธภพเมื่อสิบปีก่อน โดยฝีมือของเจ้าอาวาสต้าซือไร้ลักษณ์ ผู้มีหน้าตาใจดีมีเมตตา คิ้วเคราขาวโพลน แต่ดวงตากลับเปล่งประกายคมกล้าของยอดฝีมือชัดเจน ศิษย์ในวัดมีทั้งศิษย์ที่เป็นภิกษุและศิษย์ฆราวาส พรรคเทียนซาน...ซึ่งมาอย่างอวดโอ่ เพราะเจ้าสำนักเพิ่งสำเร็จวิชาเส
งานเลี้ยงดำเนินไปได้สักพัก...นายท่านหลี่ก็พาคุณชายจ้าวที่เริ่มเมานิดหน่อยกลับห้องพัก ส่วนละอ่อนอย่างอาหลีก็ถูกประมุขพรรคยาจกเฉินห้าวไล่ให้กลับห้องไปนอนก่อน เพราะเขาตั้งใจจะดวลสุรากับหัวหน้าราชองครักษ์อ๋าวไคทั้งคืน แต่ดื่มกันไปได้พักใหญ่...ประมุขพรรคยาจกเฉินห้าวก็เกิดนึกเป็นห่วงอาหลีขึ้นมา “ท่านอ๋าว...ข้าคงต้องขอตัวแค่นี้ก่อน” “อ้าว...ประมุขเฉิน ไหนท่านว่าจะดื่มกันยันฟ้าสว่างอย่างไรล่ะ” อ๋าวไคแย้ง “ข้าเป็นห่วงอาหลี เด็กน้อยคนนี้ปกติจะต้องให้ข้านั่งอยู่เป็นเพื่อนจึงจะนอนหลับ ป่านนี้จะนอนแล้วหรือยังก็ไม่รู้ ข้าจะไปดูเขาสักหน่อย” ประมุขเฉินตอบ “ถ้าเช่นนั้น...พวกเราก็พอแค่นี้แล้วกัน” อ๋าวไคเอ่ย “ข้าก็จะกลับห้องพัก...พวกเราไปทางเดียวกัน ไปกันเถิด” แล้วทั้งสองก็ลุกขึ้น เดินขึ้นชั้นบน ตรงไปยังห้องพักของอาหลีก่อน แต่พอเข้าใกล้...ทั้งสองก็มองหน้ากัน เพราะได้ยินเสียงผิดปกติ ประมุขเฉินห้าวจึงรีบกระแทกประตูห้องเปิดออกอย่างไม่รอช้า ภาพที่เห็น คือ...อาหลีถูกถอดเสื้อผ้าจนเปลือยเปล่า นอนบิดกายอยู่บนเตียง ที่หน้
หลังจากดูงิ้ว...เฉินกุ่ยปาดน้ำตาลวกๆ ขณะเดินเคียงคู่มากับจางจง ไปตามถนนที่เงียบสงัดเพราะดึกมากแล้ว “ท่านเฉิน ท่านร้องไห้ทุกครั้งที่ดูงิ้วนะหรือ?” จางจงอดถามไม่ได้ เพราะเห็นแม่ทัพรักษาเมืองตัวโตนั่งร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรขณะดูงิ้ว จนกระทั่งงิ้วแสดงจบ ออกมาจากโรงงิ้วแล้ว ก็ยังไม่หยุดร้องอีก เขาไม่ได้คิดเย้ยหยันหรอกนะว่า ผู้ชายที่ดูดุดันตัวโตราวตึกจะร้องไห้ไม่ได้ เพียงแต่แปลกใจว่า...ท่านแม่ทัพร่างใหญ่วัยฉกรรจ์จะมีมุมที่อ่อนไหวเช่นนี้ด้วย! “ขะ ข้าสงสารนางเอกที่ถูกสามีทอดทิ้งหนะ” เฉินกุ่ยอ้อมแอ้ม “งิ้วก็คือเรื่องแต่งเท่านั้นนะท่านเฉิน” “ข้ารู้” เฉินกุ่ยพยักหน้า “แต่ก็ทำให้ข้าคิดถึงตัวเองด้วยนะอาจง” “ท่านคิดสิ่งใดหรือ?” จางจงถาม เฉินกุ่ยสูดลมหายใจเต็มปอด ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วว่า “ข้าชอบคนคนหนึ่งอย่างมาก แต่ไม่รู้ว่า เขาจะชอบข้าบ้างหรือไม่?” “ท่านเป็นบุรุษที่พึ่งพาได้” จางจงกล่าวปลอบโยน “อีกทั้งมีเกียรติยศศักดิ์ฐานะสูงส่งขนาดนี้ แม่นางคนใดจะไม่ชอบท่านล่ะ?” “เขาเป็นบุรุษ!” “เอ๋...
สีหน้าเฉินกุ่ยผิดหวังตะลึงงัน หลี่เฉิงกล่าวด้วยเสียงเรียบๆว่า “มีที่ใด...เจ้าไม่เคยไปมาบ้าง จากเหนือจรดใต้ จากตะวันออกไปจนถึงตะวันตก เจ้าล้วนไปมาทั่วแล้ว” “ขะ คือ...มันไม่เหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ” เฉินกุ่ยเหงื่อตก “ไปอย่างนั้น มันไปธุระ...” “นี่ก็ไปธุระ” หลี่เฉิงนั้นรู้จุดประสงค์ของอีกฝ่ายดี แต่จะกลั่นแกล้งให้ต้องพูดออกมา “ธุระตอนนั้นมันไม่มี แต่ตอนนี้มี...” “มีอะไร?” “มี...” แม่ทัพร่างใหญ่ยกมือปาดเหงื่อที่หน้าผาก...รู้สึกว่า คำพูดที่อยู่ในอก ช่างพูดออกมายากเย็นนัก ยากกว่าการไปรบทัพจับศึกเสียอีก แต่เพื่อให้ได้ติดตามขบวนประพาสของฮ่องเต้ จึงทำใจให้สงบ สูดลมหายใจให้เต็มปอด และพูดอุบอิบว่า “มี...จางจง พ่ะย่ะค่ะ” แม้เสียงเบา แต่ฮ่องเต้กับคุณชายต่างได้ยิน ทำเอาคุณชายเกือบทำถ้วยชาหลุดมือ “อ่อ...” หลี่เฉิงพยักหน้า “เหตุผลพอฟังขึ้น ข้าอนุญาตให้เจ้าไปด้วยก็ได้ แต่เจ้าจะต้องไปปรึกษากับอ๋าวไคว่าจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรบ้างในการไปเที่ยวครั้งนี้”
พิเศษ 1 ศึกชิงจ้าวยุทธภพ อาหลีติดตามเฉินห้าวไปทุกที่ ตั้งแต่เหนือจรดใต้ ตะวันออกจรดตะวันตก จนวนกลับมายังเมืองหลวงต้าหนาน “ไม่รู้ว่าเกอเกอ(พี่ชาย)ฮองเฮา กับเจี่ยเจีย(พี่สาว)เซียงเซียงจะเป็นอย่างไรบ้าง?” อาหลีที่เดินตามประมุขเฉินต้อยๆ เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นหอสุราจุ้ยเซียนอยู่ตรงหน้า “เดี๋ยวเจ้าก็ได้รู้...” ประมุขเฉินกล่าว พลางพาอาหลีเข้าไปในหอสุรา และขึ้นบันไดไปบนชั้นสอง ที่ห้องพิเศษบนชั้นสอง...ฮ่องเต้หลี่เฉิงกับ ฮองเฮาจ้าวชิงเฟิง นั่งรออยู่ แต่ผู้ที่ทำให้ประมุขเฉินผิดคาดหมายเล็กน้อยคือ...หลวงจีนลืมชื่อ ภิกษุชราผู้มีร่องรอยลี้ลับหาตัวพบยากนักหนา กำลังคีบเนื้อแพะตุ๋นน้ำแดงเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย ประมุขพรรคยาจกประสานมือค้อมศีรษะให้ฮ่องเต้เป็นอันดับแรก “ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” “ไม่ต้องมากพิธี” ฮ่องเต้ตรัส “อยู่ข้างนอกพระราชวัง ประมุขเฉินอย่าได้ใช้พิธีรีตองในวังกับข้า เรียกข้าว่าเจ้าบ้านหลี่ก็พอ ข้าจะใช้ชื่อในการท่องเที่ยวข้างนอกนี้ว่า ‘หลี่ฉือ’ ส่วนฟูเหรินของข้าจะใช้ชื่อว่า คุณชายจ้าวเฟิง”
จ้าวชิงเฟิงตกใจ ถามว่า “ท่านอ๋อง ท่านเป็นอะไร?” “ข้าเจ็บแผล” ชินอ๋องทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ซ้ำยังทำตัวงอด้วย “อ่า...ประสกท่านอ๋อง” หลวงจีนลืมชื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ก็เห็นชินอ๋องขยิบตาให้ อืม...อาตมาเข้าใจ “ประสกท่านอ๋องต้องเปลี่ยนยาแล้ว ประสกพระชายาช่วยประคองประสกท่านอ๋องไปที่ห้องนอนหน่อยเถิด” จ้าวชิงเฟิงประคองร่างสูงใหญ่กำยำอย่างระมัดระวัง ให้เดินกลับห้องนอนใหญ่ ไปนั่งลงบนเตียงนอน และช่วยถอดเสื้อออกให้ หลวงจีนลืมชื่อเอาผ้าพันแผลออกเพื่อเปลี่ยนยาที่หน้าอกของชินอ๋อง จ้าวชิงเฟิงเห็นบาดแผลแล้วอดรู้สึกเจ็บแทนไม่ได้ “ท่านอ๋อง...ทีหลังโปรดอย่าได้ทำอย่างนี้อีก” “ถูกต้อง...” หลวงจีนลืมชื่อเอ่ยเสริม “อีกแค่ครึ่งชุ่น(ครึ่งนิ้ว) ประสกท่านอ๋องก็ต้องกลับสวรรค์ไปแล้ว” ว่าพลางเปลี่ยนยาพลาง “เจ็บมากแน่ๆ” จ้าวชิงเฟิงเอ่ยเสียงเบา “ฟูเหริน...เจ้าจูบข้าทีสิ” ชินอ๋องกล่าวพลางทำสีหน้าเจ็บปวด “ข้าจะได้รู้สึกเจ็บน้อยลงหน่อย” “อ่า...อมิตตาภพุทธ อย่าลืมว่ายังมีอาตมาอยู่ตรงนี้ด้วย”** วันต่อมา...
ฮ่องเต้แกะผ้าแพรที่มัดข้อมือทั้งสองข้างของจ้าวชิงเฟิงไว้กับเสาของพระแท่นบรรทมออก แล้วรวบจับข้อมือทั้งสองของร่างบอบบางด้วยมือข้างเดียว จะฉุดลากให้หนีออกไปด้วยกัน ทันใด...ปัง ! ประตูห้องบรรทมถูกถีบเปิดออก ฮ่องเต้รีบคว้าตัวจ้าวชิงเฟิงมารัดด้วยแขนข้างซ้าย มือขวาจับลำคอเล็กเอาไว้แน่น ร่างของจ้าวชิงเฟิงจึงพิงอยู่กับร่างของฮ่องเต้ ผู้ที่ถีบประตูเข้ามาคือชินอ๋องที่มีสภาพเปื้อนเลือดไปทั่วร่าง “หยุดอยู่ตรงนั้นหลี่เฉิง มิเช่นนั้นเราจะหักคอพระชายาเสีย” ชินอ๋องยืนนิ่งอยู่กับที่ “หลี่เจา เจ้าปล่อยฟูเหรินของข้า ข้าจะปล่อยเจ้าไป” “ฮะๆๆๆ...เดี๋ยวนี้แม้แต่คำว่าฝ่าบาท เจ้าก็ยังไม่เรียกเราแล้วหรือ?” “เจ้าไม่สมควรเป็นฮ่องเต้...เจ้าฆ่าพี่รองและฆ่าเสด็จพ่อ” “ก็ใครใช้ให้เสด็จพ่อคิดจะแต่งตั้งหลี่เฉาเป็นรัชทายาทเล่า ทั้งๆ ที่เสด็จแม่ของข้ามีตำแหน่งสูงกว่าแม่ของพวกเจ้า แต่เสด็จพ่อกลับรักแต่หลี่เฉา ไม่เห็นหัวหลี่เจาคนนี้ พอหลี่เฉาตาย เสด็จพ่อก็เศร้าโศกจนล้มป่วย ข้าก็เลยถวายยาพิษให้เสด็จได้ตามไปพบกับหลี่เฉาอย่างไรล่ะ” ฮ่องเต้ต
ที่จวนชินอ๋อง... ขันทีที่ถ่ายทอดราชโองการ ขานเสียงดังว่า “ฮ่องเต้มีพระราชโองการ...” แต่กลับไม่มีใครคุกเข่าลงรับราชโองการสักคนเดียว ก็เอ่ยต่อเสียงดังๆ ว่า “คุกเข่ารับราชโองการ” เสี่ยวหู่กำลังอารมณ์มืดมนถึงขีดสุด ก็เข้าไปกระชากคอเสื้อของขันที “พูดมา...มีอะไรก็รีบพูดออกมา ถ้ายังไม่อยากตาย!” “ทะ ท่านอ๋อง” ขันทีตาเหลือก ทหารที่คุ้มกันล้วนถูกดาบพาดคอ ขันทีเหลือบซ้ายแลขวาแล้ว ไม่กล้าพูดคำว่า...จะเป็นขบถหรือ...ออกมา ที่เคยใช้อำนาจข่มเหงคนอื่นๆ ล้วนรีบกล้ำกลืนเอาไว้ พูดตะกุกตะกักว่า “ฮ่องเต้ทรงให้นำมีดเล่มนี้มาให้ท่านอ๋อง” แล้วส่งมีดพกที่จ้าวชิงเฟิงเอาออกมาแทงฮ่องเต้ให้ เสี่ยวหู่รับมีดมาส่งต่อให้ชินอ๋อง ชินอ๋องรับมาดูแล้วกล่าว “ใช่...มีดเล่มนี้ข้าให้ฟูเหรินพกติดตัวไว้” “มีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?” เสี่ยวหู่ตะคอกขันที “ฝะ ฝ่าบาทรับสั่งว่า พระชายาสบายดี หากท่านอ๋องอยากพบพระชายา ให้เข้าวังโดยเร็ว กะ ก่อนที่ ขะ ข้าวสารจะกลายเป็น...ข้าวสุก” “มีอีกหรือไม่?” ชินอ๋องถามเสียงเรียบๆ