“ข้าควักหัวใจของเจ้าออกมาดีหรือไม่ จะได้ไม่เจ็บ?”
พร้อมกับเสียงที่ดังขึ้นแทรก...มือแข็งแรงของชินอ๋องหลี่เฉิงก็คว้าหมับที่ข้อมือของบุรุษร่างสูงและออกแรงบีบ
“โอ๊ย...” คนถูกบีบข้อมือร้องเบาๆ แล้วปล่อยมือของคุณชายให้เป็นอิสระ “พี่สี่ ท่านจะมาขัดขวางความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของข้าทำไม...ข้ากำลังทำความรู้จักกับคุณชายน้อยน่ารักคนนี้อยู่”
ชินอ๋องจับต้นแขนคุณชาย แล้วดึงตัวให้ไปหลบอยู่ด้านหลังของตน
“หลี่จิ้ง คนที่เจ้ากำลังทำรุ่มร่ามด้วย เป็นฟูเหรินของข้า เป็นพี่สะใภ้ของเจ้า” เสียงชินอ๋องเข่นเขี้ยว
“พี่สะใภ้?” หลี่จิ้งทำหน้าฉงน ยกพัดด้ามจิ้วที่หุบอยู่ขึ้นแตะคางเล่นเบาๆ “มิใช่พระชายาตู้จินเหลียนหรอกหรือ?”
“เขาคือพระชายารองจ้าวชิงเฟิง” ชินอ๋องเอ่ยอย่างตัดรำคาญ
แต่หลี่จิ้งกลับอ้อมชินอ๋องมากระแซะอีกข้างของคุณชาย ยกมือประสาน
“ยินดีที่ได้รู้จักน้องชิงเฟิง”
“พี่สะใภ้!” ชินอ๋องเน้นคำ
แต่อีกฝ่ายไม่สนใจ คลี่พัดโบกลมให้ตนเอง พลางแนะนำตัว “ข้าหลี่จิ้งเป็นน้องห้าของพี่สี่ชินอ๋องหลี่เฉิง...เรียกข้าว่าพี่ห้าเถิด”
ชินอ๋องผลักอกน้องชายให้ถอยห่างจากคุณชาย “เจ้ามีธุระอะไรก็ไปทำซะ ข้าจะไปแล้ว” แล้วจูงมือคุณชายเดินจากไป
“อย่าลืมน้าน้องชิงเฟิง ข้าพี่ห้าหลี่จิ้ง”
เสียงอ๋องห้าตะโกนไล่หลัง
*
*
นั่งรถม้าต่ออีกราวสามเค่อ(สี่สิบห้านาที)ก็ถึงสวนป่ากุ้ยหลินที่กำลังจัดเทศกาลชมดอกไม้ซึ่งกำลังเบ่งบานไปทั่วสวน ที่โดดเด่นที่สุดก็คือดอกโบตั๋นซึ่งมีหลากสีหลายพันธุ์แลดูละลานตา
นอกจากดอกไม้แล้ว สวนป่าแห่งนี้ยังปลูกต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาเป็นระยะๆ
สายลมเอื่อยๆ พัดพลิ้ว
กลิ่นหอมของดอกไม้ผสมผสานกลิ่นสดชื่นของต้นไม้ใบหญ้า เรียกรอยยิ้มจางๆ ปรากฏบนดวงหน้างดงามอ่อนเยาว์ของจ้าวชิงเฟิง
ชินอ๋องมองคนเคียงข้างอย่างพอใจ ยกแขนเสื้อขึ้นซับเหงื่อเม็ดเล็กๆ บนหน้าผากมน
“เหนื่อยหรือไม่?”
“ไม่ขอรับ”
“อย่าเอาแต่เที่ยวเล่น ถึงเวลาดื่มยาของเจ้าแล้ว...เจียงจ้านจัดเตรียมที่นั่งพักให้แล้วที่เก๋งริมสระน้ำ”
แล้วชินอ๋องก็จูงมือคุณชายไปยังเก๋งริมสระน้ำ ซึ่งจัดเตรียมโต๊ะเก้าอี้ไว้เรียบร้อย
พอคุณชายนั่งลง เจียงกงกงก็ยกชามยามาให้ดื่ม เขากล้ำกลืนดื่มยาที่แสนขมนั้นอย่างไม่เกี่ยงงอน พอยาหมดชาม ท่านอ๋องก็ป้อนพุทราเชื่อมเข้าปากของเขาทันที
“น้องชิงเฟิง” เสียงอ๋องห้าดังมาแต่ไกล เพียงประเดี๋ยวเดียวก็มาเสนอหน้าที่เก๋งพักร้อนแห่งนี้ “พี่ห้าเดินตามหาเจ้าเสียจนทั่ว ที่แท้มาอยู่ตรงนี้นี่เอง”
“มาทำไม?” ทั้งน้ำเสียงทั้งสีหน้าของชินอ๋องไม่ต้อนรับ
แต่อ๋องห้าไม่สนใจ พาตัวเองเข้ามาในเก๋งอย่างไม่ต้องเชื้อเชิญ แถมท้ายด้วยการหันไปสั่งว่า “เจียงกงกง เก้าอี้ข้าล่ะ?”
เจียงจ้านยังไม่ทันตอบว่าอะไร ชินอ๋องก็ตอบเสียงขุ่นว่า
“ไม่มี”
“อ๋า...พี่สี่ ท่านพูดเช่นนี้ได้อย่างไรกัน จะอย่างไรข้าก็เป็นแขกของท่าน ท่านต้อนรับแขกเช่นนี้ใช้ได้หรือ?” ว่าพลางยืดอกโบกพัดมาดกวน
“เวลานี้ข้าไม่ต้อนรับแขก” สีหน้าชินอ๋องเย็นชาราวฉาบด้วยน้ำแข็ง “เจียงจ้านส่งแขก”
“ช้าก่อนพี่สี่...ข้ามีธุระสำคัญกับท่านจริงๆ นะ” อ๋องห้าชิงพูดพลางยกมือห้ามเจียงจ้านที่เตรียมจะขยับตัว
ชินอ๋องจึงโบกมือให้เจียงจ้าน
เจียงกงกงก็ถอยหลังไปสามก้าว
“มีอะไรก็รีบพูดมา พูดเสร็จแล้วก็รีบไปซะ” ชินอ๋องรินน้ำชาสองถ้วย ถ้วยหนึ่งเลื่อนไปตรงหน้าคุณชาย อีกถ้วยหนึ่งยกขึ้นดื่มเอง
“เฮ้ออออ...ข้ารึอุตส่าห์เป็นคนดี” อ๋องห้าถอนหายใจยาวโบกพัดไปรำพึงรำพันไป “รับฝากข่าวมาจากผู้อื่น”
“ใคร?...ไม่ต้องพิรี้พิไร”
“แม่นางเฟยเฟยแห่งหอหอมบุปผาคิดถึงท่านจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ซูบผอมตรอมตรม ฝากข้ามาบอกข่าวแก่ท่าน ขอให้ท่านไปเยี่ยมเยียนนางโดยเร็ว” อ๋องห้าปากพูดไป ตาก็จ้องมองคุณชายไป...เห็นคุณชายสีหน้าไม่เปลี่ยน ซ้ำยังไม่มีปฏิกิริยาใด
“แค่นี้” ชินอ๋องเสียงห้วน
“อะไร...ท่านว่าไม่สำคัญหรือ?” อ๋องห้าทำตาโต พูดเป็นชุด “แม่นางเฟยเฟยเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งหอหอมบุปผาเชียวนะ ใช่ว่าใครอยากจะเชยชมก็จะสามารถเชยชมได้ ต่อให้เอาทองคำน้ำหนักเท่าตัวนางมากองไว้ตรงหน้านาง ก็อย่าได้หวัง แต่ท่านได้เชยชมนางสมใจแล้วกลับจะทอดทิ้งหรือ?...ช่างไม่เป็นธรรม ช่างไม่เป็นธรรม!”
“หลี่จิ้ง!” ชินอ๋องตวาด “ไสหัวไป”
“ได้ ได้...ข้าไป”
ว่าแล้วอ๋องห้าก็เดินจากไปอย่างสบายอารมณ์
ชินอ๋องมองคุณชายที่นั่งนิ่งเงียบมาตลอด ก่อนจะถามหยั่งเชิงด้วยน้ำเสียงอ่อนลงว่า “ฟูเหริน เจ้าจะไม่ถามอะไรข้าสักหน่อยหรือ?”
“จะให้ข้าถามอะไร?”
“อย่างเช่น...แม่นางเฟยเฟยเป็นผู้ใด?”
คุณชายมองสูงขึ้นมาให้สบตาชินอ๋องพอดี “นางเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งหอหอมบุปผามิใช่หรือ?”
น้ำเสียงเรียบๆ ของคุณชาย ทำเอาชินอ๋องพูดอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่ง
“ข้าแค่เคยไปหานางสองครั้ง”
“.....” แล้วมาบอกข้าทำไม?
“รับรองว่าจะไม่มีครั้งที่สามอย่างแน่นอน”
“.....” ก็แล้วแต่ท่าน
“ข้า...”
ท่านอ๋องยังไม่ทันพูดอะไรต่อ...เสียงเอะอะหลายเสียงก็ดังมาจากระเบียงคดที่ทอดตัวอยู่เหนือสระน้ำ
“ช่วยด้วยๆๆๆ คนตกน้ำ”
จ้าวชิงเฟิงผุดลุกขึ้นยืนทันที แล้วออกวิ่งไปยังต้นเสียงที่มีคนยืนออกันอยู่
เขาเห็นหญิงสาวนางหนึ่งดิ้นรนอยู่ในสระน้ำ ก็ปีนข้ามราวระเบียง แต่แขนเสื้อข้างหนึ่งถูกท่านอ๋องคว้าเอาไว้ก่อน รั้งตัวเขาให้ชะงักอยู่
“ลงมา” ท่านอ๋องสั่งเสียงเข้ม
“ช่วยด้วยๆๆ...” เสียงร้องของหญิงสาวในน้ำที่กำลังผุดๆ โผล่ๆ
จ้าวชิงเฟิงตัดสินใจกระชากแขนเสื้อของตัวเองเต็มแรง
แควก !
แขนเสื้อขาด
ตูม !
ตัวคุณชายร่วงหล่นลงไปในน้ำ
สีหน้าชินอ๋องดำทะมึน เขาโบกมือห้ามเหล่าองครักษ์ที่ติดตามมาและเจียงจ้านที่กำลังจะโดดลงไปในน้ำเพื่อช่วยเหลือจ้าวชิงเฟิง “ไม่ต้อง” เพราะเห็นว่าคุณชายว่ายน้ำเป็น จ้าวชิงเฟิงพอลงมาในสระก็หยั่งเท้าดูความลึกของน้ำ พบว่าน้ำช่วงนี้ลึกแค่อกของเขาเท่านั้น จึงไม่ได้เป็นกังวลอะไรมากนัก รีบว่ายน้ำเข้าไปช่วยหญิงสาวที่อยู่ห่างออกไปสองจั้ง(1จั้ง=2.5เมตร)อย่างรวดเร็ว แต่แม่นางคนนั้นพอเจอคนก็เกาะหมับ เกือบทำให้คุณชายพลอยจมน้ำไปด้วย ดีที่คุณชายมีสติ จึงยืนมั่น แม้กระนั้นก็สำลักน้ำในสระเข้าไปสองสามอึก “แม่นางไม่ต้องกลัว น้ำตรงบริเวณนี้ไม่ลึกเท่าไรเพราะอยู่ใกล้ขอบสระ เจ้าเอาเท้าเหยียบพื้นสิ” นางส่ายหน้าพลางไอค่อกแค่กพลาง กอดคุณชายแน่นเนื้อตัวสั่นเทา เป็นครู่ค่อยกล่าวเสียงกระท่อนกระแท่น “ข้าขยะแขยงดินโคลนข้างใต้ยิ่งนัก” คุณชายได้แต่ถอนใจกล่าว “แม่นาง เจ้าต้องแข็งใจไว้...พวกเราจะได้เดินไปขึ้นฝั่ง” น้ำเสียงนุ่มนวล คนกล่าวก็งดงาม...นางจึงจำใจพยักหน้า ทั้งสองจึงเดินลุยโคลนมาขึ้นบันไดที่ขอบสระ ทันทีที่ขึ้นจากสระน้ำมา.
“แต่...” องครักษ์คนสนิทเอ่ยได้เพียงคำเดียว ก็ถูกอ๋องห้าแทรกขึ้น “เจ้าหุบปากไปเลย แล้วฟังข้า” จึงได้แต่ประสานมือน้อมกาย “ขอรับ” “คุณหนูเกาที่พลัดตกน้ำนางนั้นช่างโชคดียิ่งนัก ถูกคุณชายจ้าวชิงเฟิงทั้งโอบกอดทั้งประคองขึ้นจากน้ำ” อ๋องห้าสั่งต่ออย่างมีแผนการร้าย “จงไปปล่อยข่าว...คุณชายจ้าวชิงเฟิงผู้ช่วยคุณหนูเกาขึ้นจากสระน้ำนั้นพักอาศัยอยู่ในจวนชินอ๋อง แต่ปกปิดเรื่องที่เขาคือพระชายารองเอาไว้ ให้บอกไปว่าเขาเป็นญาติห่างๆ” “ทำเช่นนี้จะดีหรือท่านอ๋อง...คุณหนูเกาซิ่วจิ่นเป็นธิดาคนเดียวของมหาอำมาตย์เกาชง หากเรื่องราวแพร่งพรายออกไปว่าคุณหนูเกาตกน้ำแล้วถูกบุรุษช่วยขึ้นมา ความบริสุทธิ์ผุดผ่องของคุณหนูเกาก็ต้องแปดเปื้อน จะตบแต่งให้กับผู้ใดได้อีกขอรับ?” “ข้าถึงชี้ทางให้แม่สื่อวิ่งเข้าจวนชินอ๋องอย่างไรเล่า...ฮ่าๆๆ” หัวเราะพลางคลี่พัดโบกอย่างครึ้มอกครึ้มใจ กลับถึงจวน...คุณชายก็รีบอาบน้ำสระผมเปลี่ยนเสื้อผ้า พอออกจากห้องอาบน้ำ...เสี่ยวหงก็จัดการเช็ดผมหวีผมให้ ในขณะที่เสี่ยวชุ่ยยกชามน้ำขิงมาให้ดื่ม “ฟูเหรินเจ้าขา...ทำไมท่านถึงได้ตกน้ำละเจ้าคะ?
พระชายาตู้จินเหลียนจึงให้ตงเหมยจัดที่นั่งพักรอแก่แม่สื่ออีกห้องหนึ่ง เพื่อรอพบชินอ๋อง เมื่อชินอ๋องกลับจากประชุมในท้องพระโรง พอบ่าวที่คอยเป็นหูเป็นตาให้แก่พระชายามารายงานว่าชินอ๋องกลับมาถึงจวนแล้ว พระชายาก็รออีกสักพัก เพื่อให้เวลาชินอ๋องได้เปลี่ยนเสื้อผ้าและพักผ่อนสักเล็กน้อยก่อน จึงพาสาวใช้กับแม่สื่อมาขอเข้าพบชินอ๋อง ซึ่งชินอ๋องถึงแม้จะแปลกใจ แต่ก็ยอมให้พบที่ห้องโถงรับรอง เมื่อแม่สื่อถูกพาตัวเข้าไปยังห้องโถงรับรอง เห็นชินอ๋องที่สง่าองอาจนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน มีพระชายานั่งอยู่เบื้องขวาและชายหนุ่มอ่อนเยาว์งดงามนั่งอยู่เบื้องซ้าย ก็ลนลานคารวะจนเสียงกระดูกกระเดี้ยลั่นกรอบแกรบ “มีอะไร?” ชินอ๋องถามเสียงเรียบแต่กังวานเต็มเปี่ยมด้วยอำนาจ แม่สื่อรู้สึกถึงความกดดันอย่างมากมายมหาศาล ทว่านางยังคงทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถ “ข้าน้อยนำความน่ายินดีมาสู่จวนของท่านอ๋องเจ้าค่ะ...” แล้วนางก็สาธยายเรื่องมหาอำมาตย์เกาชงต้องการจะรับจ้าวชิงเฟิงเป็นบุตรเขยแต่งเข้าตระกูล รวมทั้งผลประโยชน์มากมายที่จ้าวชิงเฟิงจะได้รับเมื่อเข้าเป็นเขยสกุลเก
“เขาเป็นพระชายารองหรือ?” มหาอำมาตย์เกาชงกำถ้วยชาในมือเอาไว้แน่นยิ่งขึ้น... หลังจากเสร็จสิ้นการประชุมในท้องพระโรง ท่านมหาอำมาตย์ก็พบกับชินอ๋องหลี่เฉิงที่กำลังดักรอเขาอยู่ที่ประตูวัง ชินอ๋องบอกกับเขาว่ามีธุระสำคัญจะสนทนาด้วย และชวนเขามาสนทนากันที่หอสุราจุ้ยเซียนซึ่งมหาอำมาตย์เกาชงก็ตอบตกลง เพราะพอจะคาดเดาได้ว่าคงเป็นเรื่องของคุณชายจ้าวชิงเฟิงกับบุตรสาวของตน เมื่อต่างฝ่ายต่างขึ้นรถม้าของตนเอง ต่างก็ถอดเสื้อราชสำนักตัวนอกออกแล้วเปลี่ยนเป็นสวมใส่เสื้อลำลองทับเสื้อตัวกลางแทน พอมาถึงที่นัดหมาย...ชินอ๋องได้นั่งรออยู่ก่อนแล้วที่บนห้องชั้นสองของหอสุราจุ้ยเซียน ทั้งสองปิดประตูห้องสนทนากัน...ชินอ๋องเล่าเรื่องราวที่จ้าวชิงเฟิงช่วยคุณหนูเกาที่สระน้ำ ทั้งยังบอกถึงฐานะของจ้าวชิงเฟิงด้วย “ใช่แล้ว...ฟูเหรินของข้าร้อนใจจะช่วยคน จึงไม่คำนึงถึงว่าชายหญิงมิควรใกล้ชิดกัน...เรื่องนี้ข้าต้องขออภัยใต้เท้าเกาแทนเขาด้วย” “ท่านอ๋องกล่าวเกินไป ข้าน้อยมิกล้ารับ เพียงแต่...” มหาอำมาตย์เกาชงถอนหายใจยาว “ข้าน้อยมีบุตรสาวเพียงนางเดียว ชื่อเสียงของนางมีราคี
“ไม่ได้เรื่อง...คนชั้นต่ำจะอย่างไรก็ยังคงเป็นคนชั้นต่ำ!” หลังจากไล่คุณชายกำมะลออี้อันกลับไปแล้ว...พระชายาก็มานั่งอารมณ์บูด “แค่ท่านอ๋องถามคำถามง่ายๆ ก็ตอบไม่ได้...อีกาจะอย่างไรก็ยังคงเป็นอีกาวันยังค่ำ กลายเป็นนกยูงไปไม่ได้ฉันใด คนต่ำต้อยก็กลายเป็นสูงส่งไม่ได้ฉันนั้น” “พระชายาอย่าได้อารมณ์เสียไปเลยเจ้าค่ะ” ตงเหมยกล่าวเสียงอ่อนหวาน “มิเช่นนั้นบ่าวก็ไม่กล้ารายงานข่าวคราวที่ได้รู้ได้เห็นมาแก่พระชายาหรอกนะเจ้าคะ” “เจ้ารู้เจ้าเห็นอะไรมา?” พระชายาถามเสียงห้วน “วันนี้บ่าวทาสทุกคนล้วนได้รับขนมมงคลกับเงินขวัญถุงคนละสี่ตำลึงทอง” นางล้วงถุงใส่ทองคำที่ทำด้วยผ้าสีแดงใบเล็กออกมาจากที่เหน็บเอาไว้ในผ้าคาดเอวออกมาวางบนโต๊ะอย่างเบามือตรงหน้าพระชายา “บ่าวก็ได้รับมาเช่นกันเจ้าค่ะ” พระชายาใช้มือปัดถุงผ้าสีแดงตกพื้น “ทำถึงขนาดนี้...ท่านอ๋องไม่ไว้หน้าข้าเลยสักนิด” หอบหายใจอย่างรุนแรง “แล้วเรื่องภายนอกจวนเป็นอย่างไรบ้าง?” “บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ” ตงเหมยตอบตามตรง...นางเป็นสาวใช้ในตำหนัก ไม่ได้ออกจากจวนแม้แต่ก้าวเดียว หากมิได้ติด
วันรุ่งขึ้น เวลาสาย... เจ้าหน้าที่จากศาลอาญาสองนายมาขอพบจ้าวชิงเฟิง...คุณชายก็ให้พบที่ห้องโถงรับรอง...เจ้าหน้าที่แจ้งให้คุณชายทราบว่า มหาอำมาตย์เกาชงฟ้องร้องคุณชายว่า ไร้คุณธรรม ให้คุณชายไปรับฟังข้อกล่าวหาที่ศาลเดี๋ยวนี้ “ไม่ได้” จางจงแย้งขึ้นเสียงดัง “ท่านอ๋องยังไม่กลับจากไปประชุมที่ท้องพระโรง ต้องรอท่านอ๋องกลับมาก่อน ค่อยให้ท่านอ๋องตัดสินใจ” “ถูกต้อง” เสียงเจื้อยแจ้วของเสี่ยวชุ่ยสนับสนุน “อยู่ๆ จะมาจับฟูเหรินของพวกเราอย่างนี้ไม่ได้” “ขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ถือว่ามีความผิด” เจ้าหน้าที่นายหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันดัง “เจ้าจะมาเสียงดังข่มขู่ผู้ใดกัน ที่นี่จวนชินอ๋อง...” เสียงของเสี่ยวหงก็ดังไม่น้อยไปกว่า แต่ถูกคุณชายห้าม “หยุด...อย่าได้ทะเลาะกัน” “ฟูเหรินเจ้าขา...” สองสาวใช้พากันส่งเสียง “หยุด” คุณชายสำทับเสียงหนักๆ “พวกเจ้าจะไม่เชื่อฟังข้าแล้วหรือ?” “มิกล้าเจ้าค่ะ” สองสาวเสียงอ่อย เจ้าหน้าที่อีกนายมีไหวพริบดี เขาประสานมือคำนับคุณชาย แล้วว่า “ฟูเหริน...พวกข้าน้อยเป็นผู้น้อยได้แต่ทำตามคำสั่ง ท่า
ชินอ๋องกุมมือข้างหนึ่งของจ้าวชิงเฟิงเอาไว้ไม่ปล่อย รับรู้ได้ถึงอาการสั่นน้อยๆ ของมือเรียวงามในอุ้งมือ เขาเหลือบมองหน้าคุณชาย เห็นสีหน้าย่ำแย่ยิ่งนัก จึงรู้สึกทั้งโกรธทั้งหงุดหงิด ถามคู่กรณีไปตรงๆ ว่า “ท่านมหาอำมาตย์...ท่านมาฟ้องร้องครั้งนี้ต้องการอะไร?” มหาอำมาตย์เกาชงสูดลมหายใจลึกๆ กล่าวว่า “ขอความเป็นธรรมให้กับบุตรสาว จิ่นเอ๋อร์ตายอย่างน่าอนาถ ข้าน้อยไม่อาจปล่อยให้นางตายตาไม่หลับได้ ดังนั้นข้าน้อยจึงบังอาจขอร้องท่านอ๋องให้อนุญาตให้คุณชายจ้าวชิงเฟิงแต่งงานกับป้ายวิญญาณของจิ่นเอ๋อร์ขอรับ” สีหน้าชินอ๋องดำทะมึน...เจ้าเฒ่าหัวรั้นนี่แสนน่าชังนัก ชินอ๋องคิดจะพาคุณชายกลับจวนซะเดี๋ยวนั้น...ไม่สนใจเรื่องบ้าบอคอแตกอะไรนี่แล้ว แต่ทว่าจ้าวชิงเฟิงกลับเอ่ยขึ้นเสียก่อนว่า “ข้ารับปาก” “ข้าไม่อนุญาต” ชินอ๋องแย้งสวนขึ้นทันที “ท่านอ๋องได้โปรดอนุญาตเถิดขอรับ” จ้าวชิงเฟิงเอ่ยขอร้อง “ข้าติดค้างคุณหนูเกาซิ่วจิ่นและใต้เท้าเกามากมายนัก” ชินอ๋องมองสีหน้าซีดเซียวของคุณชาย แล้วได้แต่เค้นเสียงว่า “ตามใจเจ้า” แล้วหันไปทางมหาอำม
ชินอ๋องส่งขบวนเกี้ยวมารับเจ้าสาวที่จวนมหาอำมาตย์เกาชงตามสัญญา ฝ่ายมหาอำมาตย์ก็ให้เสี่ยวเตี๋ยสวมชุดเจ้าสาวสีแดงสดสวยงามอุ้มป้ายวิญญาณของคุณหนูเกาซิ่วจิ่นขึ้นเกี้ยว มีสินเดิมตามมาด้วยเป็นขบวนเหมือนแต่งบุตรสาวจริงๆ พอเกี้ยวเจ้าสาวมาถึงจวนชินอ๋อง แม่สื่อก็จูงเจ้าสาวไปที่เรือนของคุณชายที่ชินอ๋องยกให้ ทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดินและคำนับซึ่งกันและกันตามประเพณี แล้วให้ตั้งป้ายวิญญาณของคุณหนูเกาซิ่วจิ่นไว้ที่เรือนนั้น ส่วนคุณชายถูกชินอ๋องพาตัวกลับตำหนักใหญ่ในทันที ที่ตำหนักพระชายา... “ฮะๆๆ...” พระชายาส่งเสียงหัวเราะ “เรื่องน่าขายหน้าเช่นนี้ท่านอ๋องยังทนไหวหรือ...พระชายารองแต่งภรรยา ช่างน่าขันสิ้นดี คงเป็นที่ขบขันกันไปทั่วเมืองหลวงแล้วละมั้ง” อาซานที่มาเสนอหน้ากล่าวประจบประแจงว่า “จริงของพระชายาเจ้าค่ะ...นี่ก็เป็นที่ร่ำลือไปทั่วบ้านทั่วเมืองแล้วว่า จะเรียกจ้าวชิงเฟิงว่าอย่างไรดี จ้าวฟูเหรินหรือท่านเขยจ้าว?” แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากหัวเราะ “อย่ามัวแต่หัวเราะ” ตงเหมยที่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยเอ่ยขัดขึ้น “เรื่องที่พระชายาให้เจ้าไปทำล่ะ ไปถึงไหนแล้ว?” “อะ...อ้า...
“แม่นาง...เจ้าคงเข้าผิดห้อง” จ้าวชิงเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ไม่ผิด” นางตอบเสียงหวาน “หากห้องนี้คือห้องพักของท่านเจ้าบ้านหลี่” พลางทอดสายตาหวานหยาดเยิ้มให้แก่หลี่เฉิง จ้าวชิงเฟิงรู้สึกว่า...ตนคงพูดอะไรไม่ได้ เพราะคนที่นางมาหาไม่ใช่ตน “เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องอันใด?” นายท่านหลี่ถามเสียงเรียบๆ “มาทำความรู้จัก” นางตอบแล้วยิ้มหวาน “ข้าชื่อ...อินซวงซวง เป็นประมุขพรรคสุริยัน” “พรรคมาร” หลี่เฉิงเอ่ยขึ้น “นั่นเป็นชื่อที่พวกไร้มารยาทเรียกหา” นางกล่าวอย่างไม่พอใจ แล้วเปลี่ยนกลับมาอ่อนหวานว่า “ท่านเจ้าบ้านหลี่...ท่านน่าจะเชิญสหายของท่านผู้นี้ออกไปข้างนอกก่อน...พวกเราจะได้ทำความรู้จักกันให้ลึกซึ้ง” หลี่เฉิงมิได้กล่าวอะไร...เขาต้องการจะดูปฏิกิริยาของจ้าวชิงเฟิงว่าจะจัดการกับเรื่องเช่นนี้อย่างไรบ้าง อินซวงซวงเหลือบตามองจ้าวชิงเฟิงที่สวมหน้ากากผ้าแพรสีดำนิดหนึ่ง ก่อนจะออกปากว่า “คุณชาย สมควรจะรีบออกไปข้างนอกก่อนนะ!” “อ๊ะ...ข้า...” จ้าวชิงเฟิงลุกจากเตียงที่นั่งอยู่ จะเดินออกไปจากห้อง...หมูเขาจะหาม อย่าเ
ประมุขเฉินห้าวกับอาหลีจูงมือกันมายืนต่อหน้านายท่านหลี่และคุณชายจ้าว “พวกเราปรับความเข้าใจกันแล้ว” ประมุขเฉินห้าวเอ่ย “ข้ากับอาหลีจะแต่งงานกัน แต่คงต้องรอให้งานชุมนุมชาวยุทธที่เขาไท้ซานเสร็จสิ้นเสียก่อน” จ้าวชิงเฟิงยิ้ม แต่ยังอดถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้ว่า “อาหลี เจ้าฝืนใจหรือเปล่า?” อาหลีส่ายหน้า ทีท่าเขินอายยิ่งนัก “ถ้าเจ้ามิได้ฝืนใจ เกอเกอก็ยินดีด้วย” จ้าวชิงเฟิงแย้มยิ้มทั้งปากทั้งตา ดึงตัวอาหลีมากอดเอาไว้ เดือดร้อนนายท่านหลี่ต้องรีบจับแยก... ที่สำนักวัดไท้ซาน...พรรคต่างๆในยุทธภพต่างมารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียง ทั้งฝ่ายธรรมมะและฝ่ายอธรรม เพื่อคัดเลือกจ้าวยุทธภพที่สิบปีมีครั้งหนึ่งอย่างกระตือรือร้น พรรคฝ่ายธรรมมะประกอบด้วย... วัดไท้ซาน...ซึ่งได้ตำแหน่งผู้นำยุทธภพเมื่อสิบปีก่อน โดยฝีมือของเจ้าอาวาสต้าซือไร้ลักษณ์ ผู้มีหน้าตาใจดีมีเมตตา คิ้วเคราขาวโพลน แต่ดวงตากลับเปล่งประกายคมกล้าของยอดฝีมือชัดเจน ศิษย์ในวัดมีทั้งศิษย์ที่เป็นภิกษุและศิษย์ฆราวาส พรรคเทียนซาน...ซึ่งมาอย่างอวดโอ่ เพราะเจ้าสำนักเพิ่งสำเร็จวิชาเส
งานเลี้ยงดำเนินไปได้สักพัก...นายท่านหลี่ก็พาคุณชายจ้าวที่เริ่มเมานิดหน่อยกลับห้องพัก ส่วนละอ่อนอย่างอาหลีก็ถูกประมุขพรรคยาจกเฉินห้าวไล่ให้กลับห้องไปนอนก่อน เพราะเขาตั้งใจจะดวลสุรากับหัวหน้าราชองครักษ์อ๋าวไคทั้งคืน แต่ดื่มกันไปได้พักใหญ่...ประมุขพรรคยาจกเฉินห้าวก็เกิดนึกเป็นห่วงอาหลีขึ้นมา “ท่านอ๋าว...ข้าคงต้องขอตัวแค่นี้ก่อน” “อ้าว...ประมุขเฉิน ไหนท่านว่าจะดื่มกันยันฟ้าสว่างอย่างไรล่ะ” อ๋าวไคแย้ง “ข้าเป็นห่วงอาหลี เด็กน้อยคนนี้ปกติจะต้องให้ข้านั่งอยู่เป็นเพื่อนจึงจะนอนหลับ ป่านนี้จะนอนแล้วหรือยังก็ไม่รู้ ข้าจะไปดูเขาสักหน่อย” ประมุขเฉินตอบ “ถ้าเช่นนั้น...พวกเราก็พอแค่นี้แล้วกัน” อ๋าวไคเอ่ย “ข้าก็จะกลับห้องพัก...พวกเราไปทางเดียวกัน ไปกันเถิด” แล้วทั้งสองก็ลุกขึ้น เดินขึ้นชั้นบน ตรงไปยังห้องพักของอาหลีก่อน แต่พอเข้าใกล้...ทั้งสองก็มองหน้ากัน เพราะได้ยินเสียงผิดปกติ ประมุขเฉินห้าวจึงรีบกระแทกประตูห้องเปิดออกอย่างไม่รอช้า ภาพที่เห็น คือ...อาหลีถูกถอดเสื้อผ้าจนเปลือยเปล่า นอนบิดกายอยู่บนเตียง ที่หน้
หลังจากดูงิ้ว...เฉินกุ่ยปาดน้ำตาลวกๆ ขณะเดินเคียงคู่มากับจางจง ไปตามถนนที่เงียบสงัดเพราะดึกมากแล้ว “ท่านเฉิน ท่านร้องไห้ทุกครั้งที่ดูงิ้วนะหรือ?” จางจงอดถามไม่ได้ เพราะเห็นแม่ทัพรักษาเมืองตัวโตนั่งร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรขณะดูงิ้ว จนกระทั่งงิ้วแสดงจบ ออกมาจากโรงงิ้วแล้ว ก็ยังไม่หยุดร้องอีก เขาไม่ได้คิดเย้ยหยันหรอกนะว่า ผู้ชายที่ดูดุดันตัวโตราวตึกจะร้องไห้ไม่ได้ เพียงแต่แปลกใจว่า...ท่านแม่ทัพร่างใหญ่วัยฉกรรจ์จะมีมุมที่อ่อนไหวเช่นนี้ด้วย! “ขะ ข้าสงสารนางเอกที่ถูกสามีทอดทิ้งหนะ” เฉินกุ่ยอ้อมแอ้ม “งิ้วก็คือเรื่องแต่งเท่านั้นนะท่านเฉิน” “ข้ารู้” เฉินกุ่ยพยักหน้า “แต่ก็ทำให้ข้าคิดถึงตัวเองด้วยนะอาจง” “ท่านคิดสิ่งใดหรือ?” จางจงถาม เฉินกุ่ยสูดลมหายใจเต็มปอด ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วว่า “ข้าชอบคนคนหนึ่งอย่างมาก แต่ไม่รู้ว่า เขาจะชอบข้าบ้างหรือไม่?” “ท่านเป็นบุรุษที่พึ่งพาได้” จางจงกล่าวปลอบโยน “อีกทั้งมีเกียรติยศศักดิ์ฐานะสูงส่งขนาดนี้ แม่นางคนใดจะไม่ชอบท่านล่ะ?” “เขาเป็นบุรุษ!” “เอ๋...
สีหน้าเฉินกุ่ยผิดหวังตะลึงงัน หลี่เฉิงกล่าวด้วยเสียงเรียบๆว่า “มีที่ใด...เจ้าไม่เคยไปมาบ้าง จากเหนือจรดใต้ จากตะวันออกไปจนถึงตะวันตก เจ้าล้วนไปมาทั่วแล้ว” “ขะ คือ...มันไม่เหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ” เฉินกุ่ยเหงื่อตก “ไปอย่างนั้น มันไปธุระ...” “นี่ก็ไปธุระ” หลี่เฉิงนั้นรู้จุดประสงค์ของอีกฝ่ายดี แต่จะกลั่นแกล้งให้ต้องพูดออกมา “ธุระตอนนั้นมันไม่มี แต่ตอนนี้มี...” “มีอะไร?” “มี...” แม่ทัพร่างใหญ่ยกมือปาดเหงื่อที่หน้าผาก...รู้สึกว่า คำพูดที่อยู่ในอก ช่างพูดออกมายากเย็นนัก ยากกว่าการไปรบทัพจับศึกเสียอีก แต่เพื่อให้ได้ติดตามขบวนประพาสของฮ่องเต้ จึงทำใจให้สงบ สูดลมหายใจให้เต็มปอด และพูดอุบอิบว่า “มี...จางจง พ่ะย่ะค่ะ” แม้เสียงเบา แต่ฮ่องเต้กับคุณชายต่างได้ยิน ทำเอาคุณชายเกือบทำถ้วยชาหลุดมือ “อ่อ...” หลี่เฉิงพยักหน้า “เหตุผลพอฟังขึ้น ข้าอนุญาตให้เจ้าไปด้วยก็ได้ แต่เจ้าจะต้องไปปรึกษากับอ๋าวไคว่าจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรบ้างในการไปเที่ยวครั้งนี้”
พิเศษ 1 ศึกชิงจ้าวยุทธภพ อาหลีติดตามเฉินห้าวไปทุกที่ ตั้งแต่เหนือจรดใต้ ตะวันออกจรดตะวันตก จนวนกลับมายังเมืองหลวงต้าหนาน “ไม่รู้ว่าเกอเกอ(พี่ชาย)ฮองเฮา กับเจี่ยเจีย(พี่สาว)เซียงเซียงจะเป็นอย่างไรบ้าง?” อาหลีที่เดินตามประมุขเฉินต้อยๆ เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นหอสุราจุ้ยเซียนอยู่ตรงหน้า “เดี๋ยวเจ้าก็ได้รู้...” ประมุขเฉินกล่าว พลางพาอาหลีเข้าไปในหอสุรา และขึ้นบันไดไปบนชั้นสอง ที่ห้องพิเศษบนชั้นสอง...ฮ่องเต้หลี่เฉิงกับ ฮองเฮาจ้าวชิงเฟิง นั่งรออยู่ แต่ผู้ที่ทำให้ประมุขเฉินผิดคาดหมายเล็กน้อยคือ...หลวงจีนลืมชื่อ ภิกษุชราผู้มีร่องรอยลี้ลับหาตัวพบยากนักหนา กำลังคีบเนื้อแพะตุ๋นน้ำแดงเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย ประมุขพรรคยาจกประสานมือค้อมศีรษะให้ฮ่องเต้เป็นอันดับแรก “ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” “ไม่ต้องมากพิธี” ฮ่องเต้ตรัส “อยู่ข้างนอกพระราชวัง ประมุขเฉินอย่าได้ใช้พิธีรีตองในวังกับข้า เรียกข้าว่าเจ้าบ้านหลี่ก็พอ ข้าจะใช้ชื่อในการท่องเที่ยวข้างนอกนี้ว่า ‘หลี่ฉือ’ ส่วนฟูเหรินของข้าจะใช้ชื่อว่า คุณชายจ้าวเฟิง”
จ้าวชิงเฟิงตกใจ ถามว่า “ท่านอ๋อง ท่านเป็นอะไร?” “ข้าเจ็บแผล” ชินอ๋องทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ซ้ำยังทำตัวงอด้วย “อ่า...ประสกท่านอ๋อง” หลวงจีนลืมชื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ก็เห็นชินอ๋องขยิบตาให้ อืม...อาตมาเข้าใจ “ประสกท่านอ๋องต้องเปลี่ยนยาแล้ว ประสกพระชายาช่วยประคองประสกท่านอ๋องไปที่ห้องนอนหน่อยเถิด” จ้าวชิงเฟิงประคองร่างสูงใหญ่กำยำอย่างระมัดระวัง ให้เดินกลับห้องนอนใหญ่ ไปนั่งลงบนเตียงนอน และช่วยถอดเสื้อออกให้ หลวงจีนลืมชื่อเอาผ้าพันแผลออกเพื่อเปลี่ยนยาที่หน้าอกของชินอ๋อง จ้าวชิงเฟิงเห็นบาดแผลแล้วอดรู้สึกเจ็บแทนไม่ได้ “ท่านอ๋อง...ทีหลังโปรดอย่าได้ทำอย่างนี้อีก” “ถูกต้อง...” หลวงจีนลืมชื่อเอ่ยเสริม “อีกแค่ครึ่งชุ่น(ครึ่งนิ้ว) ประสกท่านอ๋องก็ต้องกลับสวรรค์ไปแล้ว” ว่าพลางเปลี่ยนยาพลาง “เจ็บมากแน่ๆ” จ้าวชิงเฟิงเอ่ยเสียงเบา “ฟูเหริน...เจ้าจูบข้าทีสิ” ชินอ๋องกล่าวพลางทำสีหน้าเจ็บปวด “ข้าจะได้รู้สึกเจ็บน้อยลงหน่อย” “อ่า...อมิตตาภพุทธ อย่าลืมว่ายังมีอาตมาอยู่ตรงนี้ด้วย”** วันต่อมา...
ฮ่องเต้แกะผ้าแพรที่มัดข้อมือทั้งสองข้างของจ้าวชิงเฟิงไว้กับเสาของพระแท่นบรรทมออก แล้วรวบจับข้อมือทั้งสองของร่างบอบบางด้วยมือข้างเดียว จะฉุดลากให้หนีออกไปด้วยกัน ทันใด...ปัง ! ประตูห้องบรรทมถูกถีบเปิดออก ฮ่องเต้รีบคว้าตัวจ้าวชิงเฟิงมารัดด้วยแขนข้างซ้าย มือขวาจับลำคอเล็กเอาไว้แน่น ร่างของจ้าวชิงเฟิงจึงพิงอยู่กับร่างของฮ่องเต้ ผู้ที่ถีบประตูเข้ามาคือชินอ๋องที่มีสภาพเปื้อนเลือดไปทั่วร่าง “หยุดอยู่ตรงนั้นหลี่เฉิง มิเช่นนั้นเราจะหักคอพระชายาเสีย” ชินอ๋องยืนนิ่งอยู่กับที่ “หลี่เจา เจ้าปล่อยฟูเหรินของข้า ข้าจะปล่อยเจ้าไป” “ฮะๆๆๆ...เดี๋ยวนี้แม้แต่คำว่าฝ่าบาท เจ้าก็ยังไม่เรียกเราแล้วหรือ?” “เจ้าไม่สมควรเป็นฮ่องเต้...เจ้าฆ่าพี่รองและฆ่าเสด็จพ่อ” “ก็ใครใช้ให้เสด็จพ่อคิดจะแต่งตั้งหลี่เฉาเป็นรัชทายาทเล่า ทั้งๆ ที่เสด็จแม่ของข้ามีตำแหน่งสูงกว่าแม่ของพวกเจ้า แต่เสด็จพ่อกลับรักแต่หลี่เฉา ไม่เห็นหัวหลี่เจาคนนี้ พอหลี่เฉาตาย เสด็จพ่อก็เศร้าโศกจนล้มป่วย ข้าก็เลยถวายยาพิษให้เสด็จได้ตามไปพบกับหลี่เฉาอย่างไรล่ะ” ฮ่องเต้ต
ที่จวนชินอ๋อง... ขันทีที่ถ่ายทอดราชโองการ ขานเสียงดังว่า “ฮ่องเต้มีพระราชโองการ...” แต่กลับไม่มีใครคุกเข่าลงรับราชโองการสักคนเดียว ก็เอ่ยต่อเสียงดังๆ ว่า “คุกเข่ารับราชโองการ” เสี่ยวหู่กำลังอารมณ์มืดมนถึงขีดสุด ก็เข้าไปกระชากคอเสื้อของขันที “พูดมา...มีอะไรก็รีบพูดออกมา ถ้ายังไม่อยากตาย!” “ทะ ท่านอ๋อง” ขันทีตาเหลือก ทหารที่คุ้มกันล้วนถูกดาบพาดคอ ขันทีเหลือบซ้ายแลขวาแล้ว ไม่กล้าพูดคำว่า...จะเป็นขบถหรือ...ออกมา ที่เคยใช้อำนาจข่มเหงคนอื่นๆ ล้วนรีบกล้ำกลืนเอาไว้ พูดตะกุกตะกักว่า “ฮ่องเต้ทรงให้นำมีดเล่มนี้มาให้ท่านอ๋อง” แล้วส่งมีดพกที่จ้าวชิงเฟิงเอาออกมาแทงฮ่องเต้ให้ เสี่ยวหู่รับมีดมาส่งต่อให้ชินอ๋อง ชินอ๋องรับมาดูแล้วกล่าว “ใช่...มีดเล่มนี้ข้าให้ฟูเหรินพกติดตัวไว้” “มีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?” เสี่ยวหู่ตะคอกขันที “ฝะ ฝ่าบาทรับสั่งว่า พระชายาสบายดี หากท่านอ๋องอยากพบพระชายา ให้เข้าวังโดยเร็ว กะ ก่อนที่ ขะ ข้าวสารจะกลายเป็น...ข้าวสุก” “มีอีกหรือไม่?” ชินอ๋องถามเสียงเรียบๆ