พระชายาตู้จินเหลียนจึงให้ตงเหมยจัดที่นั่งพักรอแก่แม่สื่ออีกห้องหนึ่ง เพื่อรอพบชินอ๋อง เมื่อชินอ๋องกลับจากประชุมในท้องพระโรง
พอบ่าวที่คอยเป็นหูเป็นตาให้แก่พระชายามารายงานว่าชินอ๋องกลับมาถึงจวนแล้ว
พระชายาก็รออีกสักพัก เพื่อให้เวลาชินอ๋องได้เปลี่ยนเสื้อผ้าและพักผ่อนสักเล็กน้อยก่อน จึงพาสาวใช้กับแม่สื่อมาขอเข้าพบชินอ๋อง
ซึ่งชินอ๋องถึงแม้จะแปลกใจ แต่ก็ยอมให้พบที่ห้องโถงรับรอง
เมื่อแม่สื่อถูกพาตัวเข้าไปยังห้องโถงรับรอง เห็นชินอ๋องที่สง่าองอาจนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน มีพระชายานั่งอยู่เบื้องขวาและชายหนุ่มอ่อนเยาว์งดงามนั่งอยู่เบื้องซ้าย ก็ลนลานคารวะจนเสียงกระดูกกระเดี้ยลั่นกรอบแกรบ
“มีอะไร?”
ชินอ๋องถามเสียงเรียบแต่กังวานเต็มเปี่ยมด้วยอำนาจ
แม่สื่อรู้สึกถึงความกดดันอย่างมากมายมหาศาล ทว่านางยังคงทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถ
“ข้าน้อยนำความน่ายินดีมาสู่จวนของท่านอ๋องเจ้าค่ะ...”
แล้วนางก็สาธยายเรื่องมหาอำมาตย์เกาชงต้องการจะรับจ้าวชิงเฟิงเป็นบุตรเขยแต่งเข้าตระกูล รวมทั้งผลประโยชน์มากมายที่จ้าวชิงเฟิงจะได้รับเมื่อเข้าเป็นเขยสกุลเกา ตบท้ายด้วย
“คุณหนูเกานั้นงดงามอ่อนโยนเพียงใด คุณชายจ้าวก็ได้เห็นกับตาได้สัมผัสกับมือของตนเองมาแล้ว ข้าน้อยมิต้องเปลืองวาจาว่ากล่าวให้มากความ เรื่องดีพร้อมเช่นนี้ คุณชายจ้าวช่างมีวาสนายิ่งนัก”
ว่าแล้วนางก็เอาผ้าเช็ดหน้าปิดปากหัวเราะเบาๆ สีหน้าระรื่น
แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยง
ปัง!
โต๊ะไม้เนื้อดีที่สำหรับวางชุดน้ำชาด้านขวามือของชินอ๋อง ถูกชินอ๋องฟาดแตกเป็นเสี่ยงๆ ในฝ่ามือเดียว ข้าวของบนโต๊ะพลอยตกแตกกระจัดกระจาย
“ข้าไม่ยกจ้าวชิงเฟิงให้ผู้ใดทั้งนั้น”
“ตะ แต่ ท่านอ๋อง...เรื่องที่คุณชายจ้าวกอดรัดลูบคลำคุณหนูเกาเป็นเรื่องจริงที่ผู้คนต่างรับรู้กันทั่วเมืองหลวงแล้วนะเจ้าคะ คุณชายจ้าวจะไม่รับผิดชอบได้อย่างไรกัน หากคุณชายจ้าวไม่รับผิดชอบ แล้วคุณหนูเกาจะแต่งให้ผู้ใดได้ล่ะเจ้าคะ?”
“เรื่องนั้นข้าไม่สนใจ แต่จ้าวชิงเฟิงคือพระชายารองของข้า เป็นฟูเหรินของข้า อย่าเอาเรื่องไร้สาระนี้มากวนใจข้าอีก...ไสหัวไป!”
เรื่องที่ได้ยินทำให้แม่สื่อปากอ้าตาค้าง...ก็ไหนว่ากันว่าคุณชายจ้าวชิงเฟิงเป็นญาติห่างๆ ของชินอ๋องอย่างไรละ?
นางมองดูคุณชาย
หรือว่าชินอ๋องเอาญาติห่างๆ มาเป็นพระชายารอง...เก็บเอาไว้เชยชมเอง!
ก็ของสวยของงามผู้ใดล่ะจะอดใจไว้ได้...
คุณชายผู้นี้งามราวกับไม่ใช่มนุษย์
เหมือนปีศาจจิ้งจอกจำแลง!!
บ่าวชายสองคนเข้ามาหิ้วแม่สื่อออกไปอย่างรวดเร็วทันใจ
ชินอ๋องเหลือบตามองคุณชายอย่างดุดัน
คุณชายก้มหน้าลงหลบตา
อย่ามามองข้า...ข้าไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องน่าอึดอัดตามมาอย่างนี้นี่นา!
“ท่านอ๋อง...โปรดใจเย็นสักนิดเจ้าค่ะ” พระชายาเอ่ยเสียงหวานนุ่มนวล “ข้าเพียงแค่สงสัยว่าพระชายารองไปรู้จักคุ้นเคยกับคุณหนูเกาได้เช่นไร?”
“ข้าเป็นผู้พาเขาออกไปเที่ยวเล่นเอง”
ชินอ๋องตอบเสียงเย็น
พระชายาหน้าเจื่อนไปทันที...แรกที่นำแม่สื่อมาพบชินอ๋องนั้น นางตั้งใจจะทำให้ชินอ๋องเข้าใจจ้าวชิงเฟิงผิด คิดว่าเขาลอบหนีไปพบปะกับคุณหนูเกา
คิดไม่ถึงว่า จะกลายเป็นชินอ๋องพาจ้าวชิงเฟิงออกไปเที่ยวเล่นเอง!
“ถ้าพระชายาหมดธุระแล้ว ก็กลับตำหนักไปเถอะ”
โดนไล่ซึ่งๆ หน้าอีกแล้ว...พระชายาจึงจำต้องลุกจากเก้าอี้ยอบกายคารวะชินอ๋อง
“ข้าน้อยขอลาเจ้าค่ะ”
แล้วจากไปพร้อมกับสาวใช้คนสนิท
คุณชายลุกขึ้นน้อมกายคารวะชินอ๋อง...เตรียมจะหลบหน้าเช่นกัน
แต่มีหรือชินอ๋องจะปล่อยไป
“ฟูเหริน พวกเรายังมีเรื่องต้องสะสางกันอีก”
“.....” คุณชายยืดกายตรงขึ้นแล้วนั่งตัวตรงบนเก้าอี้ตัวเดิม
“ถ้าเจ้าไม่วู่วาม...เหตุการณ์เช่นนี้ย่อมไม่เกิดขึ้น”
“ข้าจะไปขอรับผิดกับใต้เท้าเกาด้วยตัวเอง” คุณชายตอบเสียงเรียบ
“เรื่องไม่ง่ายดายเช่นนั้น...ใต้เท้าเกาต้องการบุตรเขยแต่งเข้าตระกูล ไม่ใช่คำขออภัย เขาต้องการให้เจ้าชดใช้ เจ้าจะเอาอะไรไปชดใช้ ตัวเจ้าก็มิใช่ของเจ้า”
“.....” อย่าว่าเยอะ...ข้าสำนึกผิดไม่ทัน
“ท่านอ๋อง...เรื่องนี้จะว่าเป็นเรื่องเล็กก็ได้ เรื่องใหญ่ก็ได้” เจียงจ้านกล่าวขึ้น “หากใต้เท้าเกานำเรื่องไปฟ้องร้องที่ศาลอาญาก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาทันทีขอรับ”
“เขาไม่กลัวบุตรสาวของเขาเสียชื่อเสียง ไม่สามารถพบหน้าผู้คนหรือ?”
“ท่านอ๋อง...เวลานี้เรื่องอื้อฉาวของฟูเหรินกับคุณหนูเกาเป็นที่ซุบซิบนินทาไปทั่วเมืองหลวงแล้วขอรับ” เจียงจ้านอธิบาย “ใต้เท้าเกาเหมือนคนที่ขี่อยู่บนหลังเสือ จะลงก็ไม่ได้ จำต้องฆ่าเสือให้ได้เสียก่อน”
“ทำไมเรื่องทำความดี จึงกลายเป็นโทษเช่นนี้”
คุณชายกล่าวอย่างอัดอั้นตันใจ
ชินอ๋องมองสีหน้าย่ำแย่ของคุณชายแล้ว ได้แต่เอื้อมมือมาลูบหลังปลอบโยน
“ต่อให้ฟ้าถล่ม ก็มีข้าต้านรับแทนเจ้า”
คุณชายเม้มริมฝีปาก...ข้าไม่ได้ต้องการให้ผู้อื่นมารับผิดแทนข้า
ข้าแค่ต้องการให้ทุกคนมองเห็นจุดประสงค์ที่บริสุทธิ์ใจของข้าเท่านั้น
“พรุ่งนี้เช้าหลังจากเลิกประชุม...ข้าจะสนทนาเรื่องนี้กับใต้เท้าเกาเพื่อหาทางออกที่ดีพร้อมทั้งสองฝ่าย” ชินอ๋องกล่าวอย่างมีแผนสำเร็จในใจ
“ดี ขอรับ” ขันทีคนสนิทพยักหน้าเห็นพ้อง
*
*
ที่ตำหนักพระชายา...
เพล้งงงง !
แจกันราคาแพงแตกกระจาย
“พระชายาเจ้าคะ...อย่าอารมณ์เสียเลย” ตงเหมยพยายามปลอบโยนเมื่อเห็นเจ้านายสาวอาละวาดทุบทำลายข้าวของ
“ข้าเกลียดมัน...เจ้าคนสารเลว...ท่านอ๋องไม่เคยพาข้าไปเที่ยว แต่กลับพามันไปเที่ยว มันทำเรื่องฉาวโฉ่ ท่านอ๋องก็ออกรับแทนมัน มันเกิดมาเป็นมารขวางความสุขของข้าโดยแท้” พระชายาระบายอย่างเคียดแค้นชิงชัง
“เบาๆ เจ้าค่ะ เกิดใครมาได้ยินเข้า แล้วเรื่องไปถึงหูท่านอ๋อง จะทำให้ท่านอ๋องมองพระชายาว่าเป็นคนไม่ดีได้นะเจ้าคะ” ตงเหมยเตือนเจ้านายสาวเสียงเบา
“เวลานี้ ท่านอ๋องก็เห็นข้าเป็นคนไม่ดีอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นจะทวงอำนาจการดูแลจวนกลับคืนไปให้พ่อบ้านเหลียงหรือ แล้วยังทวงทรัพย์สินที่ข้ายึดของมันมาคืนให้แก่มันอีก ทั้งยังยกเรือนหลังใหม่ให้มันไว้ใช้เก็บข้าวของมีค่า...นี่ถ้าข้าไม่มีท่านพ่อ ท่านพี่ คงถอดตำแหน่งพระชายาของข้าไปให้มันแล้ว”
ยิ่งพูดก็ยิ่งแค้น ทรวงอกอวบงามสะท้อนเพราะอารมณ์โกรธกรุ่น
พอดีอาซานสาวใช้นางที่คอยเป็นหูเป็นตาให้แก่พระชายาเดินเข้ามายอบกาย “คารวะพระชายาเจ้าค่ะ”
“มีอะไร?” ตงเหมยเอ่ยปากถามแทน
“บ่าวมีข่าวมาเรียนบอกพระชายาเจ้าค่ะ...ท่านอ๋องสั่งให้ที่จวนแจกขนมมงคลแก่ชาวเมืองพรุ่งนี้เช้าเจ้าค่ะ”
“แจกขนมมงคล” พระชายาทวนคำ สีหน้าฉงน “เพื่อการใด?”
“เพื่อทำขวัญพระชายารองเจ้าค่ะ” แล้วยุยงต่อไปว่า “พระชายารองบ่นว่าเรื่องในวันนี้พระชายาทำให้เขาขวัญหายเจ้าค่ะ”
“เจ้าคนสารเลว เจ้าคนมารยาสาไถย...ข้าเกลียดมันยิ่งนัก”
“เขาเป็นพระชายารองหรือ?” มหาอำมาตย์เกาชงกำถ้วยชาในมือเอาไว้แน่นยิ่งขึ้น... หลังจากเสร็จสิ้นการประชุมในท้องพระโรง ท่านมหาอำมาตย์ก็พบกับชินอ๋องหลี่เฉิงที่กำลังดักรอเขาอยู่ที่ประตูวัง ชินอ๋องบอกกับเขาว่ามีธุระสำคัญจะสนทนาด้วย และชวนเขามาสนทนากันที่หอสุราจุ้ยเซียนซึ่งมหาอำมาตย์เกาชงก็ตอบตกลง เพราะพอจะคาดเดาได้ว่าคงเป็นเรื่องของคุณชายจ้าวชิงเฟิงกับบุตรสาวของตน เมื่อต่างฝ่ายต่างขึ้นรถม้าของตนเอง ต่างก็ถอดเสื้อราชสำนักตัวนอกออกแล้วเปลี่ยนเป็นสวมใส่เสื้อลำลองทับเสื้อตัวกลางแทน พอมาถึงที่นัดหมาย...ชินอ๋องได้นั่งรออยู่ก่อนแล้วที่บนห้องชั้นสองของหอสุราจุ้ยเซียน ทั้งสองปิดประตูห้องสนทนากัน...ชินอ๋องเล่าเรื่องราวที่จ้าวชิงเฟิงช่วยคุณหนูเกาที่สระน้ำ ทั้งยังบอกถึงฐานะของจ้าวชิงเฟิงด้วย “ใช่แล้ว...ฟูเหรินของข้าร้อนใจจะช่วยคน จึงไม่คำนึงถึงว่าชายหญิงมิควรใกล้ชิดกัน...เรื่องนี้ข้าต้องขออภัยใต้เท้าเกาแทนเขาด้วย” “ท่านอ๋องกล่าวเกินไป ข้าน้อยมิกล้ารับ เพียงแต่...” มหาอำมาตย์เกาชงถอนหายใจยาว “ข้าน้อยมีบุตรสาวเพียงนางเดียว ชื่อเสียงของ
“ไม่ได้เรื่อง...คนชั้นต่ำจะอย่างไรก็ยังคงเป็นคนชั้นต่ำ!” หลังจากไล่คุณชายกำมะลออี้อันกลับไปแล้ว...พระชายาก็มานั่งอารมณ์บูด “แค่ท่านอ๋องถามคำถามง่ายๆ ก็ตอบไม่ได้...อีกาจะอย่างไรก็ยังคงเป็นอีกาวันยังค่ำ กลายเป็นนกยูงไปไม่ได้ฉันใด คนต่ำต้อยก็กลายเป็นสูงส่งไม่ได้ฉันนั้น” “พระชายาอย่าได้อารมณ์เสียไปเลยเจ้าค่ะ” ตงเหมยกล่าวเสียงอ่อนหวาน “มิเช่นนั้นบ่าวก็ไม่กล้ารายงานข่าวคราวที่ได้รู้ได้เห็นมาแก่พระชายาหรอกนะเจ้าคะ” “เจ้ารู้เจ้าเห็นอะไรมา?” พระชายาถามเสียงห้วน “วันนี้บ่าวทาสทุกคนล้วนได้รับขนมมงคลกับเงินขวัญถุงคนละสี่ตำลึงทอง” นางล้วงถุงใส่ทองคำที่ทำด้วยผ้าสีแดงใบเล็กออกมาจากที่เหน็บเอาไว้ในผ้าคาดเอวออกมาวางบนโต๊ะอย่างเบามือตรงหน้าพระชายา “บ่าวก็ได้รับมาเช่นกันเจ้าค่ะ” พระชายาใช้มือปัดถุงผ้าสีแดงตกพื้น “ทำถึงขนาดนี้...ท่านอ๋องไม่ไว้หน้าข้าเลยสักนิด” หอบหายใจอย่างรุนแรง “แล้วเรื่องภายนอกจวนเป็นอย่างไรบ้าง?” “บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ” ตงเหมยตอบตามตรง...นางเป็นสาวใช้ในตำหนัก ไม่ได้ออกจากจวนแม้แต่ก้าวเดียว หา
วันรุ่งขึ้น เวลาสาย... เจ้าหน้าที่จากศาลอาญาสองนายมาขอพบจ้าวชิงเฟิง...คุณชายก็ให้พบที่ห้องโถงรับรอง...เจ้าหน้าที่แจ้งให้คุณชายทราบว่า มหาอำมาตย์เกาชงฟ้องร้องคุณชายว่า ไร้คุณธรรม ให้คุณชายไปรับฟังข้อกล่าวหาที่ศาลเดี๋ยวนี้ “ไม่ได้” จางจงแย้งขึ้นเสียงดัง “ท่านอ๋องยังไม่กลับจากไปประชุมที่ท้องพระโรง ต้องรอท่านอ๋องกลับมาก่อน ค่อยให้ท่านอ๋องตัดสินใจ” “ถูกต้อง” เสียงเจื้อยแจ้วของเสี่ยวชุ่ยสนับสนุน “อยู่ๆ จะมาจับฟูเหรินของพวกเราอย่างนี้ไม่ได้” “ขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ถือว่ามีความผิด” เจ้าหน้าที่นายหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันดัง “เจ้าจะมาเสียงดังข่มขู่ผู้ใดกัน ที่นี่จวนชินอ๋อง...” เสียงของเสี่ยวหงก็ดังไม่น้อยไปกว่า แต่ถูกคุณชายห้าม “หยุด...อย่าได้ทะเลาะกัน” “ฟูเหรินเจ้าขา...” สองสาวใช้พากันส่งเสียง “หยุด” คุณชายสำทับเสียงหนักๆ “พวกเจ้าจะไม่เชื่อฟังข้าแล้วหรือ?” “มิกล้าเจ้าค่ะ” สองสาวเสียงอ่อย เจ้าหน้าที่อีกนายมีไหวพริบดี เขาประสานมือคำนับคุณชาย แล้วว่า “ฟูเหริน...พวกข้าน้อยเป็นผู้น้อยได้แต่ทำตามค
ชินอ๋องกุมมือข้างหนึ่งของจ้าวชิงเฟิงเอาไว้ไม่ปล่อย รับรู้ได้ถึงอาการสั่นน้อยๆ ของมือเรียวงามในอุ้งมือ เขาเหลือบมองหน้าคุณชาย เห็นสีหน้าย่ำแย่ยิ่งนัก จึงรู้สึกทั้งโกรธทั้งหงุดหงิด ถามคู่กรณีไปตรงๆ ว่า “ท่านมหาอำมาตย์...ท่านมาฟ้องร้องครั้งนี้ต้องการอะไร?” มหาอำมาตย์เกาชงสูดลมหายใจลึกๆ กล่าวว่า “ขอความเป็นธรรมให้กับบุตรสาว จิ่นเอ๋อร์ตายอย่างน่าอนาถ ข้าน้อยไม่อาจปล่อยให้นางตายตาไม่หลับได้ ดังนั้นข้าน้อยจึงบังอาจขอร้องท่านอ๋องให้อนุญาตให้คุณชายจ้าวชิงเฟิงแต่งงานกับป้ายวิญญาณของจิ่นเอ๋อร์ขอรับ” สีหน้าชินอ๋องดำทะมึน...เจ้าเฒ่าหัวรั้นนี่แสนน่าชังนัก ชินอ๋องคิดจะพาคุณชายกลับจวนซะเดี๋ยวนั้น...ไม่สนใจเรื่องบ้าบอคอแตกอะไรนี่แล้ว แต่ทว่าจ้าวชิงเฟิงกลับเอ่ยขึ้นเสียก่อนว่า “ข้ารับปาก” “ข้าไม่อนุญาต” ชินอ๋องแย้งสวนขึ้นทันที “ท่านอ๋องได้โปรดอนุญาตเถิดขอรับ” จ้าวชิงเฟิงเอ่ยขอร้อง “ข้าติดค้างคุณหนูเกาซิ่วจิ่นและใต้เท้าเกามากมายนัก” ชินอ๋องมองสีหน้าซีดเซียวของคุณชาย แล้วได้แต่เค้นเสียงว่า “ตามใจเจ้า” แล้วหันไป
ชินอ๋องส่งขบวนเกี้ยวมารับเจ้าสาวที่จวนมหาอำมาตย์เกาชงตามสัญญา ฝ่ายมหาอำมาตย์ก็ให้เสี่ยวเตี๋ยสวมชุดเจ้าสาวสีแดงสดสวยงามอุ้มป้ายวิญญาณของคุณหนูเกาซิ่วจิ่นขึ้นเกี้ยว มีสินเดิมตามมาด้วยเป็นขบวนเหมือนแต่งบุตรสาวจริงๆ พอเกี้ยวเจ้าสาวมาถึงจวนชินอ๋อง แม่สื่อก็จูงเจ้าสาวไปที่เรือนของคุณชายที่ชินอ๋องยกให้ ทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดินและคำนับซึ่งกันและกันตามประเพณี แล้วให้ตั้งป้ายวิญญาณของคุณหนูเกาซิ่วจิ่นไว้ที่เรือนนั้น ส่วนคุณชายถูกชินอ๋องพาตัวกลับตำหนักใหญ่ในทันที ที่ตำหนักพระชายา... “ฮะๆๆ...” พระชายาส่งเสียงหัวเราะ “เรื่องน่าขายหน้าเช่นนี้ท่านอ๋องยังทนไหวหรือ...พระชายารองแต่งภรรยา ช่างน่าขันสิ้นดี คงเป็นที่ขบขันกันไปทั่วเมืองหลวงแล้วละมั้ง” อาซานที่มาเสนอหน้ากล่าวประจบประแจงว่า “จริงของพระชายาเจ้าค่ะ...นี่ก็เป็นที่ร่ำลือไปทั่วบ้านทั่วเมืองแล้วว่า จะเรียกจ้าวชิงเฟิงว่าอย่างไรดี จ้าวฟูเหรินหรือท่านเขยจ้าว?” แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากหัวเราะ “อย่ามัวแต่หัวเราะ” ตงเหมยที่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยเอ่ยขัดขึ้น “เรื่องที่พระชายาให้เจ้าไปทำล่ะ ไปถึงไหนแล้ว?” “อ
เสียงเอะอะเอ็ดตะโรจากนักพรตวัยสี่สิบผู้หนึ่งและนักพรตลูกศิษย์อีกสองคนดังอยู่ข้างนอกประตูจวน โดยมีชาวบ้านรายล้อมมุงดูอยู่จำนวนมาก “ปีศาจจิ้งจอกอยู่ในจวนนี้!” นักพรตประกาศเสียงดังก้อง “ท่านนักพรต ท่านไม่กลัวตายหรือ? นี่จวนชินอ๋องเชียวนะ!” มีชาวบ้านเอ่ยตักเตือน “ผู้บำเพ็ญเซียนอย่างข้า มีหรือจะขี้ขลาดตาขาว เมื่อเห็นมีปีศาจก็จำเป็นต้องปราบเสียให้สิ้นซาก ที่นี่กลิ่นไอปีศาจรุนแรงยิ่งนัก ปล่อยเอาไว้เกรงว่าจะทำร้ายคนดี ทำร้ายชาวบ้านบริสุทธิ์” เสียงพูดคุยกันดังระงม “เมื่อสามวันก่อนอาไฉ่ที่ตรอกฆ่าสุกรอยู่ๆ ก็ตายทั้งที่ยังหนุ่มยังแน่น” “อืมๆๆ...ข้าก็ได้ยินมาว่าพระชายารองเป็นปีศาจจิ้งจอกแปลงกายมา” “คำเล่าลือลอยๆ ไม่มีหลักฐานเชื่อถือไม่ได้” “เป็นสาวใช้ในจวนบอกเองว่า เขาไม่น่าจะใช่มนุษย์ กลิ่นกายหอมฟุ้ง ผิวพรรณละเอียดราวหยกเนื้อดี กิริยาท่าทางก็ยั่วยวน” “ว่ากันว่า ชินอ๋องหลงรักเขาหัวปักหัวปำ” “เมื่อหลายวันก่อนเขายังแต่งงานกับป้ายวิญญาณของคุณหนูเกา” “ก่อนหน้านั้นเขากับคุณหนูเกาเกิดเรื่องอื้
แต่ไม่ทันได้ดื่ม...วัตถุชิ้นหนึ่งก็พุ่งมากระแทกชามหลุดจากมือของจ้าวชิงเฟิง เพล้งงงง ! ชามตกแตก...น้ำในชามสาดกระจาย ก่อนที่ใครจะทันได้ตั้งสติ “จับให้หมดทุกคน” เหล่าองครักษ์ที่กรูกันเข้ามาจับบ่าวของพระชายาไว้ทุกคนทันที ส่วนนักพรตและสองศิษย์ที่มีฝีมือหมัดมวยอยู่บ้าง ได้ต่อสู้อย่างสุดกำลัง แต่เพียงไม่กี่กระบวนท่าก็ถูกองครักษ์จับกุมเอาไว้อย่างแน่นหนา ช่วงเวลาชุลมุนวุ่นวาย...แต่ละคนหน้าเปลี่ยนสีแล้วเปลี่ยนสีอีก มีเพียงคุณชายคนเดียวเท่านั้นที่หน้าไม่เปลี่ยนสี ยังคงสงบนิ่งดังเดิม! ชินอ๋องมองหน้าคุณชายอย่างโกรธเกรี้ยว...แต่คุณชายก็ทำเพียงเมินมองไปทางอื่น “ท่านอ๋องเจ้าคะ...” พระชายาตู้ซึ่งไม่ถูกองครักษ์จับกุมตัว เพราะตำแหน่งพระชายา เหล่าองครักษ์จึงไม่กล้าแตะต้องตัวนาง พอรวบรวมสติได้ ก็รีบลุกขึ้นยืนละล่ำละลักเอ่ยขึ้น “เรื่องนี้เป็นเพียงการเข้าใจผิดกันเท่านั้นเจ้าค่ะ” ชินอ๋องไม่ตอบว่าอะไร เจียงจ้านใช้เข็มเงินแตะหย่อมน้ำบนพื้น เข็มเงินปรากฏสีดำเคลือบชั้นหนึ่ง “มีพิษขอรับ” “นำตัวทุกคนที่อยู่ใ
“เจ้ากำลังทำให้ข้าบ้าคลั่งรู้ไหม ฟูเหริน” ชินอ๋องขยับขึ้นไปหยอกเอินกับปลายยอดสีชมพูระเรื่อ ทั้งขบเม้มลามเลียจนเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีเข้ม เขาก็ขยับไปทำแบบเดียวกันกับอีกข้าง “หน้าอกของเจ้าสวยเหลือเกิน”“....” คุณชายจะตอบอะไรได้ ได้แต่ข่มความเจ็บปวดเอาไว้จนปากสั่นเมื่ออิ่มหนำกับยอดอกสีระเรื่อแล้ว ชินอ๋องก็ขยับตัวลงมาชิมแก่นกายน่ารักที่มีขนาดพอเหมาะกับเจ้าของบ้าง กลิ่นกายคุณชายช่างหอมยั่วยวนจนเขาอยากจะฝังตัวตนลงไปเสียเดี๋ยวนี้ แต่ก็ต้องอดทนอีกหน่อย เพราะไม่อยากให้คุณชายทรมานจนเกินไป แค่นี้ก็คงเจ็บปวดใจมากแล้วที่ต้องฝืนทนมาร่วมรักกับเขาทันทีที่ลิ้นร้อนลากผ่านส่วนล่างของคุณชาย ร่างกายก็สั่นสะท้านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คุณชายพยายามเบี่ยงตัวหนีความรู้สึกแปลกใหม่ที่ไม่เคยพานพบ แต่ก็ถูกตรึงด้วยมือใหญ่ทั้งสองข้าง ทำให้ไม่สามารถขยับตัวไปไหนได้ จึงได้แต่กัดฟันเพื่อไม่ให้มีเสียงเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากคู่งาม แต่มันไม่ง่ายเลยเพราะชินอ๋องเข้าครอบครองส่วนล่างทั้งหมด และกำลังทำให้คุณชายหัวสมองขาวโพลนและเสียวซ่าน“พอเถอะท่านอ๋อง ข้าไม่ได้ต้องการแบบนี้! ” จ้าวชิงเฟิงบอกอย่างขอร้อง เพราะไม่อาจต้านทานควา
ชินอ๋องสั่งปิดประตูเมือง ให้ทหารตรวจค้นทุกซอกทุกมุม เป็นเรื่องเอิกเกริกจนฮ่องเต้ส่งคนมาถาม “ท่านอ๋อง...นี่มันเกิดเรื่องอะไรขอรับ?” ขันทีจากวังหลวงค้อมกายถามเสียงนุ่ม “อ๋องห้าลักพาตัวพระชายาของข้าไป” ชินอ๋องตอบเสียงมะนาวไม่มีน้ำ “ว้าย...ตายแล้ว...นี่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? วันนี้มิใช่อ๋องห้าแต่งพระชายาหรอกหรือ?” ชินอ๋องหงุดหงิดรำคาญ จึงให้ขันทีจากวังหลวงไปไถ่ถามเรื่องราวจากองครักษ์คนหนึ่งแทน สลัดหลุดจากขันทีจากวังหลวง ก็มาเจอมหาเสนาบดีชิวสงส่งเสียงเอะอะโวยวาย “บุตรสาวข้าอยู่ที่ไหนๆ...” ชินอ๋องพยักหน้าให้องครักษ์อีกนายหนึ่ง เอ่ยเสียงรำคาญว่า “เจ้าไปจัดการที” องครักษ์ค้อมศีรษะรับคำสั่ง แล้ววิ่งไปรับหน้ามหาเสนาบดีทันที “คุณหนูชิวอยู่ทางนี้ขอรับ” องครักษ์บอกมหาเสนาบดีแล้ว พาไปยังห้องห้องหนึ่งของตำหนักอ๋องห้า “คุณหนูชิวอยู่ในห้องนี้ขอรับ” มหาเสนาบดีได้ยินเสียงกุกกักๆ พอเปิดประตูเข้าไป ก็เห็น...ชิวมู่ตานถูกมัดมือมัดเท้ามีผ้าอุดปาก นั่งอยู่บนเตียง กำลังดิ้นรน “ทำไมพวกเจ้าทำกับบุตรสาว
เจ็ดวันต่อมา... คณะทูตของซีเซี่ยก็เดินทางกลับ พร้อมกับนำขบวนเดินทางไปอภิเษกสมรสขององค์หญิงหลี่หมิงจูไปด้วย ทางด้านอ๋องห้าได้ส่งแม่สื่อไปทาบทามสู่ขอคุณหนูชิวมู่ตาน บุตรสาวคนเล็กของมหาเสนาบดีชิวสง “ท่านเจ้าขา...บุตรเขยเช่นอ๋องห้า มิใช่จะหาได้ง่ายๆ นะเจ้าคะ” แม่สื่อจีบปากจีบคอกล่าว “อ๋องห้ารูปโฉมงามสง่า ข้าไม่เถียง แต่เขามีอนุหญิงชายมากมาย นิสัยเสเพลไม่เอาการเอางาน...ข้าเกรงว่าบุตรสาวของข้าแต่งไปแล้วต้องกลัดกลุ้มเพราะเหล่าอนุเป็นเหตุ” มหาเสนาบดีกล่าวตรงๆ ไม่อ้อมค้อม “โหะๆๆ...” ลิ้นแม่สื่อมีหรือจะจนหนทาง “คำโบราณกล่าวเอาไว้ว่า...ภรรยาที่ดีสามารถเปลี่ยนแปลงสามีได้ คุณหนูมู่ตานทั้งสวยทั้งฉลาด ย่อมสามารถชักนำให้ท่านอ๋องห้าเลิกความเคยชินเก่าก่อน ให้ท่านอ๋องห้ากลับกลายเป็นเปี่ยมล้นด้วยความสามารถและสง่าราศีได้ไม่ยาก ส่วนเรื่องอนุหญิงชายนั้น มีผู้ใดสามารถกล้าเปรียบเทียบกับคุณหนูมู่ตานเล่า คุณหนูมู่ตานจะแต่งไปเป็นพระชายาเอกนะเจ้าคะ จะให้อนุคนใดเป็นหรือตายก็ย่อมได้ อีกประการหนึ่งคุณหนูก็อายุสิบเจ็ดแล้ว รอช้านักจะกลายเป็นดอกไ
คณะทูตจากซีเซี่ยมาเยือนต้าหนาน... ฮ่องเต้ทรงอนุญาตให้ราชทูตเข้าเฝ้าในท้องพระโรง ราชทูตแห่งซีเซี่ยถวายเครื่องบรรณาการ และราชสาส์นสู่ขอองค์หญิงหมิงจูให้กับรัชทายาทซีเซี่ย ฮ่องเต้ขอเวลาพิจารณาเรื่องสู่ขอสามวัน อีกสามวันจะจัดเลี้ยงคณะทูตและให้คำตอบ อ๋องห้าไปที่ตำหนักขององค์หญิงหมิงจู เล่าเรื่องที่ราชทูตจากซีเซี่ยมาสู่ขอนางให้นางฟัง “ทำไมข้าต้องแต่งไปซีเซี่ยด้วย?” องค์หญิงหมิงจูกล่าวด้วยดวงหน้าบูดบึ้ง “เจ้าปีนี้อายุสิบเจ็ดแล้วนะ...ไม่แต่งตอนนี้ แล้วจะรอถึงเมื่อไหร่?” “ข้าไม่ได้ชอบรัชทายาทซีเซี่ยสักหน่อย” องค์หญิงตอบเสียงสะบัด “แล้วเจ้าชอบใคร?” “.....” “อย่าบอกนะว่าชอบจ้าวชิงเฟิง?” “.....” “ข้าล่ะเห็นใจเจ้าจริงๆ...คู่ยวนยาง(นกเป็ดน้ำแมนดาริน มักจะอยู่กันเป็นคู่แบบผัวเดียวเมียเดียว เป็นตัวแทนรักแท้ของชายหญิง)ที่ดี กลับถูกชินอ๋องฉกชิงไปเสียนี่” “พี่ห้า อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีก” องค์หญิงเสียงเครือ “ไม่ให้ข้าพูดออกมาบ้าง ข้าก็รู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรมแท
“ตาเฒ่าเกาชงเป็นพ่อตาของคนแซ่จ้าว” พระสนมเอกซูเฟยกัดริมฝีปากล่าง ก่อนจะกล่าวต่อ “เมื่อหลายวันก่อน ข้าเรียกคนแซ่จ้าวมาสนทนาด้วยเรื่องของมู่ตาน เขาทำท่าทางสงบเสงี่ยม แต่ก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมรับปาก ข้าจึงพูดถึงอิทธิพลอำนาจของตระกูลชิว เพื่อข่มขวัญเขา คิดไม่ถึงว่าเขาจะมารยาออดอ้อนชินอ๋องให้ไปผูกไมตรีกับตระกูลเกาเสียได้” “เช่นนี้...เรื่องที่จะให้มู่ตานเป็นพระชายารองของชินอ๋อง ดูท่าจะยากเสียแล้ว” มหาเสนาบดีถอนหายใจ “ในยามนี้บุรุษที่มีฐานะคู่ควรกับมู่ตานก็มีไม่มากนัก ชินอ๋องเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ส่วนอ๋องห้าก็เสเพลไม่ได้เรื่องได้ราว เอาแต่เสพสุขไปวันๆ” “เอาเช่นนี้สิท่านพ่อ” พระสนมเอกซูเฟยเสนอความคิด “รอดูบัณฑิตใหม่ของปีนี้ ว่าบัณฑิตทั้งสามคน ผู้ใดหน่วยก้านดี ก็เลือกคนนั้น ข้าจะขอสมรสพระราชทานให้กับมู่ตาน...ตาเฒ่าเกาชงสนับสนุนบุตรบุญธรรมของเขา ท่านพ่อก็สนับสนุนบุตรเขย...ดูซิว่า ระหว่างบุตรบุญธรรมคนเดียวของตาเฒ่าเกาชง จะสู้บุตรทั้งสองคนและบุตรเขยตระกูลชิวได้หรือไม่” “เกรงจะไม่ง่ายเช่นนั้นน่ะสิ” มหาเสนาบดีมีสีหน้าระอา “มู่ตานเอาแต่ใจ ร่ำร้องแต่จะแต่งกับชินอ๋อง ตั้
มหาอำมาตย์เกาชงมองผู้มาเยือนอย่างประหลาดใจ พอได้สติก็รีบประสานมือน้อมคำนับ “คารวะท่านอ๋องและพระชายา” “ไม่ต้องมากพิธี” ชินอ๋องกล่าว “วันนี้ข้าตั้งใจพาฟูเหรินมาเยี่ยมท่านโดยเฉพาะ” “ขออภัยที่ข้าน้อยต้อนรับบกพร่อง” มหาอำมาตย์เกาชงกล่าวพลางผายมือ “เชิญท่านอ๋องกับพระชายาเข้าไปนั่งด้านในก่อนขอรับ” เมื่อทั้งสามเข้าไปนั่งในห้องโถงรับรองของจวนมหาอำมาตย์เรียบร้อย บ่าวทาสจากจวนชินอ๋องก็นำของฝากล้ำค่ามีราคาเข้ามาสี่หาบใหญ่ มาวางไว้ในห้องโถงแห่งนั้น ของเหล่านั้นเป็นชินอ๋องสั่งให้จัดหามาทั้งสิ้น “นี่คือของกำนัลที่ฟูเหรินของข้านำมาคารวะท่านซึ่งเป็นพ่อตาของเขา” ชินอ๋องกล่าว พลางผายมือไปที่สิ่งของในหีบห่อสีแดง มหาอำมาตย์เกาชงมองมาที่จ้าวชิงเฟิงด้วยนัยน์ตาแดงระเรื่อขึ้น...อดคิดถึงบุตรสาวที่จากไปไม่ได้ จ้าวชิงเฟิงรับรู้ได้...จึงถามเสียงเบา “ท่านพ่อตา...หมู่นี้สบายดีหรือไม่?” “ดีๆ...ข้าสบายดี” “ข้าขออภัย ที่มาเยี่ยมเยียนท่านช้านัก” “มาก็ดีแล้ว...เอ้อ...พระชายา” “ท่านอย่าเรียกข้า.
พระสนมเอกซูเฟยชิวเหมยกุ้ย อายุ 22 ปี รูปร่างหน้าตาสวยงามปานภาพวาด ในความอ่อนโยนมีความสง่างาม นางต้อนรับจ้าวชิงเฟิงที่ศาลาชมอุทยาน เป็นการป้องกันการครหานินทาด้วย จ้าวชิงเฟิงประสานมือน้อมคำนับ “คารวะพระสนมเอกขอรับ” นางพยักหน้ารับการคารวะ “เชิญนั่งก่อนพระชายา” จ้าวชิงเฟิงรอให้นางนั่งลงก่อน จึงนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับนาง บนโต๊ะหินที่กั้นระหว่างคนทั้งสองมีชุดน้ำชา และจานขนมมากมายวางอยู่ “พระสนมเอกมีธุระอันใดกับข้าน้อยขอรับ?” จ้าวชิงเฟิงกล่าวถามตรงๆ พระสนมเอกหัวเราะเสียงหวาน “เรื่องไม่สลักสำคัญอะไร เพียงแค่ข้าเหงา อยากหาเพื่อนสนทนาเท่านั้น” จ้าวชิงเฟิงรู้สึกแปลกๆ กับถ้อยคำของนาง นางจะมาไม้ไหน? “นักปราชญ์กล่าว...ยิ่งสูงยิ่งหนาว...ช่างเป็นความจริงนัก” นางยกถ้วยน้ำชาที่นางกำนัลรินให้ขึ้นดื่มก่อนจะกล่าวต่อ “ฐานะยิ่งสูงส่ง ยิ่งหาเพื่อนสนทนาด้วยไม่ได้...ในเวลานี้ ผู้ที่มีฐานะเหมาะสมที่ข้าจะสนทนาด้วย ก็เห็นจะมีแต่พระชายาเท่านั้น” “.....” “ในฐานะที่เป็นภรรยาเอก ข้าต้อง
ที่หอหมื่นบัณฑิต...จ้าวชิงเฟิงได้พบกับบุคคลที่ไม่ได้คิดว่าจะได้พบ เขาคืออี้อัน วันนี้เขาแต่งกายสุภาพเรียบร้อย แม้ไม่หรูหรา แต่เนื้อผ้าดีสีเขียวหยก อี้อันมองเห็นจ้าวชิงเฟิงกับชินอ๋องก็ตรงเข้ามาประสานมือน้อมคำนับ “คารวะท่านอ๋อง คารวะพระชายา” “อืม/อืม” ชินอ๋องกับจ้าวชิงเฟิงต่างพยักหน้ารับคารวะ “คุณชายอี้อัน...มาทำอะไรที่หอหมื่นบัณฑิตนี่?” จ้าวชิงเฟิงถาม “เรียนพระชายา...ข้าน้อยมาแสดงผลงาน เพื่อฟังคำติชมของเหล่าบัณฑิตขอรับ และถือโอกาสศึกษาผลงานของผู้อื่นไปด้วยขอรับ” อี้อันกล่าวด้วยทีท่านอบน้อม “ที่แท้ท่านก็เป็นบัณฑิตผู้หนึ่ง...นับถือ ๆ” “หามิได้พระชายา...ข้าน้อยเป็นเพียงนักศึกษาต่ำต้อยคนหนึ่งเท่านั้น ที่เข้าหอหมื่นบัณฑิตนี้ได้ ล้วนอาศัยบารมีของท่านมหาอำมาตย์ช่วยส่งเสริมขอรับ” อี้อันกล่าวตามจริง... หอหมื่นบัณฑิตจะต้องเป็นบัณฑิตจึงจะเข้าเป็นสมาชิกได้ หรือมิฉะนั้นก็ต้องมีเจ้าใหญ่นายโตค้ำประกัน ยิ่งกว่านั้น การแสดงผลงานจะต้องเสียค่าเช่าพื้นที่ ซึ่งเป็นจำนวนเงินมิใช่น้อย เรื่องนี้ไม่เพียงเป็นปัญหาสำห
จ้าวชิงเฟิงถูกชินอ๋องอุ้มออกจากงานเลี้ยงไปขึ้นรถม้ากลับจวน พอถึงจวนก็ถูกอุ้มเข้าตำหนักใหญ่ “ข้าม่ายมาว ปล่อยข้า ข้าจาเดินเอง” จ้าวชิงเฟิงเอะอะโวยวายเพราะความเมา “ลูกผู้ชายอกสามศอกถูกอุ้มด้ายยางงาย...” “อกเจ้าไม่ถึงสามศอก ย่อมต้องถูกอุ้ม” ชินอ๋องเอ่ยอย่างนึกขัน “อย่าดิ้นสิฟูเหริน” พอถึงห้องนอน...ชินอ๋องก็วางจ้าวชิงเฟิงนอนลงบนเตียงอย่างเบามือ จ้าวชิงเฟิงผวาลุกขึ้น “ข้าจาอ้วก...โอ้กกกก” เจียงจ้านว่องไว คว้ากระโถนมารองรับไว้ทัน จ้าวชิงเฟิงอาเจียนจนหมดไส้หมดพุง ชินอ๋องก็ช่วยลูบหลังให้ พออาเจียนเสร็จ...จ้าวชิงเฟิงก็ผล็อยหลับไป ชินอ๋องจัดการเช็ดหน้าตาเนื้อตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้พระชายาด้วยตัวเอง เจียงจ้านจะช่วยทำให้ก็ไม่ยอม จัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว ชินอ๋องจึงให้เจียงจ้านช่วยปรนนิบัติอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าของตนเองบ้าง ก่อนเข้านอนชินอ๋องยังสั่งเจียงจ้านว่า “พรุ่งนี้เช้าจัดน้ำแกงสร่างเมาให้ฟูเหรินด้วย” “ขอรับ” เจียงจ้านรับคำ แล้วออกจากห้องไป ชินอ๋องจึงล้มตัวลงนอนเค
หลังจากมีราชโองการถอดถอนชื่อตู้จินเหลียนออกจากตำแหน่งพระชายาแห่งชินอ๋องแล้ว ลำดับชื่อในราชวงศ์ของตู้จินเหลียนก็ถูกลบทิ้ง ชื่อของจ้าวชิงเฟิงขยับขึ้นมาเป็นพระชายาชินอ๋องโดยไม่ต้องอยู่ภายใต้ชื่อของนางอีกต่อไป วันนี้...ชินอ๋องจะพาจ้าวชิงเฟิงมาร่วมงานฉลองวันพระราชสมภพขององค์ฮ่องเต้ จ้าวชิงเฟิงถูกบรรดาขันทีกับสาวใช้ช่วยกันจับแต่งตัวเสียยกใหญ่ “หยุดก่อน” จ้าวชิงเฟิงยกมือห้ามเสี่ยวหงที่กำลังจะทำอะไรสักอย่างบนดวงหน้าของเขา “เจ้าจะทำอะไร?” “ผัดแป้ง เขียนคิ้ว เติมชาด เจ้าค่ะ” “หยุดเลย...ข้าไม่ใช่สตรี” “พระชายา...” เสี่ยวชุ่ยเอ่ยแทรกขึ้น “พวกคุณชายผู้ดีมีตระกูลทั้งหลายล้วนผัดแป้งแต่งหน้ากันทั้งนั้น ไม่ปล่อยให้หน้าหมอง มันเยิ้ม มอมแมม หรอกเจ้าค่ะ” “ข้าเห็นซือหมิงก็ไม่ได้ผัดแป้งแต่งหน้า” จ้าวชิงเฟิงยกตัวอย่าง เสี่ยวชุ่ยเบะปาก “บุรุษหยาบกร้าน” “ท่านอ๋องก็ด้วย” จ้าวชิงเฟิงยังไม่ยอมแพ้ “ท่านอ๋องเป็นข้อยกเว้นเจ้าค่ะ” เสี่ยวหงกล่าว “อย่างไรเสีย...ข้าก็ไม่ยอมแต่งหน้า” จ