เสียงเอะอะเอ็ดตะโรจากนักพรตวัยสี่สิบผู้หนึ่งและนักพรตลูกศิษย์อีกสองคนดังอยู่ข้างนอกประตูจวน โดยมีชาวบ้านรายล้อมมุงดูอยู่จำนวนมาก
“ปีศาจจิ้งจอกอยู่ในจวนนี้!”
นักพรตประกาศเสียงดังก้อง
“ท่านนักพรต ท่านไม่กลัวตายหรือ? นี่จวนชินอ๋องเชียวนะ!”
มีชาวบ้านเอ่ยตักเตือน
“ผู้บำเพ็ญเซียนอย่างข้า มีหรือจะขี้ขลาดตาขาว เมื่อเห็นมีปีศาจก็จำเป็นต้องปราบเสียให้สิ้นซาก ที่นี่กลิ่นไอปีศาจรุนแรงยิ่งนัก ปล่อยเอาไว้เกรงว่าจะทำร้ายคนดี ทำร้ายชาวบ้านบริสุทธิ์”
เสียงพูดคุยกันดังระงม
“เมื่อสามวันก่อนอาไฉ่ที่ตรอกฆ่าสุกรอยู่ๆ ก็ตายทั้งที่ยังหนุ่มยังแน่น”
“อืมๆๆ...ข้าก็ได้ยินมาว่าพระชายารองเป็นปีศาจจิ้งจอกแปลงกายมา”
“คำเล่าลือลอยๆ ไม่มีหลักฐานเชื่อถือไม่ได้”
“เป็นสาวใช้ในจวนบอกเองว่า เขาไม่น่าจะใช่มนุษย์ กลิ่นกายหอมฟุ้ง ผิวพรรณละเอียดราวหยกเนื้อดี กิริยาท่าทางก็ยั่วยวน”
“ว่ากันว่า ชินอ๋องหลงรักเขาหัวปักหัวปำ”
“เมื่อหลายวันก่อนเขายังแต่งงานกับป้ายวิญญาณของคุณหนูเกา”
“ก่อนหน้านั้นเขากับคุณหนูเกาเกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้น แล้วจู่ๆ คุณหนูเกาก็ฆ่าตัวตาย”
“ทำไมคุณหนูเกาต้องฆ่าตัวตายด้วยล่ะ?”
“นั่นน่ะสิ ข้าก็สงสัย”
“อะแฮ่ม...” นักพรตกระแอมเสียงดัง “พวกเจ้าทุกคนเห็นหรือไม่ว่า มีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นติดต่อกันอย่างแปลกประหลาด”
“ใช่แล้วๆๆ...เซียนซือ(ท่านเซียน...เป็นคำเรียกนักพรตอย่างยกย่องนับถือ)” หลายเสียงอือออ “ท่านสามารถปราบปีศาจตนนี้ได้จริงๆ หรือ?”
“ย่อมได้แน่นอน”
เสียงปรบมือจากคนรอบข้างดังขึ้นเกรียวกราว
“แต่ก่อนอื่น...ข้าต้องเข้าไปในจวนเสียก่อน พวกเจ้ามาเรียกให้ทหารเปิดประตูเถิด”
ได้ยินว่าให้พวกตนไปเรียกให้ทหารเปิดประตูจวน...พวกชาวบ้านก็พากันถอยหลังไปหลายก้าว
ขณะเดียวกันพ่อบ้านเหลียงที่ได้รับรายงานว่ามีคนมาออกันอยู่หน้าประตูจวนก็ออกมาดู
“พวกเจ้าทำอะไร?”
“ข้าผู้บำเพ็ญเซียนจะมาช่วยเหลือผู้คนในจวนแห่งนี้ให้รอดพ้นจากปีศาจร้าย” นักพรตตอบ
“ใช่แล้วในจวนมีปีศาจจิ้งจอก” ชาวบ้านที่มุงดูอยู่ผู้หนึ่งเอ่ยเสริมขึ้นด้วยเสียงอันดัง
“เหลวไหล” พ่อบ้านเหลียงตวาด “ทหาร...ไล่พวกหลอกลวงพวกนี้ไปเสียให้หมด”
“ขอรับ” ทหารรับคำเข้มแข็ง กำลังจะทำการขับไล่นักพรตกับลูกศิษย์อีกสองคนอยู่นั้น
“ช้าก่อน” เสียงพระชายาก็ดังขัดขึ้น
พวกทหารจึงพากันหยุดนิ่ง
“มีเรื่องอะไรกัน?” พระชายาเอ่ยถาม
“ไม่มีเรื่องอะไรขอรับ พระชายา” พ่อบ้านเหลียงเอ่ย รู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่พระชายาออกมายังประตูจวนตามลำพังกับสาวใช้คนสนิทเพียงสองคน
ขณะเดียวกัน นักพรตกับลูกศิษย์ทั้งสองก็ประสานมือค้อมศีรษะคำนับ
“คารวะพระชายา...ข้าผู้บำเพ็ญเซียนกับศิษย์ทั้งสองผ่านมาทางนี้ ได้สัมผัสถูกกลิ่นไอปีศาจรุนแรงจากจวนแห่งนี้ จึงคิดจะทำการปราบปรามปีศาจร้ายให้สิ้นซาก หากปล่อยเอาไว้ ปีศาจร้ายจะทำร้ายผู้คนในจวนได้”
“เจ้ามีหลักฐานอะไรว่าในจวนมีปีศาจร้าย?” พระชายาแสร้งถาม
“ระยะนี้ในจวนเกิดเรื่องไม่สงบใช่หรือไม่?”
“อืม” พระชายาพยักหน้า “แล้วเช่นนี้ควรทำเช่นไรท่านนักพรต?”
“พระชายาถามถูกคนแล้ว...ข้าผู้บำเพ็ญเซียนจะเข้าไปทำการปราบปีศาจตนนี้เอง”
“ได้สิ...ตามข้ามา”
แล้วพระชายาก็พานักพรตกับศิษย์ทั้งสองเข้าไปในจวน
พ่อบ้านเหลียงเห็นท่าไม่ดี จึงรีบส่งคนไปรายงานชินอ๋องที่ประตูวังหลวง
พระชายาตู้จินเหลียนนำพวกนักพรตเข้ามาในจวน มีบ่าวชายของตำหนักพระชายาจำนวนนับสิบรออยู่ก่อน แล้วพากันมายังตำหนักใหญ่
“ที่นี่คือตำหนักใหญ่...เป็นที่อยู่ของท่านอ๋องกับพระชายารอง”
“ใช่แล้ว...ที่ตำหนักแห่งนี้แหละกลิ่นไอปีศาจรุนแรงยิ่งนัก” นักพรตกล่าว
“เจ้าไปเรียกพระชายารองมาพบข้า” พระชายาสั่งสาวใช้ที่ทำงานทั่วไปซึ่งยืนสงบอยู่ด้านข้าง
“เจ้าค่ะ” นางยอบกายรับคำสั่ง แล้วไปรายงานคุณชายที่ห้องหนังสือ
ไม่ช้า...คุณชายก็เดินนำจางจงกับสามสาวใช้มาพบพระชายาที่ห้องโถงรับรอง
“คารวะพระชายา” ทุกคนที่มาถึงต่างทำความเคารพต่อพระชายา
“จ้าวฟูเหริน ไม่ต้องมากพิธี”
พระชายากล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“เซียนซือท่านนี้มีญาณวิเศษ เล็งเห็นว่ามีปีศาจร้ายสิงสู่อยู่ในจวน ทำให้ผู้คนในจวนประสบเคราะห์ร้าย ท่านก็เลยจะมาช่วยปัดเป่าให้”
คุณชายเพียงยิ้มจางๆ
ส่วนจางจงกับอีกสามสาวอยากร้องดังๆว่า...เหลวไหล
แต่...ได้แต่คิดในใจไม่กล้าเอ่ยออกมา
“ข้าคิดว่าเชื่อไว้ก็ไม่เสียหาย” พระชายาเอ่ยเสียงนุ่ม “จ้าวฟูเหริน เจ้าว่าจริงหรือไม่?”
“ขอรับ” คุณชายรับคำเบาๆ
“ถ้าเช่นนั้น...ก็ให้เซียนซือเริ่มพิธีเลย”
ว่าแล้วพระชายาก็นั่งลงที่เก้าอี้ประจำตำแหน่งพระชายา แต่คุณชายนั่งลงที่เก้าอี้สำหรับแขก
นักพรตดึงกระบี่ไม้ท้อออกมาร่ายรำ สองศิษย์สั่นกระดิ่ง...
นักพรตร่ายรำกระบี่อยู่นานราวหนึ่งก้านธูป(ราวยี่สิบนาที) ก็จ่อปลายกระบี่มาที่หน้าอกของจ้าวชิงเฟิง
จางจงกับสามสาวจะเข้าขวางก็ถูกบ่าวชายตำหนักพระชายาจับตัวเอาไว้
“ปีศาจร้ายแอบแฝงอยู่ในกายของพระชายารอง” นักพรตกล่าวเป็นจริงเป็นจัง
“หา...” พระชายาแสร้งอุทาน “เช่นนี้จะทำอย่างไรดี”
“มิต้องกังวล ข้าจะขับไล่มันออกไปเอง” ว่าแล้วก็ร่ายรำกระบี่ไม้ท้อฉวัดเฉวียนไปมารอบๆ ตัวของคุณชายที่นั่งนิ่งเฉย อีกนานราวหนึ่งเค่อ(สิบห้านาที)
แล้วร้อง “ไอ้หยา...ปีศาจตนนี้ดื้อด้านยิ่งนัก...จำต้องให้พระชายารองดื่มน้ำยันต์”
นักพรตจัดการเผายันต์แผ่นหนึ่งใส่ไว้ในชาม รอจนแผ่นยันต์เหลือเพียงขี้เถ้าจึงเทน้ำลงไปในชาม ขณะทำพิธีเขาเอาตัวบังเอาไว้และลอบใส่ยาพิษลงไปด้วย จากนั้นยกชามน้ำยันต์มาให้คุณชาย
คุณชายรับชามมาถือเอาไว้
“คุณชายอย่าดื่ม” จางจงที่ถูกบ่าวชายสามคนจับตัวพยายามดิ้นรนและร้องห้าม
“ฟูเหรินอย่าดื่มๆ” เสี่ยวหงเสี่ยวชุ่ยร้องห้ามเสียงหลง
“ท่านเขยอย่าดื่ม” เสี่ยวเตี๋ยดิ้นและร้องสุดเสียง
สามสาวถูกบ่าวชายของพระชายาจับตัวเอาไว้เช่นเดียวกัน
บ่าวทั้งสี่ทั้งดิ้นทั้งร้อง
จ้าวชิงเฟิงถอนหายใจเบาๆ...ลาก่อนชีวิตที่ไร้ค่า!
แล้วยกชามน้ำยันต์ขึ้นจรดริมฝีปาก...
แต่ไม่ทันได้ดื่ม...วัตถุชิ้นหนึ่งก็พุ่งมากระแทกชามหลุดจากมือของจ้าวชิงเฟิง เพล้งงงง ! ชามตกแตก...น้ำในชามสาดกระจาย ก่อนที่ใครจะทันได้ตั้งสติ “จับให้หมดทุกคน” เหล่าองครักษ์ที่กรูกันเข้ามาจับบ่าวของพระชายาไว้ทุกคนทันที ส่วนนักพรตและสองศิษย์ที่มีฝีมือหมัดมวยอยู่บ้าง ได้ต่อสู้อย่างสุดกำลัง แต่เพียงไม่กี่กระบวนท่าก็ถูกองครักษ์จับกุมเอาไว้อย่างแน่นหนา ช่วงเวลาชุลมุนวุ่นวาย...แต่ละคนหน้าเปลี่ยนสีแล้วเปลี่ยนสีอีก มีเพียงคุณชายคนเดียวเท่านั้นที่หน้าไม่เปลี่ยนสี ยังคงสงบนิ่งดังเดิม! ชินอ๋องมองหน้าคุณชายอย่างโกรธเกรี้ยว...แต่คุณชายก็ทำเพียงเมินมองไปทางอื่น “ท่านอ๋องเจ้าคะ...” พระชายาตู้ซึ่งไม่ถูกองครักษ์จับกุมตัว เพราะตำแหน่งพระชายา เหล่าองครักษ์จึงไม่กล้าแตะต้องตัวนาง พอรวบรวมสติได้ ก็รีบลุกขึ้นยืนละล่ำละลักเอ่ยขึ้น “เรื่องนี้เป็นเพียงการเข้าใจผิดกันเท่านั้นเจ้าค่ะ” ชินอ๋องไม่ตอบว่าอะไร เจียงจ้านใช้เข็มเงินแตะหย่อมน้ำบนพื้น เข็มเงินปรากฏสีดำเคลือบชั้นหนึ่ง “มีพิษขอรับ” “นำตัวทุกคนที่อยู่ใ
“เจ้ากำลังทำให้ข้าบ้าคลั่งรู้ไหม ฟูเหริน” ชินอ๋องขยับขึ้นไปหยอกเอินกับปลายยอดสีชมพูระเรื่อ ทั้งขบเม้มลามเลียจนเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีเข้ม เขาก็ขยับไปทำแบบเดียวกันกับอีกข้าง “หน้าอกของเจ้าสวยเหลือเกิน”“....” คุณชายจะตอบอะไรได้ ได้แต่ข่มความเจ็บปวดเอาไว้จนปากสั่นเมื่ออิ่มหนำกับยอดอกสีระเรื่อแล้ว ชินอ๋องก็ขยับตัวลงมาชิมแก่นกายน่ารักที่มีขนาดพอเหมาะกับเจ้าของบ้าง กลิ่นกายคุณชายช่างหอมยั่วยวนจนเขาอยากจะฝังตัวตนลงไปเสียเดี๋ยวนี้ แต่ก็ต้องอดทนอีกหน่อย เพราะไม่อยากให้คุณชายทรมานจนเกินไป แค่นี้ก็คงเจ็บปวดใจมากแล้วที่ต้องฝืนทนมาร่วมรักกับเขาทันทีที่ลิ้นร้อนลากผ่านส่วนล่างของคุณชาย ร่างกายก็สั่นสะท้านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คุณชายพยายามเบี่ยงตัวหนีความรู้สึกแปลกใหม่ที่ไม่เคยพานพบ แต่ก็ถูกตรึงด้วยมือใหญ่ทั้งสองข้าง ทำให้ไม่สามารถขยับตัวไปไหนได้ จึงได้แต่กัดฟันเพื่อไม่ให้มีเสียงเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากคู่งาม แต่มันไม่ง่ายเลยเพราะชินอ๋องเข้าครอบครองส่วนล่างทั้งหมด และกำลังทำให้คุณชายหัวสมองขาวโพลนและเสียวซ่าน“พอเถอะท่านอ๋อง ข้าไม่ได้ต้องการแบบนี้! ” จ้าวชิงเฟิงบอกอย่างขอร้อง เพราะไม่อาจต้านทานควา
ที่ตำหนักพระชายา... พระชายาผุดลุกผุดนั่งด้วยจิตใจอันร้อนรุ่ม ขณะนี้นางถูกกักบริเวณ แม้มีบ่าวมาคอยส่งข้าวปลาอาหาร แต่ไม่เหลือบ่าวรับใช้ข้างกายเลยสักคนเดียว แม้แต่ตงเหมยยังถูกจับตัวไปสอบสวนด้วย ถ้าความลับเปิดเผย...นางจะมีโทษมากน้อยแค่ไหน? พระชายากลัดกลุ้มแทบเป็นบ้า แต่โทษของภรรยาเอกที่คิดร้ายต่อภรรยาน้อย...ยังไงก็ไม่ต้องถึงตาย อย่าว่าถึงตายเลย แม้แต่หย่าก็ยังทำไม่ได้ ทว่า...หากโทษอีกอย่างถูกเปิดเผยล่ะ! กลุ้ม...กลุ้ม...กลุ้ม... “ข้ากลุ้มจะตายอยู่แล้ว!” ชินอ๋องให้เจียงกงกงเฝ้าอยู่หน้าเตียงนอนที่พระชายารองนอนสลบไสลอยู่ ส่วนตนเองออกไปที่ห้องโถงรับรองซึ่งกลายเป็นที่พิพากษาไปแล้ว คนแรกที่ถูกลากมาให้การคือนักพรตกับสองศิษย์ ซึ่งทั้งสามมีสภาพถูกทารุณทรมานจนยับเยินไปทั้งตัว พ่อบ้านเหลียงนำขวดยาพิษมาให้ชินอ๋องดู “นี่คือยาพิษที่ค้นได้จากตัวนักพรต และเป็นชนิดเดียวกันกับที่อยู่ในชามน้ำยันต์ขอรับ” “ทำไมเจ้าถึงคิดจะฆ่าฟูเหรินของข้า?” ชินอ๋องถามเสียงเย็นชา “ข้าน้อยมิกล้าขอรับ”
ใช้เหตุผลให้มากไว้...คำเตือนของท่านหมอทำให้ชินอ๋องคิด เขารู้จักจ้าวชิงเฟิงมากน้อยแค่ไหน? แท้จริงแล้ว...น้อยนิดยิ่งนัก แต่หัวใจของเขากลับถลำลึก ตกหลุมรัก จนตะเกียกตะกายขึ้นมาไม่ไหว หรือถึงจะไหว เขาก็ไม่เต็มใจจะขึ้นมา! ทว่าจ้าวชิงเฟิงที่อายุน้อยเพียงนี้ กลับมีดวงตางามที่แฝงแววเศร้า ราวกับเก็บซ่อนความในใจเอาไว้มากมาย... ชินอ๋องจึงเรียกจางจงมาพบที่ห้องหนังสือ จางจงคุกเข่าหมอบคำนับอยู่ตรงหน้าชินอ๋อง “คารวะท่านอ๋อง” “ไม่ต้องมากพิธี” จางจงจึงลุกขึ้นแล้วยืนอย่างสำรวม “จางจง เจ้าจงเล่าเรื่องราวของฟูเหรินมาให้ข้าฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วน” “ขอรับ” จางจงรับคำ “คุณชายเป็นโอรสของฮ่องเต้แคว้นเป่ย ที่เกิดจากนางสนมหูนางสนมไร้ยศ จึงมิได้โดดเด่นเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ บ่าวได้รับใช้คุณชายตั้งแต่แรกเกิด พอคุณชายอายุสิบสี่ก็ถูกส่งมาเป็นของบรรณาการแก่ต้าหนาน ถูกท่านอ๋องรับเป็นอนุชายา อาศัยอยู่ที่เรือนเล็กท้ายจวนมานานสามปี โดยไม่เคยก้าวเท้าออกจากจวนเลยแม้แต่ก้าวเดียว จนกระทั่งได้พบท่านอ๋องที่กลับมาคราวนี้...เรื่องราวของคุณ
งานศพของพระชายาตู้จินเหลียนจัดเป็นเวลาเจ็ดวันแล้วทำพิธีฝัง ตงเหมยย่อมต้องตอบคำถามของราชครูตู้เสียงผู้เป็นบิดาของพระชายาตู้จินเหลียน ในทิศทางเดียวกันกับที่ชินอ๋องสั่ง เพื่อเป็นการปกป้องตัวของนางเองด้วย... ราชครูตู้เสียงจึงได้แต่ร้องไห้รำพันว่า “ลูกเอ๊ย...ไม่น่าเลย ไม่น่าเชื่อถือคนเลวอย่างนักพรตชั่วช้าพวกนั้นเลย” ชาวบ้านชาวเมืองที่ได้รู้ได้เห็นเหตุการณ์ที่พระชายาตู้เชื้อเชิญให้นักพรตเข้าจวนด้วยตัวของนางเอง ก็กลายเป็นพยานอย่างดี และร่ำลือกันไปทั่วว่า พระชายาตู้เคราะห์ร้ายนักหลงเชื่อนักพรตชั่วจนตัวตาย ส่วนพระชายารองก็พลอยถูกพิษเล่นงานจนป่วยหนัก...แม้นักพรตชั่วต้องโทษประหารก็ไม่สาสมกับความผิด แต่พระชายาตู้จินเหลียนเพิ่งจะฝังเสร็จ...ก็มีเสนาอำมาตย์ส่งรูปเหมือนของบุตรสาวพร้อมจดหมายบรรยายคุณสมบัติต่างๆ นานา มาที่จวนชินอ๋องถึงสี่ราย ในท้องพระโรงที่ประชุมขุนนาง ก็มีการกล่าวถึงเรื่องหาพระชายาใหม่ให้ชินอ๋องเช่นกัน “ชินอ๋องเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งต้าหนาน ต้องมาสูญเสียพระชายาอันเป็นที่รักดั่งดวงใจไปอย่างกะทันหัน ฝ่าบาทโปรดเร่งจัดงานมงคลแต่งตั้งพ
ข่าวการแต่งตั้งพระชายารองเป็นพระชายาเอกแห่งจวนชินอ๋องรู้ไปทั่วทั้งเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว รวมถึงราชครูตู้เสียงกับบุตรบุญธรรมตู้หยางป๋อด้วย ตู้หยางป๋อ...แท้ที่จริงเป็นบุคคลมีสองสกุล(แซ่) ชื่อเดิมคือหยางป๋อ เป็นบุตรชายของน้องสาวราชครูตู้เสียง เนื่องจากบิดามารดาเสียชีวิต และไม่มีญาติทางบิดาเหลืออยู่ จึงมาอาศัยอยู่กับราชครูตู้เสียงผู้เป็นลุงตั้งแต่อายุสิบสอง ราชครูตู้เสียงไม่มีบุตรชายจึงรับหยางป๋อเป็นบุตรบุญธรรม ให้ใช้สองสกุล คือสกุลตู้กับสกุลหยาง หวังจะให้เป็นผู้สืบทอดสกุลทั้งสอง หยางป๋อมีวัยเดียวกันกับตู้จินเหลียน ทั้งสองจึงสนิทสนมกันมาก จนถึงวัยแตกเนื้อหนุ่มเนื้อสาว ทั้งสองใกล้ชิดกันจนเกินเลยกลายเป็นชู้สาว เรื่องนี้คนทั้งคู่ปิดบังมิให้ราชครูตู้เสียงล่วงรู้ พอได้ข่าวว่าจ้าวชิงเฟิงได้รับการแต่งตั้งเป็นพระชายาเอกของชินอ๋อง...หยางป๋อก็รู้สึกคาใจกับการเสียชีวิตของตู้จินเหลียนขึ้นมาทันที เขารีบไปพบราชครูตู้เสียงที่ห้องหนังสือ “ท่านพ่อ” “อืม...มีเรื่องอะไรหรือ?” ท่านราชครูกำลังนั่งจิบน้ำชา “ท่านได้ข่าวพระชายาใหม่จวนชินอ๋องหรือยังขอ
ชินอ๋องเทเหล้าสีแดงสดใสจากขวดกระเบื้องทรงกลมแบนเขียนลวดลายสวยงาม ลงในถ้วยหยกขาว แล้วยกมาตั้งตรงหน้าจ้าวชิงเฟิง “นี่เป็นสุราผลไม้จากเปอร์ซี เป็นของ...” เขาเกือบหลุดคำว่า...ของบรรณาการ...ออกมา โชคดีที่ยั้งปากเอาไว้ทัน แล้วเปลี่ยนเป็น “ของดีหายาก” เพราะเกรงว่า...จะแสลงใจพระชายาบุรุษ จ้าวชิงเฟิงมองชินอ๋องด้วยแววตาระแวดระวัง...ว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหนกับตนกันแน่! “ข้าดื่มเหล้าไม่เป็นขอรับ” “ไม่เป็นไร...นี่เป็นสุรารสอ่อนหอมหวานเหมาะกับสตรี...เอ้อ...และบุรุษที่ดื่มเหล้าไม่เป็น บำรุงเลือด บำรุงร่างกาย” เอ่ยสรรพคุณเสร็จ ชินอ๋องก็ยกถ้วยหยกขาวจ่อปากพระชายา จ้าวชิงเฟิงรีบยกมือกันเอาไว้ ถามว่า “แล้วท่านอ๋องไม่ดื่มหรือขอรับ?” ชินอ๋องวางถ้วยสุราผลไม้(เหล้าองุ่น)ลงบนโต๊ะอาหาร แล้วโบกมือให้เจียงจ้าน “ของข้าต้องสุรารสร้อนแรงถึงจะสะใจสมอยาก” เจียงจ้านส่งถ้วยทองคำใบใหญ่ที่มีสุราสีใสราวตาตั๊กแตนให้ถึงมือชินอ๋อง ชินอ๋องยกขึ้นดื่มอึกใหญ่ กลิ่นสุราเข้มข้นโชยต้องจมูกพระชายา แล้วชินอ๋องก็วางถ้วย
“ข้าต้องการเจ้าเหลือเกิน...ฟูเหริน” ท่านอ๋องก้มลงดูดดื่มปลายยอดสีระเรื่อทั้งสองข้างสลับไปสลับมาอย่างเร่าร้อน “ข้าจะทะนุถนอมเจ้าที่สุดนะ”“ข้าก็ปรารถนาท่าน” จ้าวชิงเฟิงบอกเสียงหวาน ยิ่งทำให้เขาแทบจะระเบิดความร้อนออกมาในตอนนี้“งั้นเจ้าออกมาจากอ่างก่อน” ชินอ๋องพูดพลางประคองร่างบอบบางออกจากอ่าง แล้วจัดท่าให้อีกฝ่ายยืนโก้งโค้ง ส่วนตัวของเขานั่งคุกเข่า มือทั้งสองประคองบั้นท้ายงาม ก่อนจะใช้ลิ้นร้อนลามเลียไปทั่วผิวเรียบเนียนโดยเฉพาะซอกสวาทของพระชายาจ้าวชิงเฟิงตัวเกร็งด้วยความซ่านสยิวและครางออกมาเบาๆ แค่นั้นก็ทำให้ท่านอ๋องแทบควบคุมความต้องการของตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ เขาต้องหักห้ามใจไม่ผลีผลามอยู่นาน เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องเจ็บปวดเหมือนคราแรกชินอ๋องใช้ขี้ผึ้งชนิดพิเศษที่เตรียมมาทาที่นิ้วมือ ก่อนจะสอดเข้าไปในซอกสวาทที่แน่นกระชับเพื่อการหล่อลื่นที่ดีขึ้น เขาขยับเข้าออกอยู่สักพักจนมั่นใจว่าอีกฝ่ายจะไม่เจ็บ ก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สอดใส่ความเป็นชายเข้าไปช้าๆ จนมิดและขยับเข้าออกอย่างระมัดระวัง“เป็นอย่างไรบ้างฟูเหริน เจ็บมากหรือไม่?”พระชายาส่ายหัวเล็กน้อยแทนคำตอบ ตอนนี้เขารู้สึกเจ็บแต่ก็ไม่มากเ
ชินอ๋องสั่งปิดประตูเมือง ให้ทหารตรวจค้นทุกซอกทุกมุม เป็นเรื่องเอิกเกริกจนฮ่องเต้ส่งคนมาถาม “ท่านอ๋อง...นี่มันเกิดเรื่องอะไรขอรับ?” ขันทีจากวังหลวงค้อมกายถามเสียงนุ่ม “อ๋องห้าลักพาตัวพระชายาของข้าไป” ชินอ๋องตอบเสียงมะนาวไม่มีน้ำ “ว้าย...ตายแล้ว...นี่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? วันนี้มิใช่อ๋องห้าแต่งพระชายาหรอกหรือ?” ชินอ๋องหงุดหงิดรำคาญ จึงให้ขันทีจากวังหลวงไปไถ่ถามเรื่องราวจากองครักษ์คนหนึ่งแทน สลัดหลุดจากขันทีจากวังหลวง ก็มาเจอมหาเสนาบดีชิวสงส่งเสียงเอะอะโวยวาย “บุตรสาวข้าอยู่ที่ไหนๆ...” ชินอ๋องพยักหน้าให้องครักษ์อีกนายหนึ่ง เอ่ยเสียงรำคาญว่า “เจ้าไปจัดการที” องครักษ์ค้อมศีรษะรับคำสั่ง แล้ววิ่งไปรับหน้ามหาเสนาบดีทันที “คุณหนูชิวอยู่ทางนี้ขอรับ” องครักษ์บอกมหาเสนาบดีแล้ว พาไปยังห้องห้องหนึ่งของตำหนักอ๋องห้า “คุณหนูชิวอยู่ในห้องนี้ขอรับ” มหาเสนาบดีได้ยินเสียงกุกกักๆ พอเปิดประตูเข้าไป ก็เห็น...ชิวมู่ตานถูกมัดมือมัดเท้ามีผ้าอุดปาก นั่งอยู่บนเตียง กำลังดิ้นรน “ทำไมพวกเจ้าทำกับบุตรสาว
เจ็ดวันต่อมา... คณะทูตของซีเซี่ยก็เดินทางกลับ พร้อมกับนำขบวนเดินทางไปอภิเษกสมรสขององค์หญิงหลี่หมิงจูไปด้วย ทางด้านอ๋องห้าได้ส่งแม่สื่อไปทาบทามสู่ขอคุณหนูชิวมู่ตาน บุตรสาวคนเล็กของมหาเสนาบดีชิวสง “ท่านเจ้าขา...บุตรเขยเช่นอ๋องห้า มิใช่จะหาได้ง่ายๆ นะเจ้าคะ” แม่สื่อจีบปากจีบคอกล่าว “อ๋องห้ารูปโฉมงามสง่า ข้าไม่เถียง แต่เขามีอนุหญิงชายมากมาย นิสัยเสเพลไม่เอาการเอางาน...ข้าเกรงว่าบุตรสาวของข้าแต่งไปแล้วต้องกลัดกลุ้มเพราะเหล่าอนุเป็นเหตุ” มหาเสนาบดีกล่าวตรงๆ ไม่อ้อมค้อม “โหะๆๆ...” ลิ้นแม่สื่อมีหรือจะจนหนทาง “คำโบราณกล่าวเอาไว้ว่า...ภรรยาที่ดีสามารถเปลี่ยนแปลงสามีได้ คุณหนูมู่ตานทั้งสวยทั้งฉลาด ย่อมสามารถชักนำให้ท่านอ๋องห้าเลิกความเคยชินเก่าก่อน ให้ท่านอ๋องห้ากลับกลายเป็นเปี่ยมล้นด้วยความสามารถและสง่าราศีได้ไม่ยาก ส่วนเรื่องอนุหญิงชายนั้น มีผู้ใดสามารถกล้าเปรียบเทียบกับคุณหนูมู่ตานเล่า คุณหนูมู่ตานจะแต่งไปเป็นพระชายาเอกนะเจ้าคะ จะให้อนุคนใดเป็นหรือตายก็ย่อมได้ อีกประการหนึ่งคุณหนูก็อายุสิบเจ็ดแล้ว รอช้านักจะกลายเป็นดอกไ
คณะทูตจากซีเซี่ยมาเยือนต้าหนาน... ฮ่องเต้ทรงอนุญาตให้ราชทูตเข้าเฝ้าในท้องพระโรง ราชทูตแห่งซีเซี่ยถวายเครื่องบรรณาการ และราชสาส์นสู่ขอองค์หญิงหมิงจูให้กับรัชทายาทซีเซี่ย ฮ่องเต้ขอเวลาพิจารณาเรื่องสู่ขอสามวัน อีกสามวันจะจัดเลี้ยงคณะทูตและให้คำตอบ อ๋องห้าไปที่ตำหนักขององค์หญิงหมิงจู เล่าเรื่องที่ราชทูตจากซีเซี่ยมาสู่ขอนางให้นางฟัง “ทำไมข้าต้องแต่งไปซีเซี่ยด้วย?” องค์หญิงหมิงจูกล่าวด้วยดวงหน้าบูดบึ้ง “เจ้าปีนี้อายุสิบเจ็ดแล้วนะ...ไม่แต่งตอนนี้ แล้วจะรอถึงเมื่อไหร่?” “ข้าไม่ได้ชอบรัชทายาทซีเซี่ยสักหน่อย” องค์หญิงตอบเสียงสะบัด “แล้วเจ้าชอบใคร?” “.....” “อย่าบอกนะว่าชอบจ้าวชิงเฟิง?” “.....” “ข้าล่ะเห็นใจเจ้าจริงๆ...คู่ยวนยาง(นกเป็ดน้ำแมนดาริน มักจะอยู่กันเป็นคู่แบบผัวเดียวเมียเดียว เป็นตัวแทนรักแท้ของชายหญิง)ที่ดี กลับถูกชินอ๋องฉกชิงไปเสียนี่” “พี่ห้า อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีก” องค์หญิงเสียงเครือ “ไม่ให้ข้าพูดออกมาบ้าง ข้าก็รู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรมแท
“ตาเฒ่าเกาชงเป็นพ่อตาของคนแซ่จ้าว” พระสนมเอกซูเฟยกัดริมฝีปากล่าง ก่อนจะกล่าวต่อ “เมื่อหลายวันก่อน ข้าเรียกคนแซ่จ้าวมาสนทนาด้วยเรื่องของมู่ตาน เขาทำท่าทางสงบเสงี่ยม แต่ก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมรับปาก ข้าจึงพูดถึงอิทธิพลอำนาจของตระกูลชิว เพื่อข่มขวัญเขา คิดไม่ถึงว่าเขาจะมารยาออดอ้อนชินอ๋องให้ไปผูกไมตรีกับตระกูลเกาเสียได้” “เช่นนี้...เรื่องที่จะให้มู่ตานเป็นพระชายารองของชินอ๋อง ดูท่าจะยากเสียแล้ว” มหาเสนาบดีถอนหายใจ “ในยามนี้บุรุษที่มีฐานะคู่ควรกับมู่ตานก็มีไม่มากนัก ชินอ๋องเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ส่วนอ๋องห้าก็เสเพลไม่ได้เรื่องได้ราว เอาแต่เสพสุขไปวันๆ” “เอาเช่นนี้สิท่านพ่อ” พระสนมเอกซูเฟยเสนอความคิด “รอดูบัณฑิตใหม่ของปีนี้ ว่าบัณฑิตทั้งสามคน ผู้ใดหน่วยก้านดี ก็เลือกคนนั้น ข้าจะขอสมรสพระราชทานให้กับมู่ตาน...ตาเฒ่าเกาชงสนับสนุนบุตรบุญธรรมของเขา ท่านพ่อก็สนับสนุนบุตรเขย...ดูซิว่า ระหว่างบุตรบุญธรรมคนเดียวของตาเฒ่าเกาชง จะสู้บุตรทั้งสองคนและบุตรเขยตระกูลชิวได้หรือไม่” “เกรงจะไม่ง่ายเช่นนั้นน่ะสิ” มหาเสนาบดีมีสีหน้าระอา “มู่ตานเอาแต่ใจ ร่ำร้องแต่จะแต่งกับชินอ๋อง ตั้
มหาอำมาตย์เกาชงมองผู้มาเยือนอย่างประหลาดใจ พอได้สติก็รีบประสานมือน้อมคำนับ “คารวะท่านอ๋องและพระชายา” “ไม่ต้องมากพิธี” ชินอ๋องกล่าว “วันนี้ข้าตั้งใจพาฟูเหรินมาเยี่ยมท่านโดยเฉพาะ” “ขออภัยที่ข้าน้อยต้อนรับบกพร่อง” มหาอำมาตย์เกาชงกล่าวพลางผายมือ “เชิญท่านอ๋องกับพระชายาเข้าไปนั่งด้านในก่อนขอรับ” เมื่อทั้งสามเข้าไปนั่งในห้องโถงรับรองของจวนมหาอำมาตย์เรียบร้อย บ่าวทาสจากจวนชินอ๋องก็นำของฝากล้ำค่ามีราคาเข้ามาสี่หาบใหญ่ มาวางไว้ในห้องโถงแห่งนั้น ของเหล่านั้นเป็นชินอ๋องสั่งให้จัดหามาทั้งสิ้น “นี่คือของกำนัลที่ฟูเหรินของข้านำมาคารวะท่านซึ่งเป็นพ่อตาของเขา” ชินอ๋องกล่าว พลางผายมือไปที่สิ่งของในหีบห่อสีแดง มหาอำมาตย์เกาชงมองมาที่จ้าวชิงเฟิงด้วยนัยน์ตาแดงระเรื่อขึ้น...อดคิดถึงบุตรสาวที่จากไปไม่ได้ จ้าวชิงเฟิงรับรู้ได้...จึงถามเสียงเบา “ท่านพ่อตา...หมู่นี้สบายดีหรือไม่?” “ดีๆ...ข้าสบายดี” “ข้าขออภัย ที่มาเยี่ยมเยียนท่านช้านัก” “มาก็ดีแล้ว...เอ้อ...พระชายา” “ท่านอย่าเรียกข้า.
พระสนมเอกซูเฟยชิวเหมยกุ้ย อายุ 22 ปี รูปร่างหน้าตาสวยงามปานภาพวาด ในความอ่อนโยนมีความสง่างาม นางต้อนรับจ้าวชิงเฟิงที่ศาลาชมอุทยาน เป็นการป้องกันการครหานินทาด้วย จ้าวชิงเฟิงประสานมือน้อมคำนับ “คารวะพระสนมเอกขอรับ” นางพยักหน้ารับการคารวะ “เชิญนั่งก่อนพระชายา” จ้าวชิงเฟิงรอให้นางนั่งลงก่อน จึงนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับนาง บนโต๊ะหินที่กั้นระหว่างคนทั้งสองมีชุดน้ำชา และจานขนมมากมายวางอยู่ “พระสนมเอกมีธุระอันใดกับข้าน้อยขอรับ?” จ้าวชิงเฟิงกล่าวถามตรงๆ พระสนมเอกหัวเราะเสียงหวาน “เรื่องไม่สลักสำคัญอะไร เพียงแค่ข้าเหงา อยากหาเพื่อนสนทนาเท่านั้น” จ้าวชิงเฟิงรู้สึกแปลกๆ กับถ้อยคำของนาง นางจะมาไม้ไหน? “นักปราชญ์กล่าว...ยิ่งสูงยิ่งหนาว...ช่างเป็นความจริงนัก” นางยกถ้วยน้ำชาที่นางกำนัลรินให้ขึ้นดื่มก่อนจะกล่าวต่อ “ฐานะยิ่งสูงส่ง ยิ่งหาเพื่อนสนทนาด้วยไม่ได้...ในเวลานี้ ผู้ที่มีฐานะเหมาะสมที่ข้าจะสนทนาด้วย ก็เห็นจะมีแต่พระชายาเท่านั้น” “.....” “ในฐานะที่เป็นภรรยาเอก ข้าต้อง
ที่หอหมื่นบัณฑิต...จ้าวชิงเฟิงได้พบกับบุคคลที่ไม่ได้คิดว่าจะได้พบ เขาคืออี้อัน วันนี้เขาแต่งกายสุภาพเรียบร้อย แม้ไม่หรูหรา แต่เนื้อผ้าดีสีเขียวหยก อี้อันมองเห็นจ้าวชิงเฟิงกับชินอ๋องก็ตรงเข้ามาประสานมือน้อมคำนับ “คารวะท่านอ๋อง คารวะพระชายา” “อืม/อืม” ชินอ๋องกับจ้าวชิงเฟิงต่างพยักหน้ารับคารวะ “คุณชายอี้อัน...มาทำอะไรที่หอหมื่นบัณฑิตนี่?” จ้าวชิงเฟิงถาม “เรียนพระชายา...ข้าน้อยมาแสดงผลงาน เพื่อฟังคำติชมของเหล่าบัณฑิตขอรับ และถือโอกาสศึกษาผลงานของผู้อื่นไปด้วยขอรับ” อี้อันกล่าวด้วยทีท่านอบน้อม “ที่แท้ท่านก็เป็นบัณฑิตผู้หนึ่ง...นับถือ ๆ” “หามิได้พระชายา...ข้าน้อยเป็นเพียงนักศึกษาต่ำต้อยคนหนึ่งเท่านั้น ที่เข้าหอหมื่นบัณฑิตนี้ได้ ล้วนอาศัยบารมีของท่านมหาอำมาตย์ช่วยส่งเสริมขอรับ” อี้อันกล่าวตามจริง... หอหมื่นบัณฑิตจะต้องเป็นบัณฑิตจึงจะเข้าเป็นสมาชิกได้ หรือมิฉะนั้นก็ต้องมีเจ้าใหญ่นายโตค้ำประกัน ยิ่งกว่านั้น การแสดงผลงานจะต้องเสียค่าเช่าพื้นที่ ซึ่งเป็นจำนวนเงินมิใช่น้อย เรื่องนี้ไม่เพียงเป็นปัญหาสำห
จ้าวชิงเฟิงถูกชินอ๋องอุ้มออกจากงานเลี้ยงไปขึ้นรถม้ากลับจวน พอถึงจวนก็ถูกอุ้มเข้าตำหนักใหญ่ “ข้าม่ายมาว ปล่อยข้า ข้าจาเดินเอง” จ้าวชิงเฟิงเอะอะโวยวายเพราะความเมา “ลูกผู้ชายอกสามศอกถูกอุ้มด้ายยางงาย...” “อกเจ้าไม่ถึงสามศอก ย่อมต้องถูกอุ้ม” ชินอ๋องเอ่ยอย่างนึกขัน “อย่าดิ้นสิฟูเหริน” พอถึงห้องนอน...ชินอ๋องก็วางจ้าวชิงเฟิงนอนลงบนเตียงอย่างเบามือ จ้าวชิงเฟิงผวาลุกขึ้น “ข้าจาอ้วก...โอ้กกกก” เจียงจ้านว่องไว คว้ากระโถนมารองรับไว้ทัน จ้าวชิงเฟิงอาเจียนจนหมดไส้หมดพุง ชินอ๋องก็ช่วยลูบหลังให้ พออาเจียนเสร็จ...จ้าวชิงเฟิงก็ผล็อยหลับไป ชินอ๋องจัดการเช็ดหน้าตาเนื้อตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้พระชายาด้วยตัวเอง เจียงจ้านจะช่วยทำให้ก็ไม่ยอม จัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว ชินอ๋องจึงให้เจียงจ้านช่วยปรนนิบัติอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าของตนเองบ้าง ก่อนเข้านอนชินอ๋องยังสั่งเจียงจ้านว่า “พรุ่งนี้เช้าจัดน้ำแกงสร่างเมาให้ฟูเหรินด้วย” “ขอรับ” เจียงจ้านรับคำ แล้วออกจากห้องไป ชินอ๋องจึงล้มตัวลงนอนเค
หลังจากมีราชโองการถอดถอนชื่อตู้จินเหลียนออกจากตำแหน่งพระชายาแห่งชินอ๋องแล้ว ลำดับชื่อในราชวงศ์ของตู้จินเหลียนก็ถูกลบทิ้ง ชื่อของจ้าวชิงเฟิงขยับขึ้นมาเป็นพระชายาชินอ๋องโดยไม่ต้องอยู่ภายใต้ชื่อของนางอีกต่อไป วันนี้...ชินอ๋องจะพาจ้าวชิงเฟิงมาร่วมงานฉลองวันพระราชสมภพขององค์ฮ่องเต้ จ้าวชิงเฟิงถูกบรรดาขันทีกับสาวใช้ช่วยกันจับแต่งตัวเสียยกใหญ่ “หยุดก่อน” จ้าวชิงเฟิงยกมือห้ามเสี่ยวหงที่กำลังจะทำอะไรสักอย่างบนดวงหน้าของเขา “เจ้าจะทำอะไร?” “ผัดแป้ง เขียนคิ้ว เติมชาด เจ้าค่ะ” “หยุดเลย...ข้าไม่ใช่สตรี” “พระชายา...” เสี่ยวชุ่ยเอ่ยแทรกขึ้น “พวกคุณชายผู้ดีมีตระกูลทั้งหลายล้วนผัดแป้งแต่งหน้ากันทั้งนั้น ไม่ปล่อยให้หน้าหมอง มันเยิ้ม มอมแมม หรอกเจ้าค่ะ” “ข้าเห็นซือหมิงก็ไม่ได้ผัดแป้งแต่งหน้า” จ้าวชิงเฟิงยกตัวอย่าง เสี่ยวชุ่ยเบะปาก “บุรุษหยาบกร้าน” “ท่านอ๋องก็ด้วย” จ้าวชิงเฟิงยังไม่ยอมแพ้ “ท่านอ๋องเป็นข้อยกเว้นเจ้าค่ะ” เสี่ยวหงกล่าว “อย่างไรเสีย...ข้าก็ไม่ยอมแต่งหน้า” จ