ใช้เหตุผลให้มากไว้...คำเตือนของท่านหมอทำให้ชินอ๋องคิด
เขารู้จักจ้าวชิงเฟิงมากน้อยแค่ไหน?
แท้จริงแล้ว...น้อยนิดยิ่งนัก
แต่หัวใจของเขากลับถลำลึก ตกหลุมรัก จนตะเกียกตะกายขึ้นมาไม่ไหว หรือถึงจะไหว เขาก็ไม่เต็มใจจะขึ้นมา!
ทว่าจ้าวชิงเฟิงที่อายุน้อยเพียงนี้ กลับมีดวงตางามที่แฝงแววเศร้า ราวกับเก็บซ่อนความในใจเอาไว้มากมาย...
ชินอ๋องจึงเรียกจางจงมาพบที่ห้องหนังสือ
จางจงคุกเข่าหมอบคำนับอยู่ตรงหน้าชินอ๋อง “คารวะท่านอ๋อง”
“ไม่ต้องมากพิธี”
จางจงจึงลุกขึ้นแล้วยืนอย่างสำรวม
“จางจง เจ้าจงเล่าเรื่องราวของฟูเหรินมาให้ข้าฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วน”
“ขอรับ” จางจงรับคำ “คุณชายเป็นโอรสของฮ่องเต้แคว้นเป่ย ที่เกิดจากนางสนมหูนางสนมไร้ยศ จึงมิได้โดดเด่นเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ บ่าวได้รับใช้คุณชายตั้งแต่แรกเกิด พอคุณชายอายุสิบสี่ก็ถูกส่งมาเป็นของบรรณาการแก่ต้าหนาน ถูกท่านอ๋องรับเป็นอนุชายา อาศัยอยู่ที่เรือนเล็กท้ายจวนมานานสามปี โดยไม่เคยก้าวเท้าออกจากจวนเลยแม้แต่ก้าวเดียว จนกระทั่งได้พบท่านอ๋องที่กลับมาคราวนี้...เรื่องราวของคุณชายก็มีเพียงเท่านี้ขอรับ”
“ที่เจ้าเล่ามาล้วนผิวเผิน คงเป็นข้าที่ตั้งคำถามไม่ตรงจุด” ชินอ๋องกล่าว “เอาเช่นนี้ ข้าถาม เจ้าตอบ”
“ขอรับ”
“มีอะไรที่ฟูเหรินชื่นชอบเป็นพิเศษหรือไม่?”
“มีขอรับ...คุณชายชอบบรรเลงฉิน แต่พระชายาบ่นว่าหนวกหู จึงให้บ่าวทุบทำลายฉินของคุณชายที่นำติดตัวมาด้วยจากแคว้นเป่ยเสีย”
พอฟัง...ชินอ๋องนึกอยากจะทุบกบาลตัวเอง
ที่หอสุราจุ้ยเซียน...จ้าวชิงเฟิงฟังเพลงบรรเลงฉินอย่างตั้งใจ
แต่เขากลับทำร้ายจิตใจของอีกฝ่าย
ชินอ๋องถอนหายใจเฮือก
“ข้าผิดเอง...วันนั้นถ้าข้าสังเกตให้ดีจะต้องรู้ว่าฟูเหรินชอบฉิน”
ก่อนจะถามจางจงต่อ
“ฟูเหรินบอกความในใจอะไรกับเจ้าบ้าง?”
จางจงมีทีท่าอ้ำอึ้ง
“บอกข้ามาตามตรง ข้าต้องการช่วยให้ฟูเหรินมีความสุข มิใช่อมทุกข์อยู่เช่นนี้”
“คุณชายคิดว่า...ชีวิตของตนเองไร้ค่า จะอยู่หรือตายก็เฉกเช่นเดียวกันขอรับ”
“ตัวเขาชีวิตเขาสำหรับข้ามีค่ามาก...หากเขามองไม่ออก หรือเจ้าก็มองไม่ออกด้วย?”
“บ่าวเองก็เคยเกลี้ยกล่อมคุณชายอยู่หลายครั้ง แต่ทว่า...” จางจงถอนหายใจดังเฮ้อ “คุณชายไม่มีความเชื่อมั่นในตัวท่านอ๋อง”
คิ้วเข้มเลิกขึ้น “อย่างไร?”
“คุณชายว่า...ท่านอ๋องเห็นคุณชายเป็นของเล่นชิ้นหนึ่ง เมื่อไหร่นึกอยากเล่นก็หยิบมาเล่น เมื่อไหร่หมดความสนใจก็ขว้างทิ้งไว้มุมใดมุมหนึ่ง
วันนี้อาจชื่นชอบ พรุ่งนี้อาจเบื่อหน่าย
คุณชายไม่อยากเป็นเพียงของเล่นชิ้นหนึ่ง
แต่อยากเป็นคนที่มีชีวิตของตนเอง
แม้เป็นคนธรรมดาสามัญคนหนึ่งก็ยังดี!”
“ข้าไม่ได้มองฟูเหรินเป็นสิ่งของหรือของเล่น”
ชินอ๋องกล่าวเสียงหนักแน่น
“ข้าจะทำให้เขาเชื่อใจข้าให้ได้!”
*
*
จ้าวชิงเฟิงค่อยๆ ลืมตาที่หนักอึ้งขึ้น รู้สึกปวดเมื่อยไปทั่วร่างกาย
“เจ้าฟื้นแล้วหรือ?” เสียงชินอ๋องดังอยู่ข้างหู ทำให้เขาผวาเฮือก
ชินอ๋องที่นอนอยู่ข้างๆ ยกมือขึ้นลูบอกของเขาอย่างแผ่วเบา พลางปลอบโยน “ไม่ต้องกลัวๆ...ข้าไม่ทำอะไรเจ้า”
จ้าวชิงเฟิงค่อยๆ ปรับสีหน้าให้สงบลง
“หิวน้ำไหม...ข้ารินน้ำให้ดื่มนะ”
แล้วชินอ๋องก็ลุกไปรินน้ำจากกาน้ำใส่ถ้วยนำมาป้อนเขา
“ค่อยๆ ดื่ม ระวังสำลัก”
จ้าวชิงเฟิงดื่มน้ำจนหมดถ้วยเพราะความกระหาย
คุณชายมองอีกฝ่ายด้วยแววตาหวาดๆ ก่อนจะส่งเสียงผะแผ่วว่า
“ท่านอ๋องไม่ต้องไปทำงานหรือ?”
ชินอ๋องนิ่งนิดหน่อย ก่อนจะตอบว่า
“สักครู่ ข้าต้องไปทำธุระ รอป้อนอาหารป้อนยาให้เจ้าก่อน”
“มิต้อง...ข้ากินเองได้ ท่านอ๋องไปทำธุระเถอะ”
ชินอ๋องสูดลมหายใจลึกเพื่อข่มใจ พยักหน้าแล้วกล่าวเรียบๆ
“ได้...ข้าไปทำธุระ ส่วนเจ้ากินให้อิ่ม อย่าลืมกินยาให้หมด พักผ่อนให้มาก”
“ขอรับ” เสียงเบารับคำ
ชินอ๋องกำมือในแขนเสื้อแน่นแล้วคลายออก ก่อนจะเดินออกจากห้องนอนไปโดยไม่กล่าวอะไร
พอชินอ๋องออกไป...จางจงกับสามสาวใช้ก็เข้ามาพร้อมถาดอาหารถาดยา
“ฟูเหรินเจ้าขา” เสียงเสี่ยวชุ่ยเจื้อยแจ้วเป็นคนแรก “กินอาหารก่อนเจ้าค่ะ”
แล้วจางจงก็เข้ามาช่วยประคองให้คุณชายครึ่งนั่งครึ่งนอนเอาหมอนหลายใบมาซ้อนช่วยหนุนหลังให้
จางจงตั้งท่าจะป้อนอาหารให้ แต่จ้าวชิงเฟิงปฏิเสธ ขอกินด้วยตัวเอง
คุณชายค่อยๆ กินรังนกตุ๋นโสมอย่างช้าๆ ฟังสามสาวเจื้อยแจ้วไป จนสะดุดหูกับคำพูดที่ว่า...พระชายาเสียชีวิตแล้ว
“ทำไมพระชายาถึงเสียชีวิต?”
“อา...” เสี่ยวชุ่ยจอมเจื้อยแจ้วอึกอัก “บะ บ่าวก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ”
“แต่เป็นคำสั่งของท่านอ๋องว่า...พระชายาดื่มน้ำยันต์จึงเสียชีวิต เวลานี้ศพของพระชายาตั้งทำพิธีศพอยู่ที่ตำหนักของพระชายา มีพ่อบ้านเหลียงค่อยดูแล แล้วท่านอ๋องยังมีคำสั่งอีกว่า...มิให้พระชายารองไปที่งานศพเจ้าค่ะ” เสี่ยวหงกล่าวต่อให้อย่างครบถ้วนเนื้อความ
“ทำไมจึงห้ามมิให้ข้าไปเคารพศพพระชายา?”
คุณชายเพียงแค่สงสัย
แต่มิได้รั้นจะไปให้ได้
ทว่า...ความในใจใครจะรู้
สามสาวร้อนใจชิงกันพูด
“อย่าไปเจ้าค่ะๆๆ...มิเช่นนั้น บ่าวต้องถูกตีอีกแน่ๆ”
“ถูกตีอีก? หมายความว่า พวกเจ้าถูกตีมาแล้ว?”
บ่าวทั้งสี่ต่างก้มหน้านิ่ง
“จางจง บอกความจริงข้ามา” คุณชายสั่ง
“คุณชายอย่าสนใจเรื่องเล็กน้อยเลยขอรับ” จางจงบ่ายเบี่ยง
“เดี๋ยวนี้เจ้าไม่เชื่อฟังข้าแล้วหรือ?”
เห็นสีหน้าน้อยอกน้อยใจของคุณชาย จางจงก็จำใจต้องเล่าเรื่องที่ถูกลงโทษให้เขาฟัง
“ให้ข้าดูบาดแผลหน่อย”
“เป็นแผลแค่เล็กน้อยเท่านั้น ท่านอ๋องก็ลงโทษเบาที่สุดแล้ว คุณชายอย่าดูเลยขอรับ”
“เจ้าจะให้ข้าลุกไปดูเองหรือ?”
ว่าแล้วคุณชายก็ขยับตัวพยายามจะลุกจากเตียงนอน
จางจงรีบห้าม “คุณชายอย่าลุกเลยขอรับ บ่าวเปิดแผลให้ดูเองขอรับ”
สามสาวใช้ช่วยกันประคับประคองให้คุณชายเอนกายครึ่งนั่งครึ่งนอนบนเตียงอย่างเก่า
จางจงม้วนขากางเกงขึ้นให้เจ้านายดูบาดแผลที่น่อง...บาดแผลแม้ไม่ทำร้ายลึกถึงเส้นเอ็นกระดูก แต่ก็เป็นรอยปรากฏชัดเจนบนผิวกาย...บางรอยสีแดงเข้ม บางรอยปริแตกเลือดออก
คุณชายมือสั่น ดีที่เมื่อครู่เสี่ยวหงนำชามในมือไปก่อน พึมพำว่า “ทุกคน...ข้าขอโทษ”
งานศพของพระชายาตู้จินเหลียนจัดเป็นเวลาเจ็ดวันแล้วทำพิธีฝัง ตงเหมยย่อมต้องตอบคำถามของราชครูตู้เสียงผู้เป็นบิดาของพระชายาตู้จินเหลียน ในทิศทางเดียวกันกับที่ชินอ๋องสั่ง เพื่อเป็นการปกป้องตัวของนางเองด้วย... ราชครูตู้เสียงจึงได้แต่ร้องไห้รำพันว่า “ลูกเอ๊ย...ไม่น่าเลย ไม่น่าเชื่อถือคนเลวอย่างนักพรตชั่วช้าพวกนั้นเลย” ชาวบ้านชาวเมืองที่ได้รู้ได้เห็นเหตุการณ์ที่พระชายาตู้เชื้อเชิญให้นักพรตเข้าจวนด้วยตัวของนางเอง ก็กลายเป็นพยานอย่างดี และร่ำลือกันไปทั่วว่า พระชายาตู้เคราะห์ร้ายนักหลงเชื่อนักพรตชั่วจนตัวตาย ส่วนพระชายารองก็พลอยถูกพิษเล่นงานจนป่วยหนัก...แม้นักพรตชั่วต้องโทษประหารก็ไม่สาสมกับความผิด แต่พระชายาตู้จินเหลียนเพิ่งจะฝังเสร็จ...ก็มีเสนาอำมาตย์ส่งรูปเหมือนของบุตรสาวพร้อมจดหมายบรรยายคุณสมบัติต่างๆ นานา มาที่จวนชินอ๋องถึงสี่ราย ในท้องพระโรงที่ประชุมขุนนาง ก็มีการกล่าวถึงเรื่องหาพระชายาใหม่ให้ชินอ๋องเช่นกัน “ชินอ๋องเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งต้าหนาน ต้องมาสูญเสียพระชายาอันเป็นที่รักดั่งดวงใจไปอย่างกะทันหัน ฝ่าบาทโปรดเร่งจัดงานมงคลแต่งตั้งพ
ข่าวการแต่งตั้งพระชายารองเป็นพระชายาเอกแห่งจวนชินอ๋องรู้ไปทั่วทั้งเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว รวมถึงราชครูตู้เสียงกับบุตรบุญธรรมตู้หยางป๋อด้วย ตู้หยางป๋อ...แท้ที่จริงเป็นบุคคลมีสองสกุล(แซ่) ชื่อเดิมคือหยางป๋อ เป็นบุตรชายของน้องสาวราชครูตู้เสียง เนื่องจากบิดามารดาเสียชีวิต และไม่มีญาติทางบิดาเหลืออยู่ จึงมาอาศัยอยู่กับราชครูตู้เสียงผู้เป็นลุงตั้งแต่อายุสิบสอง ราชครูตู้เสียงไม่มีบุตรชายจึงรับหยางป๋อเป็นบุตรบุญธรรม ให้ใช้สองสกุล คือสกุลตู้กับสกุลหยาง หวังจะให้เป็นผู้สืบทอดสกุลทั้งสอง หยางป๋อมีวัยเดียวกันกับตู้จินเหลียน ทั้งสองจึงสนิทสนมกันมาก จนถึงวัยแตกเนื้อหนุ่มเนื้อสาว ทั้งสองใกล้ชิดกันจนเกินเลยกลายเป็นชู้สาว เรื่องนี้คนทั้งคู่ปิดบังมิให้ราชครูตู้เสียงล่วงรู้ พอได้ข่าวว่าจ้าวชิงเฟิงได้รับการแต่งตั้งเป็นพระชายาเอกของชินอ๋อง...หยางป๋อก็รู้สึกคาใจกับการเสียชีวิตของตู้จินเหลียนขึ้นมาทันที เขารีบไปพบราชครูตู้เสียงที่ห้องหนังสือ “ท่านพ่อ” “อืม...มีเรื่องอะไรหรือ?” ท่านราชครูกำลังนั่งจิบน้ำชา “ท่านได้ข่าวพระชายาใหม่จวนชินอ๋องหรือยังขอ
ชินอ๋องเทเหล้าสีแดงสดใสจากขวดกระเบื้องทรงกลมแบนเขียนลวดลายสวยงาม ลงในถ้วยหยกขาว แล้วยกมาตั้งตรงหน้าจ้าวชิงเฟิง “นี่เป็นสุราผลไม้จากเปอร์ซี เป็นของ...” เขาเกือบหลุดคำว่า...ของบรรณาการ...ออกมา โชคดีที่ยั้งปากเอาไว้ทัน แล้วเปลี่ยนเป็น “ของดีหายาก” เพราะเกรงว่า...จะแสลงใจพระชายาบุรุษ จ้าวชิงเฟิงมองชินอ๋องด้วยแววตาระแวดระวัง...ว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหนกับตนกันแน่! “ข้าดื่มเหล้าไม่เป็นขอรับ” “ไม่เป็นไร...นี่เป็นสุรารสอ่อนหอมหวานเหมาะกับสตรี...เอ้อ...และบุรุษที่ดื่มเหล้าไม่เป็น บำรุงเลือด บำรุงร่างกาย” เอ่ยสรรพคุณเสร็จ ชินอ๋องก็ยกถ้วยหยกขาวจ่อปากพระชายา จ้าวชิงเฟิงรีบยกมือกันเอาไว้ ถามว่า “แล้วท่านอ๋องไม่ดื่มหรือขอรับ?” ชินอ๋องวางถ้วยสุราผลไม้(เหล้าองุ่น)ลงบนโต๊ะอาหาร แล้วโบกมือให้เจียงจ้าน “ของข้าต้องสุรารสร้อนแรงถึงจะสะใจสมอยาก” เจียงจ้านส่งถ้วยทองคำใบใหญ่ที่มีสุราสีใสราวตาตั๊กแตนให้ถึงมือชินอ๋อง ชินอ๋องยกขึ้นดื่มอึกใหญ่ กลิ่นสุราเข้มข้นโชยต้องจมูกพระชายา แล้วชินอ๋องก็วางถ้วย
“ข้าต้องการเจ้าเหลือเกิน...ฟูเหริน” ท่านอ๋องก้มลงดูดดื่มปลายยอดสีระเรื่อทั้งสองข้างสลับไปสลับมาอย่างเร่าร้อน “ข้าจะทะนุถนอมเจ้าที่สุดนะ”“ข้าก็ปรารถนาท่าน” จ้าวชิงเฟิงบอกเสียงหวาน ยิ่งทำให้เขาแทบจะระเบิดความร้อนออกมาในตอนนี้“งั้นเจ้าออกมาจากอ่างก่อน” ชินอ๋องพูดพลางประคองร่างบอบบางออกจากอ่าง แล้วจัดท่าให้อีกฝ่ายยืนโก้งโค้ง ส่วนตัวของเขานั่งคุกเข่า มือทั้งสองประคองบั้นท้ายงาม ก่อนจะใช้ลิ้นร้อนลามเลียไปทั่วผิวเรียบเนียนโดยเฉพาะซอกสวาทของพระชายาจ้าวชิงเฟิงตัวเกร็งด้วยความซ่านสยิวและครางออกมาเบาๆ แค่นั้นก็ทำให้ท่านอ๋องแทบควบคุมความต้องการของตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ เขาต้องหักห้ามใจไม่ผลีผลามอยู่นาน เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องเจ็บปวดเหมือนคราแรกชินอ๋องใช้ขี้ผึ้งชนิดพิเศษที่เตรียมมาทาที่นิ้วมือ ก่อนจะสอดเข้าไปในซอกสวาทที่แน่นกระชับเพื่อการหล่อลื่นที่ดีขึ้น เขาขยับเข้าออกอยู่สักพักจนมั่นใจว่าอีกฝ่ายจะไม่เจ็บ ก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สอดใส่ความเป็นชายเข้าไปช้าๆ จนมิดและขยับเข้าออกอย่างระมัดระวัง“เป็นอย่างไรบ้างฟูเหริน เจ็บมากหรือไม่?”พระชายาส่ายหัวเล็กน้อยแทนคำตอบ ตอนนี้เขารู้สึกเจ็บแต่ก็ไม่มากเ
เสียงกลองดังสนั่น... กลางแม่น้ำกว้าง...เรือมังกรหลากสีหลายลำแล่นแข่งกันอย่างดุเดือด ฝีพายที่เป็นบุรุษวัยฉกรรจ์ต่างจ้ำพายในมือสุดแรงเกิด ชาวบ้านชาวเมืองที่พากันมาดูการแข่งเรือ ต่างตะโกนส่งเสียงให้กำลังใจเรือลำที่พวกตนชื่นชอบ จ้าวชิงเฟิงนั่งอยู่ข้างๆ ชินอ๋องที่ริมระเบียงของหอริมแม่น้ำ มีองครักษ์และทหารในสังกัดชินอ๋องอารักขาอย่างแน่นหนา พระชายารู้สึกสนุกสนานตามประสาเด็กที่ยังไม่โตเต็มที่ และตื่นตาตื่นใจเพราะไม่เคยได้เห็นการเล่นใดๆ มาก่อน “ฟูเหริน เจ้าว่าเรือมังกรสีแดงหรือเรือมังกรสีดำจะชนะ?” ชินอ๋องชวนพระชายาเล่นสนุก จ้าวชิงเฟิงเห็นเรือมังกรสีแดงนำอยู่ครึ่งลำ จึงตอบว่า “ข้าว่าเรือมังกรสีแดงชนะขอรับ” ชินอ๋องท้าทาย “เช่นนั้น พวกเรามาพนันกัน...ข้าพนันว่าเรือมังกรสีดำชนะ ถ้าเรือมังกรสีแดงชนะ ข้าจะพาเจ้าไปฟังแม่นางเซียงเซียงบรรเลงฉินที่หอสุราจุ้ยเซียน” “แล้วถ้าหากเรือมังกรสีแดงแพ้ล่ะขอรับ?” ปากถาม แต่สายตาของจ้าวชิงเฟิงยังคงจับจ้องอยู่ที่เรือมังกรทั้งสองลำ...เรือมังกรสีดำเริ่มขยับขึ้นมาเกือบจะตีคู่กับเรือ
ชินอ๋องพาจ้าวชิงเฟิงกลับถึงจวน ก็ปล่อยเขาให้จางจงกับเสี่ยวหยวนจื่อจัดการดูแลต่อ ส่วนตัวเองไปยังห้องทำงานเพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น “ได้ความว่าอย่างไรบ้าง?” องครักษ์ซ้ายเฉินกุ่ยประสานมือน้อมคำนับแล้วกล่าวว่า “พวกคนร้ายดูราวกับพร้อมใจกันมาตาย พอพ่ายแพ้ถูกจับก็ชิงกินยาพิษปลิดชีพตนเอง แต่วรยุทธของพวกเขาแต่ละคนแตกต่างกัน ไม่น่าจะมาจากพรรคหรือสำนักเดียวกันขอรับ” “เช่นนั้นตัดประเด็นในยุทธภพออก มามองประเด็นในราชสำนัก มีขุนนางใหญ่คนใดเลี้ยงชาวยุทธเอาไว้ใช้งานจำนวนมากบ้าง?” ชินอ๋องกล่าว “ขุนนางส่วนใหญ่ต่างเลี้ยงชาวยุทธไว้เป็นองครักษ์ แต่จำนวนไม่มากนัก เพียงจวนละคนสองคนเท่านั้น ที่มีองครักษ์มากที่สุดน่าจะเป็นจวนของมหาเสนาบดี เขาเป็นแม่ทัพเก่า ซ้ำบุตรชายทั้งสองยังเป็นราชองครักษ์ในองค์ฮ่องเต้ จวนของมหาเสนาบดีมีการฝึกฝนองครักษ์ด้วยขอรับ” องครักษ์ขวาซือหมิงออกความเห็น “อีกจวนหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้คือจวนอ๋องห้าขอรับ” เจียงจ้านกล่าวขึ้น “อ๋องห้า...หน้าฉากเจ้าสำราญ แต่เบื้องหลังกลับเลี้ยงชาวยุทธไว้จำนวน
จ้าวชิงเฟิงเดินกลับมาทางเดิม ในใจคิดถึงเรื่องราวที่ตงเหมยบอกเล่า... ป้ายวิญญาณของพระชายาตู้จินเหลียนไม่ได้รับการตั้งไว้ในที่ที่เหมาะสม กลับถูกตั้งไว้ในห้องศิลาที่เหมือนคุกคุมขัง หลังงานศพ...ตงเหมยที่เป็นสาวใช้คนสนิทของพระชายาตู้จินเหลียนก็ถูกชินอ๋องสั่งให้มาเฝ้าป้ายวิญญาณของพระชายาตู้ ถูกขังอยู่ในห้องศิลาด้วย นางไม่มีเสื้อผ้าผลัดเปลี่ยน ไม่ได้อาบน้ำ อาหารก็ได้รับเพียงวันละมื้อ ซ้ำเป็นอาหารหยาบๆ อย่างที่เคยให้พระชายาจ้าวชิงเฟิงในสมัยเป็นจ้าวอี๋เหนียงกิน แต่ที่แย่ยิ่งกว่าคือจำนวนอาหารน้อยลงกว่านั้นอีก ตงเหมยไม่เคยกินอิ่มเลยสักมื้อ แถมบางมื้อยังเป็นอาหารบูดเน่า กินนอนขับถ่ายในห้องศิลานั้น! “นางเคยก่อกรรมทำเข็ญอะไรเอาไว้ เวลานี้ก็ได้รับผลกรรมนั้นตอบแทนแล้ว” จางจงที่เดินติดตามจ้าวชิงเฟิงกล่าวขึ้น “ข้ารู้ แต่ในส่วนลึก ข้าก็อดไม่สบายใจไม่ได้” จ้าวชิงเฟิงกล่าวเสียงแผ่วเบา “ข้ารู้ว่า...ท่านอ๋องกำลังแก้แค้นให้กับพวกเรา ที่ตงเหมยไม่ถูกโบยจนตายอย่างอาซานแล้วทิ้งศพให้สุนัขป่ากัดกิน ก็นับว่าท่านอ๋องกรุณานางมากแล้ว แต่..
จางจงนำกล่องไม้ที่ทำเป็นรูปแปดเหลี่ยม ฝากล่องแกะสลักลวดลายดอกไม้สวยงามมาให้จ้าวชิงเฟิงที่กำลังวาดภาพเล่นอยู่ในศาลาชมสวน “ท่านอ๋องกลับมาจากราชสำนัก ได้แวะซื้อผลไม้เชื่อมร้านที่ขึ้นชื่อที่สุดมาให้พระชายาขอรับ” เอ่ยพลางส่งกล่องผลไม้เชื่อมกล่องนั้นให้ จ้าวชิงเฟิงรับมาเปิดดู เห็นในกล่องแบ่งออกเป็นแปดช่อง แต่ละช่องมีผลไม้เชื่อชนิดแห้งใส่อยู่หนึ่งอย่าง “เสี่ยวหงไปนำชามมา” พระชายาสั่ง “เจ้าค่ะ” เสี่ยวหงรับคำอย่างร่าเริง เพราะรู้ว่าพระชายาชอบแบ่งขนมของกินที่ชินอ๋องซื้อมาฝากแทบจะทุกวันให้พวกตนมีบุญได้ลองลิ้มชิมรสด้วยเสมอ...นางไปไม่นานก็กลับมาพร้อมชามใบไม่ใหญ่นักหลายใบและช้อนสำหรับตักแบ่ง จ้าวชิงเฟิงแบ่งผลไม้เชื่อมให้แก่บรรดาสาวๆ เพราะจางจงและเสี่ยวหยวนจื่อนั้นไม่ชอบผลไม้เชื่อม “เอ้า...นี่ของเสี่ยวหง นี่ของเสี่ยวชุ่ย และนี่ของเสี่ยวเตี๋ย” แต่ละสาวต่างมารับชามใส่ผลไม้เชื่อมไป เรียงตามลำดับ “เสี่ยวเตี๋ยวันนี้เจ้าเป็นอะไรไป ไยจึงหน้าซีดเซียวเช่นนี้” จ้าวชิงเฟิงทักเพราะผิดสังเกต “บ่าวรู้สึกว่า...เ
ชินอ๋องสั่งปิดประตูเมือง ให้ทหารตรวจค้นทุกซอกทุกมุม เป็นเรื่องเอิกเกริกจนฮ่องเต้ส่งคนมาถาม “ท่านอ๋อง...นี่มันเกิดเรื่องอะไรขอรับ?” ขันทีจากวังหลวงค้อมกายถามเสียงนุ่ม “อ๋องห้าลักพาตัวพระชายาของข้าไป” ชินอ๋องตอบเสียงมะนาวไม่มีน้ำ “ว้าย...ตายแล้ว...นี่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? วันนี้มิใช่อ๋องห้าแต่งพระชายาหรอกหรือ?” ชินอ๋องหงุดหงิดรำคาญ จึงให้ขันทีจากวังหลวงไปไถ่ถามเรื่องราวจากองครักษ์คนหนึ่งแทน สลัดหลุดจากขันทีจากวังหลวง ก็มาเจอมหาเสนาบดีชิวสงส่งเสียงเอะอะโวยวาย “บุตรสาวข้าอยู่ที่ไหนๆ...” ชินอ๋องพยักหน้าให้องครักษ์อีกนายหนึ่ง เอ่ยเสียงรำคาญว่า “เจ้าไปจัดการที” องครักษ์ค้อมศีรษะรับคำสั่ง แล้ววิ่งไปรับหน้ามหาเสนาบดีทันที “คุณหนูชิวอยู่ทางนี้ขอรับ” องครักษ์บอกมหาเสนาบดีแล้ว พาไปยังห้องห้องหนึ่งของตำหนักอ๋องห้า “คุณหนูชิวอยู่ในห้องนี้ขอรับ” มหาเสนาบดีได้ยินเสียงกุกกักๆ พอเปิดประตูเข้าไป ก็เห็น...ชิวมู่ตานถูกมัดมือมัดเท้ามีผ้าอุดปาก นั่งอยู่บนเตียง กำลังดิ้นรน “ทำไมพวกเจ้าทำกับบุตรสาว
เจ็ดวันต่อมา... คณะทูตของซีเซี่ยก็เดินทางกลับ พร้อมกับนำขบวนเดินทางไปอภิเษกสมรสขององค์หญิงหลี่หมิงจูไปด้วย ทางด้านอ๋องห้าได้ส่งแม่สื่อไปทาบทามสู่ขอคุณหนูชิวมู่ตาน บุตรสาวคนเล็กของมหาเสนาบดีชิวสง “ท่านเจ้าขา...บุตรเขยเช่นอ๋องห้า มิใช่จะหาได้ง่ายๆ นะเจ้าคะ” แม่สื่อจีบปากจีบคอกล่าว “อ๋องห้ารูปโฉมงามสง่า ข้าไม่เถียง แต่เขามีอนุหญิงชายมากมาย นิสัยเสเพลไม่เอาการเอางาน...ข้าเกรงว่าบุตรสาวของข้าแต่งไปแล้วต้องกลัดกลุ้มเพราะเหล่าอนุเป็นเหตุ” มหาเสนาบดีกล่าวตรงๆ ไม่อ้อมค้อม “โหะๆๆ...” ลิ้นแม่สื่อมีหรือจะจนหนทาง “คำโบราณกล่าวเอาไว้ว่า...ภรรยาที่ดีสามารถเปลี่ยนแปลงสามีได้ คุณหนูมู่ตานทั้งสวยทั้งฉลาด ย่อมสามารถชักนำให้ท่านอ๋องห้าเลิกความเคยชินเก่าก่อน ให้ท่านอ๋องห้ากลับกลายเป็นเปี่ยมล้นด้วยความสามารถและสง่าราศีได้ไม่ยาก ส่วนเรื่องอนุหญิงชายนั้น มีผู้ใดสามารถกล้าเปรียบเทียบกับคุณหนูมู่ตานเล่า คุณหนูมู่ตานจะแต่งไปเป็นพระชายาเอกนะเจ้าคะ จะให้อนุคนใดเป็นหรือตายก็ย่อมได้ อีกประการหนึ่งคุณหนูก็อายุสิบเจ็ดแล้ว รอช้านักจะกลายเป็นดอกไ
คณะทูตจากซีเซี่ยมาเยือนต้าหนาน... ฮ่องเต้ทรงอนุญาตให้ราชทูตเข้าเฝ้าในท้องพระโรง ราชทูตแห่งซีเซี่ยถวายเครื่องบรรณาการ และราชสาส์นสู่ขอองค์หญิงหมิงจูให้กับรัชทายาทซีเซี่ย ฮ่องเต้ขอเวลาพิจารณาเรื่องสู่ขอสามวัน อีกสามวันจะจัดเลี้ยงคณะทูตและให้คำตอบ อ๋องห้าไปที่ตำหนักขององค์หญิงหมิงจู เล่าเรื่องที่ราชทูตจากซีเซี่ยมาสู่ขอนางให้นางฟัง “ทำไมข้าต้องแต่งไปซีเซี่ยด้วย?” องค์หญิงหมิงจูกล่าวด้วยดวงหน้าบูดบึ้ง “เจ้าปีนี้อายุสิบเจ็ดแล้วนะ...ไม่แต่งตอนนี้ แล้วจะรอถึงเมื่อไหร่?” “ข้าไม่ได้ชอบรัชทายาทซีเซี่ยสักหน่อย” องค์หญิงตอบเสียงสะบัด “แล้วเจ้าชอบใคร?” “.....” “อย่าบอกนะว่าชอบจ้าวชิงเฟิง?” “.....” “ข้าล่ะเห็นใจเจ้าจริงๆ...คู่ยวนยาง(นกเป็ดน้ำแมนดาริน มักจะอยู่กันเป็นคู่แบบผัวเดียวเมียเดียว เป็นตัวแทนรักแท้ของชายหญิง)ที่ดี กลับถูกชินอ๋องฉกชิงไปเสียนี่” “พี่ห้า อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีก” องค์หญิงเสียงเครือ “ไม่ให้ข้าพูดออกมาบ้าง ข้าก็รู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรมแท
“ตาเฒ่าเกาชงเป็นพ่อตาของคนแซ่จ้าว” พระสนมเอกซูเฟยกัดริมฝีปากล่าง ก่อนจะกล่าวต่อ “เมื่อหลายวันก่อน ข้าเรียกคนแซ่จ้าวมาสนทนาด้วยเรื่องของมู่ตาน เขาทำท่าทางสงบเสงี่ยม แต่ก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมรับปาก ข้าจึงพูดถึงอิทธิพลอำนาจของตระกูลชิว เพื่อข่มขวัญเขา คิดไม่ถึงว่าเขาจะมารยาออดอ้อนชินอ๋องให้ไปผูกไมตรีกับตระกูลเกาเสียได้” “เช่นนี้...เรื่องที่จะให้มู่ตานเป็นพระชายารองของชินอ๋อง ดูท่าจะยากเสียแล้ว” มหาเสนาบดีถอนหายใจ “ในยามนี้บุรุษที่มีฐานะคู่ควรกับมู่ตานก็มีไม่มากนัก ชินอ๋องเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ส่วนอ๋องห้าก็เสเพลไม่ได้เรื่องได้ราว เอาแต่เสพสุขไปวันๆ” “เอาเช่นนี้สิท่านพ่อ” พระสนมเอกซูเฟยเสนอความคิด “รอดูบัณฑิตใหม่ของปีนี้ ว่าบัณฑิตทั้งสามคน ผู้ใดหน่วยก้านดี ก็เลือกคนนั้น ข้าจะขอสมรสพระราชทานให้กับมู่ตาน...ตาเฒ่าเกาชงสนับสนุนบุตรบุญธรรมของเขา ท่านพ่อก็สนับสนุนบุตรเขย...ดูซิว่า ระหว่างบุตรบุญธรรมคนเดียวของตาเฒ่าเกาชง จะสู้บุตรทั้งสองคนและบุตรเขยตระกูลชิวได้หรือไม่” “เกรงจะไม่ง่ายเช่นนั้นน่ะสิ” มหาเสนาบดีมีสีหน้าระอา “มู่ตานเอาแต่ใจ ร่ำร้องแต่จะแต่งกับชินอ๋อง ตั้
มหาอำมาตย์เกาชงมองผู้มาเยือนอย่างประหลาดใจ พอได้สติก็รีบประสานมือน้อมคำนับ “คารวะท่านอ๋องและพระชายา” “ไม่ต้องมากพิธี” ชินอ๋องกล่าว “วันนี้ข้าตั้งใจพาฟูเหรินมาเยี่ยมท่านโดยเฉพาะ” “ขออภัยที่ข้าน้อยต้อนรับบกพร่อง” มหาอำมาตย์เกาชงกล่าวพลางผายมือ “เชิญท่านอ๋องกับพระชายาเข้าไปนั่งด้านในก่อนขอรับ” เมื่อทั้งสามเข้าไปนั่งในห้องโถงรับรองของจวนมหาอำมาตย์เรียบร้อย บ่าวทาสจากจวนชินอ๋องก็นำของฝากล้ำค่ามีราคาเข้ามาสี่หาบใหญ่ มาวางไว้ในห้องโถงแห่งนั้น ของเหล่านั้นเป็นชินอ๋องสั่งให้จัดหามาทั้งสิ้น “นี่คือของกำนัลที่ฟูเหรินของข้านำมาคารวะท่านซึ่งเป็นพ่อตาของเขา” ชินอ๋องกล่าว พลางผายมือไปที่สิ่งของในหีบห่อสีแดง มหาอำมาตย์เกาชงมองมาที่จ้าวชิงเฟิงด้วยนัยน์ตาแดงระเรื่อขึ้น...อดคิดถึงบุตรสาวที่จากไปไม่ได้ จ้าวชิงเฟิงรับรู้ได้...จึงถามเสียงเบา “ท่านพ่อตา...หมู่นี้สบายดีหรือไม่?” “ดีๆ...ข้าสบายดี” “ข้าขออภัย ที่มาเยี่ยมเยียนท่านช้านัก” “มาก็ดีแล้ว...เอ้อ...พระชายา” “ท่านอย่าเรียกข้า.
พระสนมเอกซูเฟยชิวเหมยกุ้ย อายุ 22 ปี รูปร่างหน้าตาสวยงามปานภาพวาด ในความอ่อนโยนมีความสง่างาม นางต้อนรับจ้าวชิงเฟิงที่ศาลาชมอุทยาน เป็นการป้องกันการครหานินทาด้วย จ้าวชิงเฟิงประสานมือน้อมคำนับ “คารวะพระสนมเอกขอรับ” นางพยักหน้ารับการคารวะ “เชิญนั่งก่อนพระชายา” จ้าวชิงเฟิงรอให้นางนั่งลงก่อน จึงนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับนาง บนโต๊ะหินที่กั้นระหว่างคนทั้งสองมีชุดน้ำชา และจานขนมมากมายวางอยู่ “พระสนมเอกมีธุระอันใดกับข้าน้อยขอรับ?” จ้าวชิงเฟิงกล่าวถามตรงๆ พระสนมเอกหัวเราะเสียงหวาน “เรื่องไม่สลักสำคัญอะไร เพียงแค่ข้าเหงา อยากหาเพื่อนสนทนาเท่านั้น” จ้าวชิงเฟิงรู้สึกแปลกๆ กับถ้อยคำของนาง นางจะมาไม้ไหน? “นักปราชญ์กล่าว...ยิ่งสูงยิ่งหนาว...ช่างเป็นความจริงนัก” นางยกถ้วยน้ำชาที่นางกำนัลรินให้ขึ้นดื่มก่อนจะกล่าวต่อ “ฐานะยิ่งสูงส่ง ยิ่งหาเพื่อนสนทนาด้วยไม่ได้...ในเวลานี้ ผู้ที่มีฐานะเหมาะสมที่ข้าจะสนทนาด้วย ก็เห็นจะมีแต่พระชายาเท่านั้น” “.....” “ในฐานะที่เป็นภรรยาเอก ข้าต้อง
ที่หอหมื่นบัณฑิต...จ้าวชิงเฟิงได้พบกับบุคคลที่ไม่ได้คิดว่าจะได้พบ เขาคืออี้อัน วันนี้เขาแต่งกายสุภาพเรียบร้อย แม้ไม่หรูหรา แต่เนื้อผ้าดีสีเขียวหยก อี้อันมองเห็นจ้าวชิงเฟิงกับชินอ๋องก็ตรงเข้ามาประสานมือน้อมคำนับ “คารวะท่านอ๋อง คารวะพระชายา” “อืม/อืม” ชินอ๋องกับจ้าวชิงเฟิงต่างพยักหน้ารับคารวะ “คุณชายอี้อัน...มาทำอะไรที่หอหมื่นบัณฑิตนี่?” จ้าวชิงเฟิงถาม “เรียนพระชายา...ข้าน้อยมาแสดงผลงาน เพื่อฟังคำติชมของเหล่าบัณฑิตขอรับ และถือโอกาสศึกษาผลงานของผู้อื่นไปด้วยขอรับ” อี้อันกล่าวด้วยทีท่านอบน้อม “ที่แท้ท่านก็เป็นบัณฑิตผู้หนึ่ง...นับถือ ๆ” “หามิได้พระชายา...ข้าน้อยเป็นเพียงนักศึกษาต่ำต้อยคนหนึ่งเท่านั้น ที่เข้าหอหมื่นบัณฑิตนี้ได้ ล้วนอาศัยบารมีของท่านมหาอำมาตย์ช่วยส่งเสริมขอรับ” อี้อันกล่าวตามจริง... หอหมื่นบัณฑิตจะต้องเป็นบัณฑิตจึงจะเข้าเป็นสมาชิกได้ หรือมิฉะนั้นก็ต้องมีเจ้าใหญ่นายโตค้ำประกัน ยิ่งกว่านั้น การแสดงผลงานจะต้องเสียค่าเช่าพื้นที่ ซึ่งเป็นจำนวนเงินมิใช่น้อย เรื่องนี้ไม่เพียงเป็นปัญหาสำห
จ้าวชิงเฟิงถูกชินอ๋องอุ้มออกจากงานเลี้ยงไปขึ้นรถม้ากลับจวน พอถึงจวนก็ถูกอุ้มเข้าตำหนักใหญ่ “ข้าม่ายมาว ปล่อยข้า ข้าจาเดินเอง” จ้าวชิงเฟิงเอะอะโวยวายเพราะความเมา “ลูกผู้ชายอกสามศอกถูกอุ้มด้ายยางงาย...” “อกเจ้าไม่ถึงสามศอก ย่อมต้องถูกอุ้ม” ชินอ๋องเอ่ยอย่างนึกขัน “อย่าดิ้นสิฟูเหริน” พอถึงห้องนอน...ชินอ๋องก็วางจ้าวชิงเฟิงนอนลงบนเตียงอย่างเบามือ จ้าวชิงเฟิงผวาลุกขึ้น “ข้าจาอ้วก...โอ้กกกก” เจียงจ้านว่องไว คว้ากระโถนมารองรับไว้ทัน จ้าวชิงเฟิงอาเจียนจนหมดไส้หมดพุง ชินอ๋องก็ช่วยลูบหลังให้ พออาเจียนเสร็จ...จ้าวชิงเฟิงก็ผล็อยหลับไป ชินอ๋องจัดการเช็ดหน้าตาเนื้อตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้พระชายาด้วยตัวเอง เจียงจ้านจะช่วยทำให้ก็ไม่ยอม จัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว ชินอ๋องจึงให้เจียงจ้านช่วยปรนนิบัติอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าของตนเองบ้าง ก่อนเข้านอนชินอ๋องยังสั่งเจียงจ้านว่า “พรุ่งนี้เช้าจัดน้ำแกงสร่างเมาให้ฟูเหรินด้วย” “ขอรับ” เจียงจ้านรับคำ แล้วออกจากห้องไป ชินอ๋องจึงล้มตัวลงนอนเค
หลังจากมีราชโองการถอดถอนชื่อตู้จินเหลียนออกจากตำแหน่งพระชายาแห่งชินอ๋องแล้ว ลำดับชื่อในราชวงศ์ของตู้จินเหลียนก็ถูกลบทิ้ง ชื่อของจ้าวชิงเฟิงขยับขึ้นมาเป็นพระชายาชินอ๋องโดยไม่ต้องอยู่ภายใต้ชื่อของนางอีกต่อไป วันนี้...ชินอ๋องจะพาจ้าวชิงเฟิงมาร่วมงานฉลองวันพระราชสมภพขององค์ฮ่องเต้ จ้าวชิงเฟิงถูกบรรดาขันทีกับสาวใช้ช่วยกันจับแต่งตัวเสียยกใหญ่ “หยุดก่อน” จ้าวชิงเฟิงยกมือห้ามเสี่ยวหงที่กำลังจะทำอะไรสักอย่างบนดวงหน้าของเขา “เจ้าจะทำอะไร?” “ผัดแป้ง เขียนคิ้ว เติมชาด เจ้าค่ะ” “หยุดเลย...ข้าไม่ใช่สตรี” “พระชายา...” เสี่ยวชุ่ยเอ่ยแทรกขึ้น “พวกคุณชายผู้ดีมีตระกูลทั้งหลายล้วนผัดแป้งแต่งหน้ากันทั้งนั้น ไม่ปล่อยให้หน้าหมอง มันเยิ้ม มอมแมม หรอกเจ้าค่ะ” “ข้าเห็นซือหมิงก็ไม่ได้ผัดแป้งแต่งหน้า” จ้าวชิงเฟิงยกตัวอย่าง เสี่ยวชุ่ยเบะปาก “บุรุษหยาบกร้าน” “ท่านอ๋องก็ด้วย” จ้าวชิงเฟิงยังไม่ยอมแพ้ “ท่านอ๋องเป็นข้อยกเว้นเจ้าค่ะ” เสี่ยวหงกล่าว “อย่างไรเสีย...ข้าก็ไม่ยอมแต่งหน้า” จ