ชินอ๋องส่งขบวนเกี้ยวมารับเจ้าสาวที่จวนมหาอำมาตย์เกาชงตามสัญญา ฝ่ายมหาอำมาตย์ก็ให้เสี่ยวเตี๋ยสวมชุดเจ้าสาวสีแดงสดสวยงามอุ้มป้ายวิญญาณของคุณหนูเกาซิ่วจิ่นขึ้นเกี้ยว มีสินเดิมตามมาด้วยเป็นขบวนเหมือนแต่งบุตรสาวจริงๆ พอเกี้ยวเจ้าสาวมาถึงจวนชินอ๋อง แม่สื่อก็จูงเจ้าสาวไปที่เรือนของคุณชายที่ชินอ๋องยกให้ ทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดินและคำนับซึ่งกันและกันตามประเพณี แล้วให้ตั้งป้ายวิญญาณของคุณหนูเกาซิ่วจิ่นไว้ที่เรือนนั้น ส่วนคุณชายถูกชินอ๋องพาตัวกลับตำหนักใหญ่ในทันที ที่ตำหนักพระชายา... “ฮะๆๆ...” พระชายาส่งเสียงหัวเราะ “เรื่องน่าขายหน้าเช่นนี้ท่านอ๋องยังทนไหวหรือ...พระชายารองแต่งภรรยา ช่างน่าขันสิ้นดี คงเป็นที่ขบขันกันไปทั่วเมืองหลวงแล้วละมั้ง” อาซานที่มาเสนอหน้ากล่าวประจบประแจงว่า “จริงของพระชายาเจ้าค่ะ...นี่ก็เป็นที่ร่ำลือไปทั่วบ้านทั่วเมืองแล้วว่า จะเรียกจ้าวชิงเฟิงว่าอย่างไรดี จ้าวฟูเหรินหรือท่านเขยจ้าว?” แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากหัวเราะ “อย่ามัวแต่หัวเราะ” ตงเหมยที่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยเอ่ยขัดขึ้น “เรื่องที่พระชายาให้เจ้าไปทำล่ะ ไปถึงไหนแล้ว?” “อะ...อ้า...
เสียงเอะอะเอ็ดตะโรจากนักพรตวัยสี่สิบผู้หนึ่งและนักพรตลูกศิษย์อีกสองคนดังอยู่ข้างนอกประตูจวน โดยมีชาวบ้านรายล้อมมุงดูอยู่จำนวนมาก “ปีศาจจิ้งจอกอยู่ในจวนนี้!” นักพรตประกาศเสียงดังก้อง “ท่านนักพรต ท่านไม่กลัวตายหรือ? นี่จวนชินอ๋องเชียวนะ!” มีชาวบ้านเอ่ยตักเตือน “ผู้บำเพ็ญเซียนอย่างข้า มีหรือจะขี้ขลาดตาขาว เมื่อเห็นมีปีศาจก็จำเป็นต้องปราบเสียให้สิ้นซาก ที่นี่กลิ่นไอปีศาจรุนแรงยิ่งนัก ปล่อยเอาไว้เกรงว่าจะทำร้ายคนดี ทำร้ายชาวบ้านบริสุทธิ์” เสียงพูดคุยกันดังระงม “เมื่อสามวันก่อนอาไฉ่ที่ตรอกฆ่าสุกรอยู่ๆ ก็ตายทั้งที่ยังหนุ่มยังแน่น” “อืมๆๆ...ข้าก็ได้ยินมาว่าพระชายารองเป็นปีศาจจิ้งจอกแปลงกายมา” “คำเล่าลือลอยๆ ไม่มีหลักฐานเชื่อถือไม่ได้” “เป็นสาวใช้ในจวนบอกเองว่า เขาไม่น่าจะใช่มนุษย์ กลิ่นกายหอมฟุ้ง ผิวพรรณละเอียดราวหยกเนื้อดี กิริยาท่าทางก็ยั่วยวน” “ว่ากันว่า ชินอ๋องหลงรักเขาหัวปักหัวปำ” “เมื่อหลายวันก่อนเขายังแต่งงานกับป้ายวิญญาณของคุณหนูเกา” “ก่อนหน้านั้นเขากับคุณหนูเกาเกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้น
แต่ไม่ทันได้ดื่ม...วัตถุชิ้นหนึ่งก็พุ่งมากระแทกชามหลุดจากมือของจ้าวชิงเฟิง เพล้งงงง ! ชามตกแตก...น้ำในชามสาดกระจาย ก่อนที่ใครจะทันได้ตั้งสติ “จับให้หมดทุกคน” เหล่าองครักษ์ที่กรูกันเข้ามาจับบ่าวของพระชายาไว้ทุกคนทันที ส่วนนักพรตและสองศิษย์ที่มีฝีมือหมัดมวยอยู่บ้าง ได้ต่อสู้อย่างสุดกำลัง แต่เพียงไม่กี่กระบวนท่าก็ถูกองครักษ์จับกุมเอาไว้อย่างแน่นหนา ช่วงเวลาชุลมุนวุ่นวาย...แต่ละคนหน้าเปลี่ยนสีแล้วเปลี่ยนสีอีก มีเพียงคุณชายคนเดียวเท่านั้นที่หน้าไม่เปลี่ยนสี ยังคงสงบนิ่งดังเดิม! ชินอ๋องมองหน้าคุณชายอย่างโกรธเกรี้ยว...แต่คุณชายก็ทำเพียงเมินมองไปทางอื่น “ท่านอ๋องเจ้าคะ...” พระชายาตู้ซึ่งไม่ถูกองครักษ์จับกุมตัว เพราะตำแหน่งพระชายา เหล่าองครักษ์จึงไม่กล้าแตะต้องตัวนาง พอรวบรวมสติได้ ก็รีบลุกขึ้นยืนละล่ำละลักเอ่ยขึ้น “เรื่องนี้เป็นเพียงการเข้าใจผิดกันเท่านั้นเจ้าค่ะ” ชินอ๋องไม่ตอบว่าอะไร เจียงจ้านใช้เข็มเงินแตะหย่อมน้ำบนพื้น เข็มเงินปรากฏสีดำเคลือบชั้นหนึ่ง “มีพิษขอรับ” “นำตัวทุกคนที่อยู่ใน
“เจ้ากำลังทำให้ข้าบ้าคลั่งรู้ไหม ฟูเหริน” ชินอ๋องขยับขึ้นไปหยอกเอินกับปลายยอดสีชมพูระเรื่อ ทั้งขบเม้มลามเลียจนเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีเข้ม เขาก็ขยับไปทำแบบเดียวกันกับอีกข้าง “หน้าอกของเจ้าสวยเหลือเกิน”“....” คุณชายจะตอบอะไรได้ ได้แต่ข่มความเจ็บปวดเอาไว้จนปากสั่นเมื่ออิ่มหนำกับยอดอกสีระเรื่อแล้ว ชินอ๋องก็ขยับตัวลงมาชิมแก่นกายน่ารักที่มีขนาดพอเหมาะกับเจ้าของบ้าง กลิ่นกายคุณชายช่างหอมยั่วยวนจนเขาอยากจะฝังตัวตนลงไปเสียเดี๋ยวนี้ แต่ก็ต้องอดทนอีกหน่อย เพราะไม่อยากให้คุณชายทรมานจนเกินไป แค่นี้ก็คงเจ็บปวดใจมากแล้วที่ต้องฝืนทนมาร่วมรักกับเขาทันทีที่ลิ้นร้อนลากผ่านส่วนล่างของคุณชาย ร่างกายก็สั่นสะท้านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คุณชายพยายามเบี่ยงตัวหนีความรู้สึกแปลกใหม่ที่ไม่เคยพานพบ แต่ก็ถูกตรึงด้วยมือใหญ่ทั้งสองข้าง ทำให้ไม่สามารถขยับตัวไปไหนได้ จึงได้แต่กัดฟันเพื่อไม่ให้มีเสียงเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากคู่งาม แต่มันไม่ง่ายเลยเพราะชินอ๋องเข้าครอบครองส่วนล่างทั้งหมด และกำลังทำให้คุณชายหัวสมองขาวโพลนและเสียวซ่าน“พอเถอะท่านอ๋อง ข้าไม่ได้ต้องการแบบนี้! ” จ้าวชิงเฟิงบอกอย่างขอร้อง เพราะไม่อาจต้านทานความ
ที่ตำหนักพระชายา... พระชายาผุดลุกผุดนั่งด้วยจิตใจอันร้อนรุ่ม ขณะนี้นางถูกกักบริเวณ แม้มีบ่าวมาคอยส่งข้าวปลาอาหาร แต่ไม่เหลือบ่าวรับใช้ข้างกายเลยสักคนเดียว แม้แต่ตงเหมยยังถูกจับตัวไปสอบสวนด้วย ถ้าความลับเปิดเผย...นางจะมีโทษมากน้อยแค่ไหน? พระชายากลัดกลุ้มแทบเป็นบ้า แต่โทษของภรรยาเอกที่คิดร้ายต่อภรรยาน้อย...ยังไงก็ไม่ต้องถึงตาย อย่าว่าถึงตายเลย แม้แต่หย่าก็ยังทำไม่ได้ ทว่า...หากโทษอีกอย่างถูกเปิดเผยล่ะ! กลุ้ม...กลุ้ม...กลุ้ม... “ข้ากลุ้มจะตายอยู่แล้ว!” ชินอ๋องให้เจียงกงกงเฝ้าอยู่หน้าเตียงนอนที่พระชายารองนอนสลบไสลอยู่ ส่วนตนเองออกไปที่ห้องโถงรับรองซึ่งกลายเป็นที่พิพากษาไปแล้ว คนแรกที่ถูกลากมาให้การคือนักพรตกับสองศิษย์ ซึ่งทั้งสามมีสภาพถูกทารุณทรมานจนยับเยินไปทั้งตัว พ่อบ้านเหลียงนำขวดยาพิษมาให้ชินอ๋องดู “นี่คือยาพิษที่ค้นได้จากตัวนักพรต และเป็นชนิดเดียวกันกับที่อยู่ในชามน้ำยันต์ขอรับ” “ทำไมเจ้าถึงคิดจะฆ่าฟูเหรินของข้า?” ชินอ๋องถามเสียงเย็นชา “ข้าน้อยมิกล้าขอรับ” นักพรตที่
ใช้เหตุผลให้มากไว้...คำเตือนของท่านหมอทำให้ชินอ๋องคิด เขารู้จักจ้าวชิงเฟิงมากน้อยแค่ไหน? แท้จริงแล้ว...น้อยนิดยิ่งนัก แต่หัวใจของเขากลับถลำลึก ตกหลุมรัก จนตะเกียกตะกายขึ้นมาไม่ไหว หรือถึงจะไหว เขาก็ไม่เต็มใจจะขึ้นมา! ทว่าจ้าวชิงเฟิงที่อายุน้อยเพียงนี้ กลับมีดวงตางามที่แฝงแววเศร้า ราวกับเก็บซ่อนความในใจเอาไว้มากมาย... ชินอ๋องจึงเรียกจางจงมาพบที่ห้องหนังสือ จางจงคุกเข่าหมอบคำนับอยู่ตรงหน้าชินอ๋อง “คารวะท่านอ๋อง” “ไม่ต้องมากพิธี” จางจงจึงลุกขึ้นแล้วยืนอย่างสำรวม “จางจง เจ้าจงเล่าเรื่องราวของฟูเหรินมาให้ข้าฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วน” “ขอรับ” จางจงรับคำ “คุณชายเป็นโอรสของฮ่องเต้แคว้นเป่ย ที่เกิดจากนางสนมหูนางสนมไร้ยศ จึงมิได้โดดเด่นเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ บ่าวได้รับใช้คุณชายตั้งแต่แรกเกิด พอคุณชายอายุสิบสี่ก็ถูกส่งมาเป็นของบรรณาการแก่ต้าหนาน ถูกท่านอ๋องรับเป็นอนุชายา อาศัยอยู่ที่เรือนเล็กท้ายจวนมานานสามปี โดยไม่เคยก้าวเท้าออกจากจวนเลยแม้แต่ก้าวเดียว จนกระทั่งได้พบท่านอ๋องที่กลับมาคราวนี้...เรื่องราวของคุณชายก็มีเพ
งานศพของพระชายาตู้จินเหลียนจัดเป็นเวลาเจ็ดวันแล้วทำพิธีฝัง ตงเหมยย่อมต้องตอบคำถามของราชครูตู้เสียงผู้เป็นบิดาของพระชายาตู้จินเหลียน ในทิศทางเดียวกันกับที่ชินอ๋องสั่ง เพื่อเป็นการปกป้องตัวของนางเองด้วย... ราชครูตู้เสียงจึงได้แต่ร้องไห้รำพันว่า “ลูกเอ๊ย...ไม่น่าเลย ไม่น่าเชื่อถือคนเลวอย่างนักพรตชั่วช้าพวกนั้นเลย” ชาวบ้านชาวเมืองที่ได้รู้ได้เห็นเหตุการณ์ที่พระชายาตู้เชื้อเชิญให้นักพรตเข้าจวนด้วยตัวของนางเอง ก็กลายเป็นพยานอย่างดี และร่ำลือกันไปทั่วว่า พระชายาตู้เคราะห์ร้ายนักหลงเชื่อนักพรตชั่วจนตัวตาย ส่วนพระชายารองก็พลอยถูกพิษเล่นงานจนป่วยหนัก...แม้นักพรตชั่วต้องโทษประหารก็ไม่สาสมกับความผิด แต่พระชายาตู้จินเหลียนเพิ่งจะฝังเสร็จ...ก็มีเสนาอำมาตย์ส่งรูปเหมือนของบุตรสาวพร้อมจดหมายบรรยายคุณสมบัติต่างๆ นานา มาที่จวนชินอ๋องถึงสี่ราย ในท้องพระโรงที่ประชุมขุนนาง ก็มีการกล่าวถึงเรื่องหาพระชายาใหม่ให้ชินอ๋องเช่นกัน “ชินอ๋องเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งต้าหนาน ต้องมาสูญเสียพระชายาอันเป็นที่รักดั่งดวงใจไปอย่างกะทันหัน ฝ่าบาทโปรดเร่งจัดงานมงคลแต่งตั้งพร
ข่าวการแต่งตั้งพระชายารองเป็นพระชายาเอกแห่งจวนชินอ๋องรู้ไปทั่วทั้งเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว รวมถึงราชครูตู้เสียงกับบุตรบุญธรรมตู้หยางป๋อด้วย ตู้หยางป๋อ...แท้ที่จริงเป็นบุคคลมีสองสกุล(แซ่) ชื่อเดิมคือหยางป๋อ เป็นบุตรชายของน้องสาวราชครูตู้เสียง เนื่องจากบิดามารดาเสียชีวิต และไม่มีญาติทางบิดาเหลืออยู่ จึงมาอาศัยอยู่กับราชครูตู้เสียงผู้เป็นลุงตั้งแต่อายุสิบสอง ราชครูตู้เสียงไม่มีบุตรชายจึงรับหยางป๋อเป็นบุตรบุญธรรม ให้ใช้สองสกุล คือสกุลตู้กับสกุลหยาง หวังจะให้เป็นผู้สืบทอดสกุลทั้งสอง หยางป๋อมีวัยเดียวกันกับตู้จินเหลียน ทั้งสองจึงสนิทสนมกันมาก จนถึงวัยแตกเนื้อหนุ่มเนื้อสาว ทั้งสองใกล้ชิดกันจนเกินเลยกลายเป็นชู้สาว เรื่องนี้คนทั้งคู่ปิดบังมิให้ราชครูตู้เสียงล่วงรู้ พอได้ข่าวว่าจ้าวชิงเฟิงได้รับการแต่งตั้งเป็นพระชายาเอกของชินอ๋อง...หยางป๋อก็รู้สึกคาใจกับการเสียชีวิตของตู้จินเหลียนขึ้นมาทันที เขารีบไปพบราชครูตู้เสียงที่ห้องหนังสือ “ท่านพ่อ” “อืม...มีเรื่องอะไรหรือ?” ท่านราชครูกำลังนั่งจิบน้ำชา “ท่านได้ข่าวพระชายาใหม่จวนชินอ๋องหรือยังขอรับ?”
“แม่นาง...เจ้าคงเข้าผิดห้อง” จ้าวชิงเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ไม่ผิด” นางตอบเสียงหวาน “หากห้องนี้คือห้องพักของท่านเจ้าบ้านหลี่” พลางทอดสายตาหวานหยาดเยิ้มให้แก่หลี่เฉิง จ้าวชิงเฟิงรู้สึกว่า...ตนคงพูดอะไรไม่ได้ เพราะคนที่นางมาหาไม่ใช่ตน “เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องอันใด?” นายท่านหลี่ถามเสียงเรียบๆ “มาทำความรู้จัก” นางตอบแล้วยิ้มหวาน “ข้าชื่อ...อินซวงซวง เป็นประมุขพรรคสุริยัน” “พรรคมาร” หลี่เฉิงเอ่ยขึ้น “นั่นเป็นชื่อที่พวกไร้มารยาทเรียกหา” นางกล่าวอย่างไม่พอใจ แล้วเปลี่ยนกลับมาอ่อนหวานว่า “ท่านเจ้าบ้านหลี่...ท่านน่าจะเชิญสหายของท่านผู้นี้ออกไปข้างนอกก่อน...พวกเราจะได้ทำความรู้จักกันให้ลึกซึ้ง” หลี่เฉิงมิได้กล่าวอะไร...เขาต้องการจะดูปฏิกิริยาของจ้าวชิงเฟิงว่าจะจัดการกับเรื่องเช่นนี้อย่างไรบ้าง อินซวงซวงเหลือบตามองจ้าวชิงเฟิงที่สวมหน้ากากผ้าแพรสีดำนิดหนึ่ง ก่อนจะออกปากว่า “คุณชาย สมควรจะรีบออกไปข้างนอกก่อนนะ!” “อ๊ะ...ข้า...” จ้าวชิงเฟิงลุกจากเตียงที่นั่งอยู่ จะเดินออกไปจากห้อง...หมูเขาจะหาม อย่าเ
ประมุขเฉินห้าวกับอาหลีจูงมือกันมายืนต่อหน้านายท่านหลี่และคุณชายจ้าว “พวกเราปรับความเข้าใจกันแล้ว” ประมุขเฉินห้าวเอ่ย “ข้ากับอาหลีจะแต่งงานกัน แต่คงต้องรอให้งานชุมนุมชาวยุทธที่เขาไท้ซานเสร็จสิ้นเสียก่อน” จ้าวชิงเฟิงยิ้ม แต่ยังอดถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้ว่า “อาหลี เจ้าฝืนใจหรือเปล่า?” อาหลีส่ายหน้า ทีท่าเขินอายยิ่งนัก “ถ้าเจ้ามิได้ฝืนใจ เกอเกอก็ยินดีด้วย” จ้าวชิงเฟิงแย้มยิ้มทั้งปากทั้งตา ดึงตัวอาหลีมากอดเอาไว้ เดือดร้อนนายท่านหลี่ต้องรีบจับแยก... ที่สำนักวัดไท้ซาน...พรรคต่างๆในยุทธภพต่างมารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียง ทั้งฝ่ายธรรมมะและฝ่ายอธรรม เพื่อคัดเลือกจ้าวยุทธภพที่สิบปีมีครั้งหนึ่งอย่างกระตือรือร้น พรรคฝ่ายธรรมมะประกอบด้วย... วัดไท้ซาน...ซึ่งได้ตำแหน่งผู้นำยุทธภพเมื่อสิบปีก่อน โดยฝีมือของเจ้าอาวาสต้าซือไร้ลักษณ์ ผู้มีหน้าตาใจดีมีเมตตา คิ้วเคราขาวโพลน แต่ดวงตากลับเปล่งประกายคมกล้าของยอดฝีมือชัดเจน ศิษย์ในวัดมีทั้งศิษย์ที่เป็นภิกษุและศิษย์ฆราวาส พรรคเทียนซาน...ซึ่งมาอย่างอวดโอ่ เพราะเจ้าสำนักเพิ่งสำเร็จวิชาเส
งานเลี้ยงดำเนินไปได้สักพัก...นายท่านหลี่ก็พาคุณชายจ้าวที่เริ่มเมานิดหน่อยกลับห้องพัก ส่วนละอ่อนอย่างอาหลีก็ถูกประมุขพรรคยาจกเฉินห้าวไล่ให้กลับห้องไปนอนก่อน เพราะเขาตั้งใจจะดวลสุรากับหัวหน้าราชองครักษ์อ๋าวไคทั้งคืน แต่ดื่มกันไปได้พักใหญ่...ประมุขพรรคยาจกเฉินห้าวก็เกิดนึกเป็นห่วงอาหลีขึ้นมา “ท่านอ๋าว...ข้าคงต้องขอตัวแค่นี้ก่อน” “อ้าว...ประมุขเฉิน ไหนท่านว่าจะดื่มกันยันฟ้าสว่างอย่างไรล่ะ” อ๋าวไคแย้ง “ข้าเป็นห่วงอาหลี เด็กน้อยคนนี้ปกติจะต้องให้ข้านั่งอยู่เป็นเพื่อนจึงจะนอนหลับ ป่านนี้จะนอนแล้วหรือยังก็ไม่รู้ ข้าจะไปดูเขาสักหน่อย” ประมุขเฉินตอบ “ถ้าเช่นนั้น...พวกเราก็พอแค่นี้แล้วกัน” อ๋าวไคเอ่ย “ข้าก็จะกลับห้องพัก...พวกเราไปทางเดียวกัน ไปกันเถิด” แล้วทั้งสองก็ลุกขึ้น เดินขึ้นชั้นบน ตรงไปยังห้องพักของอาหลีก่อน แต่พอเข้าใกล้...ทั้งสองก็มองหน้ากัน เพราะได้ยินเสียงผิดปกติ ประมุขเฉินห้าวจึงรีบกระแทกประตูห้องเปิดออกอย่างไม่รอช้า ภาพที่เห็น คือ...อาหลีถูกถอดเสื้อผ้าจนเปลือยเปล่า นอนบิดกายอยู่บนเตียง ที่หน้
หลังจากดูงิ้ว...เฉินกุ่ยปาดน้ำตาลวกๆ ขณะเดินเคียงคู่มากับจางจง ไปตามถนนที่เงียบสงัดเพราะดึกมากแล้ว “ท่านเฉิน ท่านร้องไห้ทุกครั้งที่ดูงิ้วนะหรือ?” จางจงอดถามไม่ได้ เพราะเห็นแม่ทัพรักษาเมืองตัวโตนั่งร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรขณะดูงิ้ว จนกระทั่งงิ้วแสดงจบ ออกมาจากโรงงิ้วแล้ว ก็ยังไม่หยุดร้องอีก เขาไม่ได้คิดเย้ยหยันหรอกนะว่า ผู้ชายที่ดูดุดันตัวโตราวตึกจะร้องไห้ไม่ได้ เพียงแต่แปลกใจว่า...ท่านแม่ทัพร่างใหญ่วัยฉกรรจ์จะมีมุมที่อ่อนไหวเช่นนี้ด้วย! “ขะ ข้าสงสารนางเอกที่ถูกสามีทอดทิ้งหนะ” เฉินกุ่ยอ้อมแอ้ม “งิ้วก็คือเรื่องแต่งเท่านั้นนะท่านเฉิน” “ข้ารู้” เฉินกุ่ยพยักหน้า “แต่ก็ทำให้ข้าคิดถึงตัวเองด้วยนะอาจง” “ท่านคิดสิ่งใดหรือ?” จางจงถาม เฉินกุ่ยสูดลมหายใจเต็มปอด ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วว่า “ข้าชอบคนคนหนึ่งอย่างมาก แต่ไม่รู้ว่า เขาจะชอบข้าบ้างหรือไม่?” “ท่านเป็นบุรุษที่พึ่งพาได้” จางจงกล่าวปลอบโยน “อีกทั้งมีเกียรติยศศักดิ์ฐานะสูงส่งขนาดนี้ แม่นางคนใดจะไม่ชอบท่านล่ะ?” “เขาเป็นบุรุษ!” “เอ๋...
สีหน้าเฉินกุ่ยผิดหวังตะลึงงัน หลี่เฉิงกล่าวด้วยเสียงเรียบๆว่า “มีที่ใด...เจ้าไม่เคยไปมาบ้าง จากเหนือจรดใต้ จากตะวันออกไปจนถึงตะวันตก เจ้าล้วนไปมาทั่วแล้ว” “ขะ คือ...มันไม่เหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ” เฉินกุ่ยเหงื่อตก “ไปอย่างนั้น มันไปธุระ...” “นี่ก็ไปธุระ” หลี่เฉิงนั้นรู้จุดประสงค์ของอีกฝ่ายดี แต่จะกลั่นแกล้งให้ต้องพูดออกมา “ธุระตอนนั้นมันไม่มี แต่ตอนนี้มี...” “มีอะไร?” “มี...” แม่ทัพร่างใหญ่ยกมือปาดเหงื่อที่หน้าผาก...รู้สึกว่า คำพูดที่อยู่ในอก ช่างพูดออกมายากเย็นนัก ยากกว่าการไปรบทัพจับศึกเสียอีก แต่เพื่อให้ได้ติดตามขบวนประพาสของฮ่องเต้ จึงทำใจให้สงบ สูดลมหายใจให้เต็มปอด และพูดอุบอิบว่า “มี...จางจง พ่ะย่ะค่ะ” แม้เสียงเบา แต่ฮ่องเต้กับคุณชายต่างได้ยิน ทำเอาคุณชายเกือบทำถ้วยชาหลุดมือ “อ่อ...” หลี่เฉิงพยักหน้า “เหตุผลพอฟังขึ้น ข้าอนุญาตให้เจ้าไปด้วยก็ได้ แต่เจ้าจะต้องไปปรึกษากับอ๋าวไคว่าจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรบ้างในการไปเที่ยวครั้งนี้”
พิเศษ 1 ศึกชิงจ้าวยุทธภพ อาหลีติดตามเฉินห้าวไปทุกที่ ตั้งแต่เหนือจรดใต้ ตะวันออกจรดตะวันตก จนวนกลับมายังเมืองหลวงต้าหนาน “ไม่รู้ว่าเกอเกอ(พี่ชาย)ฮองเฮา กับเจี่ยเจีย(พี่สาว)เซียงเซียงจะเป็นอย่างไรบ้าง?” อาหลีที่เดินตามประมุขเฉินต้อยๆ เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นหอสุราจุ้ยเซียนอยู่ตรงหน้า “เดี๋ยวเจ้าก็ได้รู้...” ประมุขเฉินกล่าว พลางพาอาหลีเข้าไปในหอสุรา และขึ้นบันไดไปบนชั้นสอง ที่ห้องพิเศษบนชั้นสอง...ฮ่องเต้หลี่เฉิงกับ ฮองเฮาจ้าวชิงเฟิง นั่งรออยู่ แต่ผู้ที่ทำให้ประมุขเฉินผิดคาดหมายเล็กน้อยคือ...หลวงจีนลืมชื่อ ภิกษุชราผู้มีร่องรอยลี้ลับหาตัวพบยากนักหนา กำลังคีบเนื้อแพะตุ๋นน้ำแดงเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย ประมุขพรรคยาจกประสานมือค้อมศีรษะให้ฮ่องเต้เป็นอันดับแรก “ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” “ไม่ต้องมากพิธี” ฮ่องเต้ตรัส “อยู่ข้างนอกพระราชวัง ประมุขเฉินอย่าได้ใช้พิธีรีตองในวังกับข้า เรียกข้าว่าเจ้าบ้านหลี่ก็พอ ข้าจะใช้ชื่อในการท่องเที่ยวข้างนอกนี้ว่า ‘หลี่ฉือ’ ส่วนฟูเหรินของข้าจะใช้ชื่อว่า คุณชายจ้าวเฟิง”
จ้าวชิงเฟิงตกใจ ถามว่า “ท่านอ๋อง ท่านเป็นอะไร?” “ข้าเจ็บแผล” ชินอ๋องทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ซ้ำยังทำตัวงอด้วย “อ่า...ประสกท่านอ๋อง” หลวงจีนลืมชื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ก็เห็นชินอ๋องขยิบตาให้ อืม...อาตมาเข้าใจ “ประสกท่านอ๋องต้องเปลี่ยนยาแล้ว ประสกพระชายาช่วยประคองประสกท่านอ๋องไปที่ห้องนอนหน่อยเถิด” จ้าวชิงเฟิงประคองร่างสูงใหญ่กำยำอย่างระมัดระวัง ให้เดินกลับห้องนอนใหญ่ ไปนั่งลงบนเตียงนอน และช่วยถอดเสื้อออกให้ หลวงจีนลืมชื่อเอาผ้าพันแผลออกเพื่อเปลี่ยนยาที่หน้าอกของชินอ๋อง จ้าวชิงเฟิงเห็นบาดแผลแล้วอดรู้สึกเจ็บแทนไม่ได้ “ท่านอ๋อง...ทีหลังโปรดอย่าได้ทำอย่างนี้อีก” “ถูกต้อง...” หลวงจีนลืมชื่อเอ่ยเสริม “อีกแค่ครึ่งชุ่น(ครึ่งนิ้ว) ประสกท่านอ๋องก็ต้องกลับสวรรค์ไปแล้ว” ว่าพลางเปลี่ยนยาพลาง “เจ็บมากแน่ๆ” จ้าวชิงเฟิงเอ่ยเสียงเบา “ฟูเหริน...เจ้าจูบข้าทีสิ” ชินอ๋องกล่าวพลางทำสีหน้าเจ็บปวด “ข้าจะได้รู้สึกเจ็บน้อยลงหน่อย” “อ่า...อมิตตาภพุทธ อย่าลืมว่ายังมีอาตมาอยู่ตรงนี้ด้วย”** วันต่อมา...
ฮ่องเต้แกะผ้าแพรที่มัดข้อมือทั้งสองข้างของจ้าวชิงเฟิงไว้กับเสาของพระแท่นบรรทมออก แล้วรวบจับข้อมือทั้งสองของร่างบอบบางด้วยมือข้างเดียว จะฉุดลากให้หนีออกไปด้วยกัน ทันใด...ปัง ! ประตูห้องบรรทมถูกถีบเปิดออก ฮ่องเต้รีบคว้าตัวจ้าวชิงเฟิงมารัดด้วยแขนข้างซ้าย มือขวาจับลำคอเล็กเอาไว้แน่น ร่างของจ้าวชิงเฟิงจึงพิงอยู่กับร่างของฮ่องเต้ ผู้ที่ถีบประตูเข้ามาคือชินอ๋องที่มีสภาพเปื้อนเลือดไปทั่วร่าง “หยุดอยู่ตรงนั้นหลี่เฉิง มิเช่นนั้นเราจะหักคอพระชายาเสีย” ชินอ๋องยืนนิ่งอยู่กับที่ “หลี่เจา เจ้าปล่อยฟูเหรินของข้า ข้าจะปล่อยเจ้าไป” “ฮะๆๆๆ...เดี๋ยวนี้แม้แต่คำว่าฝ่าบาท เจ้าก็ยังไม่เรียกเราแล้วหรือ?” “เจ้าไม่สมควรเป็นฮ่องเต้...เจ้าฆ่าพี่รองและฆ่าเสด็จพ่อ” “ก็ใครใช้ให้เสด็จพ่อคิดจะแต่งตั้งหลี่เฉาเป็นรัชทายาทเล่า ทั้งๆ ที่เสด็จแม่ของข้ามีตำแหน่งสูงกว่าแม่ของพวกเจ้า แต่เสด็จพ่อกลับรักแต่หลี่เฉา ไม่เห็นหัวหลี่เจาคนนี้ พอหลี่เฉาตาย เสด็จพ่อก็เศร้าโศกจนล้มป่วย ข้าก็เลยถวายยาพิษให้เสด็จได้ตามไปพบกับหลี่เฉาอย่างไรล่ะ” ฮ่องเต้ต
ที่จวนชินอ๋อง... ขันทีที่ถ่ายทอดราชโองการ ขานเสียงดังว่า “ฮ่องเต้มีพระราชโองการ...” แต่กลับไม่มีใครคุกเข่าลงรับราชโองการสักคนเดียว ก็เอ่ยต่อเสียงดังๆ ว่า “คุกเข่ารับราชโองการ” เสี่ยวหู่กำลังอารมณ์มืดมนถึงขีดสุด ก็เข้าไปกระชากคอเสื้อของขันที “พูดมา...มีอะไรก็รีบพูดออกมา ถ้ายังไม่อยากตาย!” “ทะ ท่านอ๋อง” ขันทีตาเหลือก ทหารที่คุ้มกันล้วนถูกดาบพาดคอ ขันทีเหลือบซ้ายแลขวาแล้ว ไม่กล้าพูดคำว่า...จะเป็นขบถหรือ...ออกมา ที่เคยใช้อำนาจข่มเหงคนอื่นๆ ล้วนรีบกล้ำกลืนเอาไว้ พูดตะกุกตะกักว่า “ฮ่องเต้ทรงให้นำมีดเล่มนี้มาให้ท่านอ๋อง” แล้วส่งมีดพกที่จ้าวชิงเฟิงเอาออกมาแทงฮ่องเต้ให้ เสี่ยวหู่รับมีดมาส่งต่อให้ชินอ๋อง ชินอ๋องรับมาดูแล้วกล่าว “ใช่...มีดเล่มนี้ข้าให้ฟูเหรินพกติดตัวไว้” “มีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?” เสี่ยวหู่ตะคอกขันที “ฝะ ฝ่าบาทรับสั่งว่า พระชายาสบายดี หากท่านอ๋องอยากพบพระชายา ให้เข้าวังโดยเร็ว กะ ก่อนที่ ขะ ข้าวสารจะกลายเป็น...ข้าวสุก” “มีอีกหรือไม่?” ชินอ๋องถามเสียงเรียบๆ