จางจงและสองสาวใช้เสี่ยวหงเสี่ยวชุ่ยช่วยกันปลอบจนสามารถเอาตัวคุณชายออกจากผ้าห่มได้ และช่วยกันจัดการธุระส่วนตัวคุณชายให้จนเรียบร้อย
“เขา...ท่านอ๋องไม่อยู่จวนหรือ?” คุณชายถามขึ้นเพราะไม่เห็นเขาตั้งแต่ตื่นนอนมา
“ท่านอ๋องเข้าวังไปประชุมที่ท้องพระโรงแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ ฟูเหริน” เสี่ยวชุ่ยตอบพลางแย้มยิ้มหน้าระรื่น
“ท่านอ๋องยังสั่งว่าอย่ารบกวนฟูเหริน ให้ฟูเหรินพักผ่อนให้เต็มที่” เสี่ยวหงกล่าวเสริมด้วยสีหน้ายิ้มกริ่มแบบว่ารู้อะไรดีๆ
“ข้าแค่...”
คุณชายอยากบอกแม่สองสาวหน้าทะเล้นนี้ว่า...เมื่อคืนเขาแค่นอนไม่หลับในตอนแรกเท่านั้น เพราะไม่คุ้นชินกับการมีคนนอนด้วย ซ้ำคนนอนด้วยยังกอดเขาเป็นหมอนข้าง กว่าจะได้หลับจริงๆ ก็เลยเที่ยงคืนไปไม่น้อยแล้ว จึงทำให้ตื่นสาย
แต่คำพูดมาจ่ออยู่ที่ริมฝีปาก...
คุณชายก็นึกขึ้นได้ว่า...ยิ่งพูดก็ยิ่งเข้าตัว!
จึงนิ่งเงียบเสีย
“ท่านอ๋องยังสั่งไว้ว่า...บ่ายนี้จะพาฟูเหรินไปเที่ยวเทศกาลดอกไม้เจ้าค่ะ” เสี่ยวชุ่ยเจื้อยแจ้วต่อ
ขณะที่พูดนางก็เดินนำเจ้านายมาที่โต๊ะอาหาร จัดให้คุณชายนั่งลงแล้วส่งชามรังนกตุ๋นโสมให้เขา
คุณชายมองชามรังนกตุ๋นโสมในมือและอาหารบนโต๊ะ แล้วได้แต่ยิ้มอย่างอ่อนใจ
“ข้ากินไม่หมดหรอก”
“อย่างอื่น...ฟูเหรินไม่กินก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ แต่รังนกตุ๋นโสมชามนี้ ฟูเหรินสมควรกินให้หมดนะเจ้าคะ เพราะว่าทั้งรังนกทั้งโสมเป็นของบรรณาการจากหัวเมืองที่คัดเอาแต่ของดีที่สุดมา แล้วฮ่องเต้ทรงแบ่งพระราชทานมาให้แก่จวนชินอ๋อง แม้แต่พระชายายังไม่อาจแตะต้องเลยนะเจ้าคะ” เสี่ยวหงกล่าวอธิบาย
เสี่ยวชุ่ยเสริมต่อว่า “พระชายาได้แต่สั่งซื้อรังนกและโสมชั้นรองลงมา นำมาตุ๋นดื่มทุกเช้าเพื่อให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งงดงามเจ้าค่ะ”
“แต่ข้าเป็นบุรุษ จะบำรุงผิวพรรณไปไย?” คุณชายถามอย่างงงๆ
“นี่ไม่เพียงแค่บำรุงผิวพรรณ ยังบำรุงร่างกายด้วยขอรับ” จางจงเอ่ยแทรกขึ้น “คุณชายรีบกินทั้งอุ่นๆ เถอะขอรับ”
เมื่อถูกบ่าวคนสนิทคะยั้นคะยอ คุณชายก็ตักรังนกตุ๋นโสมเข้าปาก
หลังอาหารเช้าประมาณครึ่งชั่วยาม...จางจงก็นำคุณชายไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเตรียมพร้อมออกไปเที่ยวกับชินอ๋อง
หลังอาบน้ำเสร็จจางจงก็บรรจงชโลมน้ำมันหอมบำรุงผิวลงบนผิวกายของคุณชาย แล้วลูบไล้นวดเบาๆ จนน้ำมันหอมซึมเข้าสู่ผิว ทำให้ไม่รู้สึกเหนียวเหนอะหนะแต่อย่างไร
“ทำไมต้องทาของพวกนี้บนตัวข้าด้วย...แต่ก่อนไม่เห็นต้องนี่นา” คุณชายประท้วงเล็กๆ
แต่จางจงที่ได้ยิน อดมองคุณชายอย่างตื่นเต้นไม่ได้
“คุณชายจำเรื่องราวเก่าก่อนได้แล้วหรือขอรับ?”
จ้าวชิงเฟิงชะงักงัน ลองนึกทบทวน แต่ก็เหมือนมีม่านหมอกหนาทึบปิดบังความคิด
“ไม่ใช่...ข้าเพียงแค่รู้สึกเท่านั้น”
จางจงทอดถอนใจเบาๆ พลางช่วยสวมใส่เสื้อผ้าให้แก่คุณชายอย่างพิถีพิถัน
“ยามนี้คุณชายมีฐานะเป็นพระชายารอง จำต้องดูแลร่างกายให้ดี”
เพื่อให้ท่านอ๋องได้เชยชมเต็มที่...แต่บ่าวคนสนิทไม่เอ่ยออกจากปาก
“หากบ่าวปรนนิบัติคุณชายไม่รอบคอบ เกรงว่ายากจะรักษาศีรษะบนคอเอาไว้ได้”
“ทะ ท่านอ๋องเหี้ยมโหดขนาดนั้นเลยหรือ?” คุณชายหลุดปาก สีหน้าไม่สู้ดี
“.....” จางจงไม่ได้ตอบว่าอะไร
คุณชายจับมือจางจงที่แต่งกายให้เขาเรียบร้อยแล้วเอาไว้ “เจ้ารู้อะไร บอกข้าเถอะนะ”
จางจงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง...การปิดบังคุณชาย อาจจะทำให้คุณชายวางตัวไม่ถูกกาลเทศะ และเป็นอันตรายได้
“บ่าวที่โบยคุณชายคนนั้น เป็นบ่าวคนสนิทของพระชายา ที่ติดตามมาแต่จวนของท่านราชครู เขาถูกท่านอ๋องสั่งทรมานสอบสวน และลงโทษให้โบยถึงตาย และท่านอ๋องยังสั่งตัดเบี้ยหวัดของพระชายาลงครึ่งหนึ่งเป็นการลงโทษด้วยขอรับ”
*
*
ชินอ๋องกลับมาถึงจวนก่อนเที่ยงราวครึ่งชั่วยาม มาถึงก็ให้เจียงกงกง(ขันทีเจียง)ช่วยเปลี่ยนชุดราชสำนักออก มาสวมใส่เสื้อผ้าสีกรมท่าเนื้อผ้าอย่างดีแทน แล้วพาจ้าวชิงเฟิงที่สวมเสื้อยาวสีเขียวอ่อนปักลายเมฆสวยงาม ขึ้นรถม้าออกจากจวนชินอ๋อง โดยมีเจียงกงกงและเหล่าองครักษ์ติดตามคุ้มกัน
พอขึ้นรถม้า...คุณชายก็นั่งตัวตรงทีท่าเกร็ง จนชินอ๋องลอบยิ้มขัน
“เจ้าไม่ถามหรือ...ว่าข้าจะพาเจ้าไปไหน?”
“ข้าถามได้หรือ?”
“ได้สิ...เจ้าถามข้าได้ทุกเรื่อง ข้าอนุญาต”
คุณชายนิ่งอยู่อึดใจเล็กๆ ก็ถามว่า
“วันนี้ ท่านอ๋องจะพาข้าไปไหนขอรับ?”
อยากให้ถาม...ก็ถาม
ชินอ๋องมีสีหน้าท่าทางอารมณ์ดี
“ข้าจะพาเจ้าไปสามแห่ง แห่งแรก...ไปกินอาหารกลางวันกันที่หอสุราจุ้ยเซียนที่ขึ้นชื่อที่สุดของเมืองหลวง หลังจากนั้นก็ไปชมดอกไม้และดอกโบตั๋นที่สวนป่ากุ้ยหลิน และตอนเย็นก็ไปหอหมื่นบัณฑิต...เจ้าว่าดีไหม?”
“ดีขอรับ”
จะให้ตอบอย่างไรล่ะ!
ตอบว่าไม่ดี...ชินอ๋องจะล้มเลิกความตั้งใจหรือ?
เพียงไม่นาน...รถม้าก็จอดนิ่ง
ชินอ๋องลงจากรถม้าก่อนอย่างคล่องแคล่ว แล้วยื่นมือมาให้คุณชาย
คุณชายชะงักเล็กน้อย...เขาเป็นบุรุษ ไม่ได้ต้องการกิริยาทะนุถนอมจนเกินเหตุเหมือนอย่างแม่นางน้อยสักหน่อย
แต่ทว่ามือที่ยื่นมาก็ไม่ยอมชักกลับ...ถ่วงเวลากันอยู่อึดใจหนึ่ง...ในที่สุด คุณชายก็จำใจต้องยอมแพ้ วางมือเรียวงามลงบนมือใหญ่แข็งแรง
ชินอ๋องช่วยประคองคุณชายลงจากรถม้า แล้วพาเข้าไปในหอสุราที่ตัวอาคารประดับตกแต่งอย่างสวยงาม
เจ้าของหอสุราเป็นชายวัยกลางคนท่าทางสุภาพภูมิฐาน เขาเข้ามาน้อมคำนับและเชื้อเชิญให้ชินอ๋องและคณะไปยังห้องรับรองพิเศษสองห้อง
ห้องที่ชินอ๋องพาจ้าวชิงเฟิงเข้าไปนั่งมีตำแหน่งที่ดีที่สุด ด้านประตูที่เปิดกว้าง มองเห็นเวทีแสดงชัดเจน ส่วนด้านหน้าต่างก็มองเห็นทิวทัศน์ท้องถนนในเมืองหลวงที่มีแผงค้าขายตั้งเรียงรายเป็นระเบียบ
อาหารคาวหวานและน้ำชาชั้นดีถูกนำมาขึ้นโต๊ะอย่างไม่รอช้า เพราะเจียงกงกงส่งคนมาสั่งเอาไว้ก่อน พอชินอ๋องมาถึง อาหารก็พร้อมขึ้นโต๊ะทันที โดยอาหารและเครื่องดื่มทุกอย่างล้วนถูกเจียงกงกงใช้เข็มเงินทดสอบก่อนว่าไม่มีพิษจึงปล่อยให้ผ่าน
ส่วนเหล่าองครักษ์นั้นอยู่ที่ห้องติดกัน
ระหว่างดื่มกิน...มีแม่นางน้อยนางหนึ่งที่มีรูปโฉมสดสวยสะคราญ อายุราวสิบหกปี มานั่งบรรเลงฉินขับกล่อม
เสียงฉินไพเราะจนจ้าวชิงเฟิงตั้งใจฟัง ทำให้ชินอ๋องรู้สึกหงุดหงิด เพราะอาหารที่เขาคีบให้คุณชายแทบจะพูนชามแล้วนั้น คุณชายแทบจะไม่ได้แตะ...เอาแต่เหม่อมองนักดนตรีสาวสวย
“ชอบเหรอ?” ชินอ๋องกระซิบถาม
คุณชายหันมามองคนกระซิบ
“ถ้าชอบ...ข้าจะซื้อตัวนาง”
ดวงตาหงส์งดงามของคุณชายสว่างวูบ ก่อนจะดับแสงลงเพราะประโยคต่อมา
“แล้วส่งไปอยู่ชายแดนห่างไกล!”
จ้าวชิงเฟิงหลบสายตาชินอ๋องที่ฉายแววดุดัน เขาแน่ใจว่าอีกฝ่ายสามารถทำตามที่พูดได้อย่างไม่สะทกสะท้าน แต่...ทำไมแม่นางน้อยนางนั้นจะต้องมารับโทสะที่ไม่มีที่มาที่ไปของคนใหญ่คนโตอย่างชินอ๋อง เพียงเพราะมีพรสวรรค์ทางด้านดนตรีเป็นที่ชื่นชอบของผู้ได้ยินได้ฟังด้วยเล่า? ไร้เหตุผล! แม้อีกฝ่ายจะไร้เหตุผล...เขาก็ได้แต่อดทนอดกลั้น ไม่สามารถจะไปถกเหตุผลกับอีกฝ่ายได้ ได้แต่ส่งเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่ได้ชอบ” เห็นสีหน้าเจื่อนจ๋อยของคุณชาย...ชินอ๋องก็ข่มอารมณ์หงุดหงิดของตนเองลง ใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยนขึ้นเอ่ยว่า “ฟูเหริน กินอาหารเถอะ เดี๋ยวอาหารเย็นชืดเสียหมด จะหมดรสชาติ” แล้วคีบเนื้อเป็ดอบชิ้นหนึ่งส่งให้ถึงปากคุณชาย แต่คุณชายกลับใช้ตะเกียบของตนเองคีบเนื้อเป็ดชิ้นนั้นจากตะเกียบของชินอ๋องแล้วจึงกิน คิ้วเข้มของชินอ๋องกระตุกคราหนึ่ง สีหน้าเย็นชาราวฉาบด้วยน้ำแข็ง จนอยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อระบายอารมณ์หงุดหงิด “เจียงจ้าน” ชินอ๋องส่งเสียงเรียกขันทีคนสนิท เจียงกงกงก็ปรากฏตัวเข้ามาน้อมรับคำสั่งทันที “เจ้าไปเรียกแม่นาง
“ข้าควักหัวใจของเจ้าออกมาดีหรือไม่ จะได้ไม่เจ็บ?” พร้อมกับเสียงที่ดังขึ้นแทรก...มือแข็งแรงของชินอ๋องหลี่เฉิงก็คว้าหมับที่ข้อมือของบุรุษร่างสูงและออกแรงบีบ “โอ๊ย...” คนถูกบีบข้อมือร้องเบาๆ แล้วปล่อยมือของคุณชายให้เป็นอิสระ “พี่สี่ ท่านจะมาขัดขวางความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของข้าทำไม...ข้ากำลังทำความรู้จักกับคุณชายน้อยน่ารักคนนี้อยู่” ชินอ๋องจับต้นแขนคุณชาย แล้วดึงตัวให้ไปหลบอยู่ด้านหลังของตน “หลี่จิ้ง คนที่เจ้ากำลังทำรุ่มร่ามด้วย เป็นฟูเหรินของข้า เป็นพี่สะใภ้ของเจ้า” เสียงชินอ๋องเข่นเขี้ยว “พี่สะใภ้?” หลี่จิ้งทำหน้าฉงน ยกพัดด้ามจิ้วที่หุบอยู่ขึ้นแตะคางเล่นเบาๆ “มิใช่พระชายาตู้จินเหลียนหรอกหรือ?” “เขาคือพระชายารองจ้าวชิงเฟิง” ชินอ๋องเอ่ยอย่างตัดรำคาญ แต่หลี่จิ้งกลับอ้อมชินอ๋องมากระแซะอีกข้างของคุณชาย ยกมือประสาน “ยินดีที่ได้รู้จักน้องชิงเฟิง” “พี่สะใภ้!” ชินอ๋องเน้นคำ แต่อีกฝ่ายไม่สนใจ คลี่พัดโบกลมให้ตนเอง พลางแนะนำตัว “ข้าหลี่จิ้งเป็นน้องห้าของพี่สี่ชินอ๋องหลี่เฉิง...เรียกข้าว่าพี่ห้าเถิด” ชินอ๋องผ
สีหน้าชินอ๋องดำทะมึน เขาโบกมือห้ามเหล่าองครักษ์ที่ติดตามมาและเจียงจ้านที่กำลังจะโดดลงไปในน้ำเพื่อช่วยเหลือจ้าวชิงเฟิง “ไม่ต้อง” เพราะเห็นว่าคุณชายว่ายน้ำเป็น จ้าวชิงเฟิงพอลงมาในสระก็หยั่งเท้าดูความลึกของน้ำ พบว่าน้ำช่วงนี้ลึกแค่อกของเขาเท่านั้น จึงไม่ได้เป็นกังวลอะไรมากนัก รีบว่ายน้ำเข้าไปช่วยหญิงสาวที่อยู่ห่างออกไปสองจั้ง(1จั้ง=2.5เมตร)อย่างรวดเร็ว แต่แม่นางคนนั้นพอเจอคนก็เกาะหมับ เกือบทำให้คุณชายพลอยจมน้ำไปด้วย ดีที่คุณชายมีสติ จึงยืนมั่น แม้กระนั้นก็สำลักน้ำในสระเข้าไปสองสามอึก “แม่นางไม่ต้องกลัว น้ำตรงบริเวณนี้ไม่ลึกเท่าไรเพราะอยู่ใกล้ขอบสระ เจ้าเอาเท้าเหยียบพื้นสิ” นางส่ายหน้าพลางไอค่อกแค่กพลาง กอดคุณชายแน่นเนื้อตัวสั่นเทา เป็นครู่ค่อยกล่าวเสียงกระท่อนกระแท่น “ข้าขยะแขยงดินโคลนข้างใต้ยิ่งนัก” คุณชายได้แต่ถอนใจกล่าว “แม่นาง เจ้าต้องแข็งใจไว้...พวกเราจะได้เดินไปขึ้นฝั่ง” น้ำเสียงนุ่มนวล คนกล่าวก็งดงาม...นางจึงจำใจพยักหน้า ทั้งสองจึงเดินลุยโคลนมาขึ้นบันไดที่ขอบสระ ทันทีที่ขึ้นจาก
“แต่...” องครักษ์คนสนิทเอ่ยได้เพียงคำเดียว ก็ถูกอ๋องห้าแทรกขึ้น “เจ้าหุบปากไปเลย แล้วฟังข้า” จึงได้แต่ประสานมือน้อมกาย “ขอรับ” “คุณหนูเกาที่พลัดตกน้ำนางนั้นช่างโชคดียิ่งนัก ถูกคุณชายจ้าวชิงเฟิงทั้งโอบกอดทั้งประคองขึ้นจากน้ำ” อ๋องห้าสั่งต่ออย่างมีแผนการร้าย “จงไปปล่อยข่าว...คุณชายจ้าวชิงเฟิงผู้ช่วยคุณหนูเกาขึ้นจากสระน้ำนั้นพักอาศัยอยู่ในจวนชินอ๋อง แต่ปกปิดเรื่องที่เขาคือพระชายารองเอาไว้ ให้บอกไปว่าเขาเป็นญาติห่างๆ” “ทำเช่นนี้จะดีหรือท่านอ๋อง...คุณหนูเกาซิ่วจิ่นเป็นธิดาคนเดียวของมหาอำมาตย์เกาชง หากเรื่องราวแพร่งพรายออกไปว่าคุณหนูเกาตกน้ำแล้วถูกบุรุษช่วยขึ้นมา ความบริสุทธิ์ผุดผ่องของคุณหนูเกาก็ต้องแปดเปื้อน จะตบแต่งให้กับผู้ใดได้อีกขอรับ?” “ข้าถึงชี้ทางให้แม่สื่อวิ่งเข้าจวนชินอ๋องอย่างไรเล่า...ฮ่าๆๆ” หัวเราะพลางคลี่พัดโบกอย่างครึ้มอกครึ้มใจ กลับถึงจวน...คุณชายก็รีบอาบน้ำสระผมเปลี่ยนเสื้อผ้า พอออกจากห้องอาบน้ำ...เสี่ยวหงก็จัดการเช็ดผมหวีผมให้ ในขณะที่เสี่ยวชุ่ยยกชามน้ำขิงมาให้ดื่ม “ฟูเหรินเจ้าขา...ทำไมท่านถึงได้ตกน้ำ
พระชายาตู้จินเหลียนจึงให้ตงเหมยจัดที่นั่งพักรอแก่แม่สื่ออีกห้องหนึ่ง เพื่อรอพบชินอ๋อง เมื่อชินอ๋องกลับจากประชุมในท้องพระโรง พอบ่าวที่คอยเป็นหูเป็นตาให้แก่พระชายามารายงานว่าชินอ๋องกลับมาถึงจวนแล้ว พระชายาก็รออีกสักพัก เพื่อให้เวลาชินอ๋องได้เปลี่ยนเสื้อผ้าและพักผ่อนสักเล็กน้อยก่อน จึงพาสาวใช้กับแม่สื่อมาขอเข้าพบชินอ๋อง ซึ่งชินอ๋องถึงแม้จะแปลกใจ แต่ก็ยอมให้พบที่ห้องโถงรับรอง เมื่อแม่สื่อถูกพาตัวเข้าไปยังห้องโถงรับรอง เห็นชินอ๋องที่สง่าองอาจนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน มีพระชายานั่งอยู่เบื้องขวาและชายหนุ่มอ่อนเยาว์งดงามนั่งอยู่เบื้องซ้าย ก็ลนลานคารวะจนเสียงกระดูกกระเดี้ยลั่นกรอบแกรบ “มีอะไร?” ชินอ๋องถามเสียงเรียบแต่กังวานเต็มเปี่ยมด้วยอำนาจ แม่สื่อรู้สึกถึงความกดดันอย่างมากมายมหาศาล ทว่านางยังคงทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถ “ข้าน้อยนำความน่ายินดีมาสู่จวนของท่านอ๋องเจ้าค่ะ...” แล้วนางก็สาธยายเรื่องมหาอำมาตย์เกาชงต้องการจะรับจ้าวชิงเฟิงเป็นบุตรเขยแต่งเข้าตระกูล รวมทั้งผลประโยชน์มากมายที่จ้าวชิงเฟิงจะได้รับเมื่อเข้าเป็น
“เขาเป็นพระชายารองหรือ?” มหาอำมาตย์เกาชงกำถ้วยชาในมือเอาไว้แน่นยิ่งขึ้น... หลังจากเสร็จสิ้นการประชุมในท้องพระโรง ท่านมหาอำมาตย์ก็พบกับชินอ๋องหลี่เฉิงที่กำลังดักรอเขาอยู่ที่ประตูวัง ชินอ๋องบอกกับเขาว่ามีธุระสำคัญจะสนทนาด้วย และชวนเขามาสนทนากันที่หอสุราจุ้ยเซียนซึ่งมหาอำมาตย์เกาชงก็ตอบตกลง เพราะพอจะคาดเดาได้ว่าคงเป็นเรื่องของคุณชายจ้าวชิงเฟิงกับบุตรสาวของตน เมื่อต่างฝ่ายต่างขึ้นรถม้าของตนเอง ต่างก็ถอดเสื้อราชสำนักตัวนอกออกแล้วเปลี่ยนเป็นสวมใส่เสื้อลำลองทับเสื้อตัวกลางแทน พอมาถึงที่นัดหมาย...ชินอ๋องได้นั่งรออยู่ก่อนแล้วที่บนห้องชั้นสองของหอสุราจุ้ยเซียน ทั้งสองปิดประตูห้องสนทนากัน...ชินอ๋องเล่าเรื่องราวที่จ้าวชิงเฟิงช่วยคุณหนูเกาที่สระน้ำ ทั้งยังบอกถึงฐานะของจ้าวชิงเฟิงด้วย “ใช่แล้ว...ฟูเหรินของข้าร้อนใจจะช่วยคน จึงไม่คำนึงถึงว่าชายหญิงมิควรใกล้ชิดกัน...เรื่องนี้ข้าต้องขออภัยใต้เท้าเกาแทนเขาด้วย” “ท่านอ๋องกล่าวเกินไป ข้าน้อยมิกล้ารับ เพียงแต่...” มหาอำมาตย์เกาชงถอนหายใจยาว “ข้าน้อยมีบุตรสาวเพียงนางเดียว ชื่อเสียงของ
“ไม่ได้เรื่อง...คนชั้นต่ำจะอย่างไรก็ยังคงเป็นคนชั้นต่ำ!” หลังจากไล่คุณชายกำมะลออี้อันกลับไปแล้ว...พระชายาก็มานั่งอารมณ์บูด “แค่ท่านอ๋องถามคำถามง่ายๆ ก็ตอบไม่ได้...อีกาจะอย่างไรก็ยังคงเป็นอีกาวันยังค่ำ กลายเป็นนกยูงไปไม่ได้ฉันใด คนต่ำต้อยก็กลายเป็นสูงส่งไม่ได้ฉันนั้น” “พระชายาอย่าได้อารมณ์เสียไปเลยเจ้าค่ะ” ตงเหมยกล่าวเสียงอ่อนหวาน “มิเช่นนั้นบ่าวก็ไม่กล้ารายงานข่าวคราวที่ได้รู้ได้เห็นมาแก่พระชายาหรอกนะเจ้าคะ” “เจ้ารู้เจ้าเห็นอะไรมา?” พระชายาถามเสียงห้วน “วันนี้บ่าวทาสทุกคนล้วนได้รับขนมมงคลกับเงินขวัญถุงคนละสี่ตำลึงทอง” นางล้วงถุงใส่ทองคำที่ทำด้วยผ้าสีแดงใบเล็กออกมาจากที่เหน็บเอาไว้ในผ้าคาดเอวออกมาวางบนโต๊ะอย่างเบามือตรงหน้าพระชายา “บ่าวก็ได้รับมาเช่นกันเจ้าค่ะ” พระชายาใช้มือปัดถุงผ้าสีแดงตกพื้น “ทำถึงขนาดนี้...ท่านอ๋องไม่ไว้หน้าข้าเลยสักนิด” หอบหายใจอย่างรุนแรง “แล้วเรื่องภายนอกจวนเป็นอย่างไรบ้าง?” “บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ” ตงเหมยตอบตามตรง...นางเป็นสาวใช้ในตำหนัก ไม่ได้ออกจากจวนแม้แต่ก้าวเดียว หา
วันรุ่งขึ้น เวลาสาย... เจ้าหน้าที่จากศาลอาญาสองนายมาขอพบจ้าวชิงเฟิง...คุณชายก็ให้พบที่ห้องโถงรับรอง...เจ้าหน้าที่แจ้งให้คุณชายทราบว่า มหาอำมาตย์เกาชงฟ้องร้องคุณชายว่า ไร้คุณธรรม ให้คุณชายไปรับฟังข้อกล่าวหาที่ศาลเดี๋ยวนี้ “ไม่ได้” จางจงแย้งขึ้นเสียงดัง “ท่านอ๋องยังไม่กลับจากไปประชุมที่ท้องพระโรง ต้องรอท่านอ๋องกลับมาก่อน ค่อยให้ท่านอ๋องตัดสินใจ” “ถูกต้อง” เสียงเจื้อยแจ้วของเสี่ยวชุ่ยสนับสนุน “อยู่ๆ จะมาจับฟูเหรินของพวกเราอย่างนี้ไม่ได้” “ขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ถือว่ามีความผิด” เจ้าหน้าที่นายหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันดัง “เจ้าจะมาเสียงดังข่มขู่ผู้ใดกัน ที่นี่จวนชินอ๋อง...” เสียงของเสี่ยวหงก็ดังไม่น้อยไปกว่า แต่ถูกคุณชายห้าม “หยุด...อย่าได้ทะเลาะกัน” “ฟูเหรินเจ้าขา...” สองสาวใช้พากันส่งเสียง “หยุด” คุณชายสำทับเสียงหนักๆ “พวกเจ้าจะไม่เชื่อฟังข้าแล้วหรือ?” “มิกล้าเจ้าค่ะ” สองสาวเสียงอ่อย เจ้าหน้าที่อีกนายมีไหวพริบดี เขาประสานมือคำนับคุณชาย แล้วว่า “ฟูเหริน...พวกข้าน้อยเป็นผู้น้อยได้แต่ทำตามค
ชินอ๋องสั่งปิดประตูเมือง ให้ทหารตรวจค้นทุกซอกทุกมุม เป็นเรื่องเอิกเกริกจนฮ่องเต้ส่งคนมาถาม “ท่านอ๋อง...นี่มันเกิดเรื่องอะไรขอรับ?” ขันทีจากวังหลวงค้อมกายถามเสียงนุ่ม “อ๋องห้าลักพาตัวพระชายาของข้าไป” ชินอ๋องตอบเสียงมะนาวไม่มีน้ำ “ว้าย...ตายแล้ว...นี่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? วันนี้มิใช่อ๋องห้าแต่งพระชายาหรอกหรือ?” ชินอ๋องหงุดหงิดรำคาญ จึงให้ขันทีจากวังหลวงไปไถ่ถามเรื่องราวจากองครักษ์คนหนึ่งแทน สลัดหลุดจากขันทีจากวังหลวง ก็มาเจอมหาเสนาบดีชิวสงส่งเสียงเอะอะโวยวาย “บุตรสาวข้าอยู่ที่ไหนๆ...” ชินอ๋องพยักหน้าให้องครักษ์อีกนายหนึ่ง เอ่ยเสียงรำคาญว่า “เจ้าไปจัดการที” องครักษ์ค้อมศีรษะรับคำสั่ง แล้ววิ่งไปรับหน้ามหาเสนาบดีทันที “คุณหนูชิวอยู่ทางนี้ขอรับ” องครักษ์บอกมหาเสนาบดีแล้ว พาไปยังห้องห้องหนึ่งของตำหนักอ๋องห้า “คุณหนูชิวอยู่ในห้องนี้ขอรับ” มหาเสนาบดีได้ยินเสียงกุกกักๆ พอเปิดประตูเข้าไป ก็เห็น...ชิวมู่ตานถูกมัดมือมัดเท้ามีผ้าอุดปาก นั่งอยู่บนเตียง กำลังดิ้นรน “ทำไมพวกเจ้าทำกับบุตรสาว
เจ็ดวันต่อมา... คณะทูตของซีเซี่ยก็เดินทางกลับ พร้อมกับนำขบวนเดินทางไปอภิเษกสมรสขององค์หญิงหลี่หมิงจูไปด้วย ทางด้านอ๋องห้าได้ส่งแม่สื่อไปทาบทามสู่ขอคุณหนูชิวมู่ตาน บุตรสาวคนเล็กของมหาเสนาบดีชิวสง “ท่านเจ้าขา...บุตรเขยเช่นอ๋องห้า มิใช่จะหาได้ง่ายๆ นะเจ้าคะ” แม่สื่อจีบปากจีบคอกล่าว “อ๋องห้ารูปโฉมงามสง่า ข้าไม่เถียง แต่เขามีอนุหญิงชายมากมาย นิสัยเสเพลไม่เอาการเอางาน...ข้าเกรงว่าบุตรสาวของข้าแต่งไปแล้วต้องกลัดกลุ้มเพราะเหล่าอนุเป็นเหตุ” มหาเสนาบดีกล่าวตรงๆ ไม่อ้อมค้อม “โหะๆๆ...” ลิ้นแม่สื่อมีหรือจะจนหนทาง “คำโบราณกล่าวเอาไว้ว่า...ภรรยาที่ดีสามารถเปลี่ยนแปลงสามีได้ คุณหนูมู่ตานทั้งสวยทั้งฉลาด ย่อมสามารถชักนำให้ท่านอ๋องห้าเลิกความเคยชินเก่าก่อน ให้ท่านอ๋องห้ากลับกลายเป็นเปี่ยมล้นด้วยความสามารถและสง่าราศีได้ไม่ยาก ส่วนเรื่องอนุหญิงชายนั้น มีผู้ใดสามารถกล้าเปรียบเทียบกับคุณหนูมู่ตานเล่า คุณหนูมู่ตานจะแต่งไปเป็นพระชายาเอกนะเจ้าคะ จะให้อนุคนใดเป็นหรือตายก็ย่อมได้ อีกประการหนึ่งคุณหนูก็อายุสิบเจ็ดแล้ว รอช้านักจะกลายเป็นดอกไ
คณะทูตจากซีเซี่ยมาเยือนต้าหนาน... ฮ่องเต้ทรงอนุญาตให้ราชทูตเข้าเฝ้าในท้องพระโรง ราชทูตแห่งซีเซี่ยถวายเครื่องบรรณาการ และราชสาส์นสู่ขอองค์หญิงหมิงจูให้กับรัชทายาทซีเซี่ย ฮ่องเต้ขอเวลาพิจารณาเรื่องสู่ขอสามวัน อีกสามวันจะจัดเลี้ยงคณะทูตและให้คำตอบ อ๋องห้าไปที่ตำหนักขององค์หญิงหมิงจู เล่าเรื่องที่ราชทูตจากซีเซี่ยมาสู่ขอนางให้นางฟัง “ทำไมข้าต้องแต่งไปซีเซี่ยด้วย?” องค์หญิงหมิงจูกล่าวด้วยดวงหน้าบูดบึ้ง “เจ้าปีนี้อายุสิบเจ็ดแล้วนะ...ไม่แต่งตอนนี้ แล้วจะรอถึงเมื่อไหร่?” “ข้าไม่ได้ชอบรัชทายาทซีเซี่ยสักหน่อย” องค์หญิงตอบเสียงสะบัด “แล้วเจ้าชอบใคร?” “.....” “อย่าบอกนะว่าชอบจ้าวชิงเฟิง?” “.....” “ข้าล่ะเห็นใจเจ้าจริงๆ...คู่ยวนยาง(นกเป็ดน้ำแมนดาริน มักจะอยู่กันเป็นคู่แบบผัวเดียวเมียเดียว เป็นตัวแทนรักแท้ของชายหญิง)ที่ดี กลับถูกชินอ๋องฉกชิงไปเสียนี่” “พี่ห้า อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีก” องค์หญิงเสียงเครือ “ไม่ให้ข้าพูดออกมาบ้าง ข้าก็รู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรมแท
“ตาเฒ่าเกาชงเป็นพ่อตาของคนแซ่จ้าว” พระสนมเอกซูเฟยกัดริมฝีปากล่าง ก่อนจะกล่าวต่อ “เมื่อหลายวันก่อน ข้าเรียกคนแซ่จ้าวมาสนทนาด้วยเรื่องของมู่ตาน เขาทำท่าทางสงบเสงี่ยม แต่ก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมรับปาก ข้าจึงพูดถึงอิทธิพลอำนาจของตระกูลชิว เพื่อข่มขวัญเขา คิดไม่ถึงว่าเขาจะมารยาออดอ้อนชินอ๋องให้ไปผูกไมตรีกับตระกูลเกาเสียได้” “เช่นนี้...เรื่องที่จะให้มู่ตานเป็นพระชายารองของชินอ๋อง ดูท่าจะยากเสียแล้ว” มหาเสนาบดีถอนหายใจ “ในยามนี้บุรุษที่มีฐานะคู่ควรกับมู่ตานก็มีไม่มากนัก ชินอ๋องเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ส่วนอ๋องห้าก็เสเพลไม่ได้เรื่องได้ราว เอาแต่เสพสุขไปวันๆ” “เอาเช่นนี้สิท่านพ่อ” พระสนมเอกซูเฟยเสนอความคิด “รอดูบัณฑิตใหม่ของปีนี้ ว่าบัณฑิตทั้งสามคน ผู้ใดหน่วยก้านดี ก็เลือกคนนั้น ข้าจะขอสมรสพระราชทานให้กับมู่ตาน...ตาเฒ่าเกาชงสนับสนุนบุตรบุญธรรมของเขา ท่านพ่อก็สนับสนุนบุตรเขย...ดูซิว่า ระหว่างบุตรบุญธรรมคนเดียวของตาเฒ่าเกาชง จะสู้บุตรทั้งสองคนและบุตรเขยตระกูลชิวได้หรือไม่” “เกรงจะไม่ง่ายเช่นนั้นน่ะสิ” มหาเสนาบดีมีสีหน้าระอา “มู่ตานเอาแต่ใจ ร่ำร้องแต่จะแต่งกับชินอ๋อง ตั้
มหาอำมาตย์เกาชงมองผู้มาเยือนอย่างประหลาดใจ พอได้สติก็รีบประสานมือน้อมคำนับ “คารวะท่านอ๋องและพระชายา” “ไม่ต้องมากพิธี” ชินอ๋องกล่าว “วันนี้ข้าตั้งใจพาฟูเหรินมาเยี่ยมท่านโดยเฉพาะ” “ขออภัยที่ข้าน้อยต้อนรับบกพร่อง” มหาอำมาตย์เกาชงกล่าวพลางผายมือ “เชิญท่านอ๋องกับพระชายาเข้าไปนั่งด้านในก่อนขอรับ” เมื่อทั้งสามเข้าไปนั่งในห้องโถงรับรองของจวนมหาอำมาตย์เรียบร้อย บ่าวทาสจากจวนชินอ๋องก็นำของฝากล้ำค่ามีราคาเข้ามาสี่หาบใหญ่ มาวางไว้ในห้องโถงแห่งนั้น ของเหล่านั้นเป็นชินอ๋องสั่งให้จัดหามาทั้งสิ้น “นี่คือของกำนัลที่ฟูเหรินของข้านำมาคารวะท่านซึ่งเป็นพ่อตาของเขา” ชินอ๋องกล่าว พลางผายมือไปที่สิ่งของในหีบห่อสีแดง มหาอำมาตย์เกาชงมองมาที่จ้าวชิงเฟิงด้วยนัยน์ตาแดงระเรื่อขึ้น...อดคิดถึงบุตรสาวที่จากไปไม่ได้ จ้าวชิงเฟิงรับรู้ได้...จึงถามเสียงเบา “ท่านพ่อตา...หมู่นี้สบายดีหรือไม่?” “ดีๆ...ข้าสบายดี” “ข้าขออภัย ที่มาเยี่ยมเยียนท่านช้านัก” “มาก็ดีแล้ว...เอ้อ...พระชายา” “ท่านอย่าเรียกข้า.
พระสนมเอกซูเฟยชิวเหมยกุ้ย อายุ 22 ปี รูปร่างหน้าตาสวยงามปานภาพวาด ในความอ่อนโยนมีความสง่างาม นางต้อนรับจ้าวชิงเฟิงที่ศาลาชมอุทยาน เป็นการป้องกันการครหานินทาด้วย จ้าวชิงเฟิงประสานมือน้อมคำนับ “คารวะพระสนมเอกขอรับ” นางพยักหน้ารับการคารวะ “เชิญนั่งก่อนพระชายา” จ้าวชิงเฟิงรอให้นางนั่งลงก่อน จึงนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับนาง บนโต๊ะหินที่กั้นระหว่างคนทั้งสองมีชุดน้ำชา และจานขนมมากมายวางอยู่ “พระสนมเอกมีธุระอันใดกับข้าน้อยขอรับ?” จ้าวชิงเฟิงกล่าวถามตรงๆ พระสนมเอกหัวเราะเสียงหวาน “เรื่องไม่สลักสำคัญอะไร เพียงแค่ข้าเหงา อยากหาเพื่อนสนทนาเท่านั้น” จ้าวชิงเฟิงรู้สึกแปลกๆ กับถ้อยคำของนาง นางจะมาไม้ไหน? “นักปราชญ์กล่าว...ยิ่งสูงยิ่งหนาว...ช่างเป็นความจริงนัก” นางยกถ้วยน้ำชาที่นางกำนัลรินให้ขึ้นดื่มก่อนจะกล่าวต่อ “ฐานะยิ่งสูงส่ง ยิ่งหาเพื่อนสนทนาด้วยไม่ได้...ในเวลานี้ ผู้ที่มีฐานะเหมาะสมที่ข้าจะสนทนาด้วย ก็เห็นจะมีแต่พระชายาเท่านั้น” “.....” “ในฐานะที่เป็นภรรยาเอก ข้าต้อง
ที่หอหมื่นบัณฑิต...จ้าวชิงเฟิงได้พบกับบุคคลที่ไม่ได้คิดว่าจะได้พบ เขาคืออี้อัน วันนี้เขาแต่งกายสุภาพเรียบร้อย แม้ไม่หรูหรา แต่เนื้อผ้าดีสีเขียวหยก อี้อันมองเห็นจ้าวชิงเฟิงกับชินอ๋องก็ตรงเข้ามาประสานมือน้อมคำนับ “คารวะท่านอ๋อง คารวะพระชายา” “อืม/อืม” ชินอ๋องกับจ้าวชิงเฟิงต่างพยักหน้ารับคารวะ “คุณชายอี้อัน...มาทำอะไรที่หอหมื่นบัณฑิตนี่?” จ้าวชิงเฟิงถาม “เรียนพระชายา...ข้าน้อยมาแสดงผลงาน เพื่อฟังคำติชมของเหล่าบัณฑิตขอรับ และถือโอกาสศึกษาผลงานของผู้อื่นไปด้วยขอรับ” อี้อันกล่าวด้วยทีท่านอบน้อม “ที่แท้ท่านก็เป็นบัณฑิตผู้หนึ่ง...นับถือ ๆ” “หามิได้พระชายา...ข้าน้อยเป็นเพียงนักศึกษาต่ำต้อยคนหนึ่งเท่านั้น ที่เข้าหอหมื่นบัณฑิตนี้ได้ ล้วนอาศัยบารมีของท่านมหาอำมาตย์ช่วยส่งเสริมขอรับ” อี้อันกล่าวตามจริง... หอหมื่นบัณฑิตจะต้องเป็นบัณฑิตจึงจะเข้าเป็นสมาชิกได้ หรือมิฉะนั้นก็ต้องมีเจ้าใหญ่นายโตค้ำประกัน ยิ่งกว่านั้น การแสดงผลงานจะต้องเสียค่าเช่าพื้นที่ ซึ่งเป็นจำนวนเงินมิใช่น้อย เรื่องนี้ไม่เพียงเป็นปัญหาสำห
จ้าวชิงเฟิงถูกชินอ๋องอุ้มออกจากงานเลี้ยงไปขึ้นรถม้ากลับจวน พอถึงจวนก็ถูกอุ้มเข้าตำหนักใหญ่ “ข้าม่ายมาว ปล่อยข้า ข้าจาเดินเอง” จ้าวชิงเฟิงเอะอะโวยวายเพราะความเมา “ลูกผู้ชายอกสามศอกถูกอุ้มด้ายยางงาย...” “อกเจ้าไม่ถึงสามศอก ย่อมต้องถูกอุ้ม” ชินอ๋องเอ่ยอย่างนึกขัน “อย่าดิ้นสิฟูเหริน” พอถึงห้องนอน...ชินอ๋องก็วางจ้าวชิงเฟิงนอนลงบนเตียงอย่างเบามือ จ้าวชิงเฟิงผวาลุกขึ้น “ข้าจาอ้วก...โอ้กกกก” เจียงจ้านว่องไว คว้ากระโถนมารองรับไว้ทัน จ้าวชิงเฟิงอาเจียนจนหมดไส้หมดพุง ชินอ๋องก็ช่วยลูบหลังให้ พออาเจียนเสร็จ...จ้าวชิงเฟิงก็ผล็อยหลับไป ชินอ๋องจัดการเช็ดหน้าตาเนื้อตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้พระชายาด้วยตัวเอง เจียงจ้านจะช่วยทำให้ก็ไม่ยอม จัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว ชินอ๋องจึงให้เจียงจ้านช่วยปรนนิบัติอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าของตนเองบ้าง ก่อนเข้านอนชินอ๋องยังสั่งเจียงจ้านว่า “พรุ่งนี้เช้าจัดน้ำแกงสร่างเมาให้ฟูเหรินด้วย” “ขอรับ” เจียงจ้านรับคำ แล้วออกจากห้องไป ชินอ๋องจึงล้มตัวลงนอนเค
หลังจากมีราชโองการถอดถอนชื่อตู้จินเหลียนออกจากตำแหน่งพระชายาแห่งชินอ๋องแล้ว ลำดับชื่อในราชวงศ์ของตู้จินเหลียนก็ถูกลบทิ้ง ชื่อของจ้าวชิงเฟิงขยับขึ้นมาเป็นพระชายาชินอ๋องโดยไม่ต้องอยู่ภายใต้ชื่อของนางอีกต่อไป วันนี้...ชินอ๋องจะพาจ้าวชิงเฟิงมาร่วมงานฉลองวันพระราชสมภพขององค์ฮ่องเต้ จ้าวชิงเฟิงถูกบรรดาขันทีกับสาวใช้ช่วยกันจับแต่งตัวเสียยกใหญ่ “หยุดก่อน” จ้าวชิงเฟิงยกมือห้ามเสี่ยวหงที่กำลังจะทำอะไรสักอย่างบนดวงหน้าของเขา “เจ้าจะทำอะไร?” “ผัดแป้ง เขียนคิ้ว เติมชาด เจ้าค่ะ” “หยุดเลย...ข้าไม่ใช่สตรี” “พระชายา...” เสี่ยวชุ่ยเอ่ยแทรกขึ้น “พวกคุณชายผู้ดีมีตระกูลทั้งหลายล้วนผัดแป้งแต่งหน้ากันทั้งนั้น ไม่ปล่อยให้หน้าหมอง มันเยิ้ม มอมแมม หรอกเจ้าค่ะ” “ข้าเห็นซือหมิงก็ไม่ได้ผัดแป้งแต่งหน้า” จ้าวชิงเฟิงยกตัวอย่าง เสี่ยวชุ่ยเบะปาก “บุรุษหยาบกร้าน” “ท่านอ๋องก็ด้วย” จ้าวชิงเฟิงยังไม่ยอมแพ้ “ท่านอ๋องเป็นข้อยกเว้นเจ้าค่ะ” เสี่ยวหงกล่าว “อย่างไรเสีย...ข้าก็ไม่ยอมแต่งหน้า” จ