คิดไม่ถึงว่าจ้าวชิงเฟิงจะเป็นคนคนเดียวกันกับผู้ที่เขาติดค้างน้ำใจมาห้าปี เป็นองค์ชายคนเดียวของแคว้นเป่ยที่เขาไม่คิดจะทำร้าย แต่เขาก็ได้ทำร้ายจ้าวชิงเฟิงไปนานถึงสามปีแล้ว
แรกที่แคว้นเป่ยส่งบรรณาการมา และฮ่องเต้พระราชทานองค์ชายแคว้นเป่ยที่เป็นหนึ่งในของบรรณาการให้เขา เขาคิดแต่จะเหยียดหยามอีกฝ่าย จึงแต่งตั้งให้เป็นอนุชายา และจงใจสมรสพระชายาในวันเดียวกัน
เขาสร้างเรื่องให้พระชายาชิงชังรังเกียจจ้าวชิงเฟิงโดยการไม่เข้าห้องหอกับพระชายาในคืนวันวิวาห์ และปล่อยข่าวว่าเขาไปหาจ้าวอี๋เหนียงแทน แต่ความเป็นจริงเขาไปนอนอยู่ที่ห้องหนังสือต่างหาก
พอเช้ารุ่งขึ้นเขาก็กลับไปค่ายทหาร ทิ้งปัญหาให้จ้าวชิงเฟิงถูกพระชายาเกลียดชังรังแก เพราะรู้ดีว่าสตรีนั้นมีความริษยามากมายขนาดไหน!
จากนั้นครั้นการศึกปะทุขึ้นใหม่ เขาก็ตั้งหน้าตั้งตาทำสงครามจนตีแคว้นเป่ยแตกพ่าย กวาดจับเชลยที่เป็นราชวงศ์ทุกคนมาดูหน้าเพื่อค้นหาเด็กหนุ่มคนนั้น
แต่เขาจะพบได้อย่างไรในเมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นถูกทรมานอยู่ที่จวนของเขาเอง!
..........
“ชุนฮัวกับชิวฮัวทำงานหนักอยู่ที่เรือนข้าทาส น้อยครั้งนักที่จะได้พบหน้ากับจ้าวอี๋เหนียง เมื่อสิบวันก่อนไม่ทราบว่าจางจงทำอะไรขัดเคืองใจพระชายา เขาถูกลงโทษให้ลงไปแช่ตัวอยู่ในสระน้ำทั้งคืน รุ่งขึ้นก็ล้มป่วย เป็นจ้าวอี๋เหนียงไปขอยาจากห้องยามาต้มให้เขากิน...ส่วนชิวฮัวนางสนิทสนมกับอาถงคนทำสวนไม่น้อย”
“หรือเด็กในครรภ์ชิวฮัวจะเป็นบุตรของอาถง...ไม่ถูก ไม่ถูก” องครักษ์ซ้ายเฉินกุ่ยเอ่ยแล้วส่ายหน้า
“อะไรไม่ถูก?” องครักษ์ขวาซือหมิงกอดอกถาม
“ถ้าชิวฮัวตั้งครรภ์กับอาถง นางจะใส่ร้ายจ้าวอี๋เหนียงกับชุนฮัวทำไมกัน?” องครักษ์ซ้ายเฉินกุ่ยลูบคางอย่างครุ่นคิด
“ไม่ต้องสงสัยอะไรแล้วท่านองครักษ์เฉิน อาถงกับชิวฮัวลักลอบได้เสียกันย่อมมีความผิด และความผิดของพวกเขาก็ถูกพระชายาล่วงรู้เข้า พระชายาจึงใช้เป็นข้อต่อรองให้ชิวฮัวใส่ร้ายจ้าวอี๋เหนียง โดยให้สัญญาว่าจะปล่อยอาถงกับชิวฮัวไปจากจวนแห่งนี้และให้เงินพวกเขาไปตั้งตัวด้วย แต่พองานสำเร็จ พระชายาไม่เพียงไม่ปล่อยคนซ้ำยังสั่งขังอาถงกับชิวฮัวไว้อีก ทั้งสองกลัวจะถูกฆ่าปิดปากจึงพยายามหลบหนี แต่ก็หนีไม่รอด...ชิวฮัวบาดเจ็บสาหัสมาซ่อนตัวที่พุ่มไม้ใกล้ตำหนักใหญ่และสิ้นใจในที่สุด ส่วนอาถงถูกจับกลับไปขังไว้...เขาถูกทรมานตัดเอ็นมือเอ็นเท้า ตัดลิ้นควักลูกตา กลายเป็นคนพิการจะอยู่ก็ไม่ได้ จะตายก็ไม่ได้” พ่อบ้านเหลียงรายงาน “เขาถูกขังเอาไว้ทิ้งให้ตายในคุกหลังจวน ข้าน้อยตรวจสอบคนรับใช้ทั้งหมดแล้ว เห็นอาถงขาดหายไป จึงให้ทหารไปค้นหา พบเขาที่คุกจึงนำเขามาสอบสวน โดยให้อาฉีอ่านปากของเขาขอรับท่านอ๋อง”
“อืม” ชินอ๋องรับคำในลำคอ “อาฉีผู้นี้มีความสามารถดียิ่ง อาจจะมีประโยชน์ในภายภาคหน้า พื้นเพของเขาเป็นเช่นไร?”
“เขาเป็นเด็กรับใช้ทั่วไป อายุสิบหก บิดามารดาตายไปตั้งแต่สิบปีที่แล้ว เขาถูกน้าสาวนำมาขายให้จวนนี้เมื่อสี่ปีก่อนขอรับ ส่วนความสามารถในการอ่านปาก เขาฝึกด้วยตัวเองมาตั้งแต่เด็กขอรับ” พ่อบ้านเหลียงตอบ
“ซือหมิงทดสอบดูซิว่าอาฉีพอใช้การได้หรือไม่ ถ้าใช้การได้ก็รับเขาเข้ามาฝึกฝนเป็นองครักษ์”
“ขอรับ” ซือหมิงรับคำ
“เช่นนี้...จ้าวอี๋เหนียงก็ถูกใส่ร้าย” ซือหมิงกล่าว “แต่ผู้ที่ใส่ร้ายคือพระชายา...หากเป็นอนุให้ร้ายภรรยาเอกย่อมมีโทษหนัก แต่ภรรยาเอกให้ร้ายอนุนั้นไม่มีโทษระบุเอาไว้ เพียงถูกติฉินนินทาว่าริษยาเท่านั้น”
“แต่จ้าวอี๋เหนียงเป็นองค์ชายแคว้นเป่ยนะ” เฉินกุ่ยแย้ง ก่อนจะนึกได้ว่า...แคว้นเป่ยล่มสลายไปแล้ว
เป็นองค์ชายแล้วจะอย่างไร!
ยิ่งสูงศักดิ์ยิ่งไม่ปลอดภัย!!
“อืม” ชินอ๋องทำเสียงในลำคอ “เรื่องนี้ข้าจะหาวิธีคืนความเป็นธรรมแก่เขาเอง”
“ท่านอ๋อง...ข้าน้อยเกรงว่า...” พ่อบ้านเหลียงพูดด้วยสีหน้าลำบากใจ “พระชายาเป็นน้องสาวของตู้กุ้ยเฟย(เจ้าจอมแซ่ตู้ หรือพระสนมเอกแซ่ตู้) เป็นธิดาของราชครู...”
“แล้วไง...” ชินอ๋องขัดขึ้น
ทำให้พ่อบ้านเหลียงทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “มิใช่ว่าท่านอ๋องต้องการให้พระชายาลงมือกับจ้าวอี๋เหนียงหรอกหรือ?”
ชินอ๋องมิได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เพียงเคาะนิ้วมือสองสามที แล้วกล่าวว่า “นับแต่นี้ไปให้ปฏิบัติต่อจ้าวชิงเฟิงให้ดี...ดียิ่งกว่าปฏิบัติต่อพระชายา...เพราะข้าจะแต่งตั้งเขาเป็นพระชายารอง!”
*
*
“อือ...” เสียงครางในลำคอแผ่วเบา แล้วดวงตาของร่างบอบบางบนเตียงนอนก็ค่อยๆ ลืมขึ้น
“คุณชาย ท่านฟื้นแล้ว!” จางจงอุทานอย่างยินดี เขารีบรินน้ำมาให้จ้าวชิงเฟิงดื่ม โดยมีสาวใช้อีกสองนางกุลีกุจอเข้ามาช่วยพยุงให้ครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่บนเตียง
คุณชายมองสองนางอย่างงุนงง “พวกเจ้าคือ ...?”
“พวกเราคือสาวใช้ของฟูเหรินเจ้าค่ะ” ทั้งสองสาวตอบพร้อมเพรียง
“บ่าว...เสี่ยวชุ่ยเจ้าค่ะ” แม่นางชุดสีเขียวยอบกายคารวะ
“บ่าว...เสี่ยวหงเจ้าค่ะ” แม่นางชุดสีฟ้าแนะนำตัวเองพร้อมกับยอบกายอย่างอ่อนช้อย
สองสาวมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับคุณชาย ล้วนหน้าตารูปร่างหมดจดงดงาม กิริยามารยาทเรียบร้อยนุ่มนวล น่าจะผ่านการอบรมมาเป็นอย่างดี
“ฟูเหริน...” เสียงหวานๆ ของเสี่ยวชุ่ยเรียกหา ดวงหน้าจิ้มลิ้มยิ้มแย้ม แต่ยังไม่ทันพูดอะไรต่อ...
คุณชายก็ถามอย่างสงสัย “เจ้าเรียกใครว่าฟูเหริน?”
“เรียกท่านเจ้าค่ะ”
“เจ้าเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า ข้าเป็นแค่อนุเท่านั้น”
“เวลานี้ไม่เหมือนเดิมแล้วเจ้าค่ะ ท่านอ๋องแต่งตั้งท่านเป็นพระชายารองแล้วเจ้าค่ะ” ว่าแล้วเสี่ยวชุ่ยก็ยกแขนเสื้อขึ้นปิดปากหัวเราะคิกคักเบาๆ
คุณชายเหลียวมองจางจง
“ขอรับ...คุณชาย ท่านอ๋องแต่งตั้งคุณชายเป็นพระชายารอง”
สีหน้าคุณชายเต็มไปด้วยคำถาม
“ท่านอ๋องสืบทราบความจริงแล้วว่าคุณชายถูกใส่ร้าย”
เลยชดเชยด้วยการแต่งตั้งให้เป็นพระชายารองอย่างนั้นหรือ?
“เสี่ยวหง เสี่ยวชุ่ย อย่าเรียกข้าว่าฟูเหรินเลยนะ เรียกข้าว่าคุณชายก็พอ”
“ทำไม?”
เสียงทุ้มเปี่ยมอำนาจ แต่ไม่คุ้นหูคุณชายดังแทรกขึ้น แล้วชายร่างสูงใหญ่แข็งแรงกำยำในชุดสีกรมท่าที่หรูหราคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้องนั้นด้วยทีท่าสบายๆ อย่างเดินในบ้านของตนเอง
จางจงและสองสาวใช้รีบคุกเข่าลงคำนับ และเรียกขานพร้อมกัน
“ท่านอ๋อง”
ชินอ๋องโบกมืออนุญาตให้ทุกคนลุกขึ้น แล้วตำหนิว่า “พระชายารองเพิ่งฟื้น พวกเจ้ายังไม่รีบปรนนิบัติอีก”
สองสาวกับจางจงรีบน้อมคำนับแล้วออกไป
ชินอ๋องเดินมานั่งลงที่ขอบเตียง เอื้อมมือแตะหน้าผากของคุณชาย
“ไข้ลดลงแล้ว”
“ขอบคุณท่านอ๋อง และขออภัยที่ข้าน้อยไม่สามารถลุกขึ้นคารวะได้” คุณชายกล่าวเสียงแผ่วเบา
“มิเป็นไรฟูเหริน”
คำเรียกหาของชินอ๋องทำเอาคุณชายนึกอยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปเสียเดี๋ยวนั้นเลย!
พอดีเหล่าคนรับใช้พากันเดินเข้ามาในห้อง จางจงถืออ่างน้ำอุ่นมาจะช่วยล้างหน้า ชินอ๋องก็เป็นคนชิงบิดผ้าหมาดๆ มาเช็ดหน้าให้คุณชายเสียเอง เสี่ยวหงถือโถน้ำสำหรับแปรงฟันบ้วนปากเข้ามาปรนนิบัติเป็นรายที่สอง ตามด้วยเสี่ยวชุ่ยที่ถือถาดวางชามรังนกตุ๋นโสมเข้ามาให้คุณชายกินบนเตียงนอน ชินอ๋องก็ถือชามรังนกตุ๋นโสมมาจากถาดแล้วใช้ช้อนตักรังนกตุ๋นโสมเป่าให้คลายความร้อนก่อนจะจ่อมาถึงปากคุณชาย คุณชายรีบดึงช้อนกับชามรังนกตุ๋นโสมจากมือชินอ๋องไป “ข้าน้อยกินเองได้ขอรับ” แล้วค่อยๆ ตักรังนกตุ๋นโสมกินช้าๆ ชินอ๋องก็ไม่คัดค้าน เพียงใช้ผ้าเช็ดปากนุ่มๆ ค่อยซับปากให้ ทำให้เหล่าบ่าวและสาวใช้ในห้องพากันก้มหน้ายิ้มขวยเขิน แต่คุณชายรู้สึกแปลกใจ...ท่าทางเอาใจใส่เช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? มันไม่น่าจะเป็นการชดเชยที่เขาถูกใส่ร้าย มันเหมือนสามีปฏิบัติต่อภรรยาอันเป็นที่รัก ม่ายยยย...มันต้องไม่ใช่อย่างนั้น! คิดถึงตรงนี้คุณชายพลันมืออ่อนหมดแรงทำช้อนตกลงไปในชามรังนกตุ๋นโสม ชินอ๋องตาไวมือไวเพราะเป็นผู้มีวรยุทธ จึงรับชามรังนกตุ๋นโสมที่หล่นจากมือคุณชายไว้ไ
“ฟูเหรินเจ้าขา” เสี่ยวหงทำเสียงออดอ้อน “ถึงจะไม่หิว ก็ควรจะกินสักเล็กน้อยนะเจ้าคะ มิเช่นนั้นแล้ว พ่อครัวที่ทำอาหารมาจะเสียใจได้” คุณชายมองอาหารโต๊ะนั้น มันอุดมสมบูรณ์มากราวกับจะให้คนกินเก่งๆ ช่วยกันกินซักสิบคนเห็นจะได้ “ใช่แล้วเจ้าค่ะ อย่างไรก็ช่วยชิมสักหน่อยนะเจ้าคะ” เสี่ยวชุ่ยอ้อนวอนอีกแรง “นี่มันมากเกินไป” คุณชายนั่งลงเพราะขัดต่อเสียงเกลี้ยกล่อมของสองสาวไม่ได้ ตะเกียบหยกขาวถูกส่งถึงมือ “ฟูเหรินก็กินของที่ถูกปากก็พอเจ้าค่ะ” เสี่ยวชุ่ยยิ้มแป้นเมื่อเห็นคุณชายเริ่มกินอาหาร แต่คุณชายก็กินได้ไม่มากนัก กินข้าวได้ไม่ถึงครึ่งชาม กินกับไปเพียงเล็กน้อยก็อิ่ม เขามองอาหารที่เหลืออย่างนึกเสียดายของดีๆ “ที่เหลือนี่...” “ทางห้องครัวต้องเททิ้งเจ้าค่ะ” เสี่ยวหงรินน้ำชาส่งให้คุณชายดื่ม “แจกจ่ายให้บ่าวไพร่ได้หรือไม่?” คุณชายถาม “ถ้าเป็นความประสงค์ของฟูเหรินย่อมได้เจ้าค่ะ” เสี่ยวหงเอ่ยพลางแย้มยิ้ม คุณชายจึงยกถ้วยชาขึ้นดื่มอย่างยินดี “เช่นนั้นก็แจกจ่ายอาหารที่เหลือนี่ให้บ่าวไพร่ไปกินกันเถิด ข้าเสียดายของดีๆ ทั้งนั้น
“ทะ ท่านอ๋องมีขันทีเจียงจ้านอยู่แล้ว มิใช่หรือ?” คุณชายเหงื่อผุดเต็มหน้าผากมน “ข้าอยากให้ภรรยาอาบน้ำให้” ถ้อยคำสั้นๆ ของชินอ๋อง ทำให้คุณชายไม่สามารถบิดพลิ้ว ขันทีเจียงจ้านอายุประมาณยี่สิบแปดปี กิริยาห้าวหาญองอาจรูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงบึกบึนไม่เหมือนขันทีแม้แต่นิดเดียว เขาเข้ามาช่วยถอดอาภรณ์ของชินอ๋องออก จนเหลือเพียงเสื้อและกางเกงตัวใน เท่านั้นยังไม่พอ ยังมาจัดการลอกคราบคุณชายจนเหลือเพียงเสื้อกับกางเกงตัวในที่เนื้อผ้าบางๆ สีขาวเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุผลที่ว่า “พระชายารองจะได้ช่วยท่านอ๋องอาบน้ำได้สะดวกขอรับ” แล้วจัดแจงดุนหลังคุณชายให้เดินตามชินอ๋องเข้าไปในห้องอาบน้ำ ห้องอาบน้ำส่วนตัวของชินอ๋องที่อยู่ติดกับห้องนอนใหญ่มีประตูทะลุถึงกันนั้นกว้างขวางกว่าห้องอาบน้ำที่จ้าวชิงเฟิงใช้มาก อ่างอาบน้ำก็ใบใหญ่มาก ขนาดผู้ชายตัวโตๆ ลงไปนั่งแช่ได้สี่ห้าคนสบายๆ ชินอ๋องถอดเสื้อผ้าชั้นในออกจนหมด อวดเรือนร่างแข็งแรงกล้ามเนื้อสวยงาม ร่างสูงใหญ่ทว่าไม่เทอะทะออกจะเพรียว เขาล้างเท้าแล้วก้าวเข้าไปแช่ตัวในอ่างด้วยทีท่าแสนสบาย ก่อนจะหันมาสั่งคุณชาย
เมื่อหมดคนนอกแล้ว...พระชายาก็กล่าวกับสาวใช้คนสนิท “ตงเหมย เจ้าคิดว่าข้าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี?” “พระชายาอย่าเพิ่งร้อนใจไปเลยเจ้าค่ะ” ตงเหมยกล่าวปลอบใจผู้เป็นนาย “มิให้ข้าร้อนใจ?” พระชายาเสียงสะบัด “คืนวันวิวาห์ ท่านอ๋องก็เลือกไปอยู่กับเจ้าคนสารเลวจากแคว้นเป่ย แทนที่จะมาเข้าห้องหอของข้าผู้เป็นพระชายาเอก จากนั้นก็ไปอยู่เสียที่ค่ายทหาร” “หรือท่านอ๋องจะชมชอบบุรุษเจ้าคะ?” “ข้าเคยส่งบ่าวชายอายุเยาว์หน้าตาดีไปรับใช้ท่านอ๋องถึงที่ค่ายทหาร ก็ถูกไล่ตะเพิดกลับมา พอท่านอ๋องกลับมาคราวนี้ ข้าก็ส่งสาวใช้หน้าตางดงามไปอุ่นเตียง ก็ถูกท่านอ๋องไล่ออกจากตำหนักอย่างไม่ใยดี” “หรือท่านอ๋องจะ...” ตงเหมยขมวดคิ้วครุ่นคิด “ถือสาเรื่องชาติกำเนิด” “เช่นนั้นก็ลำบาก...คุณชายหนุ่มน้อยงดงามใช่ว่าจะหาไม่ได้ แต่ตระกูลไหนจะยอมให้คุณชายของตนต้องมาเป็นภรรยาน้อยเล่า?” พระชายาถอนหายใจยาวก่อนจะกล่าวต่อ “อย่าว่าเป็นภรรยาน้อยเลย แม้แต่เป็นภรรยาเอก ถ้าไม่หมดสิ้นหนทางจริงๆ ก็ไม่มีตระกูลผู้ดีตระกูลไหนยินยอมให้บุตรชายแต่งออกมาเป็นภรรยาผู้อื่น” “นั่นก็จริงเจ้าค่ะ.
คุณชายรู้สึกทำตัวไม่ถูก...ได้แต่นั่งโง่ๆ ตัวตรงแน่วอยู่ริมขอบเตียง สองมือกำแน่นอยู่บนตัก จริงอยู่ที่จางจงใช้เวลาสอนเขาอยู่เกือบหนึ่งชั่วยาม(สองชั่วโมง)...ให้รู้วิธีปรนนิบัติสามีบนเตียง เพราะเขามิใช่สตรีแต่เป็นบุรุษ วิธีร่วมรักของคู่บุรุษกับบุรุษนั้นแตกต่างจากคู่บุรุษกับสตรีอย่างมาก...คู่ของบุรุษกับบุรุษต้องเตรียมตัวเตรียมใจและเตรียมอุปกรณ์ช่วยเป็นพิเศษต่างหาก มิเช่นนั้นแล้วบุรุษผู้อยู่ในฐานะภรรยาอาจจะได้รับบาดเจ็บได้ แค่คิดก็สยองขวัญแล้ว! “ฟูเหริน...” เสียงเรียกของชินอ๋องทำให้คุณชายสะดุ้ง ปรายตามองอีกฝ่ายที่ยืนอยู่ไม่ห่าง เขาสวมเสื้อนอนสีแดงถือถ้วยน้ำชาอยู่ในมือทั้งสองข้าง “มาดื่มน้ำชามงคลกัน” มุมปากยกยิ้มน้อยๆ มองคุณชายที่สวมเสื้อนอนสีแดงเหมือนกัน ด้วยประกายตายพราวระยิบ “ที่จริงควรจะเป็นสุรามงคล แต่ว่าระยะนี้เจ้ายังไม่ควรดื่มสุรา ข้าจึงใช้น้ำชาแทนสุรา หวังว่าฟูเหรินคงไม่ตำหนิ” “ไม่กล้าขอรับ” คุณชายเอ่ยเบาๆ รู้สึกอึดอัดจนแทบจะหายใจไม่ออก แต่ก็ต้องยืนขึ้นเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่าย แล้วรับถ้วยชาจากมือชินอ๋องมาถ้วยหนึ่ง ชินอ๋องคล้องแขนของ
จางจงและสองสาวใช้เสี่ยวหงเสี่ยวชุ่ยช่วยกันปลอบจนสามารถเอาตัวคุณชายออกจากผ้าห่มได้ และช่วยกันจัดการธุระส่วนตัวคุณชายให้จนเรียบร้อย “เขา...ท่านอ๋องไม่อยู่จวนหรือ?” คุณชายถามขึ้นเพราะไม่เห็นเขาตั้งแต่ตื่นนอนมา “ท่านอ๋องเข้าวังไปประชุมที่ท้องพระโรงแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ ฟูเหริน” เสี่ยวชุ่ยตอบพลางแย้มยิ้มหน้าระรื่น “ท่านอ๋องยังสั่งว่าอย่ารบกวนฟูเหริน ให้ฟูเหรินพักผ่อนให้เต็มที่” เสี่ยวหงกล่าวเสริมด้วยสีหน้ายิ้มกริ่มแบบว่ารู้อะไรดีๆ “ข้าแค่...” คุณชายอยากบอกแม่สองสาวหน้าทะเล้นนี้ว่า...เมื่อคืนเขาแค่นอนไม่หลับในตอนแรกเท่านั้น เพราะไม่คุ้นชินกับการมีคนนอนด้วย ซ้ำคนนอนด้วยยังกอดเขาเป็นหมอนข้าง กว่าจะได้หลับจริงๆ ก็เลยเที่ยงคืนไปไม่น้อยแล้ว จึงทำให้ตื่นสาย แต่คำพูดมาจ่ออยู่ที่ริมฝีปาก... คุณชายก็นึกขึ้นได้ว่า...ยิ่งพูดก็ยิ่งเข้าตัว! จึงนิ่งเงียบเสีย “ท่านอ๋องยังสั่งไว้ว่า...บ่ายนี้จะพาฟูเหรินไปเที่ยวเทศกาลดอกไม้เจ้าค่ะ” เสี่ยวชุ่ยเจื้อยแจ้วต่อ ขณะที่พูดนางก็เดินนำเจ้านายมาที่โต๊ะอาหาร จัดให้คุณชายนั่งลงแล้วส่งชามรังนกตุ๋
จ้าวชิงเฟิงหลบสายตาชินอ๋องที่ฉายแววดุดัน เขาแน่ใจว่าอีกฝ่ายสามารถทำตามที่พูดได้อย่างไม่สะทกสะท้าน แต่...ทำไมแม่นางน้อยนางนั้นจะต้องมารับโทสะที่ไม่มีที่มาที่ไปของคนใหญ่คนโตอย่างชินอ๋อง เพียงเพราะมีพรสวรรค์ทางด้านดนตรีเป็นที่ชื่นชอบของผู้ได้ยินได้ฟังด้วยเล่า? ไร้เหตุผล! แม้อีกฝ่ายจะไร้เหตุผล...เขาก็ได้แต่อดทนอดกลั้น ไม่สามารถจะไปถกเหตุผลกับอีกฝ่ายได้ ได้แต่ส่งเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่ได้ชอบ” เห็นสีหน้าเจื่อนจ๋อยของคุณชาย...ชินอ๋องก็ข่มอารมณ์หงุดหงิดของตนเองลง ใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยนขึ้นเอ่ยว่า “ฟูเหริน กินอาหารเถอะ เดี๋ยวอาหารเย็นชืดเสียหมด จะหมดรสชาติ” แล้วคีบเนื้อเป็ดอบชิ้นหนึ่งส่งให้ถึงปากคุณชาย แต่คุณชายกลับใช้ตะเกียบของตนเองคีบเนื้อเป็ดชิ้นนั้นจากตะเกียบของชินอ๋องแล้วจึงกิน คิ้วเข้มของชินอ๋องกระตุกคราหนึ่ง สีหน้าเย็นชาราวฉาบด้วยน้ำแข็ง จนอยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อระบายอารมณ์หงุดหงิด “เจียงจ้าน” ชินอ๋องส่งเสียงเรียกขันทีคนสนิท เจียงกงกงก็ปรากฏตัวเข้ามาน้อมรับคำสั่งทันที “เจ้าไปเรียกแม่นางที่ดีดฉิน
“ข้าควักหัวใจของเจ้าออกมาดีหรือไม่ จะได้ไม่เจ็บ?” พร้อมกับเสียงที่ดังขึ้นแทรก...มือแข็งแรงของชินอ๋องหลี่เฉิงก็คว้าหมับที่ข้อมือของบุรุษร่างสูงและออกแรงบีบ “โอ๊ย...” คนถูกบีบข้อมือร้องเบาๆ แล้วปล่อยมือของคุณชายให้เป็นอิสระ “พี่สี่ ท่านจะมาขัดขวางความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของข้าทำไม...ข้ากำลังทำความรู้จักกับคุณชายน้อยน่ารักคนนี้อยู่” ชินอ๋องจับต้นแขนคุณชาย แล้วดึงตัวให้ไปหลบอยู่ด้านหลังของตน “หลี่จิ้ง คนที่เจ้ากำลังทำรุ่มร่ามด้วย เป็นฟูเหรินของข้า เป็นพี่สะใภ้ของเจ้า” เสียงชินอ๋องเข่นเขี้ยว “พี่สะใภ้?” หลี่จิ้งทำหน้าฉงน ยกพัดด้ามจิ้วที่หุบอยู่ขึ้นแตะคางเล่นเบาๆ “มิใช่พระชายาตู้จินเหลียนหรอกหรือ?” “เขาคือพระชายารองจ้าวชิงเฟิง” ชินอ๋องเอ่ยอย่างตัดรำคาญ แต่หลี่จิ้งกลับอ้อมชินอ๋องมากระแซะอีกข้างของคุณชาย ยกมือประสาน “ยินดีที่ได้รู้จักน้องชิงเฟิง” “พี่สะใภ้!” ชินอ๋องเน้นคำ แต่อีกฝ่ายไม่สนใจ คลี่พัดโบกลมให้ตนเอง พลางแนะนำตัว “ข้าหลี่จิ้งเป็นน้องห้าของพี่สี่ชินอ๋องหลี่เฉิง...เรียกข้าว่าพี่ห้าเถิด” ชินอ๋องผลักอกน้อง
“แม่นาง...เจ้าคงเข้าผิดห้อง” จ้าวชิงเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ไม่ผิด” นางตอบเสียงหวาน “หากห้องนี้คือห้องพักของท่านเจ้าบ้านหลี่” พลางทอดสายตาหวานหยาดเยิ้มให้แก่หลี่เฉิง จ้าวชิงเฟิงรู้สึกว่า...ตนคงพูดอะไรไม่ได้ เพราะคนที่นางมาหาไม่ใช่ตน “เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องอันใด?” นายท่านหลี่ถามเสียงเรียบๆ “มาทำความรู้จัก” นางตอบแล้วยิ้มหวาน “ข้าชื่อ...อินซวงซวง เป็นประมุขพรรคสุริยัน” “พรรคมาร” หลี่เฉิงเอ่ยขึ้น “นั่นเป็นชื่อที่พวกไร้มารยาทเรียกหา” นางกล่าวอย่างไม่พอใจ แล้วเปลี่ยนกลับมาอ่อนหวานว่า “ท่านเจ้าบ้านหลี่...ท่านน่าจะเชิญสหายของท่านผู้นี้ออกไปข้างนอกก่อน...พวกเราจะได้ทำความรู้จักกันให้ลึกซึ้ง” หลี่เฉิงมิได้กล่าวอะไร...เขาต้องการจะดูปฏิกิริยาของจ้าวชิงเฟิงว่าจะจัดการกับเรื่องเช่นนี้อย่างไรบ้าง อินซวงซวงเหลือบตามองจ้าวชิงเฟิงที่สวมหน้ากากผ้าแพรสีดำนิดหนึ่ง ก่อนจะออกปากว่า “คุณชาย สมควรจะรีบออกไปข้างนอกก่อนนะ!” “อ๊ะ...ข้า...” จ้าวชิงเฟิงลุกจากเตียงที่นั่งอยู่ จะเดินออกไปจากห้อง...หมูเขาจะหาม อย่าเ
ประมุขเฉินห้าวกับอาหลีจูงมือกันมายืนต่อหน้านายท่านหลี่และคุณชายจ้าว “พวกเราปรับความเข้าใจกันแล้ว” ประมุขเฉินห้าวเอ่ย “ข้ากับอาหลีจะแต่งงานกัน แต่คงต้องรอให้งานชุมนุมชาวยุทธที่เขาไท้ซานเสร็จสิ้นเสียก่อน” จ้าวชิงเฟิงยิ้ม แต่ยังอดถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้ว่า “อาหลี เจ้าฝืนใจหรือเปล่า?” อาหลีส่ายหน้า ทีท่าเขินอายยิ่งนัก “ถ้าเจ้ามิได้ฝืนใจ เกอเกอก็ยินดีด้วย” จ้าวชิงเฟิงแย้มยิ้มทั้งปากทั้งตา ดึงตัวอาหลีมากอดเอาไว้ เดือดร้อนนายท่านหลี่ต้องรีบจับแยก... ที่สำนักวัดไท้ซาน...พรรคต่างๆในยุทธภพต่างมารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียง ทั้งฝ่ายธรรมมะและฝ่ายอธรรม เพื่อคัดเลือกจ้าวยุทธภพที่สิบปีมีครั้งหนึ่งอย่างกระตือรือร้น พรรคฝ่ายธรรมมะประกอบด้วย... วัดไท้ซาน...ซึ่งได้ตำแหน่งผู้นำยุทธภพเมื่อสิบปีก่อน โดยฝีมือของเจ้าอาวาสต้าซือไร้ลักษณ์ ผู้มีหน้าตาใจดีมีเมตตา คิ้วเคราขาวโพลน แต่ดวงตากลับเปล่งประกายคมกล้าของยอดฝีมือชัดเจน ศิษย์ในวัดมีทั้งศิษย์ที่เป็นภิกษุและศิษย์ฆราวาส พรรคเทียนซาน...ซึ่งมาอย่างอวดโอ่ เพราะเจ้าสำนักเพิ่งสำเร็จวิชาเส
งานเลี้ยงดำเนินไปได้สักพัก...นายท่านหลี่ก็พาคุณชายจ้าวที่เริ่มเมานิดหน่อยกลับห้องพัก ส่วนละอ่อนอย่างอาหลีก็ถูกประมุขพรรคยาจกเฉินห้าวไล่ให้กลับห้องไปนอนก่อน เพราะเขาตั้งใจจะดวลสุรากับหัวหน้าราชองครักษ์อ๋าวไคทั้งคืน แต่ดื่มกันไปได้พักใหญ่...ประมุขพรรคยาจกเฉินห้าวก็เกิดนึกเป็นห่วงอาหลีขึ้นมา “ท่านอ๋าว...ข้าคงต้องขอตัวแค่นี้ก่อน” “อ้าว...ประมุขเฉิน ไหนท่านว่าจะดื่มกันยันฟ้าสว่างอย่างไรล่ะ” อ๋าวไคแย้ง “ข้าเป็นห่วงอาหลี เด็กน้อยคนนี้ปกติจะต้องให้ข้านั่งอยู่เป็นเพื่อนจึงจะนอนหลับ ป่านนี้จะนอนแล้วหรือยังก็ไม่รู้ ข้าจะไปดูเขาสักหน่อย” ประมุขเฉินตอบ “ถ้าเช่นนั้น...พวกเราก็พอแค่นี้แล้วกัน” อ๋าวไคเอ่ย “ข้าก็จะกลับห้องพัก...พวกเราไปทางเดียวกัน ไปกันเถิด” แล้วทั้งสองก็ลุกขึ้น เดินขึ้นชั้นบน ตรงไปยังห้องพักของอาหลีก่อน แต่พอเข้าใกล้...ทั้งสองก็มองหน้ากัน เพราะได้ยินเสียงผิดปกติ ประมุขเฉินห้าวจึงรีบกระแทกประตูห้องเปิดออกอย่างไม่รอช้า ภาพที่เห็น คือ...อาหลีถูกถอดเสื้อผ้าจนเปลือยเปล่า นอนบิดกายอยู่บนเตียง ที่หน้
หลังจากดูงิ้ว...เฉินกุ่ยปาดน้ำตาลวกๆ ขณะเดินเคียงคู่มากับจางจง ไปตามถนนที่เงียบสงัดเพราะดึกมากแล้ว “ท่านเฉิน ท่านร้องไห้ทุกครั้งที่ดูงิ้วนะหรือ?” จางจงอดถามไม่ได้ เพราะเห็นแม่ทัพรักษาเมืองตัวโตนั่งร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรขณะดูงิ้ว จนกระทั่งงิ้วแสดงจบ ออกมาจากโรงงิ้วแล้ว ก็ยังไม่หยุดร้องอีก เขาไม่ได้คิดเย้ยหยันหรอกนะว่า ผู้ชายที่ดูดุดันตัวโตราวตึกจะร้องไห้ไม่ได้ เพียงแต่แปลกใจว่า...ท่านแม่ทัพร่างใหญ่วัยฉกรรจ์จะมีมุมที่อ่อนไหวเช่นนี้ด้วย! “ขะ ข้าสงสารนางเอกที่ถูกสามีทอดทิ้งหนะ” เฉินกุ่ยอ้อมแอ้ม “งิ้วก็คือเรื่องแต่งเท่านั้นนะท่านเฉิน” “ข้ารู้” เฉินกุ่ยพยักหน้า “แต่ก็ทำให้ข้าคิดถึงตัวเองด้วยนะอาจง” “ท่านคิดสิ่งใดหรือ?” จางจงถาม เฉินกุ่ยสูดลมหายใจเต็มปอด ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วว่า “ข้าชอบคนคนหนึ่งอย่างมาก แต่ไม่รู้ว่า เขาจะชอบข้าบ้างหรือไม่?” “ท่านเป็นบุรุษที่พึ่งพาได้” จางจงกล่าวปลอบโยน “อีกทั้งมีเกียรติยศศักดิ์ฐานะสูงส่งขนาดนี้ แม่นางคนใดจะไม่ชอบท่านล่ะ?” “เขาเป็นบุรุษ!” “เอ๋...
สีหน้าเฉินกุ่ยผิดหวังตะลึงงัน หลี่เฉิงกล่าวด้วยเสียงเรียบๆว่า “มีที่ใด...เจ้าไม่เคยไปมาบ้าง จากเหนือจรดใต้ จากตะวันออกไปจนถึงตะวันตก เจ้าล้วนไปมาทั่วแล้ว” “ขะ คือ...มันไม่เหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ” เฉินกุ่ยเหงื่อตก “ไปอย่างนั้น มันไปธุระ...” “นี่ก็ไปธุระ” หลี่เฉิงนั้นรู้จุดประสงค์ของอีกฝ่ายดี แต่จะกลั่นแกล้งให้ต้องพูดออกมา “ธุระตอนนั้นมันไม่มี แต่ตอนนี้มี...” “มีอะไร?” “มี...” แม่ทัพร่างใหญ่ยกมือปาดเหงื่อที่หน้าผาก...รู้สึกว่า คำพูดที่อยู่ในอก ช่างพูดออกมายากเย็นนัก ยากกว่าการไปรบทัพจับศึกเสียอีก แต่เพื่อให้ได้ติดตามขบวนประพาสของฮ่องเต้ จึงทำใจให้สงบ สูดลมหายใจให้เต็มปอด และพูดอุบอิบว่า “มี...จางจง พ่ะย่ะค่ะ” แม้เสียงเบา แต่ฮ่องเต้กับคุณชายต่างได้ยิน ทำเอาคุณชายเกือบทำถ้วยชาหลุดมือ “อ่อ...” หลี่เฉิงพยักหน้า “เหตุผลพอฟังขึ้น ข้าอนุญาตให้เจ้าไปด้วยก็ได้ แต่เจ้าจะต้องไปปรึกษากับอ๋าวไคว่าจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรบ้างในการไปเที่ยวครั้งนี้”
พิเศษ 1 ศึกชิงจ้าวยุทธภพ อาหลีติดตามเฉินห้าวไปทุกที่ ตั้งแต่เหนือจรดใต้ ตะวันออกจรดตะวันตก จนวนกลับมายังเมืองหลวงต้าหนาน “ไม่รู้ว่าเกอเกอ(พี่ชาย)ฮองเฮา กับเจี่ยเจีย(พี่สาว)เซียงเซียงจะเป็นอย่างไรบ้าง?” อาหลีที่เดินตามประมุขเฉินต้อยๆ เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นหอสุราจุ้ยเซียนอยู่ตรงหน้า “เดี๋ยวเจ้าก็ได้รู้...” ประมุขเฉินกล่าว พลางพาอาหลีเข้าไปในหอสุรา และขึ้นบันไดไปบนชั้นสอง ที่ห้องพิเศษบนชั้นสอง...ฮ่องเต้หลี่เฉิงกับ ฮองเฮาจ้าวชิงเฟิง นั่งรออยู่ แต่ผู้ที่ทำให้ประมุขเฉินผิดคาดหมายเล็กน้อยคือ...หลวงจีนลืมชื่อ ภิกษุชราผู้มีร่องรอยลี้ลับหาตัวพบยากนักหนา กำลังคีบเนื้อแพะตุ๋นน้ำแดงเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย ประมุขพรรคยาจกประสานมือค้อมศีรษะให้ฮ่องเต้เป็นอันดับแรก “ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” “ไม่ต้องมากพิธี” ฮ่องเต้ตรัส “อยู่ข้างนอกพระราชวัง ประมุขเฉินอย่าได้ใช้พิธีรีตองในวังกับข้า เรียกข้าว่าเจ้าบ้านหลี่ก็พอ ข้าจะใช้ชื่อในการท่องเที่ยวข้างนอกนี้ว่า ‘หลี่ฉือ’ ส่วนฟูเหรินของข้าจะใช้ชื่อว่า คุณชายจ้าวเฟิง”
จ้าวชิงเฟิงตกใจ ถามว่า “ท่านอ๋อง ท่านเป็นอะไร?” “ข้าเจ็บแผล” ชินอ๋องทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ซ้ำยังทำตัวงอด้วย “อ่า...ประสกท่านอ๋อง” หลวงจีนลืมชื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ก็เห็นชินอ๋องขยิบตาให้ อืม...อาตมาเข้าใจ “ประสกท่านอ๋องต้องเปลี่ยนยาแล้ว ประสกพระชายาช่วยประคองประสกท่านอ๋องไปที่ห้องนอนหน่อยเถิด” จ้าวชิงเฟิงประคองร่างสูงใหญ่กำยำอย่างระมัดระวัง ให้เดินกลับห้องนอนใหญ่ ไปนั่งลงบนเตียงนอน และช่วยถอดเสื้อออกให้ หลวงจีนลืมชื่อเอาผ้าพันแผลออกเพื่อเปลี่ยนยาที่หน้าอกของชินอ๋อง จ้าวชิงเฟิงเห็นบาดแผลแล้วอดรู้สึกเจ็บแทนไม่ได้ “ท่านอ๋อง...ทีหลังโปรดอย่าได้ทำอย่างนี้อีก” “ถูกต้อง...” หลวงจีนลืมชื่อเอ่ยเสริม “อีกแค่ครึ่งชุ่น(ครึ่งนิ้ว) ประสกท่านอ๋องก็ต้องกลับสวรรค์ไปแล้ว” ว่าพลางเปลี่ยนยาพลาง “เจ็บมากแน่ๆ” จ้าวชิงเฟิงเอ่ยเสียงเบา “ฟูเหริน...เจ้าจูบข้าทีสิ” ชินอ๋องกล่าวพลางทำสีหน้าเจ็บปวด “ข้าจะได้รู้สึกเจ็บน้อยลงหน่อย” “อ่า...อมิตตาภพุทธ อย่าลืมว่ายังมีอาตมาอยู่ตรงนี้ด้วย”** วันต่อมา...
ฮ่องเต้แกะผ้าแพรที่มัดข้อมือทั้งสองข้างของจ้าวชิงเฟิงไว้กับเสาของพระแท่นบรรทมออก แล้วรวบจับข้อมือทั้งสองของร่างบอบบางด้วยมือข้างเดียว จะฉุดลากให้หนีออกไปด้วยกัน ทันใด...ปัง ! ประตูห้องบรรทมถูกถีบเปิดออก ฮ่องเต้รีบคว้าตัวจ้าวชิงเฟิงมารัดด้วยแขนข้างซ้าย มือขวาจับลำคอเล็กเอาไว้แน่น ร่างของจ้าวชิงเฟิงจึงพิงอยู่กับร่างของฮ่องเต้ ผู้ที่ถีบประตูเข้ามาคือชินอ๋องที่มีสภาพเปื้อนเลือดไปทั่วร่าง “หยุดอยู่ตรงนั้นหลี่เฉิง มิเช่นนั้นเราจะหักคอพระชายาเสีย” ชินอ๋องยืนนิ่งอยู่กับที่ “หลี่เจา เจ้าปล่อยฟูเหรินของข้า ข้าจะปล่อยเจ้าไป” “ฮะๆๆๆ...เดี๋ยวนี้แม้แต่คำว่าฝ่าบาท เจ้าก็ยังไม่เรียกเราแล้วหรือ?” “เจ้าไม่สมควรเป็นฮ่องเต้...เจ้าฆ่าพี่รองและฆ่าเสด็จพ่อ” “ก็ใครใช้ให้เสด็จพ่อคิดจะแต่งตั้งหลี่เฉาเป็นรัชทายาทเล่า ทั้งๆ ที่เสด็จแม่ของข้ามีตำแหน่งสูงกว่าแม่ของพวกเจ้า แต่เสด็จพ่อกลับรักแต่หลี่เฉา ไม่เห็นหัวหลี่เจาคนนี้ พอหลี่เฉาตาย เสด็จพ่อก็เศร้าโศกจนล้มป่วย ข้าก็เลยถวายยาพิษให้เสด็จได้ตามไปพบกับหลี่เฉาอย่างไรล่ะ” ฮ่องเต้ต
ที่จวนชินอ๋อง... ขันทีที่ถ่ายทอดราชโองการ ขานเสียงดังว่า “ฮ่องเต้มีพระราชโองการ...” แต่กลับไม่มีใครคุกเข่าลงรับราชโองการสักคนเดียว ก็เอ่ยต่อเสียงดังๆ ว่า “คุกเข่ารับราชโองการ” เสี่ยวหู่กำลังอารมณ์มืดมนถึงขีดสุด ก็เข้าไปกระชากคอเสื้อของขันที “พูดมา...มีอะไรก็รีบพูดออกมา ถ้ายังไม่อยากตาย!” “ทะ ท่านอ๋อง” ขันทีตาเหลือก ทหารที่คุ้มกันล้วนถูกดาบพาดคอ ขันทีเหลือบซ้ายแลขวาแล้ว ไม่กล้าพูดคำว่า...จะเป็นขบถหรือ...ออกมา ที่เคยใช้อำนาจข่มเหงคนอื่นๆ ล้วนรีบกล้ำกลืนเอาไว้ พูดตะกุกตะกักว่า “ฮ่องเต้ทรงให้นำมีดเล่มนี้มาให้ท่านอ๋อง” แล้วส่งมีดพกที่จ้าวชิงเฟิงเอาออกมาแทงฮ่องเต้ให้ เสี่ยวหู่รับมีดมาส่งต่อให้ชินอ๋อง ชินอ๋องรับมาดูแล้วกล่าว “ใช่...มีดเล่มนี้ข้าให้ฟูเหรินพกติดตัวไว้” “มีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?” เสี่ยวหู่ตะคอกขันที “ฝะ ฝ่าบาทรับสั่งว่า พระชายาสบายดี หากท่านอ๋องอยากพบพระชายา ให้เข้าวังโดยเร็ว กะ ก่อนที่ ขะ ข้าวสารจะกลายเป็น...ข้าวสุก” “มีอีกหรือไม่?” ชินอ๋องถามเสียงเรียบๆ