“ฟูเหรินเจ้าขา” เสี่ยวหงทำเสียงออดอ้อน “ถึงจะไม่หิว ก็ควรจะกินสักเล็กน้อยนะเจ้าคะ มิเช่นนั้นแล้ว พ่อครัวที่ทำอาหารมาจะเสียใจได้”
คุณชายมองอาหารโต๊ะนั้น มันอุดมสมบูรณ์มากราวกับจะให้คนกินเก่งๆ ช่วยกันกินซักสิบคนเห็นจะได้
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ อย่างไรก็ช่วยชิมสักหน่อยนะเจ้าคะ” เสี่ยวชุ่ยอ้อนวอนอีกแรง
“นี่มันมากเกินไป” คุณชายนั่งลงเพราะขัดต่อเสียงเกลี้ยกล่อมของสองสาวไม่ได้ ตะเกียบหยกขาวถูกส่งถึงมือ
“ฟูเหรินก็กินของที่ถูกปากก็พอเจ้าค่ะ” เสี่ยวชุ่ยยิ้มแป้นเมื่อเห็นคุณชายเริ่มกินอาหาร
แต่คุณชายก็กินได้ไม่มากนัก กินข้าวได้ไม่ถึงครึ่งชาม กินกับไปเพียงเล็กน้อยก็อิ่ม เขามองอาหารที่เหลืออย่างนึกเสียดายของดีๆ “ที่เหลือนี่...”
“ทางห้องครัวต้องเททิ้งเจ้าค่ะ” เสี่ยวหงรินน้ำชาส่งให้คุณชายดื่ม
“แจกจ่ายให้บ่าวไพร่ได้หรือไม่?” คุณชายถาม
“ถ้าเป็นความประสงค์ของฟูเหรินย่อมได้เจ้าค่ะ” เสี่ยวหงเอ่ยพลางแย้มยิ้ม
คุณชายจึงยกถ้วยชาขึ้นดื่มอย่างยินดี “เช่นนั้นก็แจกจ่ายอาหารที่เหลือนี่ให้บ่าวไพร่ไปกินกันเถิด ข้าเสียดายของดีๆ ทั้งนั้น”
“เจ้าค่ะ/เจ้าค่ะ” สองสาวรับคำพร้อมเพรียง
ช่วงบ่าย...จางจงเข้ามารายงานว่า “คุณชาย...พระชายามารอท่านอยู่ที่ห้องรับรองขอรับ” แล้วนำทางคุณชายไปยังห้องรับรอง
ในห้องรับรองของตำหนักใหญ่...พระชายานั่งอยู่ที่โต๊ะน้ำชาด้วยทีท่าหยิ่งผยอง มีสาวใช้คอยรินน้ำชาให้ด้วยกิริยานอบน้อม นางแสร้งทำเป็นไม่เห็นคุณชายที่เดินเข้ามา คุณชายจึงต้องเดินไปยังเบื้องหน้าของนางในระยะห่างพอสมควร แล้วน้อมคารวะ
“คารวะพระชายาขอรับ”
นางค่อยๆ วางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะ เหลือบตามองคุณชายอยู่ครู่หนึ่งด้วยทีท่าข่ม จนคุณชายรู้สึกอึดอัด นางจึงโบกมือขึ้นเบาๆ “ไม่ต้องมากพิธี”
คุณชายค่อยเหยียดกายยืนตรง
“ได้ข่าวว่าเจ้าล้มป่วย?”
“ขอรับ”
“ทำไมไม่กลับไปพักรักษาตัวที่เรือนของเจ้าเสียล่ะ?”
“ข้าน้อยรอพบท่านอ๋องเย็นนี้เพื่อขออนุญาตกลับเรือนขอรับ” คุณชายบอกจุดประสงค์ตามตรง
“ข้าไม่อนุญาต”
เสียงชินอ๋องดังแทรกขึ้น แล้วเจ้าของเสียงก็ก้าวยาวๆ เข้ามาในห้อง ติดตามด้วยองครักษ์คนสนิททั้งสองและขันทีอีกหนึ่ง
“ท่านอ๋อง...” พระชายาเรียกขานพลางลุกขึ้นยืน ก่อนจะยอบกายอย่างแช่มช้อย “คารวะท่านอ๋องเจ้าค่ะ”
คุณชายก็น้อมกาย “คารวะท่านอ๋องขอรับ”
ชินอ๋องเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตำแหน่งประธาน แล้วเอ่ยว่า “ทั้งสองนั่งลง”
พระชายานั่งลงที่ตำแหน่งเดิมด้วยกิริยาสง่านุ่มนวล
แต่คุณชายยังยืนลังเล...หากนั่งลงอีกฝั่งของโต๊ะน้ำชา ก็เท่ากับนั่งเสมอพระชายา เขาเกรงว่าพระชายาจะไม่พอใจ
“นั่งลงสิฟูเหริน” ท่านอ๋องเอ่ยสำทับทั้งยังผายมือมายังที่นั่งนั้น
คำเรียก ‘ฟูเหริน’ ของท่านอ๋อง ทำให้พระชายานึกขัดใจ ชายตามองคุณชายแวบหนึ่ง
คุณชายจึงจำใจต้องนั่งลงตามคำสั่ง
สาวใช้คนหนึ่งนำน้ำชามาต้อนรับชินอ๋อง ส่วนอีกคนก็นำน้ำชามาให้คุณชาย
“ข้าจะให้พระชายารองอยู่ที่ตำหนักนี้เป็นการถาวร” ชินอ๋องกล่าวแล้วยกน้ำชาขึ้นดื่มคำหนึ่ง
“ทำเช่นนี้หาได้เหมาะสมไม่นะเจ้าคะ ท่านอ๋องโปรดใคร่ครวญดูอีกทีเถิดเจ้าค่ะ” พระชายาเอ่ยแย้งทันที สีหน้าไม่เห็นด้วยอย่างเต็มที่
“เหมาะสมหรือไม่ ข้าเป็นผู้ตัดสินใจเอง”
เมื่อชินอ๋องกล่าวเช่นนี้ พระชายาก็ไม่กล้าคัดค้านอีก ส่วนคุณชายไม่มีสิทธิ์จะปฏิเสธอะไรได้อยู่แล้ว
“และประเพณีที่พระชายารองจะต้องไปยกน้ำชาถามไถ่พระชายาเอกทุกเช้านั้นก็ให้งดเสีย”
น้ำเสียงชินอ๋องแม้เรียบเรื่อย แต่บาดใจพระชายาตู้อย่างแรง นางกะจะใช้ช่วงเวลานั้นเยาะเย้ยถากถางอีกฝ่ายให้เจ็บช้ำน้ำใจบ้าง แม้พอจะคาดเดาได้ว่าต่อจากนี้คงใช้อำนาจทำร้ายร่างกายของเขาไม่ได้อีกแล้ว
“หากพระชายาไร้เรื่องราวใดแล้ว เชิญกลับตำหนักไปเถิด”
เมื่อถูกไล่ซึ่งๆ หน้าเช่นนี้...พระชายาก็ได้แต่ลุกขึ้นยืนแล้วยอบกายคารวะ
“ข้าน้อยขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”
แล้วเดินผ่านหน้าของคุณชายที่ลุกขึ้นยืนสงบอยู่ นางปรายตามองคุณชายอย่างชิงชัง แล้วก้าวผ่านไปด้วยกิริยาสง่างามและแช่มช้อย สาวใช้ทั้งสามที่ติดตามนางมาด้วยก็ยอบกายคารวะและติดตามนางไปเงียบๆ
พอพระชายาไปแล้ว คุณชายก็น้อมคำนับชินอ๋อง “ข้าน้อยขอตัวก่อนขอรับ”
“เจ้าจะไปไหน?”
“.....” ไปไหนได้นอกจากกลับไปที่ห้องข้าง
“ไปหลบซ่อนตัวที่ห้องข้างหรือ?”
“.....” รู้แล้วยังจะถามทำไม
“อาการของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
กับคำถามนี้จะไม่ตอบก็ไม่ได้ “ดีขึ้นมากแล้วขอรับ”
“อืม...เช่นนั้นเจ้าตามข้ามา”
ชินอ๋องสั่งแล้วเดินมาใกล้ เอื้อมมือจับข้อมือคุณชาย จูงพาเดินไปยังห้องนอนใหญ่
ห้องนอนใหญ่กว้างขวางโอ่อ่า ตกแต่งเรียบหรู ข้าวของทุกชิ้นล้วนล้ำค่า
“ต่อไป เจ้าก็ย้ายมาอยู่ที่ห้องนี้”
“ฮะ...?”
“ตกใจอันใด?” คิ้วเข้มของชินอ๋องเลิกขึ้นเล็กน้อย
“คือ...ข้าว่า...ไม่ดี...เอ่อ...ข้าน้อยหมายถึงว่าอยู่ห้องข้างดังเก่าก็ดีอยู่แล้วขอรับ”
จะให้ดีกว่านั้น...ให้ข้ากลับไปอยู่เรือนเล็กท้ายจวนเหมือนเดิมเถอะนะ
“เช่นนั้นเวลาข้าต้องการจะกอดเจ้านอนเล่า ข้ามิต้องไปนอนที่ห้องข้างหรอกหรือ?”
คุณชายอ้าปากค้าง สมองไม่ทำงานไปครู่หนึ่ง
“ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องทำหน้าที่ภรรยาแล้ว”
“แต่ข้ายังไม่พร้อม”
หลุดปากไปแล้ว ใจของคุณชายก็เต้นตึกๆ จนตัวเองยังได้ยิน เพราะเกรงว่าจะไปกระตุ้นโทสะของอีกฝ่ายเข้า
แต่ชินอ๋องหัวเราะเบาๆ “หึๆๆ ...ค่อยๆ ฝึกไป”
คุณชายกลืนน้ำลายอย่างลำบากยากเย็น
“เริ่มจาก...ช่วยอาบน้ำให้ข้าก่อน”
“ทะ ท่านอ๋องมีขันทีเจียงจ้านอยู่แล้ว มิใช่หรือ?” คุณชายเหงื่อผุดเต็มหน้าผากมน “ข้าอยากให้ภรรยาอาบน้ำให้” ถ้อยคำสั้นๆ ของชินอ๋อง ทำให้คุณชายไม่สามารถบิดพลิ้ว ขันทีเจียงจ้านอายุประมาณยี่สิบแปดปี กิริยาห้าวหาญองอาจรูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงบึกบึนไม่เหมือนขันทีแม้แต่นิดเดียว เขาเข้ามาช่วยถอดอาภรณ์ของชินอ๋องออก จนเหลือเพียงเสื้อและกางเกงตัวใน เท่านั้นยังไม่พอ ยังมาจัดการลอกคราบคุณชายจนเหลือเพียงเสื้อกับกางเกงตัวในที่เนื้อผ้าบางๆ สีขาวเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุผลที่ว่า “พระชายารองจะได้ช่วยท่านอ๋องอาบน้ำได้สะดวกขอรับ” แล้วจัดแจงดุนหลังคุณชายให้เดินตามชินอ๋องเข้าไปในห้องอาบน้ำ ห้องอาบน้ำส่วนตัวของชินอ๋องที่อยู่ติดกับห้องนอนใหญ่มีประตูทะลุถึงกันนั้นกว้างขวางกว่าห้องอาบน้ำที่จ้าวชิงเฟิงใช้มาก อ่างอาบน้ำก็ใบใหญ่มาก ขนาดผู้ชายตัวโตๆ ลงไปนั่งแช่ได้สี่ห้าคนสบายๆ ชินอ๋องถอดเสื้อผ้าชั้นในออกจนหมด อวดเรือนร่างแข็งแรงกล้ามเนื้อสวยงาม ร่างสูงใหญ่ทว่าไม่เทอะทะออกจะเพรียว เขาล้างเท้าแล้วก้าวเข้าไปแช่ตัวในอ่างด้วยทีท่าแสนสบาย ก่อนจะหันมาสั่งคุณชาย
เมื่อหมดคนนอกแล้ว...พระชายาก็กล่าวกับสาวใช้คนสนิท “ตงเหมย เจ้าคิดว่าข้าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี?” “พระชายาอย่าเพิ่งร้อนใจไปเลยเจ้าค่ะ” ตงเหมยกล่าวปลอบใจผู้เป็นนาย “มิให้ข้าร้อนใจ?” พระชายาเสียงสะบัด “คืนวันวิวาห์ ท่านอ๋องก็เลือกไปอยู่กับเจ้าคนสารเลวจากแคว้นเป่ย แทนที่จะมาเข้าห้องหอของข้าผู้เป็นพระชายาเอก จากนั้นก็ไปอยู่เสียที่ค่ายทหาร” “หรือท่านอ๋องจะชมชอบบุรุษเจ้าคะ?” “ข้าเคยส่งบ่าวชายอายุเยาว์หน้าตาดีไปรับใช้ท่านอ๋องถึงที่ค่ายทหาร ก็ถูกไล่ตะเพิดกลับมา พอท่านอ๋องกลับมาคราวนี้ ข้าก็ส่งสาวใช้หน้าตางดงามไปอุ่นเตียง ก็ถูกท่านอ๋องไล่ออกจากตำหนักอย่างไม่ใยดี” “หรือท่านอ๋องจะ...” ตงเหมยขมวดคิ้วครุ่นคิด “ถือสาเรื่องชาติกำเนิด” “เช่นนั้นก็ลำบาก...คุณชายหนุ่มน้อยงดงามใช่ว่าจะหาไม่ได้ แต่ตระกูลไหนจะยอมให้คุณชายของตนต้องมาเป็นภรรยาน้อยเล่า?” พระชายาถอนหายใจยาวก่อนจะกล่าวต่อ “อย่าว่าเป็นภรรยาน้อยเลย แม้แต่เป็นภรรยาเอก ถ้าไม่หมดสิ้นหนทางจริงๆ ก็ไม่มีตระกูลผู้ดีตระกูลไหนยินยอมให้บุตรชายแต่งออกมาเป็นภรรยาผู้อื่น” “นั่นก็จริ
คุณชายรู้สึกทำตัวไม่ถูก...ได้แต่นั่งโง่ๆ ตัวตรงแน่วอยู่ริมขอบเตียง สองมือกำแน่นอยู่บนตัก จริงอยู่ที่จางจงใช้เวลาสอนเขาอยู่เกือบหนึ่งชั่วยาม(สองชั่วโมง)...ให้รู้วิธีปรนนิบัติสามีบนเตียง เพราะเขามิใช่สตรีแต่เป็นบุรุษ วิธีร่วมรักของคู่บุรุษกับบุรุษนั้นแตกต่างจากคู่บุรุษกับสตรีอย่างมาก...คู่ของบุรุษกับบุรุษต้องเตรียมตัวเตรียมใจและเตรียมอุปกรณ์ช่วยเป็นพิเศษต่างหาก มิเช่นนั้นแล้วบุรุษผู้อยู่ในฐานะภรรยาอาจจะได้รับบาดเจ็บได้ แค่คิดก็สยองขวัญแล้ว! “ฟูเหริน...” เสียงเรียกของชินอ๋องทำให้คุณชายสะดุ้ง ปรายตามองอีกฝ่ายที่ยืนอยู่ไม่ห่าง เขาสวมเสื้อนอนสีแดงถือถ้วยน้ำชาอยู่ในมือทั้งสองข้าง “มาดื่มน้ำชามงคลกัน” มุมปากยกยิ้มน้อยๆ มองคุณชายที่สวมเสื้อนอนสีแดงเหมือนกัน ด้วยประกายตายพราวระยิบ “ที่จริงควรจะเป็นสุรามงคล แต่ว่าระยะนี้เจ้ายังไม่ควรดื่มสุรา ข้าจึงใช้น้ำชาแทนสุรา หวังว่าฟูเหรินคงไม่ตำหนิ” “ไม่กล้าขอรับ” คุณชายเอ่ยเบาๆ รู้สึกอึดอัดจนแทบจะหายใจไม่ออก แต่ก็ต้องยืนขึ้นเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่าย แล้วรับถ้วยชาจากมือชินอ๋องมาถ้วยหนึ่ง ชินอ๋องคล
จางจงและสองสาวใช้เสี่ยวหงเสี่ยวชุ่ยช่วยกันปลอบจนสามารถเอาตัวคุณชายออกจากผ้าห่มได้ และช่วยกันจัดการธุระส่วนตัวคุณชายให้จนเรียบร้อย “เขา...ท่านอ๋องไม่อยู่จวนหรือ?” คุณชายถามขึ้นเพราะไม่เห็นเขาตั้งแต่ตื่นนอนมา “ท่านอ๋องเข้าวังไปประชุมที่ท้องพระโรงแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ ฟูเหริน” เสี่ยวชุ่ยตอบพลางแย้มยิ้มหน้าระรื่น “ท่านอ๋องยังสั่งว่าอย่ารบกวนฟูเหริน ให้ฟูเหรินพักผ่อนให้เต็มที่” เสี่ยวหงกล่าวเสริมด้วยสีหน้ายิ้มกริ่มแบบว่ารู้อะไรดีๆ “ข้าแค่...” คุณชายอยากบอกแม่สองสาวหน้าทะเล้นนี้ว่า...เมื่อคืนเขาแค่นอนไม่หลับในตอนแรกเท่านั้น เพราะไม่คุ้นชินกับการมีคนนอนด้วย ซ้ำคนนอนด้วยยังกอดเขาเป็นหมอนข้าง กว่าจะได้หลับจริงๆ ก็เลยเที่ยงคืนไปไม่น้อยแล้ว จึงทำให้ตื่นสาย แต่คำพูดมาจ่ออยู่ที่ริมฝีปาก... คุณชายก็นึกขึ้นได้ว่า...ยิ่งพูดก็ยิ่งเข้าตัว! จึงนิ่งเงียบเสีย “ท่านอ๋องยังสั่งไว้ว่า...บ่ายนี้จะพาฟูเหรินไปเที่ยวเทศกาลดอกไม้เจ้าค่ะ” เสี่ยวชุ่ยเจื้อยแจ้วต่อ ขณะที่พูดนางก็เดินนำเจ้านายมาที่โต๊ะอาหาร จัดให้คุณชายนั่งลงแล้วส่งชามรังนกตุ
จ้าวชิงเฟิงหลบสายตาชินอ๋องที่ฉายแววดุดัน เขาแน่ใจว่าอีกฝ่ายสามารถทำตามที่พูดได้อย่างไม่สะทกสะท้าน แต่...ทำไมแม่นางน้อยนางนั้นจะต้องมารับโทสะที่ไม่มีที่มาที่ไปของคนใหญ่คนโตอย่างชินอ๋อง เพียงเพราะมีพรสวรรค์ทางด้านดนตรีเป็นที่ชื่นชอบของผู้ได้ยินได้ฟังด้วยเล่า? ไร้เหตุผล! แม้อีกฝ่ายจะไร้เหตุผล...เขาก็ได้แต่อดทนอดกลั้น ไม่สามารถจะไปถกเหตุผลกับอีกฝ่ายได้ ได้แต่ส่งเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่ได้ชอบ” เห็นสีหน้าเจื่อนจ๋อยของคุณชาย...ชินอ๋องก็ข่มอารมณ์หงุดหงิดของตนเองลง ใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยนขึ้นเอ่ยว่า “ฟูเหริน กินอาหารเถอะ เดี๋ยวอาหารเย็นชืดเสียหมด จะหมดรสชาติ” แล้วคีบเนื้อเป็ดอบชิ้นหนึ่งส่งให้ถึงปากคุณชาย แต่คุณชายกลับใช้ตะเกียบของตนเองคีบเนื้อเป็ดชิ้นนั้นจากตะเกียบของชินอ๋องแล้วจึงกิน คิ้วเข้มของชินอ๋องกระตุกคราหนึ่ง สีหน้าเย็นชาราวฉาบด้วยน้ำแข็ง จนอยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อระบายอารมณ์หงุดหงิด “เจียงจ้าน” ชินอ๋องส่งเสียงเรียกขันทีคนสนิท เจียงกงกงก็ปรากฏตัวเข้ามาน้อมรับคำสั่งทันที “เจ้าไปเรียกแม่นาง
“ข้าควักหัวใจของเจ้าออกมาดีหรือไม่ จะได้ไม่เจ็บ?” พร้อมกับเสียงที่ดังขึ้นแทรก...มือแข็งแรงของชินอ๋องหลี่เฉิงก็คว้าหมับที่ข้อมือของบุรุษร่างสูงและออกแรงบีบ “โอ๊ย...” คนถูกบีบข้อมือร้องเบาๆ แล้วปล่อยมือของคุณชายให้เป็นอิสระ “พี่สี่ ท่านจะมาขัดขวางความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของข้าทำไม...ข้ากำลังทำความรู้จักกับคุณชายน้อยน่ารักคนนี้อยู่” ชินอ๋องจับต้นแขนคุณชาย แล้วดึงตัวให้ไปหลบอยู่ด้านหลังของตน “หลี่จิ้ง คนที่เจ้ากำลังทำรุ่มร่ามด้วย เป็นฟูเหรินของข้า เป็นพี่สะใภ้ของเจ้า” เสียงชินอ๋องเข่นเขี้ยว “พี่สะใภ้?” หลี่จิ้งทำหน้าฉงน ยกพัดด้ามจิ้วที่หุบอยู่ขึ้นแตะคางเล่นเบาๆ “มิใช่พระชายาตู้จินเหลียนหรอกหรือ?” “เขาคือพระชายารองจ้าวชิงเฟิง” ชินอ๋องเอ่ยอย่างตัดรำคาญ แต่หลี่จิ้งกลับอ้อมชินอ๋องมากระแซะอีกข้างของคุณชาย ยกมือประสาน “ยินดีที่ได้รู้จักน้องชิงเฟิง” “พี่สะใภ้!” ชินอ๋องเน้นคำ แต่อีกฝ่ายไม่สนใจ คลี่พัดโบกลมให้ตนเอง พลางแนะนำตัว “ข้าหลี่จิ้งเป็นน้องห้าของพี่สี่ชินอ๋องหลี่เฉิง...เรียกข้าว่าพี่ห้าเถิด” ชินอ๋องผ
สีหน้าชินอ๋องดำทะมึน เขาโบกมือห้ามเหล่าองครักษ์ที่ติดตามมาและเจียงจ้านที่กำลังจะโดดลงไปในน้ำเพื่อช่วยเหลือจ้าวชิงเฟิง “ไม่ต้อง” เพราะเห็นว่าคุณชายว่ายน้ำเป็น จ้าวชิงเฟิงพอลงมาในสระก็หยั่งเท้าดูความลึกของน้ำ พบว่าน้ำช่วงนี้ลึกแค่อกของเขาเท่านั้น จึงไม่ได้เป็นกังวลอะไรมากนัก รีบว่ายน้ำเข้าไปช่วยหญิงสาวที่อยู่ห่างออกไปสองจั้ง(1จั้ง=2.5เมตร)อย่างรวดเร็ว แต่แม่นางคนนั้นพอเจอคนก็เกาะหมับ เกือบทำให้คุณชายพลอยจมน้ำไปด้วย ดีที่คุณชายมีสติ จึงยืนมั่น แม้กระนั้นก็สำลักน้ำในสระเข้าไปสองสามอึก “แม่นางไม่ต้องกลัว น้ำตรงบริเวณนี้ไม่ลึกเท่าไรเพราะอยู่ใกล้ขอบสระ เจ้าเอาเท้าเหยียบพื้นสิ” นางส่ายหน้าพลางไอค่อกแค่กพลาง กอดคุณชายแน่นเนื้อตัวสั่นเทา เป็นครู่ค่อยกล่าวเสียงกระท่อนกระแท่น “ข้าขยะแขยงดินโคลนข้างใต้ยิ่งนัก” คุณชายได้แต่ถอนใจกล่าว “แม่นาง เจ้าต้องแข็งใจไว้...พวกเราจะได้เดินไปขึ้นฝั่ง” น้ำเสียงนุ่มนวล คนกล่าวก็งดงาม...นางจึงจำใจพยักหน้า ทั้งสองจึงเดินลุยโคลนมาขึ้นบันไดที่ขอบสระ ทันทีที่ขึ้นจาก
“แต่...” องครักษ์คนสนิทเอ่ยได้เพียงคำเดียว ก็ถูกอ๋องห้าแทรกขึ้น “เจ้าหุบปากไปเลย แล้วฟังข้า” จึงได้แต่ประสานมือน้อมกาย “ขอรับ” “คุณหนูเกาที่พลัดตกน้ำนางนั้นช่างโชคดียิ่งนัก ถูกคุณชายจ้าวชิงเฟิงทั้งโอบกอดทั้งประคองขึ้นจากน้ำ” อ๋องห้าสั่งต่ออย่างมีแผนการร้าย “จงไปปล่อยข่าว...คุณชายจ้าวชิงเฟิงผู้ช่วยคุณหนูเกาขึ้นจากสระน้ำนั้นพักอาศัยอยู่ในจวนชินอ๋อง แต่ปกปิดเรื่องที่เขาคือพระชายารองเอาไว้ ให้บอกไปว่าเขาเป็นญาติห่างๆ” “ทำเช่นนี้จะดีหรือท่านอ๋อง...คุณหนูเกาซิ่วจิ่นเป็นธิดาคนเดียวของมหาอำมาตย์เกาชง หากเรื่องราวแพร่งพรายออกไปว่าคุณหนูเกาตกน้ำแล้วถูกบุรุษช่วยขึ้นมา ความบริสุทธิ์ผุดผ่องของคุณหนูเกาก็ต้องแปดเปื้อน จะตบแต่งให้กับผู้ใดได้อีกขอรับ?” “ข้าถึงชี้ทางให้แม่สื่อวิ่งเข้าจวนชินอ๋องอย่างไรเล่า...ฮ่าๆๆ” หัวเราะพลางคลี่พัดโบกอย่างครึ้มอกครึ้มใจ กลับถึงจวน...คุณชายก็รีบอาบน้ำสระผมเปลี่ยนเสื้อผ้า พอออกจากห้องอาบน้ำ...เสี่ยวหงก็จัดการเช็ดผมหวีผมให้ ในขณะที่เสี่ยวชุ่ยยกชามน้ำขิงมาให้ดื่ม “ฟูเหรินเจ้าขา...ทำไมท่านถึงได้ตกน้ำ
ชินอ๋องสั่งปิดประตูเมือง ให้ทหารตรวจค้นทุกซอกทุกมุม เป็นเรื่องเอิกเกริกจนฮ่องเต้ส่งคนมาถาม “ท่านอ๋อง...นี่มันเกิดเรื่องอะไรขอรับ?” ขันทีจากวังหลวงค้อมกายถามเสียงนุ่ม “อ๋องห้าลักพาตัวพระชายาของข้าไป” ชินอ๋องตอบเสียงมะนาวไม่มีน้ำ “ว้าย...ตายแล้ว...นี่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? วันนี้มิใช่อ๋องห้าแต่งพระชายาหรอกหรือ?” ชินอ๋องหงุดหงิดรำคาญ จึงให้ขันทีจากวังหลวงไปไถ่ถามเรื่องราวจากองครักษ์คนหนึ่งแทน สลัดหลุดจากขันทีจากวังหลวง ก็มาเจอมหาเสนาบดีชิวสงส่งเสียงเอะอะโวยวาย “บุตรสาวข้าอยู่ที่ไหนๆ...” ชินอ๋องพยักหน้าให้องครักษ์อีกนายหนึ่ง เอ่ยเสียงรำคาญว่า “เจ้าไปจัดการที” องครักษ์ค้อมศีรษะรับคำสั่ง แล้ววิ่งไปรับหน้ามหาเสนาบดีทันที “คุณหนูชิวอยู่ทางนี้ขอรับ” องครักษ์บอกมหาเสนาบดีแล้ว พาไปยังห้องห้องหนึ่งของตำหนักอ๋องห้า “คุณหนูชิวอยู่ในห้องนี้ขอรับ” มหาเสนาบดีได้ยินเสียงกุกกักๆ พอเปิดประตูเข้าไป ก็เห็น...ชิวมู่ตานถูกมัดมือมัดเท้ามีผ้าอุดปาก นั่งอยู่บนเตียง กำลังดิ้นรน “ทำไมพวกเจ้าทำกับบุตรสาว
เจ็ดวันต่อมา... คณะทูตของซีเซี่ยก็เดินทางกลับ พร้อมกับนำขบวนเดินทางไปอภิเษกสมรสขององค์หญิงหลี่หมิงจูไปด้วย ทางด้านอ๋องห้าได้ส่งแม่สื่อไปทาบทามสู่ขอคุณหนูชิวมู่ตาน บุตรสาวคนเล็กของมหาเสนาบดีชิวสง “ท่านเจ้าขา...บุตรเขยเช่นอ๋องห้า มิใช่จะหาได้ง่ายๆ นะเจ้าคะ” แม่สื่อจีบปากจีบคอกล่าว “อ๋องห้ารูปโฉมงามสง่า ข้าไม่เถียง แต่เขามีอนุหญิงชายมากมาย นิสัยเสเพลไม่เอาการเอางาน...ข้าเกรงว่าบุตรสาวของข้าแต่งไปแล้วต้องกลัดกลุ้มเพราะเหล่าอนุเป็นเหตุ” มหาเสนาบดีกล่าวตรงๆ ไม่อ้อมค้อม “โหะๆๆ...” ลิ้นแม่สื่อมีหรือจะจนหนทาง “คำโบราณกล่าวเอาไว้ว่า...ภรรยาที่ดีสามารถเปลี่ยนแปลงสามีได้ คุณหนูมู่ตานทั้งสวยทั้งฉลาด ย่อมสามารถชักนำให้ท่านอ๋องห้าเลิกความเคยชินเก่าก่อน ให้ท่านอ๋องห้ากลับกลายเป็นเปี่ยมล้นด้วยความสามารถและสง่าราศีได้ไม่ยาก ส่วนเรื่องอนุหญิงชายนั้น มีผู้ใดสามารถกล้าเปรียบเทียบกับคุณหนูมู่ตานเล่า คุณหนูมู่ตานจะแต่งไปเป็นพระชายาเอกนะเจ้าคะ จะให้อนุคนใดเป็นหรือตายก็ย่อมได้ อีกประการหนึ่งคุณหนูก็อายุสิบเจ็ดแล้ว รอช้านักจะกลายเป็นดอกไ
คณะทูตจากซีเซี่ยมาเยือนต้าหนาน... ฮ่องเต้ทรงอนุญาตให้ราชทูตเข้าเฝ้าในท้องพระโรง ราชทูตแห่งซีเซี่ยถวายเครื่องบรรณาการ และราชสาส์นสู่ขอองค์หญิงหมิงจูให้กับรัชทายาทซีเซี่ย ฮ่องเต้ขอเวลาพิจารณาเรื่องสู่ขอสามวัน อีกสามวันจะจัดเลี้ยงคณะทูตและให้คำตอบ อ๋องห้าไปที่ตำหนักขององค์หญิงหมิงจู เล่าเรื่องที่ราชทูตจากซีเซี่ยมาสู่ขอนางให้นางฟัง “ทำไมข้าต้องแต่งไปซีเซี่ยด้วย?” องค์หญิงหมิงจูกล่าวด้วยดวงหน้าบูดบึ้ง “เจ้าปีนี้อายุสิบเจ็ดแล้วนะ...ไม่แต่งตอนนี้ แล้วจะรอถึงเมื่อไหร่?” “ข้าไม่ได้ชอบรัชทายาทซีเซี่ยสักหน่อย” องค์หญิงตอบเสียงสะบัด “แล้วเจ้าชอบใคร?” “.....” “อย่าบอกนะว่าชอบจ้าวชิงเฟิง?” “.....” “ข้าล่ะเห็นใจเจ้าจริงๆ...คู่ยวนยาง(นกเป็ดน้ำแมนดาริน มักจะอยู่กันเป็นคู่แบบผัวเดียวเมียเดียว เป็นตัวแทนรักแท้ของชายหญิง)ที่ดี กลับถูกชินอ๋องฉกชิงไปเสียนี่” “พี่ห้า อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีก” องค์หญิงเสียงเครือ “ไม่ให้ข้าพูดออกมาบ้าง ข้าก็รู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรมแท
“ตาเฒ่าเกาชงเป็นพ่อตาของคนแซ่จ้าว” พระสนมเอกซูเฟยกัดริมฝีปากล่าง ก่อนจะกล่าวต่อ “เมื่อหลายวันก่อน ข้าเรียกคนแซ่จ้าวมาสนทนาด้วยเรื่องของมู่ตาน เขาทำท่าทางสงบเสงี่ยม แต่ก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมรับปาก ข้าจึงพูดถึงอิทธิพลอำนาจของตระกูลชิว เพื่อข่มขวัญเขา คิดไม่ถึงว่าเขาจะมารยาออดอ้อนชินอ๋องให้ไปผูกไมตรีกับตระกูลเกาเสียได้” “เช่นนี้...เรื่องที่จะให้มู่ตานเป็นพระชายารองของชินอ๋อง ดูท่าจะยากเสียแล้ว” มหาเสนาบดีถอนหายใจ “ในยามนี้บุรุษที่มีฐานะคู่ควรกับมู่ตานก็มีไม่มากนัก ชินอ๋องเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ส่วนอ๋องห้าก็เสเพลไม่ได้เรื่องได้ราว เอาแต่เสพสุขไปวันๆ” “เอาเช่นนี้สิท่านพ่อ” พระสนมเอกซูเฟยเสนอความคิด “รอดูบัณฑิตใหม่ของปีนี้ ว่าบัณฑิตทั้งสามคน ผู้ใดหน่วยก้านดี ก็เลือกคนนั้น ข้าจะขอสมรสพระราชทานให้กับมู่ตาน...ตาเฒ่าเกาชงสนับสนุนบุตรบุญธรรมของเขา ท่านพ่อก็สนับสนุนบุตรเขย...ดูซิว่า ระหว่างบุตรบุญธรรมคนเดียวของตาเฒ่าเกาชง จะสู้บุตรทั้งสองคนและบุตรเขยตระกูลชิวได้หรือไม่” “เกรงจะไม่ง่ายเช่นนั้นน่ะสิ” มหาเสนาบดีมีสีหน้าระอา “มู่ตานเอาแต่ใจ ร่ำร้องแต่จะแต่งกับชินอ๋อง ตั้
มหาอำมาตย์เกาชงมองผู้มาเยือนอย่างประหลาดใจ พอได้สติก็รีบประสานมือน้อมคำนับ “คารวะท่านอ๋องและพระชายา” “ไม่ต้องมากพิธี” ชินอ๋องกล่าว “วันนี้ข้าตั้งใจพาฟูเหรินมาเยี่ยมท่านโดยเฉพาะ” “ขออภัยที่ข้าน้อยต้อนรับบกพร่อง” มหาอำมาตย์เกาชงกล่าวพลางผายมือ “เชิญท่านอ๋องกับพระชายาเข้าไปนั่งด้านในก่อนขอรับ” เมื่อทั้งสามเข้าไปนั่งในห้องโถงรับรองของจวนมหาอำมาตย์เรียบร้อย บ่าวทาสจากจวนชินอ๋องก็นำของฝากล้ำค่ามีราคาเข้ามาสี่หาบใหญ่ มาวางไว้ในห้องโถงแห่งนั้น ของเหล่านั้นเป็นชินอ๋องสั่งให้จัดหามาทั้งสิ้น “นี่คือของกำนัลที่ฟูเหรินของข้านำมาคารวะท่านซึ่งเป็นพ่อตาของเขา” ชินอ๋องกล่าว พลางผายมือไปที่สิ่งของในหีบห่อสีแดง มหาอำมาตย์เกาชงมองมาที่จ้าวชิงเฟิงด้วยนัยน์ตาแดงระเรื่อขึ้น...อดคิดถึงบุตรสาวที่จากไปไม่ได้ จ้าวชิงเฟิงรับรู้ได้...จึงถามเสียงเบา “ท่านพ่อตา...หมู่นี้สบายดีหรือไม่?” “ดีๆ...ข้าสบายดี” “ข้าขออภัย ที่มาเยี่ยมเยียนท่านช้านัก” “มาก็ดีแล้ว...เอ้อ...พระชายา” “ท่านอย่าเรียกข้า.
พระสนมเอกซูเฟยชิวเหมยกุ้ย อายุ 22 ปี รูปร่างหน้าตาสวยงามปานภาพวาด ในความอ่อนโยนมีความสง่างาม นางต้อนรับจ้าวชิงเฟิงที่ศาลาชมอุทยาน เป็นการป้องกันการครหานินทาด้วย จ้าวชิงเฟิงประสานมือน้อมคำนับ “คารวะพระสนมเอกขอรับ” นางพยักหน้ารับการคารวะ “เชิญนั่งก่อนพระชายา” จ้าวชิงเฟิงรอให้นางนั่งลงก่อน จึงนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับนาง บนโต๊ะหินที่กั้นระหว่างคนทั้งสองมีชุดน้ำชา และจานขนมมากมายวางอยู่ “พระสนมเอกมีธุระอันใดกับข้าน้อยขอรับ?” จ้าวชิงเฟิงกล่าวถามตรงๆ พระสนมเอกหัวเราะเสียงหวาน “เรื่องไม่สลักสำคัญอะไร เพียงแค่ข้าเหงา อยากหาเพื่อนสนทนาเท่านั้น” จ้าวชิงเฟิงรู้สึกแปลกๆ กับถ้อยคำของนาง นางจะมาไม้ไหน? “นักปราชญ์กล่าว...ยิ่งสูงยิ่งหนาว...ช่างเป็นความจริงนัก” นางยกถ้วยน้ำชาที่นางกำนัลรินให้ขึ้นดื่มก่อนจะกล่าวต่อ “ฐานะยิ่งสูงส่ง ยิ่งหาเพื่อนสนทนาด้วยไม่ได้...ในเวลานี้ ผู้ที่มีฐานะเหมาะสมที่ข้าจะสนทนาด้วย ก็เห็นจะมีแต่พระชายาเท่านั้น” “.....” “ในฐานะที่เป็นภรรยาเอก ข้าต้อง
ที่หอหมื่นบัณฑิต...จ้าวชิงเฟิงได้พบกับบุคคลที่ไม่ได้คิดว่าจะได้พบ เขาคืออี้อัน วันนี้เขาแต่งกายสุภาพเรียบร้อย แม้ไม่หรูหรา แต่เนื้อผ้าดีสีเขียวหยก อี้อันมองเห็นจ้าวชิงเฟิงกับชินอ๋องก็ตรงเข้ามาประสานมือน้อมคำนับ “คารวะท่านอ๋อง คารวะพระชายา” “อืม/อืม” ชินอ๋องกับจ้าวชิงเฟิงต่างพยักหน้ารับคารวะ “คุณชายอี้อัน...มาทำอะไรที่หอหมื่นบัณฑิตนี่?” จ้าวชิงเฟิงถาม “เรียนพระชายา...ข้าน้อยมาแสดงผลงาน เพื่อฟังคำติชมของเหล่าบัณฑิตขอรับ และถือโอกาสศึกษาผลงานของผู้อื่นไปด้วยขอรับ” อี้อันกล่าวด้วยทีท่านอบน้อม “ที่แท้ท่านก็เป็นบัณฑิตผู้หนึ่ง...นับถือ ๆ” “หามิได้พระชายา...ข้าน้อยเป็นเพียงนักศึกษาต่ำต้อยคนหนึ่งเท่านั้น ที่เข้าหอหมื่นบัณฑิตนี้ได้ ล้วนอาศัยบารมีของท่านมหาอำมาตย์ช่วยส่งเสริมขอรับ” อี้อันกล่าวตามจริง... หอหมื่นบัณฑิตจะต้องเป็นบัณฑิตจึงจะเข้าเป็นสมาชิกได้ หรือมิฉะนั้นก็ต้องมีเจ้าใหญ่นายโตค้ำประกัน ยิ่งกว่านั้น การแสดงผลงานจะต้องเสียค่าเช่าพื้นที่ ซึ่งเป็นจำนวนเงินมิใช่น้อย เรื่องนี้ไม่เพียงเป็นปัญหาสำห
จ้าวชิงเฟิงถูกชินอ๋องอุ้มออกจากงานเลี้ยงไปขึ้นรถม้ากลับจวน พอถึงจวนก็ถูกอุ้มเข้าตำหนักใหญ่ “ข้าม่ายมาว ปล่อยข้า ข้าจาเดินเอง” จ้าวชิงเฟิงเอะอะโวยวายเพราะความเมา “ลูกผู้ชายอกสามศอกถูกอุ้มด้ายยางงาย...” “อกเจ้าไม่ถึงสามศอก ย่อมต้องถูกอุ้ม” ชินอ๋องเอ่ยอย่างนึกขัน “อย่าดิ้นสิฟูเหริน” พอถึงห้องนอน...ชินอ๋องก็วางจ้าวชิงเฟิงนอนลงบนเตียงอย่างเบามือ จ้าวชิงเฟิงผวาลุกขึ้น “ข้าจาอ้วก...โอ้กกกก” เจียงจ้านว่องไว คว้ากระโถนมารองรับไว้ทัน จ้าวชิงเฟิงอาเจียนจนหมดไส้หมดพุง ชินอ๋องก็ช่วยลูบหลังให้ พออาเจียนเสร็จ...จ้าวชิงเฟิงก็ผล็อยหลับไป ชินอ๋องจัดการเช็ดหน้าตาเนื้อตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้พระชายาด้วยตัวเอง เจียงจ้านจะช่วยทำให้ก็ไม่ยอม จัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว ชินอ๋องจึงให้เจียงจ้านช่วยปรนนิบัติอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าของตนเองบ้าง ก่อนเข้านอนชินอ๋องยังสั่งเจียงจ้านว่า “พรุ่งนี้เช้าจัดน้ำแกงสร่างเมาให้ฟูเหรินด้วย” “ขอรับ” เจียงจ้านรับคำ แล้วออกจากห้องไป ชินอ๋องจึงล้มตัวลงนอนเค
หลังจากมีราชโองการถอดถอนชื่อตู้จินเหลียนออกจากตำแหน่งพระชายาแห่งชินอ๋องแล้ว ลำดับชื่อในราชวงศ์ของตู้จินเหลียนก็ถูกลบทิ้ง ชื่อของจ้าวชิงเฟิงขยับขึ้นมาเป็นพระชายาชินอ๋องโดยไม่ต้องอยู่ภายใต้ชื่อของนางอีกต่อไป วันนี้...ชินอ๋องจะพาจ้าวชิงเฟิงมาร่วมงานฉลองวันพระราชสมภพขององค์ฮ่องเต้ จ้าวชิงเฟิงถูกบรรดาขันทีกับสาวใช้ช่วยกันจับแต่งตัวเสียยกใหญ่ “หยุดก่อน” จ้าวชิงเฟิงยกมือห้ามเสี่ยวหงที่กำลังจะทำอะไรสักอย่างบนดวงหน้าของเขา “เจ้าจะทำอะไร?” “ผัดแป้ง เขียนคิ้ว เติมชาด เจ้าค่ะ” “หยุดเลย...ข้าไม่ใช่สตรี” “พระชายา...” เสี่ยวชุ่ยเอ่ยแทรกขึ้น “พวกคุณชายผู้ดีมีตระกูลทั้งหลายล้วนผัดแป้งแต่งหน้ากันทั้งนั้น ไม่ปล่อยให้หน้าหมอง มันเยิ้ม มอมแมม หรอกเจ้าค่ะ” “ข้าเห็นซือหมิงก็ไม่ได้ผัดแป้งแต่งหน้า” จ้าวชิงเฟิงยกตัวอย่าง เสี่ยวชุ่ยเบะปาก “บุรุษหยาบกร้าน” “ท่านอ๋องก็ด้วย” จ้าวชิงเฟิงยังไม่ยอมแพ้ “ท่านอ๋องเป็นข้อยกเว้นเจ้าค่ะ” เสี่ยวหงกล่าว “อย่างไรเสีย...ข้าก็ไม่ยอมแต่งหน้า” จ