แสงแรกของวันสาดส่องลงบนชายหาดที่เงียบสงบ คลื่นทะเลซัดเอื่อย ๆ สัมผัสผืนทรายราวกับต้องการปลอบโยนผู้ที่ถูกพัดพามาเกยตื้น ลมยามเช้าพัดเอากลิ่นไอทะเลคละคลุ้งไปทั่ว เสียงนกนางนวลลอยล่องอยู่เบื้องบน ทว่าความเงียบสงบของเช้าวันนี้ถูกทำลายลงด้วยเสียงร้องของชายชรา
“เฮ้ย! มีคนรอดชีวิตมาเกยตื้น!”
ชาวประมงวัยกลางคนที่เดินเลาะชายหาดเพื่อเก็บหอยและเศษไม้รีบตะโกนเรียกผู้คนในหมู่บ้าน ไม่นานนัก ชาวบ้านหลายคนต่างพากันวิ่งมาตามเสียงเรียก ก่อนที่สายตาของพวกเขาจะจับจ้องไปยังร่างของผู้รอดชีวิตสามคนที่นอนแน่นิ่งอยู่บนผืนทราย
ร่างแรกเป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ผิวหนังเต็มไปด้วยบาดแผลเก่าใหม่ปะปนกัน ทว่าในมือของเขายังคงกำดาบเก่าคร่ำคร่าราวกับสัญชาตญาณสั่งให้ไม่ปล่อยมัน แม้ว่าเขาจะหมดสติไปแล้วก็ตาม ร่างที่สองคือชายวัยกลางคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของคนร่ำรวย แต่บัดนี้ฉีกขาดและเปรอะเปื้อนโคลนจนแทบจำสภาพเดิมไม่ได้ ใบหน้าของเขาซีดเซียว ดูเหมือนจะเป็นพ่อค้าหรือขุนนางจากที่ใดที่หนึ่ง ส่วนร่างสุดท้ายคือหญิงสาวในชุดกัปตันเรือ แม้เปียกโชกไปทั้งตัวและมีร่องรอยความเหนื่อยล้าบนใบหน้า แต่ท่าทางของเธอกลับดูสงบอย่างประหลาด
“รีบพาพวกเขากลับไปหมู่บ้านก่อนเถอะ!”
เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางหมู่ชาวบ้านที่พากันช่วยพยุงร่างของทั้งสามขึ้นจากหาดทราย อากาศยามเช้าเย็นเฉียบ แต่เหงื่อไหลซึมบนแผ่นหลังของคนที่ออกแรงแบกร่างหมดสติไปตามเส้นทางที่ทอดยาวเข้าสู่หมู่บ้านเล็ก ๆ ริมชายฝั่ง
ภายในกระท่อมหลังหนึ่ง หญิงชราผู้เป็นหมอประจำหมู่บ้านเริ่มต้นตรวจดูอาการของทั้งสามคน แสงจากตะเกียงส่องกระทบกับรอยแผลและร่องรอยการต่อสู้ที่ยังหลงเหลืออยู่บนร่างกายของชายหนุ่มเป็นพิเศษ
“พวกเขารอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์…” หญิงชราพึมพำขณะใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดทำความสะอาดบาดแผลของชายหนุ่มเป็นลำดับแรก “แต่พวกเขาต้องการพักผ่อน อาหาร และเวลาฟื้นตัว”
เธอมองไปยังอีกสองร่างที่ยังคงแน่นิ่งอยู่บนฟูก หญิงสาวในชุดกัปตันขยับนิ้วเล็กน้อยราวกับจิตสำนึกเริ่มกลับคืนมา ส่วนชายวัยกลางคนยังคงไร้การตอบสนอง เสียงลมหายใจของพวกเขาหนักเบาสลับกันไปตามสภาพร่างกายที่อ่อนแรงจากการเอาชีวิตรอด
ภายนอก กระแสลมทะเลยังคงพัดเอื่อย ๆ เหมือนเป็นพยานให้กับเหตุการณ์ที่ผ่านพ้นมา สัตว์ร้ายในตำนานได้ตื่นขึ้น พายุโหมกระหน่ำ เรือล่มกลางมหาสมุทร ที่ได้พรากชีวิตของผู้คนไปมากมาย ทว่าอย่างน้อยในวันนี้ มีสามคนที่รอดมาได้...พร้อมกับคำถามมากมายที่ยังไร้คำตอบ
ในความฝัน เขายืนอยู่บนซากเรือที่แตกสลาย เสียงคลื่นคำรามดังกึกก้องผสานกับเสียงลมกรรโชกที่โหยหวน พายุถาโถมใส่ทะเลอย่างบ้าคลั่ง ท้องฟ้าดำครึ้มราวกับถูกปิดตายด้วยผืนผ้าสีหมึก แรงกระแทกของคลื่นทำให้ซากเรือโยกโคลงไปมา เซลวินกัดฟันแน่น แขนทั้งสองข้างของเขากอดรัดเศษซากไม้ที่ลอยอยู่กลางมหาสมุทร—มันคือเสากระโดงเรือที่แตกหัก ชิ้นส่วนสุดท้ายที่เขายังเชื่อว่าสามารถพยุงชีวิตเขาไว้ได้
ร่างของกัปตันหญิงและพ่อค้าผู้ว่าจ้างถูกมัดไว้บนแผ่นหลังของเขา เขาเป็นคนมัดพวกเขาติดไว้กับตัวเองตอนที่ตกทะเล ตอนนี้พวกเขาหมดสติ เหลือเพียงเขาที่ยังมีสติอยู่ แต่ละคลื่นที่กระแทกเข้ามาทำให้เขารู้สึกเหมือนแผ่นหลังจะถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ น้ำหนักของพวกเขากดทับร่างเขาลงไปทุกขณะ ราวกับแบกรับภาระที่หนักมากขึ้นเรื่อยๆ แต่นั่นยังไม่ใช่สิ่งที่ทำให้จิตใจเขาแหลกสลาย
มันคือเสียง…
"ช่วยด้วย!"
เด็กหนุ่มคนนั้น… เด็กที่ขึ้นเรือมากับเขาเป็นครั้งแรก เขาอยู่ห่างออกไปเพียงแค่เอื้อมมือเดียว ดวงตาสีเข้มเบิกกว้าง มือเปียกชุ่มน้ำของเด็กคนนั้นตะเกียกตะกายพยายามไขว่คว้า
"ช่วยข้าด้วย!"
ชายหนุ่มรู้ดีว่าถ้าเพียงเขายื่นมือออกไปอีกนิด เขาอาจคว้าตัวเด็กคนนั้นไว้ได้ แต่เขาไม่สามารถปล่อยมือจากซากเรือได้ เพราะหากเขาปล่อยมือไปสักข้างล่ะก็ พวกเขาทั้งสามคนได้ถูกพลัดหายไปแน่ๆ เขาจึงนิ่งเฉยอยู่ตรงนั้น ราวกับถูกโซ่ล่องหนพันธนาการเอาไว้
ดวงตาของเด็กหนุ่มเปลี่ยนจากความหวังเป็นความสิ้นหวัง ริมฝีปากของเขาขยับ แต่ไม่มีคำพูดใดดังออกมา ก่อนที่ร่างของเขาจะจมหายไปใต้เงาของคลื่นยักษ์
เซลวินหลับตาลง ขบกรามแน่น
เสียงตะโกนของลูกเรือคนอื่นดังขึ้นอีก พวกเขากำลังถูกซัดออกไปทีละคน ทีละคน มือของเขาสั่น เขาอยากจะช่วยเหลือพวกเขาทุกคน แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถทำอะไรได้ เขาในตอนนี้ช่างดูอ่อนแอ และ ไร้พลังเหลือเกิน
"บัดซบ!"
มือทั้งสองข้างของเขาจับซากเรือไว้แน่น เลือดไหลซึมออกมาตามร่องนิ้ว น้ำทะเลเค็มแสบกัดกินไปทั่วร่าง ทุกความพยายามของเขากลับไร้ความหมาย ไม่มีความกล้าแม้แต่จะมองดูพวกเขาด้วยซ้ำ
"เซลวิน!" เสียงของลูกเรืออีกคนดังขึ้นอีก แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่เบือนหน้าหนี ทำเป็นมองไม่เห็นหรือได้ยินเสียงใดๆ ก่อนที่ร่างนั้นถูกคลื่นซัดกระแทกโดนเสากระโดงเรือที่เขาจับเอาไว้ เสียงกระดูกหักดังก้องก่อนที่ร่างนั้นจะไหลไปตามคลื่น หายลับไปใต้ผิวน้ำ
อีกคนหนึ่งพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาบนซากไม้ แต่คลื่นอีกลูกหนึ่งก็กระแทกเขาออกไป ชายหนุ่มมองเห็นสีหน้าของชายคนนั้นในวินาทีสุดท้ายได้อย่างชัดเจน—ดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและปากที่ขยับราวกับกำลังสาปแช่งเขา
เขากัดฟันแน่น นิ้วแทบจะจิกทะลุเข้าไปที่ผิวไม้ ไม่ว่าเขาจะเคยผ่านการต่อสู้มากี่ครั้ง ฝึกฝนหนักเพียงใด หรือเคยแบกรับภาระอันยิ่งใหญ่มาแค่ไหน ในคืนนี้เขาไม่มีพลังอะไรเลย
เขาทำอะไรไม่ได้เลย
เสียงคำรามของพายุค่อย ๆ จางหายไป ราวกับถูกกลืนกินโดยความเงียบงันอันเย็นยะเยือก เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ท้องทะเลอีกต่อไป
เขายืนอยู่ในโถงกว้างของคฤหาสน์หลังเก่า ม่านกำมะหยี่สีเลือดแหวกออกเพียงเล็กน้อย เผยให้เห็นดวงจันทร์ซีดเผือดที่ทอดแสงลงมาผ่านหน้าต่างกระจกสี ฝุ่นฟุ้งกระจายเมื่อเขาก้าวเดิน พื้นไม้ใต้ฝ่าเท้าของเขาดูเหมือนจะสั่นสะเทือน ราวกับกำลังหอบหายใจจากบาดแผลที่กาลเวลาทิ้งไว้ คราบเลือดแห้งกรังเป็นร่องรอยของบางสิ่งที่ไม่ควรถูกลืมเลือน
เบื้องหน้าของเขาคือภาพวาดขนาดใหญ่ของบุรุษผู้เป็นรากฐานแห่งตระกูล ใบหน้าของผู้ก่อตั้งถูกวาดขึ้นด้วยลายพู่กันที่แฝงไปด้วยความสง่างามและอำนาจ แม้เพียงเป็นภาพวาด ความเย็นเยียบจากสายตาของเขาก็แล่นผ่านผิวหนังของเซลวินจนขนลุกชัน
แต่บางอย่างผิดปกติ
ดวงตาของบุรุษในภาพเคลื่อนไหว
พวกมันจับจ้องมาที่เขาโดยตรง ไม่ใช่เพียงภาพวาดอีกต่อไป หากแต่เป็นการจ้องมองของผู้ที่มีชีวิตจริง ดวงตานั้นเต็มไปด้วยความเย็นชา... และความดูถูก
"น่าสมเพช"
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากความว่างเปล่า มันไม่ได้มาแค่เสียง แต่มีแรงกดดันอันหนักอึ้งที่ทำให้โถงทั้งห้องสั่นสะเทือน เงาในภาพวาดเริ่มไหลรินลงสู่พื้น ผสานรวมกันเป็นร่างของชายผู้หนึ่ง ก้าวเดินออกมาจากผืนผ้าใบอย่างสง่างาม ทุกย่างก้าวของเขาดูราวกับจะกระชากอากาศในห้องจนแทบไม่มีอากาศให้หายใจ
เซลวินถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
ชายผู้นั้น—บรรพบุรุษของเขาในเนื้อหนังและเลือด เกราะสีดำขลับของเขากรีดผ่านแสงจากเชิงเทียนราวกับกลืนกินมัน ดาบเล่มใหญ่ที่สะพายอยู่ด้านหลังเปล่งประกายเงียบงัน ทว่ามิใช่สิ่งเหล่านั้นที่ทำให้หัวใจของชายหนุ่มต้องบีบรัด
มันคือรอยยิ้มของเขา—รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความดูแคลน
"เจ้าคือทายาทของข้าอย่างนั้นหรือ?" เสียงของเขาหนักแน่น ทุกถ้อยคำแฝงไปด้วยพลังที่ไม่อาจโต้แย้งได้
"ข้าตั้งตระกูลนี้ขึ้นมา หวังเพียงให้เกียรติและศักดิ์ศรี รวมถึงความรุ่งโรจน์ของพวกเราถูกส่งทอดต่อไปในเรื่อยๆในอนาคต แต่ดูเจ้าในยามนี้สิ"
เขาก้าวเข้ามาใกล้อีก สายตาของเขาฉายแววเย้ยหยัน "อัศวินที่จับดาบแน่น... แต่กลับไม่มีความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความตาย"
มือของชายหนุ่มกำแน่นโดยไม่รู้ตัว จนเขาตระหนักได้ถึงสิ่งนึง ดาบเก่าที่ควรจะจมหายไปในทะเลกลับมาอยู่ในมือของเขา ความเย็นเฉียบของโลหะซึมซาบเข้าสู่ผิวหนัง ราวกับเตือนให้เขารู้ว่าไม่มีสิ่งใดหนีพ้น
"ข้าทำทุกอย่างที่ทำได้แล้ว..." เขาพึมพำ เสียงของเขาสั่นเครือ
บรรพบุรุษของเขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยื่นมือออกไป ทันใดนั้น ทุกสิ่งรอบตัวกลับเปลี่ยนไปอีกครั้ง
เสียงของทะเลคำรามก้องขึ้นจากทุกทิศ ร่างของเด็กหนุ่มที่เคยเห็นจมลงไปในความมืด ลูกเรือที่กรีดร้องขอความช่วยเหลือ มือมากมายที่เอื้อมมาหาเขา—แต่เขากลับคว้าไว้ไม่ได้ เสียงตะโกนเหล่านั้นก้องสะท้อนอยู่ในอากาศ เสียงของผู้คนที่เขาไม่อาจช่วยไว้ได้ เสียงที่ติดตรึงอยู่ในหัวใจของเขาไม่เสื่อมคลาย
"เจ้าคือสายเลือดของข้า... แต่เกียรติของตระกูลกลับถูกทำลาย เพียงเพราะเจ้าขี้ขลาดเกินกว่าที่จะสู้กับมันด้วยซ้ำ"
ความมืดเคลื่อนไหว เงาของสัตว์ร้ายในตำนานเผยร่างออกมาอีกครั้ง สูงใหญ่ราวหอคอย แสงไฟจากดวงตาของมันเหมือนจะเผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่างจนมอดไหม้ ความสิ้นหวังเกาะกุมหัวใจของเขาอย่างไม่อาจหลีกหนีอีกครั้ง
ดวงตาของบรรพบุรุษของเขาหยุดอยู่ที่เขาอีกครั้ง เยือกเย็น ไร้ความปรานี
"จงนอนต่อไปเถิด อัศวินที่ไร้ความสามารถ" เสียงของเขาดังขึ้น เสียดแทงลึกลงไปถึงกระดูก
"ต่อจากนี้ เจ้าไม่ใช่ลูกหลานของข้าอีกต่อไปแล้ว"
เขาหันหลังกลับ เดินกลับเข้าไปในภาพวาดโดยไม่สนใจเสียงร้องของชายหนุ่มที่พยายามจะยื่นมือออกไปไขว่คว้า แต่ก่อนที่ปลายนิ้วของเขาจะสัมผัสได้ถึงอะไร ทุกสิ่งรอบตัวกลับมืดลง
แล้วเขาก็สะดุ้งตื่น
ลมหายใจของเขาหอบถี่ หยาดเหงื่อเย็นเยียบไหลรินจากหน้าผากสู่ลำคอ แต่ไม่มีสิ่งใดหนาวเหน็บไปกว่าความจริงที่ตอกย้ำอยู่ในใจของเขา—
ความจริงที่ว่าเขาไร้พลังเพียงใด
เสียงกังวานของกระดิ่งทองหน้าคฤหาสน์วาเรนไฮม์ดังขึ้นท่ามกลางสายลมเย็นที่พัดผ่านสวนกุหลาบสีแดงสดชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่หน้าประตูใหญ่ ร่างกายในชุดคนรับใช้ฝึกหัดดูขัดกับท่วงท่าที่เคยสง่างามในอดีต ผมสีน้ำตาลที่เคยเรียบลื่นถูกลมพัดจนยุ่งเหยิง ใบหน้ามีร่องรอยอิดโรย จากการทำงานหนักตลอดเวลาที่ผ่านมา เสียงเข้มจากหัวหน้าคนรับใช้ดังขึ้นอย่างเย็นชา"เข้าไป อย่าให้คุณหนูแคทลีนรอนาน" พูดเสร็จ ชายคนนั้นก็เดินหายเข้าไปในมุมอาคาร เขาสูดลมหายใจลึก เตรียมตัวก่อนจะก้าวเข้าไปในคฤหาสน์ที่ครั้งนึงมันเคยเป็นของเขาเมื่อเขาเดินเข้าไปในห้องรับรองหลัก แคทลีน วาเรนไฮม์ นั่งอยู่บนเก้าอี้ผ้าไหมสีงาช้าง มือเรียวของเธอกำลังถือแก้วน้ำชาพร้อมจิบเบาๆ เธอมองเขาด้วยสายตาที่เย็นชา นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่เคยเต็มไปด้วยความห่วงใย บัดนี้กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความเฉยชาดังเช่นทุกวัน"มาสายนะ" เธอเอ่ยเสียงเรียบเขาก้มศีรษะขอโทษ "ขออภัยครับคุณแคทลีน งานเมื่อคืนใช้เวลา ทำให้ตื่นสายครับ"แคทลีนเลิกคิ้ว "งานเมื่อคืน? ก็แค่กวาดพื้นหลังงานเลี้ยง ไม่ได้ไปสู้กับอะไรสักหน่อย ทำอะไรชักช้าไปได้"เธอวางแก้วชาลงบนโต๊ะ ก่อนจะเอนหลังพิงเก้าอี้ทำท่าเห
รุ่งอรุณตอนเช้าในคฤหาสน์แสงแดดอ่อนๆลอดผ่านผ้าม่านผืนบาง หญิงสาวที่หลับไหลลืมตาตื่น เธอเริ่มต้นวันตามปกติด้วยการล้างหน้า ก่อนที่จะสวมชุดคลุมเรียบหรู แล้วเดินตรงไปที่หน้าต่างสนามฝึกด้านล่างเป็นสิ่งแรกที่เธอมองหา ดวงตาของเธอกวาดมองไปทั่วบริเวณ แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า—ไม่มีแม้แต่เงาของ อดีตคู่หมั้นของเธอเลยแม้แต่น้อยเธอยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพึมพำ“จะต้องให้ฉันพูดอีกกี่ครั้งถึงจะทำตัวดีขึ้นเนี่ย...”น้ำเสียงของเธอเจือความเหนื่อยหน่าย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นขุ่นเคืองในทันทีอดีตคู่หมั้นของเธอ ที่ครั้งนึงเคยเป็นอัศวินผู้แข็งแกร่ง เปี่ยมไปด้วยศักดิ์ศรีและความสามารถ แต่หลังจากตระกูลล่มสลาย สถานะของเขาก็ถูกลดทอนลง นับแต่นั้น เขาก็แสดงให้เห็นด้านที่เธอไม่เคยคิดว่าจะได้เห็น—ความเฉื่อยชา“เมื่อก่อนยังออกมาซ้อมอยู่ตลอดแท้ๆ หลังๆมานี้ทำตัวขี้เกียจขึ้นสิน่ะ”เธอบ่นเบาๆพลางนึกย้อนถึงช่วงแรกๆที่เขาถูกลดสถานะเลง ตอนนั้นชายหนุ่มยังคงตื่นแต่เช้ามาฝึกดาบอยู่เสมอ แต่ช่วงหลังๆมานี้... เธอแทบไม่เห็นภาพนั้นอีกแล้วเธอเดินกลับมานั่งที่โต๊ะเล็กข้างเตียง หยิบปากกาและกระดาษขึ้นมา ก่อนจะเริ่มเขียนรายการที่ตั้งใจจ
ย่านกลางเมืองหลวงในคฤหาสน์ขุนนางของตระกูลวาเลนไฮน์แสงแดดอ่อนยามสายส่องผ่านม่านหน้าต่างหรูหราในห้องรับรองส่วนตัว หญิงสาวนั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนจดหมาย ใบหน้าของเธอเรียบเฉย แต่ในแววตากลับมีประกายแห่งความกังวลซ่อนเร้น เธอเพิ่งเปิดจดหมายฉบับล่าสุดจากหัวหน้าคนรับใช้ที่ติดตามคู่หมั้นของเธอ ข่าวลือในจดหมายชวนให้หัวใจหนักอึ้ง—เขายังคงใช้ชีวิตขาดความรับผิดชอบ ไม่ยอมฝึกฝน หรือทำงานใดๆ อย่างที่ควรจะเป็นเธอวางจดหมายลง ถอนหายใจยาว ความผิดหวังแทรกซึมในใจลึกยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ภาพความทรงจำในอดีตยังแจ่มชัด เธอเคยเห็นเขาเป็นอัศวินผู้เปี่ยมด้วยศักดิ์ศรี ฝีมือดาบที่เฉียบคมและสายตาที่มุ่งมั่น วันนี้ทุกอย่างนั้นกลายเป็นเงาจางๆ คนที่เธอเคยศรัทธาดูเหมือนจะหลงทาง ไม่มีแววตาแห่งการต่อสู้เหลืออยู่เลยเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากทางเดินด้านนอก ก่อนที่ประตูจะถูกเปิดออกอย่างถือวิสาสะ องค์รัชทายาทลำดับที่สามก้าวเข้ามา รอยยิ้มเจ้าเล่ห์แต่งแต้มบนใบหน้า ดวงตาของเขามีประกายแห่งความเหนือกว่า“ท่านหญิง” เขาเรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่เจือด้วยความมั่นใจที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าอยู่ที่นี่ เลยตั้งใจมาเยี่ยม”
เสียงคลื่นกระทบเรือไม้ดังสะท้อนในความมืดของมหาสมุทร ชายหนุ่มยืนพิงราวเรือ พลางทอดสายตามองเส้นขอบฟ้าที่ลับหายไปกับแสงดาว คืนนี้เงียบสงบ เหมาะกับการรับสายลมเย็นที่พัดผ่านตอนแรกเขาตั้งใจจะอาศัยอยู่ที่ท่าเรือสักพักหนึ่ง แล้วค่อยออกเดินทางต่อ ท่าเรือนั้นเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ร้านเหล้าเสียงดัง ผู้คนเดินขวักไขว่ เหมาะกับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่แล้วคำเชิญจากพ่อค้าก็เปลี่ยนความตั้งใจของเขาพ่อค้าคนนี้เป็นคนเดียวกับที่เขาขอติดเกวียนมาด้วย เมื่อเขาได้เห็นฝีมือการต่อสู้ของชายหนุ่มในระหว่างการเดินทาง พ่อค้าจึงเสนอค่าจ้างก้อนใหญ่เพื่อให้คุ้มกันสินค้าไปยังทวีปอื่น แม้ตอนแรกจะลังเล แต่เมื่อคิดถึงค่าตอบแทน สวัสดิการที่ได้รับ แถมโอกาสเดินทางไกลที่เขาไม่เคยสัมผัส เขาจึงตอบรับข้อเสนอ"ถึงตอนแรกจะไม่ชิน ทำให้เมาเรือก็เถอะ แต่พอปรับตัวได้ มันก็ไม่เลวเลย…." เขาพึมพำกับตัวเองกลุ่มผู้คุ้มกันที่พ่อค้าจ้างมาก่อนหน้านี้ได้สลายตัว แยกย้ายออกไปแล้ว เหลือเพียงเขาและพวกอีกไม่กี่คนที่ตัดสินใจเดินทางต่อเรือลำนี้ไม่ใหญ่นัก แต่ดูแข็งแรงพอที่จะฝ่ามหาสมุทร เขาเดินสำรวจดาดฟ้าเรืออย่างละเอียดเมื่อขึ้นมาเป็นครั้งแรก ลูกเรื
เสียงคลื่นที่เคยไหลเอื่อยกลายเป็นเสียงคำรามก้องของทะเลที่บ้าคลั่ง ลมพายุพัดกระหน่ำจนใบเรือแทบขาดเป็นชิ้น เสากระโดงส่งเสียงลั่นประหนึ่งจะหักสะบั้นลงได้ทุกเมื่อ ลูกเรือบนดาดฟ้าวิ่งวุ่นพยายามยึดเชือกและควบคุมเรือไม่ให้พลิกคว่ำเม็ดฝนที่กระหน่ำลงมาเหมือนเข็มที่ทิ่มแทงผิวหนัง ท้องฟ้าสีดำทะมึนตัดกับแสงฟ้าผ่าที่วูบวาบ ทุกครั้งที่แสงปรากฏ มันเผยให้เห็นใบหน้าของลูกเรือที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความสิ้นหวัง “เร็วเข้า! ดึงเชือกให้แน่น!” กัปตันหญิงตะโกนลั่น แข่งกับเสียงฟ้าผ่าที่ดังสนั่นเป็นระยะ เธอยืนอยู่กลางดาดฟ้าพร้อมกับมือที่ชี้นำทุกคนอย่างมั่นคงขณะที่ทุกอย่างกำลังตกอยู่ในสถานการณ์วุ่ยวาย ชายหนุ่มจับราวเรือแน่นจนมือซีด ดวงตาของเขากวาดมองไปรอบๆ เห็นคลื่นยักษ์ลูกแล้วลูกเล่าพุ่งเข้าหาเรือ ดาดฟ้าที่เปียกชุ่มทำให้ทุกย่างก้าวลื่นไถลจนแทบจะยืนไม่อยู่ หัวใจของเขาเต้นรัวด้วยความตื่นตระหนก ความกลัวและความหวังถูกบีบคั้นจนแทบจะขาดอากาศหายใจ ขณะที่เรือโคลงเคลงไปตามคลื่นยักษ์ แม้จะผ่านการเดินทางมาหลายวันแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน ดวงตาของเขาสอดส่องไปยังลูกเรือคนอื่นที่พยายามอย่างสุดความสามารถ
นานมาแล้ว ในยุคสมัยที่เทพเจ้ายังปกครองเหนือทุกสิ่ง ท้องทะเลทั้งหมดเป็นอาณาเขตของสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ผู้หนึ่ง มันเป็นทั้งผู้พิทักษ์และผู้พิพากษาแห่งผืนน้ำ ชื่อของมันถูกจารึกลงในแผ่นหินโบราณ และเล่าขานด้วยความหวาดกลัว “ลีเวียธาน”ลีเวียธานคือร่างมหึมาแห่งเกลียวคลื่น ลำตัวยาวไร้ที่สิ้นสุดปกคลุมด้วยเกล็ดสีดำสนิทเหมือนค่ำคืนไร้ดวงจันทร์ ดวงตาสีทองของมันส่องประกายราวกับเพลิงแห่งเทพเจ้าที่ไม่มีวันดับ ลมหายใจของมันสร้างพายุ ลำตัวของมันสร้างคลื่นยักษ์ที่สามารถกลืนกินทั้งทวีป ไม่มีสิ่งใดหนีพ้นจากเงื้อมมือของมันตามคำสั่งของเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ลีเวียธานมีหน้าที่รักษาสมดุลของทะเล กำจัดสิ่งใดก็ตามที่อาจคุกคามความบริสุทธิ์แห่งผืนน้ำ มันเป็นทั้งผู้ปกป้องและผู้ทำลาย ท้องทะเลคืออาณาเขตของมัน และไม่มีผู้ใดกล้าล่วงล้ำแต่แล้วมนุษย์ก็สร้างเรือ ล่องเรือข้ามน่านน้ำด้วยความหยิ่งผยอง ลีเวียธานมองเห็นเรือใบเหล่านั้นเป็นดั่งสิ่งแปลกปลอมที่บุกรุกเขตแดนของมัน มันพิโรธ พายุร้ายเกิดขึ้นจากหางที่สะบัดของมัน คลื่นยักษ์พัดเรือให้แตกเป็นเสี่ยงๆ นักเดินเรือมากมายจมหายสู่ก้นสมุทรพร้อมเสียงกรีดร้องที่ไม่มีผู้ใดได้ยินเทพ
แสงแรกของวันสาดส่องลงบนชายหาดที่เงียบสงบ คลื่นทะเลซัดเอื่อย ๆ สัมผัสผืนทรายราวกับต้องการปลอบโยนผู้ที่ถูกพัดพามาเกยตื้น ลมยามเช้าพัดเอากลิ่นไอทะเลคละคลุ้งไปทั่ว เสียงนกนางนวลลอยล่องอยู่เบื้องบน ทว่าความเงียบสงบของเช้าวันนี้ถูกทำลายลงด้วยเสียงร้องของชายชรา“เฮ้ย! มีคนรอดชีวิตมาเกยตื้น!”ชาวประมงวัยกลางคนที่เดินเลาะชายหาดเพื่อเก็บหอยและเศษไม้รีบตะโกนเรียกผู้คนในหมู่บ้าน ไม่นานนัก ชาวบ้านหลายคนต่างพากันวิ่งมาตามเสียงเรียก ก่อนที่สายตาของพวกเขาจะจับจ้องไปยังร่างของผู้รอดชีวิตสามคนที่นอนแน่นิ่งอยู่บนผืนทรายร่างแรกเป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ผิวหนังเต็มไปด้วยบาดแผลเก่าใหม่ปะปนกัน ทว่าในมือของเขายังคงกำดาบเก่าคร่ำคร่าราวกับสัญชาตญาณสั่งให้ไม่ปล่อยมัน แม้ว่าเขาจะหมดสติไปแล้วก็ตาม ร่างที่สองคือชายวัยกลางคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของคนร่ำรวย แต่บัดนี้ฉีกขาดและเปรอะเปื้อนโคลนจนแทบจำสภาพเดิมไม่ได้ ใบหน้าของเขาซีดเซียว ดูเหมือนจะเป็นพ่อค้าหรือขุนนางจากที่ใดที่หนึ่ง ส่วนร่างสุดท้ายคือหญิงสาวในชุดกัปตันเรือ แม้เปียกโชกไปทั้งตัวและมีร่องรอยความเหนื่อยล้าบนใบหน้า แต่ท่าทางของเธอกลับดูสงบอย่
นานมาแล้ว ในยุคสมัยที่เทพเจ้ายังปกครองเหนือทุกสิ่ง ท้องทะเลทั้งหมดเป็นอาณาเขตของสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ผู้หนึ่ง มันเป็นทั้งผู้พิทักษ์และผู้พิพากษาแห่งผืนน้ำ ชื่อของมันถูกจารึกลงในแผ่นหินโบราณ และเล่าขานด้วยความหวาดกลัว “ลีเวียธาน”ลีเวียธานคือร่างมหึมาแห่งเกลียวคลื่น ลำตัวยาวไร้ที่สิ้นสุดปกคลุมด้วยเกล็ดสีดำสนิทเหมือนค่ำคืนไร้ดวงจันทร์ ดวงตาสีทองของมันส่องประกายราวกับเพลิงแห่งเทพเจ้าที่ไม่มีวันดับ ลมหายใจของมันสร้างพายุ ลำตัวของมันสร้างคลื่นยักษ์ที่สามารถกลืนกินทั้งทวีป ไม่มีสิ่งใดหนีพ้นจากเงื้อมมือของมันตามคำสั่งของเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ลีเวียธานมีหน้าที่รักษาสมดุลของทะเล กำจัดสิ่งใดก็ตามที่อาจคุกคามความบริสุทธิ์แห่งผืนน้ำ มันเป็นทั้งผู้ปกป้องและผู้ทำลาย ท้องทะเลคืออาณาเขตของมัน และไม่มีผู้ใดกล้าล่วงล้ำแต่แล้วมนุษย์ก็สร้างเรือ ล่องเรือข้ามน่านน้ำด้วยความหยิ่งผยอง ลีเวียธานมองเห็นเรือใบเหล่านั้นเป็นดั่งสิ่งแปลกปลอมที่บุกรุกเขตแดนของมัน มันพิโรธ พายุร้ายเกิดขึ้นจากหางที่สะบัดของมัน คลื่นยักษ์พัดเรือให้แตกเป็นเสี่ยงๆ นักเดินเรือมากมายจมหายสู่ก้นสมุทรพร้อมเสียงกรีดร้องที่ไม่มีผู้ใดได้ยินเทพ
เสียงคลื่นที่เคยไหลเอื่อยกลายเป็นเสียงคำรามก้องของทะเลที่บ้าคลั่ง ลมพายุพัดกระหน่ำจนใบเรือแทบขาดเป็นชิ้น เสากระโดงส่งเสียงลั่นประหนึ่งจะหักสะบั้นลงได้ทุกเมื่อ ลูกเรือบนดาดฟ้าวิ่งวุ่นพยายามยึดเชือกและควบคุมเรือไม่ให้พลิกคว่ำเม็ดฝนที่กระหน่ำลงมาเหมือนเข็มที่ทิ่มแทงผิวหนัง ท้องฟ้าสีดำทะมึนตัดกับแสงฟ้าผ่าที่วูบวาบ ทุกครั้งที่แสงปรากฏ มันเผยให้เห็นใบหน้าของลูกเรือที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความสิ้นหวัง “เร็วเข้า! ดึงเชือกให้แน่น!” กัปตันหญิงตะโกนลั่น แข่งกับเสียงฟ้าผ่าที่ดังสนั่นเป็นระยะ เธอยืนอยู่กลางดาดฟ้าพร้อมกับมือที่ชี้นำทุกคนอย่างมั่นคงขณะที่ทุกอย่างกำลังตกอยู่ในสถานการณ์วุ่ยวาย ชายหนุ่มจับราวเรือแน่นจนมือซีด ดวงตาของเขากวาดมองไปรอบๆ เห็นคลื่นยักษ์ลูกแล้วลูกเล่าพุ่งเข้าหาเรือ ดาดฟ้าที่เปียกชุ่มทำให้ทุกย่างก้าวลื่นไถลจนแทบจะยืนไม่อยู่ หัวใจของเขาเต้นรัวด้วยความตื่นตระหนก ความกลัวและความหวังถูกบีบคั้นจนแทบจะขาดอากาศหายใจ ขณะที่เรือโคลงเคลงไปตามคลื่นยักษ์ แม้จะผ่านการเดินทางมาหลายวันแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน ดวงตาของเขาสอดส่องไปยังลูกเรือคนอื่นที่พยายามอย่างสุดความสามารถ
เสียงคลื่นกระทบเรือไม้ดังสะท้อนในความมืดของมหาสมุทร ชายหนุ่มยืนพิงราวเรือ พลางทอดสายตามองเส้นขอบฟ้าที่ลับหายไปกับแสงดาว คืนนี้เงียบสงบ เหมาะกับการรับสายลมเย็นที่พัดผ่านตอนแรกเขาตั้งใจจะอาศัยอยู่ที่ท่าเรือสักพักหนึ่ง แล้วค่อยออกเดินทางต่อ ท่าเรือนั้นเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ร้านเหล้าเสียงดัง ผู้คนเดินขวักไขว่ เหมาะกับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่แล้วคำเชิญจากพ่อค้าก็เปลี่ยนความตั้งใจของเขาพ่อค้าคนนี้เป็นคนเดียวกับที่เขาขอติดเกวียนมาด้วย เมื่อเขาได้เห็นฝีมือการต่อสู้ของชายหนุ่มในระหว่างการเดินทาง พ่อค้าจึงเสนอค่าจ้างก้อนใหญ่เพื่อให้คุ้มกันสินค้าไปยังทวีปอื่น แม้ตอนแรกจะลังเล แต่เมื่อคิดถึงค่าตอบแทน สวัสดิการที่ได้รับ แถมโอกาสเดินทางไกลที่เขาไม่เคยสัมผัส เขาจึงตอบรับข้อเสนอ"ถึงตอนแรกจะไม่ชิน ทำให้เมาเรือก็เถอะ แต่พอปรับตัวได้ มันก็ไม่เลวเลย…." เขาพึมพำกับตัวเองกลุ่มผู้คุ้มกันที่พ่อค้าจ้างมาก่อนหน้านี้ได้สลายตัว แยกย้ายออกไปแล้ว เหลือเพียงเขาและพวกอีกไม่กี่คนที่ตัดสินใจเดินทางต่อเรือลำนี้ไม่ใหญ่นัก แต่ดูแข็งแรงพอที่จะฝ่ามหาสมุทร เขาเดินสำรวจดาดฟ้าเรืออย่างละเอียดเมื่อขึ้นมาเป็นครั้งแรก ลูกเรื
ย่านกลางเมืองหลวงในคฤหาสน์ขุนนางของตระกูลวาเลนไฮน์แสงแดดอ่อนยามสายส่องผ่านม่านหน้าต่างหรูหราในห้องรับรองส่วนตัว หญิงสาวนั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนจดหมาย ใบหน้าของเธอเรียบเฉย แต่ในแววตากลับมีประกายแห่งความกังวลซ่อนเร้น เธอเพิ่งเปิดจดหมายฉบับล่าสุดจากหัวหน้าคนรับใช้ที่ติดตามคู่หมั้นของเธอ ข่าวลือในจดหมายชวนให้หัวใจหนักอึ้ง—เขายังคงใช้ชีวิตขาดความรับผิดชอบ ไม่ยอมฝึกฝน หรือทำงานใดๆ อย่างที่ควรจะเป็นเธอวางจดหมายลง ถอนหายใจยาว ความผิดหวังแทรกซึมในใจลึกยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ภาพความทรงจำในอดีตยังแจ่มชัด เธอเคยเห็นเขาเป็นอัศวินผู้เปี่ยมด้วยศักดิ์ศรี ฝีมือดาบที่เฉียบคมและสายตาที่มุ่งมั่น วันนี้ทุกอย่างนั้นกลายเป็นเงาจางๆ คนที่เธอเคยศรัทธาดูเหมือนจะหลงทาง ไม่มีแววตาแห่งการต่อสู้เหลืออยู่เลยเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากทางเดินด้านนอก ก่อนที่ประตูจะถูกเปิดออกอย่างถือวิสาสะ องค์รัชทายาทลำดับที่สามก้าวเข้ามา รอยยิ้มเจ้าเล่ห์แต่งแต้มบนใบหน้า ดวงตาของเขามีประกายแห่งความเหนือกว่า“ท่านหญิง” เขาเรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่เจือด้วยความมั่นใจที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าอยู่ที่นี่ เลยตั้งใจมาเยี่ยม”
รุ่งอรุณตอนเช้าในคฤหาสน์แสงแดดอ่อนๆลอดผ่านผ้าม่านผืนบาง หญิงสาวที่หลับไหลลืมตาตื่น เธอเริ่มต้นวันตามปกติด้วยการล้างหน้า ก่อนที่จะสวมชุดคลุมเรียบหรู แล้วเดินตรงไปที่หน้าต่างสนามฝึกด้านล่างเป็นสิ่งแรกที่เธอมองหา ดวงตาของเธอกวาดมองไปทั่วบริเวณ แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า—ไม่มีแม้แต่เงาของ อดีตคู่หมั้นของเธอเลยแม้แต่น้อยเธอยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพึมพำ“จะต้องให้ฉันพูดอีกกี่ครั้งถึงจะทำตัวดีขึ้นเนี่ย...”น้ำเสียงของเธอเจือความเหนื่อยหน่าย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นขุ่นเคืองในทันทีอดีตคู่หมั้นของเธอ ที่ครั้งนึงเคยเป็นอัศวินผู้แข็งแกร่ง เปี่ยมไปด้วยศักดิ์ศรีและความสามารถ แต่หลังจากตระกูลล่มสลาย สถานะของเขาก็ถูกลดทอนลง นับแต่นั้น เขาก็แสดงให้เห็นด้านที่เธอไม่เคยคิดว่าจะได้เห็น—ความเฉื่อยชา“เมื่อก่อนยังออกมาซ้อมอยู่ตลอดแท้ๆ หลังๆมานี้ทำตัวขี้เกียจขึ้นสิน่ะ”เธอบ่นเบาๆพลางนึกย้อนถึงช่วงแรกๆที่เขาถูกลดสถานะเลง ตอนนั้นชายหนุ่มยังคงตื่นแต่เช้ามาฝึกดาบอยู่เสมอ แต่ช่วงหลังๆมานี้... เธอแทบไม่เห็นภาพนั้นอีกแล้วเธอเดินกลับมานั่งที่โต๊ะเล็กข้างเตียง หยิบปากกาและกระดาษขึ้นมา ก่อนจะเริ่มเขียนรายการที่ตั้งใจจ
เสียงกังวานของกระดิ่งทองหน้าคฤหาสน์วาเรนไฮม์ดังขึ้นท่ามกลางสายลมเย็นที่พัดผ่านสวนกุหลาบสีแดงสดชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่หน้าประตูใหญ่ ร่างกายในชุดคนรับใช้ฝึกหัดดูขัดกับท่วงท่าที่เคยสง่างามในอดีต ผมสีน้ำตาลที่เคยเรียบลื่นถูกลมพัดจนยุ่งเหยิง ใบหน้ามีร่องรอยอิดโรย จากการทำงานหนักตลอดเวลาที่ผ่านมา เสียงเข้มจากหัวหน้าคนรับใช้ดังขึ้นอย่างเย็นชา"เข้าไป อย่าให้คุณหนูแคทลีนรอนาน" พูดเสร็จ ชายคนนั้นก็เดินหายเข้าไปในมุมอาคาร เขาสูดลมหายใจลึก เตรียมตัวก่อนจะก้าวเข้าไปในคฤหาสน์ที่ครั้งนึงมันเคยเป็นของเขาเมื่อเขาเดินเข้าไปในห้องรับรองหลัก แคทลีน วาเรนไฮม์ นั่งอยู่บนเก้าอี้ผ้าไหมสีงาช้าง มือเรียวของเธอกำลังถือแก้วน้ำชาพร้อมจิบเบาๆ เธอมองเขาด้วยสายตาที่เย็นชา นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่เคยเต็มไปด้วยความห่วงใย บัดนี้กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความเฉยชาดังเช่นทุกวัน"มาสายนะ" เธอเอ่ยเสียงเรียบเขาก้มศีรษะขอโทษ "ขออภัยครับคุณแคทลีน งานเมื่อคืนใช้เวลา ทำให้ตื่นสายครับ"แคทลีนเลิกคิ้ว "งานเมื่อคืน? ก็แค่กวาดพื้นหลังงานเลี้ยง ไม่ได้ไปสู้กับอะไรสักหน่อย ทำอะไรชักช้าไปได้"เธอวางแก้วชาลงบนโต๊ะ ก่อนจะเอนหลังพิงเก้าอี้ทำท่าเห