ฉินซูเลิกคิ้วและถามด้วยความสงสัย “ร่างกายของเจ้าอ่อนแอเกินกว่าจะรับลมได้หรือ เจ้าเป็นถึงแม่ทัพมิใช่หรือ? เหตุใดถึงเป็นหวัดเอาได้?”ฉงชูโม่เบะปากและพึมพำ “แม่ทัพเป็นหวัดมิได้หรือไร องค์รัชทายาท ตรรกะของท่านนี่ช่างแปลกเสียจริง”“เช่นนั้นเจ้าขึ้นมานอนบนเตียงเถอะ”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ฉงชูโม่ก็รู้สึกซาบซึ้งเล็กน้อยแล้วถามโดยมิรู้ตัวว่า “แล้วท่านเล่า?”ฉินซูตอบโดยมิได้คิดว่า “ถามอะไรของเจ้า ข้าก็ต้องนอนบนเตียงเหมือนกันน่ะสิ!”“ฮึ่ม คิดจะทำอะไรมิดีแน่ ไม่มีทาง หากกล้ารังแกหม่อมฉันอีก แส้ในมือหม่อมฉันมิอ่อนข้อให้ท่านแน่”ฉงชูโม่โบกแส้ในมือของนางฉินซูกลอกตาใส่นางแล้วพูดว่า “เจ้ามันเก่ง เจ้าสูงส่ง ข้าทำดีแท้ ๆ แต่กลับถูกมองเป็นเรื่องเลว ข้าแค่ลุกขึ้นมากลางคืน แต่กลับโดนเจ้าลงไม้ลงมือ ข้าจะไปเรียกร้องอะไรกับใครได้? เจ้านี่มันจริง ๆ เลย”หลังบ่นไปมิกี่ประโยค เขาก็กลับไปนอนบนเตียงสำหรับฉงชูโม่นั้นจะนอนหรือไม่ ก็แล้วแต่นางเลยมินานหลังจากนั้นฉินซูก็หลับสนิทอีกครั้งฉงชูโม่กัดริมฝีปากสีชาด แล้วพูดอย่างดื้อรั้นว่า “หึ หม่อมฉันจะมิตกหลุมพรางของท่านแน่ ต่อให้หนาวตายก็จะมิปีนขึ้นเตียงท่านหรอก
มู่หรงเซี่ยวเทียน จักรพรรดิแห่งเป่ยเยี่ยนคำรามด้วยความโกรธ “ต้าเหยียนกล้าหาญนัก กล้าดีอย่างไรมากักขังลูกของข้า คิดว่าเป่ยเยี่ยนของข้าใครจะรังแกก็ได้ง่าย ๆ เช่นนั้นรึ!”ขุนนางคนหนึ่งรีบทูลว่า “ฝ่าบาท โปรดสงบสติอารมณ์เถิดพ่ะย่ะค่ะ ต้าเหยียนอาจเพียงต้องการใช้สิ่งนี้เป็นการบีบบังคับมิให้เราส่งกองกำลังไปโจมตีเมืองชิ่งโจวคืน ตราบใดที่เรามิทำอะไรบุ่มบ่าม จากนั้นองค์ชายห้าจะมิตกอยู่ในอันตรายแต่อย่างใดพ่ะย่ะค่ะ”“จริงพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ตราบใดที่พวกเราเป่ยเยี่ยนมิส่งกองกำลังไป องค์ชายห้าก็จะปลอดภัย”“ใต้เท้าทั้งสองพูดง่ายไปหรือไม่? ตอนนี้มันมิใช่เรื่องว่าเราจะโจมตีเมืองชิ่งโจวหรือไม่ แต่ปัญหาคือต้าเหยียนได้กักขังองค์ชายแห่งเป่ยเยี่ยนของเราไว้ นี่เป็นการยั่วยุอย่างชัดเจน! เราต้องตอบโต้!"“เจ้าพูดถูก หากเรามิทำอะไรเลย เมื่อเรื่องแพร่กระจายออกไป ราชสำนักเป่ยเยี่ยนของเราจะไปสู้หน้าใครได้”…… ในขณะนั้น เหล่าขุนนางในราชสำนักเป่ยเยี่ยนต่างก็ถกเถียงกันไปต่าง ๆ นานามู่หรงเซี่ยวเทียนเดิมทีก็โกรธมากอยู่แล้ว แต่เมื่อพวกเขาโต้เถียงกันตรงหน้าเขาก็โกรธจนต้องทุบโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืนจากบัลลังก์มังกรอย่างโกรธเ
มู่หรงเซี่ยวเทียนโบกมือแล้วพูดว่า “จื่อชิน มิต้องมากพิธี เรื่องที่องค์ชายห้าถูกกักบริเวณในแคว้นต้าเหยียน เจ้าเคยได้ยินหรือไม่?”หนานกงจื่อชินพยักหน้า “กราบทูลองค์จักรพรรดิ เรื่องนี้พวกเราที่หอดารารักษ์ได้ยินมาหมดแล้ว อาจารย์และเหล่าผู้อาวุโสต่างก็โกรธแค้นมากพ่ะย่ะค่ะ”“ดีมาก ข้าขอสั่งให้เจ้าไปยังแคว้นต้าเหยียน โดยอ้างว่าไปคารวะท่านขงจื๊อเพื่อลอบเข้าเมืองหลวงของต้าเหยียน แล้วหาโอกาสช่วยองค์ชายห้ากลับมา!”“จื่อชินรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”หนานกงจื่อชินโค้งคำนับแล้วกำลังจะถอยออกไปทันใดนั้น ขุนนางระดับสูงคนหนึ่งก็เตือนว่า “องค์จักรพรรดิ จักรพรรดิต้าเหยียนจู่ ๆ ก็เรียกเหล่าบัณฑิตทั่วแคว้นต้าเหยียนให้มารวมตัวกันที่เมืองหลงเฉิง การคารวะท่านขงจื๊อเป็นเพียงข้ออ้าง จุดประสงค์ที่แท้จริงต้องเป็นการคัดเลือกผู้มีความสามารถจากเหล่าบัณฑิตเพื่อไปเข้าร่วมการประลองทางปัญญา ในการประชุมระหว่างแคว้นในอีกมิกี่เดือนข้างหน้านี้พ่ะย่ะค่ะ!”“เจ้าเมืองโจวพูดถูก องค์ชายฉินอู๋ต้าวคงต้องคิดแผนเช่นนี้เป็นแน่ เมื่อเป็นเช่นนี้ เราต้องแสดงให้พวกเขารู้ถึงความแตกต่างระหว่างแคว้นต้าเหยียนกับแคว้นเป่ยเยี่ยนของเราพ่ะย่ะค
เขามิกล้าฝ่าฝืนคำสั่งของอาจารย์ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงฝังความรักนี้ไว้ในใจอย่างจนใจตอนนี้เขาสามารถอยู่กับมู่หรงจื่อเยียนได้ทุกวัน แม้ว่าเขาจะมิพูดอะไรออกมา แต่ในใจเขาก็มีความสุขมากแล้วส่วนอาจารย์ หากรู้ก็มิเป็นไร เพราะองค์จักรพรรดิทรงอนุญาตแล้ว ก็โทษเขามิได้ด้วยวิธีนี้ พวกเขาก็ออกเดินทางไปด้วยกัน……อีกด้านหนึ่งหลังจากที่ฉินซูและฉงชูโม่เดินทางมาครึ่งวัน พวกเขาก็หยุดพักข้างทางอย่างเหน็ดเหนื่อยฉงชูโม่เช็ดเหงื่อบนหน้าผากของนาง และขมวดคิ้ว “อากาศแปลกจริง ๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นสารทฤดูแล้ว แต่วันนี้ก็ยังร้อนอย่างทนมิได้”“มันค่อนข้างแปลก เมื่อวานนี้ตอนที่เราออกจากเมืองหลงเฉิง มันมิได้ร้อนถึงเพียงนี้”“มิไหวแล้ว พวกเราพักกันก่อนเถอะ ถึงแม้ว่าพวกเราจะทนไหว แต่สองม้านี่ทนมิไหวแล้ว ข้างหน้ามิไกลมีศาลาพอดี”ฉินซูพยักหน้าเล็กน้อย หลังจากควบม้าไปไกล เขาก็คิดว่าจะเข้าไปพักในศาลาในตอนนั้น เขาบังเอิญได้ยินเสียงน้ำไหลมาจากทางขวา จึงพูดว่า “ชูโม่ ทางนั้นมีเสียงน้ำไหล พวกเราไปดูกัน อากาศเช่นนี้ ไปคลายร้อนกันสักหน่อยเถอะ”ฉงชูโม่พยักหน้า แล้วก็ควบม้าไปตามฉินซู ไปตามทางเล็ก ๆหลังจากผ่านป่าไ
หลังจากตกลงไปในน้ำ ฉินซูรู้สึกว่าน้ำในลำธารเย็นมาก ความร้อนในสารทฤดูก็บรรเทาลงในทันที ความเหนื่อยล้าทั่วร่างกายก็หายไปด้วย เขาอดมิได้ที่จะดำดิ่งลงไปในน้ำทั้งตัวทันใดนั้นเขาก็พบว่า ฉงชูโม่ก็อยู่ใต้น้ำเช่นกัน ฉินซูยังคิดในใจว่า ฉงชูโม่มีความสุขมากกว่าเขา แช่ตัวในน้ำทั้งตัวสบายจริง ๆ แต่ในมิช้าเขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เพราะในตอนนี้สีหน้าของฉงชูโม่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดทรมาน นางโบกมือไปมาไม่หยุดแย่แล้ว ฉงชูโม่ว่ายน้ำมิเป็น!ฉินซูมิทันได้คิดอะไรมาก รีบว่ายน้ำไปโอบร่างฉงชูโม่ไว้ จากนั้นก็ถีบขาขึ้นไปบนผิวน้ำอย่างรวดเร็วจากการคาดคะเนคร่าว ๆ บ่อน้ำแห่งนี้ลึกประมาณสิบกว่าจั้ง คนที่ว่ายน้ำมิเป็นตกลงไปในนี้ถือว่าอันตรายมากครู่ต่อมา ฉินซูและฉงชูโม่ก็โผล่หัวขึ้นมาจากใต้น้ำ“แค่ก ๆ ๆ ...”ทันทีที่โผล่ขึ้นมา ฉงชูโม่ก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นก็ไออย่างรุนแรงในปากยังมีน้ำในบ่อออกมาด้วย เห็นได้ชัดว่าสำลักน้ำเข้าไปมิน้อยฉินซูถามด้วยความเป็นห่วง “เจ้ามิเป็นไรใช่หรือไม่?”เขามิพูดอะไรก็ยังดี แต่พอถามเช่นนี้ ฉงชูโม่ก็รู้สึกโกรธขึ้นมาทันทีนางทุบกำปั้นใส่ฉินซูอย่างแรง พร้อมกับบ่
ฉงชูโม่ตกใจจนร้องเสียงหลงออกมาตอนนี้อยู่ในน้ำ ต่อให้นางจะมีพลังเหนือธรรมชาติก็มิสามารถออกแรงใช้ได้เห็นปากใหญ่ของงูยักษ์กำลังจะงับลงมา ฉินซูตะโกนทันที “สูดหายใจเข้าลึก ๆ กลั้นไว้!”ฉงชูโม่ทำตามสัญชาตญาณทันทีที่นางสูดหายใจ ฉินซูก็โอบนางแล้วดำลงไปในน้ำในเวลาเดียวกัน หัวขนาดใหญ่ของงูยักษ์ก็พุ่งลงไปในน้ำตูม!!เสียงดังสนั่น น้ำกระเซ็นไปทั่ว!ฉินซูหันกลับไปมองด้านหลัง เห็นงูยักษ์บิดตัวที่ใหญ่และยาวไล่ตามมารวดเร็วอย่างมิลดละฉงชูโม่เพิ่งจะรู้ว่า งูเหลือมตัวนี้มีขนาดที่ใหญ่มาก ขนาดใหญ่กว่าต้นขาของนางเสียอีก! และดูเหมือนว่ามันจะมีความยาวอย่างน้อยสี่หรือห้าจั้ง! สตรีมีความกลัวต่อสิ่งมีชีวิตประเภทงูโดยธรรมชาติ แม้แต่ฉงชูโม่ที่แข็งแกร่งก็ไม่มีข้อยกเว้น ในเวลานี้ นางรู้สึกขนลุกไปทั่วทั้งตัว รู้สึกเหมือนมีขุมขนลุกขึ้นทั่วร่างกาย และร่างกายของนางก็สั่นโดยมิสามารถควบคุมได้ ในเวลานี้ ฉินซูกำลังอุ้มนางและใกล้จะว่ายน้ำถึงฝั่งแล้วแต่ทันใดนั้นดวงตาของฉงชูโม่ก็หดลงอีกครั้ง นางรีบตบฉินซูอย่างรวดเร็ว และชี้ไปข้างหลังมิหยุดฉินซูหันกลับไปมองโดยมิรู้ตัว และพบว่างูยักษ์ตัวนั้นได้ว่ายน้ำ
เพียงแต่ว่านางว่ายน้ำมิเป็นเลย ครั้นลงไปในน้ำก็เหวี่ยงแขนไปมา ทว่าก็ยังคงอยู่ที่เดิม มิสามารถว่ายไปได้เลยในน้ำที่ขุ่นมัว นางเห็นราง ๆ ว่าฉินซูหันกลับมามองนางอย่างคลุมเครือจากนั้นฉินซูก็ถูกงูยักษ์ลากไปไกล จนลับหายไปจากสายตาของนางฉงชูโม่ดิ้นรนอยู่ครู่หนึ่ง ก็คลำหินที่อยู่ใต้น้ำกลับไปที่ฝั่งหลังจากลุกขึ้นจากน้ำ นางมองไปรอบ ๆ ด้วยความตื่นตระหนก“องค์รัชทายาท องค์รัชทายาท... ฉินซู ฉินซู รีบออกมาเร็ว รีบออกมาสิเพคะ!”นางกลัวจนน้ำตาคลอเบ้า ฉินซูถูกงูยักษ์ลากไปใต้น้ำ ถึงแม้ว่ายน้ำเป็น แต่ก็เป็นไปมิได้ที่เขาจะทนได้นานฉงชูโม่คิดหาวิธีอย่างร้อนใจนางคิดที่จะร้องขอความช่วยเหลือ แต่ในถิ่นทุรกันดารเช่นนี้ ต่อให้นางตะโกนสุดเสียงก็คงไม่มีใครตอบรับ“ฉินซู ท่านจะตายมิได้ หากท่านตาย หม่อมฉันจะไปบอกองค์จักรพรรดิอย่างไร จะไปบอกหลินชิงเหยาอย่างไร...”ฉงชูโม่โกรธจนควบคุมอารมณ์มิอยู่ จึงยกกระบี่ในมือขึ้นแล้วฟันไปที่ผิวน้ำหลายสิบครั้งกระบี่ที่รวดเร็วและรุนแรงตกลงไปในน้ำทีละครั้ง ทำให้น้ำกระเซ็นเป็นวงกว้างนางก็มิกล้าใช้พลังทั้งหมดด้วยเช่นกัน กลัวว่าจะเผลอไปทำร้ายฉินซูเข้าในตอนนั้นเอง นางสัง
ฉินซูพูดต่อว่า “โชคดีที่เก็บกริชนี้ได้ มิเช่นนั้นข้าคงต้องกลายเป็นอาหารในท้องของเจ้ายักษ์นี่เป็นแน่”“เมื่อครู่นี้ท่านทำให้หม่อมฉันตกใจแทบแย่ หม่อมฉันคิดว่าท่าน...”“คิดว่าข้าถูกมันกินไปแล้วรึ? มิต้องห่วง ข้าหนังเหนียวมาก สัตว์ร้ายตัวนี้ทำอะไรข้ามิได้หรอก แต่ว่าเมื่อครู่นี้เจ้าร้องไห้ด้วยเหตุใดเล่า?”เห็นฉินซูพูดเรื่องที่มิควรพูด ฉงชูโม่จึงจ้องเขาด้วยความโกรธ “หม่อมฉันก็แค่คิดว่าท่านถูกงูยักษ์กินไปแล้ว หากท่านสิ้นพระชนม์ไป องค์จักรพรรดิจะทรงไว้ชีวิตหม่อมฉันหรือ? แล้วคนรักเก่าของท่านก็คงจะมาเอาเรื่องหม่อมฉันด้วย” “อ้อ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ข้ายังคิดว่า…”“ฮึ่ม ก็แค่นี้แหละ ท่านยังคิดว่าอะไรอีกเล่า?”“ไม่มีอะไร มาช่วยกันหน่อย ถลกหนังงูออก เนื้องูนี่เป็นของบำรุงชั้นดีเลย ย่างกินอร่อยกรุบเชียว!”หลังจากพูดจบ ฉินซูก็ใช้กริชตัดหัวงูเหลือมตัวใหญ่ออกอย่างมิลังเล จากนั้นก็โยนหัวงูลงไปในสระน้ำทันที แล้วเขาก็เริ่มลอกหนังงูเมื่อเห็นดังนั้น คิ้วของฉงชูโม่ก็ขมวดเล็กน้อย นางรู้สึกต้านทานในใจเล็กน้อย และรู้สึกคลื่นไส้อีกด้วยฉินซูสังเกตเห็นความผิดปกติของนาง จึงพูดอย่างประหลาดใจว่า “มิ
เมื่อเห็นชายหนุ่มชุดขาวขู่ว่าจะล้างบางค่ายป้องกันไป๋หยาง ชายอารมณ์ร้อนคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้นทันที“ลูกพี่ พวกเราสู้กับเขาเถอะ!”“นั่นสิ พวกเรามีกันตั้งหลายร้อยคน ยังจะต้องกลัวเขาอีกรึ!”“มาช่วยกันสับมันให้สิ้นเสีย!”ทุกคนต่างออกความคิดเห็นอย่างกระตือรือร้นชายหนุ่มชุดขาวมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา ขณะนั้นก็มีจิตสังหารพุ่งออกมาจากตัวเขา!เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้า หยางอวิ๋นก็รีบตะโกน “พวกเจ้าทุกคนหุบปากเดี๋ยวนี้!”เขาแอบวิตกกังวลอยู่ในใจ ชายหนุ่มชุดขาวผู้นี้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับปฐพีอย่างแท้จริง หากเขาทำให้อีกฝ่ายโมโหขึ้นมา ค่ายป้องกันไป๋หยางคงจะถูกล้างบางจนนองเลือดจริง ๆคนที่ถูกเขาตวาดใส่ก็รีบปิดปากอย่างเชื่อฟังหยางอวิ๋นยกมือคำนับไปทางชายหนุ่มและถามอย่างระมัดระวัง “ท่านจอมยุทธ ข้าขอบังอาจถามว่าในเมื่อท่านมิได้คิดจะปล้นเสบียง เหตุใดท่านจึงประสงค์ให้พวกเราทำการสังหารหมู่กองกำลังขนส่งเสบียง ท่านมีความแค้นกับพวกเขาหรือ?”“เจ้านี่พูดมากนัก!”ชายหนุ่มชุดขาวชักกระบี่ออกมาอย่างเหลืออดปราณแห่งกระบี่อันเฉียบคมรุนแรงพุ่งผ่านอากาศช่วงเวลาต่อมา ก็มีเสียงกรีดร้องดังก้องในหูของหยางอวิ๋นเมื่อทุ
เมื่อหยางอวิ๋นและคนอื่น ๆ เงยหน้าขึ้นมามองก็เห็นลูกน้องคนหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น มิรู้ว่าเป็นหรือตายที่ประตูค่ายป้องกัน ชายหนุ่มชุดขาวเดินเข้ามาโดยปิดบังใบหน้าเอาไว้คนผู้นี้ถือกระบี่ในมือและมีท่าทางหยิ่งผยองหลังจากที่ผ่านประตูเข้ามา เขาก็มองไปรอบ ๆ ด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นก็จับจ้องไปที่หยางอวิ๋นชายร่างใหญ่ที่อยู่ข้าง ๆ หยางอวิ๋นตบโต๊ะแล้วลุกขึ้นตะโกนใส่ชายหนุ่มคนนั้นด้วยความโกรธว่า “นี่! ผู้มาเยือนเป็นใคร บอกนามมาเดี๋ยวนี้!”ชายหนุ่มชุดขาวแค่นเสียงเย็นชาแล้วฟาดมือจากระยะไกลไปยังที่นั้น“ซู่!”กระแสพลังฝ่ามือที่รวดเร็วและรุนแรงม้วนพุ่งไปทางชายร่างใหญ่รูม่านตาของหยางอวิ๋นหดตัว เขารีบผลักชายร่างใหญ่ที่อยู่ข้าง ๆ ออกไปทำเอาเจ้าตัวล้มลงกับพื้นและกระแสพลังฝ่ามือนั้นก็กระทบกับเก้าอี้ที่ชายร่างใหญ่เคยนั่งหลังจากเกิดเสียงดัง ‘แคร็ก’ เก้าอี้ก็แตกเป็นชิ้น ๆ ทันทีเมื่อเห็นภาพนี้ ทุกคนในห้องรับรองก็ตกตะลึงแม้แต่สีหน้าของหยางอวิ๋นก็ยังเคร่งขรึมมากกว่าปกติเขายกมือคำนับชายหนุ่มชุดขาวพลางถามอย่างสุภาพ “ขอบังอาจถามว่าท่านผู้มีเกียรติ ท่านเป็นใคร เหตุใดจึงได้มารุกรานค่ายป้องกัน
ฉินซูมิออกความเห็นเขาเคยได้ยินเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตเช่นปีศาจภูเขา แต่มิเคยเห็นมันด้วยตาของตัวเองเมื่อได้ยินซุนเยวี่ยพูดเช่นนั้น ก็กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของเขาขณะนั้นก็มีเจ้าหน้าที่เดินเข้ามา“ทูลองค์รัชทายาท บรรจุข้าวเสร็จสิ้นแล้ว สามารถออกเดินทางได้ทุกเมื่อพ่ะย่ะค่ะ”ฉินซูพยักหน้าเบา ๆ แล้วพูดกับจี้ซิงเสียนว่า “ใต้เท้าจี้ งานปกครองเมืองเหลียงโจวข้าขอฝากไว้กับพวกท่านด้วย”“ข้าน้อยจะมิทำให้องค์รัชทายาททรงต้องผิดหวังแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”ชั่วครู่ต่อมาฉินซูนำขบวนขนส่งเสบียงไปยังประตูทิศเหนือทันทีที่มาถึงหน้าประตูก็พบว่าที่ตรงนั้นคลาคล่ำไปด้วยผู้คนเมื่อเห็นฉินซู พวกเขาทั้งหมดก็ทำความเคารพ!พวกเขาตะโกนขึ้นพร้อมกัน “ขอคารวะองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ!”ฉินซูยิ้มพลางพยักหน้าให้พวกเขา จากนั้นก็นำขบวนออกจากเมืองไปอย่างช้า ๆกู้เสวี่ยเจี้ยนหันไปมองฝูงชนและพูดแฝงความนัย “ได้รับเสียงโห่ร้องด้วยความยินดีจากราษฎรในเมืองเช่นนี้ หลังจากนี้เมื่อกลับไปยังเมืองหลงเฉิง เกรงว่ามันจะไปกระตุ้นความอิจฉาของผู้คนมากมายเข้าน่ะสิ”“เจ้าหมายถึงพวกของฉินหงรึ?”“ถูกต้องเพคะ ท่านทรงทำคุณงามความดี เมื่อ
กู้เสวี่ยเจี้ยนแค่นเสียงเบา “คนเสแสร้ง!”จากนั้นนางก็ถอนหายใจอีกครั้งและบ่นพึมพำว่า “ในความทรงจำของหม่อมฉัน อาจารย์มิเคยเข้าไปแทรกแซงการต่อสู้แย่งชิงของฝ่ายต่าง ๆ แต่คราวนี้เขากลับสั่งให้หม่อมฉันทำเรื่องเช่นนี้ เขาจะยังเป็นเจ้าสำนักหอดูดาวหลงผู้ซื่อตรงที่มิฝักใฝ่ฝ่ายใดอยู่หรือเพคะ?”“เจ้าก็คิดมากเกินไป ที่อาจารย์ของเจ้าทำเช่นนี้อาจเป็นเพราะรับสั่งของเสด็จพ่อ มิอย่างนั้นเขาก็คงจะกำชับเจ้าตั้งแต่ก่อนออกเดินทางแล้ว”"ก็จริงเพคะ..." ทันใดนั้น กู้เสวี่ยเจี้ยนก็นึกอะไรออกและพูดอย่างจริงจัง “องค์รัชทายาท ดูเหมือนว่า องค์จักรพรรดิจะทรงระแวงท่าน หม่อมฉันเกรงว่าทางเดินข้างหน้าของท่านจะมีอุปสรรคที่ยากขึ้นเรื่อย ๆ เพคะ”ฉินซูพูดอย่างมิเห็นด้วย “ทางเดินของข้ามันผ่านไปได้ง่าย ๆ ตั้งแต่เมื่อไรเล่า ก่อนหน้านี้บรรดาน้องชายทั้งหลายของข้าส่งคนมาลอบสังหารข้าหลายต่อหลายครั้ง แต่เสด็จพ่อของข้าก็มิเคยสอบสวนพวกเขาเลย ดังนั้นตอนนี้ มิว่าเสด็จพ่อจะสงสัยข้าอย่างไรข้าก็มิแปลกใจอะไรทั้งนั้น”“ท่านช่างหนักแน่นนักเพคะ”สีหน้าท่าทางของกู้เสวี่ยเจี้ยนอ่อนโยนลง นางพูดต่อ “ท่านวางพระทัยได้เพคะ หม่อมฉันจะมิสืบหายอด
ในเวลาเดียวกันณ ศาลาว่าการมณฑล ถานเหวยกับจี้ซิงเสียนและคนอื่น ๆ ยังคงจัดการดูแลงานปกครองขณะนั้นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็รีบเดินเข้ามา “ใต้เท้าถาน มีจดหมายจากสำนักขุนนางใหญ่ขอรับ”พูดจบ เขาก็ยื่นจดหมายในมือมาให้ถานเหวยรับมาเปิดอ่าน จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วทันทีเมื่อสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่าย จี้ซิงเสียนก็อดมิได้ที่จะถามว่า “ใต้เท้าถาน มีเรื่องอันใดหรือขอรับ?”“ไม่ ไม่มีอะไร แค่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ”เมื่อได้ยินเช่นนั้น จี้ซิงเสียนกับซุนเยวี่ยและคนอื่น ๆ ก็มองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่งหากเป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ทางสำนักขุนนางใหญ่จะอุตส่าห์ส่งจดหมายข้ามคืนมาเพื่ออะไร?แต่เมื่อเห็นว่าถานเหวยมิยอมพูดให้ชัดเจน พวกเขาจึงมิกล้าถามอะไรไปมากกว่านี้เกือบจะในเวลาเดียวกันกับที่ถานเหวยได้รับจดหมาย กู้เสวี่ยเจี้ยนและเซี่ยหลานก็ได้รับจดหมายเช่นกันในห้องรับรองด้านหลังของที่ว่าการมณฑล เซี่ยหลานวางจดหมายไว้ตรงหน้าฉินซู“องค์รัชทายาทดูสิเพคะ ท่านปู่ของหม่อมฉันเลอะเลือนไปแล้วจริง ๆ ถึงได้ยังไปเข้าพวกกับอ๋องฉี ซ้ำยังถามเป็นนัย ๆ มาด้วยว่าระหว่างทางพวกเราเผชิญอันตรายใด ๆ หรือไม่เห็นได้ชัดว
เถ้าแก่ดีใจมากและฉีกยิ้มกว้างจนถึงหู“กรุณารอสักครู่ขอรับ ข้าน้อยจะรีบไปเชิญแขกคนอื่น ๆ ที่มากินข้าวออกไปประเดี๋ยวนี้ขอรับ”ขณะนั้น มู่หรงจื่อเยียนก็กล่าวว่า “มิจำเป็น แค่ไปนำอาหารและเครื่องดื่มขึ้นชื่อของที่นี่มาอย่างละชุดก็พอ”เถ้าแก่พยักหน้ารัว ๆ แล้วหันหลังเดินกลับเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมการหนานกงจื่อชินขมวดคิ้วเบา “จื่อเยียน ท่านมิชอบเสียงอึกทึกนี่ เหตุใดมิไล่พวกเขาออกไปเล่า?”“ท่านพี่จื่อชิน ฉินซูมาที่เมืองเหลียงโจวได้หลายวันแล้ว พวกเราแค่มาสอบถามพวกเขาเรื่องตำแหน่งที่อยู่ของฉินซูและคนอื่น ๆ เช่นนี้พวกเราจะได้มิเปลืองแรงเปลืองเวลามากนัก”“ท่านรอบคอบใช้ได้”หลังจากนั้นทั้งสองก็หาที่นั่งตอนนี้มีแขกหลายโต๊ะนั่งอยู่ในห้องโถงของโรงเตี๊ยมขณะที่กำลังกินข้าวอยู่นั้น แขกเหล่านั้นก็พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นราวกับมิกลัวว่าจะมีใครได้ยิน“สหาย เมื่อครู่เจ้าพูดจริงหรือ องค์รัชทายาทผู้นั้นกำจัดกลุ่มขุนนางทุจริตของเฉินจางภายในคราวเดียวน่ะหรือ? ไฉนข้ามิอยากจะเชื่อเลย”“ข้าก็มิเชื่อ เฉินจางเป็นถึงผู้ว่าการมณฑล องค์รัชทายาทเพิ่งมาที่เมืองเหลียงโจวได้มิกี่วันแต่กลับปราบปรามพวกเขาได้น่
“ท่านอ๋อง ข้าน้อยคิดว่าควรจะระมัดระวังเรื่องการแพร่ข่าวให้มากพ่ะย่ะค่ะ!”เมื่อได้ยินสิ่งที่เซี่ยเหอพูด ฉินหงก็สับสนยิ่งกว่าเดิม “มันก็เป็นแค่การเผยแพร่ข่าว จำเป็นต้องระมัดระวังปานนั้นเลยรึ? หากเจ้าสามรู้เข้า ต้องหัวเราะเยาะที่ข้าขี้ขลาดแน่”เซี่ยเหอพูดอย่างจริงจัง “ท่านอ๋อง ความมิประมาททำให้ชีวิตอยู่รอดปลอดภัย การเตรียมพร้อมรับมือสิ่งเลวร้ายที่อาจเกิดขึ้นย่อมดีเสมอ เพื่อเป็นการเผื่อไว้ก่อน พวกเราหาคนภายนอกสักสองสามคนมาจัดการเรื่องนี้ หลังจากเสร็จเรื่องก็ค่อย…”พูดจบ เซี่ยเหอก็ทำท่าทางเชือดคอตัวเองแสดงความชั่วร้ายออกมาหลินซีพูดเสริม “แผนการของท่านใต้เท้าเซี่ยช่างมั่นคงและรอบคอบนัก เรียกได้ว่าไร้ที่ติเลยทีเดียว ข้าขอชื่นชม! ด้วยวิธีนี้ แม้องค์จักรพรรดิจะทรงตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียดในภายหลัง ก็คงจะสาวมามิถึงพวกเราอย่างแน่นอน”ฉินหงพยักหน้าเบา ๆ “พวกท่านก็รอบคอบใช้ได้”หลังจากนั้นเขาก็กำชับคนสนิทของตนในเรื่องนี้และสั่งให้เขาไปหาคนข้างนอกหลังจากทำตามคำแนะนำเรียบร้อยแล้ว ฉินหงก็พูดกับเซี่ยเหอ “ใต้เท้าเซี่ย ช่วงนี้เซี่ยหลานส่งจดหมายมาบ้างหรือไม่?”“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ เหตุใดจู่ ๆ ท่
หากฉินซูมีตำแหน่งมั่นคงในตำหนักบูรพา ต่อจากนี้องค์ชายคนอื่น ๆ ที่เหลือก็จะใช้ชีวิตลำบาก!เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉินหงก็ถามว่า “เสด็จพี่สาม ที่ท่านรีบร้อนมาที่นี่คาดว่าคงมีแผนตอบโต้ในใจแล้ว บอกทีว่าท่านคิดจะทำอย่างไร ขอเพียงตัดอนาคตขององค์รัชทายาทได้ ข้าก็จะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่”“ข้าได้ยินมาว่า ฉินซูจัดสรรเงินหกแสนตำลึงและเสบียงแปดพันต้านลงไปช่วยบรรเทาภัยพิบัติทางใต้โดยมิได้รับอนุญาต พวกเราอาจลองใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ดูได้”เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลินซีก็รู้ฮึกเหิมขึ้นมาทันใด “เงินหกแสนตำลึง เสบียงแปดพันต้าน ช่างเป็นจำนวนที่น่าตกใจนัก องค์รัชทายาททำนอกเหนืออำนาจที่ได้รับ การประชุมหารือในราชสำนักในเช้าวันพรุ่ง พวกเราต้องกล่าวโทษเขาให้หนัก!”“ถูกต้อง หากเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ครั้งนี้องค์รัชทายาทจะต้องเสียเปรียบอย่างแน่นอน!”ฉินหยางเหลือบมองหลินซีและเซี่ยเหอพลางยิ้มเยาะ “แม้การกระทำขององค์รัชทายาทจะค่อนข้างมิเหมาะสม แต่จุดเริ่มต้นก็คือเพื่อบรรเทาภัยพิบัติและดูแลราษฎรผู้ประสบภัย ถึงพวกเจ้าจะกล่าวโทษก็มิเป็นผล เพราะเสด็จพ่อคงจะมิทรงลงโทษเขาเพราะเรื่องนี้หรอก”หลินซีมิเข้าใจ “เหตุใด
ภายในจวนอ๋องฉี ฉินหงกำลังอยู่กับหลินซี เซี่ยเหอ และคนอื่น ๆ ในห้องประชุมเพื่อถกกันเรื่องกิจราชการทันใดนั้น บ่าวรับใช้คนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างเร่งด่วน “ท่านอ๋อง อ๋องซิ่นเสด็จมาแล้วบอกว่ามีเรื่องด่วน…” เขาพูดยังมิทันจบ ก็พลันเห็นฉินหยางสาวเท้าเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ฉินหงและคนอื่น ๆ เห็นดังนั้นก็ลุกขึ้นต้อนรับ เมื่อสังเกตเห็นฉินหยางหน้านิ่วคิ้วขมวด ฉินหงจึงซักถามว่า “เสด็จพี่สาม เหตุใดจึงดูเป็นกังวลมากเช่นนี้ เกิดเรื่องอันใดขึ้นงั้นหรือ?” “เมื่อครู่มีข่าวมาจากในวังว่ารัชทายาทได้สร้างผลงานยิ่งใหญ่ในมณฑลเหลียงโจว ขนาดที่ขุนนางอาวุโสเว่ยและเหลยเจิ้นยังชื่นชม น้องสี่และคนของเจ้ายังมิรู้เรื่องนี้งั้นหรือ?” “ว่ากระไรนะ? มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือ?!” ใบหน้าของฉินหงเต็มไปด้วยความประหลาดใจหลินซีถามอย่างสับสน “ท่านอ๋องซิ่น องค์รัชทายาทเดินทางไปมณฑลเหลียงโจวเพียงเพื่อตรวจเยี่ยมพื้นที่ภัยพิบัติเท่านั้น อย่างมากก็แค่ทำเป็นพิธี เขาจะสร้างผลงานยิ่งใหญ่ได้อย่างไร?” เซี่ยเหอเสริมว่า “นั่นสิ เขาเสกข้าวและอาหารในอากาศมิได้หรอกกระมัง?” ฉินหยางแค่นเสียงเย็นชา “หึ เจ้าก็พูดถูกนั่นแหละ แต่รัชทายา