หลังจากตกลงไปในน้ำ ฉินซูรู้สึกว่าน้ำในลำธารเย็นมาก ความร้อนในสารทฤดูก็บรรเทาลงในทันที ความเหนื่อยล้าทั่วร่างกายก็หายไปด้วย เขาอดมิได้ที่จะดำดิ่งลงไปในน้ำทั้งตัวทันใดนั้นเขาก็พบว่า ฉงชูโม่ก็อยู่ใต้น้ำเช่นกัน ฉินซูยังคิดในใจว่า ฉงชูโม่มีความสุขมากกว่าเขา แช่ตัวในน้ำทั้งตัวสบายจริง ๆ แต่ในมิช้าเขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เพราะในตอนนี้สีหน้าของฉงชูโม่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดทรมาน นางโบกมือไปมาไม่หยุดแย่แล้ว ฉงชูโม่ว่ายน้ำมิเป็น!ฉินซูมิทันได้คิดอะไรมาก รีบว่ายน้ำไปโอบร่างฉงชูโม่ไว้ จากนั้นก็ถีบขาขึ้นไปบนผิวน้ำอย่างรวดเร็วจากการคาดคะเนคร่าว ๆ บ่อน้ำแห่งนี้ลึกประมาณสิบกว่าจั้ง คนที่ว่ายน้ำมิเป็นตกลงไปในนี้ถือว่าอันตรายมากครู่ต่อมา ฉินซูและฉงชูโม่ก็โผล่หัวขึ้นมาจากใต้น้ำ“แค่ก ๆ ๆ ...”ทันทีที่โผล่ขึ้นมา ฉงชูโม่ก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นก็ไออย่างรุนแรงในปากยังมีน้ำในบ่อออกมาด้วย เห็นได้ชัดว่าสำลักน้ำเข้าไปมิน้อยฉินซูถามด้วยความเป็นห่วง “เจ้ามิเป็นไรใช่หรือไม่?”เขามิพูดอะไรก็ยังดี แต่พอถามเช่นนี้ ฉงชูโม่ก็รู้สึกโกรธขึ้นมาทันทีนางทุบกำปั้นใส่ฉินซูอย่างแรง พร้อมกับบ่
ฉงชูโม่ตกใจจนร้องเสียงหลงออกมาตอนนี้อยู่ในน้ำ ต่อให้นางจะมีพลังเหนือธรรมชาติก็มิสามารถออกแรงใช้ได้เห็นปากใหญ่ของงูยักษ์กำลังจะงับลงมา ฉินซูตะโกนทันที “สูดหายใจเข้าลึก ๆ กลั้นไว้!”ฉงชูโม่ทำตามสัญชาตญาณทันทีที่นางสูดหายใจ ฉินซูก็โอบนางแล้วดำลงไปในน้ำในเวลาเดียวกัน หัวขนาดใหญ่ของงูยักษ์ก็พุ่งลงไปในน้ำตูม!!เสียงดังสนั่น น้ำกระเซ็นไปทั่ว!ฉินซูหันกลับไปมองด้านหลัง เห็นงูยักษ์บิดตัวที่ใหญ่และยาวไล่ตามมารวดเร็วอย่างมิลดละฉงชูโม่เพิ่งจะรู้ว่า งูเหลือมตัวนี้มีขนาดที่ใหญ่มาก ขนาดใหญ่กว่าต้นขาของนางเสียอีก! และดูเหมือนว่ามันจะมีความยาวอย่างน้อยสี่หรือห้าจั้ง! สตรีมีความกลัวต่อสิ่งมีชีวิตประเภทงูโดยธรรมชาติ แม้แต่ฉงชูโม่ที่แข็งแกร่งก็ไม่มีข้อยกเว้น ในเวลานี้ นางรู้สึกขนลุกไปทั่วทั้งตัว รู้สึกเหมือนมีขุมขนลุกขึ้นทั่วร่างกาย และร่างกายของนางก็สั่นโดยมิสามารถควบคุมได้ ในเวลานี้ ฉินซูกำลังอุ้มนางและใกล้จะว่ายน้ำถึงฝั่งแล้วแต่ทันใดนั้นดวงตาของฉงชูโม่ก็หดลงอีกครั้ง นางรีบตบฉินซูอย่างรวดเร็ว และชี้ไปข้างหลังมิหยุดฉินซูหันกลับไปมองโดยมิรู้ตัว และพบว่างูยักษ์ตัวนั้นได้ว่ายน้ำ
เพียงแต่ว่านางว่ายน้ำมิเป็นเลย ครั้นลงไปในน้ำก็เหวี่ยงแขนไปมา ทว่าก็ยังคงอยู่ที่เดิม มิสามารถว่ายไปได้เลยในน้ำที่ขุ่นมัว นางเห็นราง ๆ ว่าฉินซูหันกลับมามองนางอย่างคลุมเครือจากนั้นฉินซูก็ถูกงูยักษ์ลากไปไกล จนลับหายไปจากสายตาของนางฉงชูโม่ดิ้นรนอยู่ครู่หนึ่ง ก็คลำหินที่อยู่ใต้น้ำกลับไปที่ฝั่งหลังจากลุกขึ้นจากน้ำ นางมองไปรอบ ๆ ด้วยความตื่นตระหนก“องค์รัชทายาท องค์รัชทายาท... ฉินซู ฉินซู รีบออกมาเร็ว รีบออกมาสิเพคะ!”นางกลัวจนน้ำตาคลอเบ้า ฉินซูถูกงูยักษ์ลากไปใต้น้ำ ถึงแม้ว่ายน้ำเป็น แต่ก็เป็นไปมิได้ที่เขาจะทนได้นานฉงชูโม่คิดหาวิธีอย่างร้อนใจนางคิดที่จะร้องขอความช่วยเหลือ แต่ในถิ่นทุรกันดารเช่นนี้ ต่อให้นางตะโกนสุดเสียงก็คงไม่มีใครตอบรับ“ฉินซู ท่านจะตายมิได้ หากท่านตาย หม่อมฉันจะไปบอกองค์จักรพรรดิอย่างไร จะไปบอกหลินชิงเหยาอย่างไร...”ฉงชูโม่โกรธจนควบคุมอารมณ์มิอยู่ จึงยกกระบี่ในมือขึ้นแล้วฟันไปที่ผิวน้ำหลายสิบครั้งกระบี่ที่รวดเร็วและรุนแรงตกลงไปในน้ำทีละครั้ง ทำให้น้ำกระเซ็นเป็นวงกว้างนางก็มิกล้าใช้พลังทั้งหมดด้วยเช่นกัน กลัวว่าจะเผลอไปทำร้ายฉินซูเข้าในตอนนั้นเอง นางสัง
ฉินซูพูดต่อว่า “โชคดีที่เก็บกริชนี้ได้ มิเช่นนั้นข้าคงต้องกลายเป็นอาหารในท้องของเจ้ายักษ์นี่เป็นแน่”“เมื่อครู่นี้ท่านทำให้หม่อมฉันตกใจแทบแย่ หม่อมฉันคิดว่าท่าน...”“คิดว่าข้าถูกมันกินไปแล้วรึ? มิต้องห่วง ข้าหนังเหนียวมาก สัตว์ร้ายตัวนี้ทำอะไรข้ามิได้หรอก แต่ว่าเมื่อครู่นี้เจ้าร้องไห้ด้วยเหตุใดเล่า?”เห็นฉินซูพูดเรื่องที่มิควรพูด ฉงชูโม่จึงจ้องเขาด้วยความโกรธ “หม่อมฉันก็แค่คิดว่าท่านถูกงูยักษ์กินไปแล้ว หากท่านสิ้นพระชนม์ไป องค์จักรพรรดิจะทรงไว้ชีวิตหม่อมฉันหรือ? แล้วคนรักเก่าของท่านก็คงจะมาเอาเรื่องหม่อมฉันด้วย” “อ้อ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ข้ายังคิดว่า…”“ฮึ่ม ก็แค่นี้แหละ ท่านยังคิดว่าอะไรอีกเล่า?”“ไม่มีอะไร มาช่วยกันหน่อย ถลกหนังงูออก เนื้องูนี่เป็นของบำรุงชั้นดีเลย ย่างกินอร่อยกรุบเชียว!”หลังจากพูดจบ ฉินซูก็ใช้กริชตัดหัวงูเหลือมตัวใหญ่ออกอย่างมิลังเล จากนั้นก็โยนหัวงูลงไปในสระน้ำทันที แล้วเขาก็เริ่มลอกหนังงูเมื่อเห็นดังนั้น คิ้วของฉงชูโม่ก็ขมวดเล็กน้อย นางรู้สึกต้านทานในใจเล็กน้อย และรู้สึกคลื่นไส้อีกด้วยฉินซูสังเกตเห็นความผิดปกติของนาง จึงพูดอย่างประหลาดใจว่า “มิ
ในที่สุด ฉินซูก็ถามด้วยความขุ่นเคืองว่า “ฉงชูโม่ เจ้าวางแผนต่อต้านข้าอยู่ใช่หรือไม่?”“ท่านเป็นคนบอกว่าจะมอบมันให้หม่อมฉันเอง ท่านเป็นถึงองค์รัชทายาท จะกลับคำพูดมิได้กระมัง”“ก็ได้ มอบให้เจ้าก็มอบให้เจ้า ข้าก็มิได้ใช้มันอยู่แล้ว” ฉินซูมิได้ใส่ใจนัก อาวุธเป็นสิ่งที่เขามิเดือดร้อนว่าจะมีหรือไม่มีฉงชูโม่ดีใจจนเนื้อเต้น อยากจะเก็บกริชเข้าฝักฉินซูพูดอย่างมิสบอารมณ์ว่า “ข้าบอกว่าจะมอบให้เจ้าแล้ว เจ้าจะรีบเก็บมันไปหาปะไรเล่า รีบถลกหนังงูออกมาก่อนสิ นี่เป็นของดี หากเอามาเย็บเป็นชุดเกราะ เจ้าจะได้อยู่ยงคงกระพันในสนามรบเลยทีเดียว”ฉงชูโม่คิดว่าตัวเองฟังผิด ถามด้วยความประหลาดใจว่า “องค์รัชทายาท ท่านหมายความว่า จะให้หม่อมฉันนำหนังงูนี้ไปทำชุดเกราะงั้นหรือ?”“ใช่แล้ว ดาบธรรมดามิสามารถตัดผ่านได้เลย หนังงูนี้มีการป้องกันที่แข็งแกร่งมาก เหมาะที่จะนำมาทำเป็นชุดเกราะชั้นใน เมื่อถึงตอนนั้น เวลาที่เจ้าสวมมันออกไปต่อสู้ ก็จะไม่มีอาวุธใดทำอันตรายเจ้าได้ พวกศัตรูเห็นเข้า ก็คงจะกลัวจนหนีกระเจิงไปเลย”ในใจของฉงชูโม่รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันทีนางมิเคยคิดเลยว่า ฉินซูจะใจกว้างกับนางมากถึงเพียงนี้กริชที
ฉงชูโม่มองไปยังถ้ำที่อยู่อีกฟากหนึ่งของบ่อน้ำ แล้วกล่าวเตือนว่า “หากท่านกล้าแอบดู หม่อมฉันสาบานว่าจะควักลูกตาของท่านออกมา!”หลังจากพูดจบ นางก็แกะห่อผ้าออกจากอานม้าแล้วเดินไปยังถ้ำฉินซูยังคงย่างเนื้องูต่อไปหลังจากที่ฉงชูโม่มาถึงถ้ำ นางก็จุดตะบันไฟไฟขึ้นมาจากนั้นก็สังเกตเห็นว่า ถ้ำนี้มิได้ลึกมาก และภายในก็เต็มไปด้วยผนังหินที่เรียบลื่น มองเห็นได้ชัดเจน มิต้องกังวลว่าจะมีแมงมุม หรือสัตว์เลื้อยคลานใด ๆนางมองออกไปนอกถ้ำ เห็นฉินซูยังคงย่างเนื้องูอยู่ตรงนั้น นางจึงหยิบอาภรณ์ออกมาจากห่อผ้าและเปลี่ยนชุดหลังจากเปลี่ยนเสร็จ นางกำลังจะออกไปแต่ในขณะนั้น หางตาของนางก็เหมือนจะเห็นอะไรบางอย่างดังนั้นนางจึงหันไปมองโดยมิรู้ตัว และพบว่ามีไข่ขนาดเท่ากำปั้นอยู่ในมุมของถ้ำ!“ไข่นกใหญ่ถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”ขณะที่นางกำลังประหลาดใจ นางก็เอาไข่ไปด้วยเมื่อกลับไปที่ข้าง ๆ ฉินซู นางก็พูดว่า “หม่อมฉันเจอไข่นกในถ้ำ ท่านอยากจะย่างเสวยหรือไม่?”พูดไปก็หยิบไข่ออกมาฉินซูมองดู แล้วมีความรู้สึกประหลาดใจ“ไข่นก? แถวนี้ไม่มีนกกระจอกเทศ ไข่นกใหญ่ขนาดนี้มาจากที่ใดกัน?”“นกกระจอกเทศ? นกอะไรหรือ?” ฉงชูโม
เมื่อสบตากับฉงชูโม่ ฉินซูก็รู้สึกได้ว่าเลือดในกายพลุ่งพล่านยิ่งกว่าเดิม เขาอดมิได้ที่จะโน้มใบหน้าเข้าหาใบหน้างามของอีกฝ่าย ฉงชูโม่รู้สึกหัวใจเต้นแรงขึ้น เมื่อฉินซูโน้มใบหน้าเข้ามา นางมิเพียงแต่มิหลบเลี่ยง แต่ยังเผยอปากรับเขาอีกด้วย ในชั่วพริบตา ทั้งสองก็จูบกันอย่างดูดดื่ม ฉงชูโม่โอบแขนรอบคอฉินซู และจูบเขาอย่างบ้าคลั่ง ฉินซูก็มินิ่งเฉย เขาตอบสนองนางไปพร้อมกับที่มือของเขาไล้ไปทั่วร่างกายของนาง ทั้งสองค่อย ๆ สูญเสียการควบคุม เหลือเพียงแรงกระตุ้นดิบ ๆ อยู่ในหัวเท่านั้นมินาน ฉงชูโม่ก็โอบคอฉินซู และนอนลงบนพื้นหญ้าอย่างช้า ๆ ฉินซูจูบลงไปตามลำคอที่ผิวเนียนละเอียดของนางอย่างแผ่วเบา เขาใกล้จะได้สัมผัสกับดินแดนแห่งความสุขที่บุรุษทุกคนใฝ่ฝันแต่ในตอนนั้นเอง!“ฮี้ ฮี้...”ม้าที่กำลังกินหญ้าอยู่ข้าง ๆ ก็ส่งเสียงร้องขึ้นมาในเวลาที่มิเหมาะสมฉินซูรู้สึกตัวขึ้นมาทันที!เมื่อเห็นว่าตัวเองกำลังใกล้ชิดกับฉงชูโม่ เขาก็อดมิได้ที่จะกลืนน้ำลายลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็กำลังคิดที่จะทำต่อแต่เขายังมิทันได้จูบลงไป ก็มีมือข้างหนึ่งตบเข้ามาเพียะ!ฉินซูโดนตบเข้าที่หน้าอย่างจัง!เขาเอามือ
“กลัวอะไร นี่มันบำรุงได้ดีเลยนะ หลังจากที่ข้ากินเนื้องูแล้ว ความเหนื่อยล้าทั้งร่างก็หายไปหมดเลย”“เอ่อ… ท่านพูดเช่นนั้น หม่อมฉันก็รู้สึกสบายตัวขึ้นมากเช่นกัน อีกอย่าง… อีกอย่างเหมือนกำลังภายในจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยด้วย”“ไม่หรอกกระมัง เนื้องูยังเพิ่มกำลังภายในได้อีกด้วยหรือ?” ฉินซูมองฉงชูโม่ด้วยความประหลาดใจฉงชูโม่พยักหน้าอย่างจริงจัง “จะหลอกท่านหาสิ่งใดเล่า แต่หม่อมฉันแข็งแกร่งขนาดนี้ ยังต้องหมุนเวียนลมปราณเพื่อระงับผลข้างเคียง แล้วไฉนท่านถึงมิเป็นไรเลย?”ฉินซูตอบโดยมิคิด “บางที คนที่แข็งแกร่งกว่า อาจได้รับผลกระทบที่ลึกซึ้งกว่า ตอนนี้ข้ามิเป็นอะไรเลย”ฉงชูโม่ยังคงสงสัยอยู่บ้าง แต่เมื่อคิดดูดี ๆ ก็รู้สึกว่าน่าจะเป็นเช่นนั้นในความคิดของนาง แม้ว่าฉินซูจะรู้วิทยายุทธจริง ๆ ก็มิน่าจะแข็งแกร่งกว่านางได้หากมองจะมุมที่แย่ที่สุด ถึงแม้ว่าฉินซูจะแข็งแกร่งกว่าตัวเอง ก็คงมิแข็งแกร่งไปกว่านี้มากนัก มิเช่นนั้นฉินซูคงมิโดนผลกระทบน้อยขนาดนี้เห็นฉินซูย่างเนื้อเสร็จแล้ว นางก็อยากจะกินอีกหน่อย แต่ก็กลัวว่าเลือดลมจะพลุ่งพล่านจนควบคุมมิอยู่ ได้แต่มองตาปริบ ๆ และกลืนน้ำลายเท่านั้นฉินซูมองนางด้วย
เซี่ยหลานตกใจลนลาน รีบแก้ตัวว่า “มิใช่อย่างนั้น ชูโม่ เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าจะกอดพระองค์ได้อย่างไร เจ้าก็รู้ว่าก่อนหน้านี้เขาทำกับข้าเช่นไร”ฉงชูโม่จึงนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เซี่ยหลานเคยถูกฉินซูฉีกอาภรณ์และทำให้อับอายนางจึงคลายความสงสัยในใจ “ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้นเอง จะตกใจไปไยเล่า”“หึ กล้าล้อข้ารึ ข้ามิคุยกับเจ้าแล้ว” เซี่ยหลานแสร้งทำเป็นโกรธแล้วหันหลังเดินไปฉงชูโม่เห็นดังนั้นจึงรีบตามไป “เซี่ยหลาน ข้าผิดไปแล้ว เจ้าอย่าใจน้อยนักเลย”มองดูทั้งสองคนที่ทำราวกับว่าตนเป็นอากาศธาตุ ฉินซูก็จนคำจะกล่าวโชคดีที่ในเวลานั้นหลินชิงเหยาเดินเข้ามานางคล้องแขนฉินซูพลางกล่าวด้วยความนัยลึกซึ้งว่า “องค์รัชทายาท อากาศหนาวเย็นเช่นนี้อย่าประทับอยู่ข้างนอกเลยเพคะ ข้างนอกแม้จะเย็น แต่ดีที่ตำหนักบูรพาของเรามีบ่อน้ำพุร้อน องค์รัชทายาทจะเสด็จลงไปแช่เพื่อคลายความหนาวเหน็บหรือไม่เพคะ?”“ไปสิ ไยจึงมิไป!”ฉินซูเข้าใจความหมายในทันที จึงจับมือหลินชิงเหยาแล้วรีบเข้าไปในโรงอาบน้ำอย่างใจจดใจจ่อจากนั้นเขาก็ได้รำลึกถึงความหลังกับหลินชิงเหยาอีกครั้งในขณะเดียวกันเหลยเจิ้นได้รับพระบัญชาให้มายังห้องทรงอัก
“อืม เพราะหากเป็นเช่นนั้น ก็อธิบายหลายสิ่งหลายอย่างได้”ฉงชูโม่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “คนที่สามารถสั่งการยอดฝีมือจากวังหลวงได้ ตำแหน่งของเขาต้องมิธรรมดาอย่างแน่นอน หากคนเช่นนั้นลอบให้การช่วยเหลืออ๋องฉู่ ก็อาจจะปิดบังสายตาของสำนักโหรหลวงได้จริง ๆ”ฉินซูยักไหล่อย่างจนใจ “ดูเหมือนว่าการจะสาวถึงตัวคนที่อยู่เบื้องหลังอ๋องฉู่จะเป็นเรื่องยาก”“ถูกต้องแล้วเพคะ ครั้งนี้อ๋องฉู่ก่อกบฏมิสำเร็จ ต่อไปคงต้องระมัดระวังตัวยิ่งขึ้น พวกเราคงจะจับจุดอ่อนของเขาได้ยากขึ้นด้วย” ฉงชูโม่เองก็รู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง“ช่างเถอะ พักเรื่องนี้ไว้ก่อน หากสืบสวนต่อไป เกรงว่าเสด็จพ่อจะทรงสงสัยว่าพวกเราสมคบคิดกันใส่ร้ายอ๋องฉู่”“แต่พวกเราจะปล่อยเรื่องนี้ไปเฉย ๆ หรือเพคะ? ในเมื่อที่อ๋องฉู่ตั้งใจจะก่อกบฏก็เป็นเรื่องจริง”ฉินซูกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “มิอาจปล่อยไปง่าย ๆ แน่นอน สิ่งที่เราทำได้ในยามนี้คือรอ รอให้ฉินอวี่ทำผิดพลาดอีกครั้ง ข้าเชื่อว่าเมื่อเรื่องนี้ซาลงไปแล้ว เขาจะต้องเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน เมื่อใดที่มีการเคลื่อนไหว ก็จะต้องมีพิรุธเป็นแน่”ฉงชูโม่ถามว่า “ให้หม่อมฉ้นแอบจับตาดูเขาดีหรือไม่?”
ฉินซูขมวดคิ้วกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าก็แค่คาดเดา ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด จะสอบสวนเลยได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังเป็นศิษย์เอกของท่านทั้งสิ้น หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่าจะส่งผลเสียได้”เหลยเจิ้นส่ายหน้าอย่างจนใจ กล่าวว่า “ที่แท้องค์รัชทายาทก็แค่คาดเดาไปเอง แต่ข้าน้อยบอกท่านได้เต็มปากว่า นอกจากเสวี่ยเจี้ยน โฉ่วเยวี่ยและจีอันแล้ว ข้าน้อยล้วนจับศิษย์คนอื่น ๆ ขังแยกกันไว้ในห้องลับของสำนักหอดูดาวหลวงตั้งแต่ครึ่งปีก่อน พวกเขาไม่มีรอดพ้นจากสายตาข้าน้อยได้อย่างเงียบเชียบแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”“อ้อ? ถูกท่านขังไว้หมดเลยหรือ?”ต่อมความอยากรู้อยากเห็นของฉินซูถูกกระตุ้นขึ้นมาทันที เขาถามต่อว่า “ท่านหัวหน้าโหรหลวงขังพวกเขาไว้ด้วยเหตุผลใดหรือ?”กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเหลยเจิ้นกระตุกสองสามครั้ง เขายกมือขึ้นลูบหน้าผากแล้วตอบว่า “ช่างเถิด ข้าน้อยมิกลัวองค์รัชทายาทจะหัวเราะเยาะอยู่แล้ว ศิษย์เอกของข้าน้อยแต่ละคนล้วนมีสันดานทรยศ ข้าน้อยแน่ใจว่าท่านก็พอจะรู้นิสัยใจคอของโฉ่วเยวี่ยและจีอันอยู่บ้าง ดังนั้นข้าน้อยจึงทำได้เพียงปล่อยให้พวกเขาไตร่ตรองถึงความผิดพลาดของตนเท่านั้น”“เช่นนั้น ศิษย์เอกทั้งเจ็ดคนของท
ทันทีที่เขาลงบันไดมา จีอันก็ถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า “ศิษย์พี่รอง โดนดุมาหรือไร?”“ไป ๆ ๆ หัวโขกจนปูดไปหมด เรื่องนี้ข้ายังมิได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย!”“ดูเถอะ ขี้ใจน้อยเหมือนสตรีไปได้”“นี่ เจ้าอยู่ดี ๆ มิชอบใช่หรือไม่? ข้าจะฟาดเจ้าคอยดูเถอะ!” ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยไปหาแส้ยาวมาจากไหนก็มิทราบจีอันแคะขี้มูกแล้วกล่าวอย่างมิได้ยี่หระว่า “ข้ามิกลัวเจ้าหรอก ถึงอย่างไรท่านก็สู้ข้ามิได้”“ข้า… เจ้ามันร้ายกาจ ข้ายอมแพ้!”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยหมดความอดทนใดทันที จีอันผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องหนังหนา อีกทั้งยังเก่งกาจจนน่าขนลุก สู้มิได้ เขาหลบดีกว่าพูดจบเขาก็หันหลังเดินออกไปครู่ต่อมา ฉินซูและฉงชูโม่ก็มาถึงเมื่อเห็นฉินซู จีอันก็อุทานด้วยความประหลาดใจว่า “โอ้โหแฮะ องค์รัชทายาท มิไปประกาศศักดาที่ใดหรือ ไฉนจึงมาเยือนสำนักหอดูดาวหลวงของเราได้?”ฉินซูงงงวยเล็กน้อย จึงถามกลับว่า “ตัวข้าต้องไปประกาศศักดาที่ใดเล่า? อวดอ้างกระไร?”“ท่านมิทรงทราบหรือ? ยึดครองแคว้นหนานเยวี่ยง่ายเหมือนปอกกล้วยเช่นนี้ ผลงานระดับนี้ไยมิไปประกาศให้ทั่วเล่า? หากเป็นข้าน้อย ข้าน้อยจะร้องแรกแหกกระเชอคุยโวไปสามวันสามคืนเต็ม ๆ ท่านนี่ช่าง
ชิวก่วนกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมองว่า “หาได้มีโจรผู้ร้ายบุกรุกเข้ามาไม่พ่ะย่ะค่ะ หูก่วงเซิงและพวกตายไปโดยไร้สาเหตุ ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีความผิดปกติใด ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“ว่ากระไรนะ? หูก่วงเซิงและพวกตายแล้วรึ?”ฉงชูโม่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าประหลาดใจฉินซูกล่าวอย่างมิสบอารมณ์ว่า “มิใช่แค่พวกเขา แม้แต่กองทัพส่วนตัวห้าหมื่นนายของอ๋องฉู่ก็ถูกคนช่วยออกไปแล้ว”“ว่ากระไรนะเพคะ?”ฉงชูโม่ตกตะลึงอ้าปากค้าง!เมื่อได้สติกลับมา นางก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ด้วยกำลังของอ๋องฉู่เพียงลำพัง ไม่มีทางทำเรื่องเหล่านี้ได้แน่ ดังนั้นเบื้องหลังของเขาต้องมียอดฝีมือคอยช่วยเหลือเป็นแน่เพคะ!”ฉินซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ศพของหูก่วงเซิงและพวกอยู่ที่ใด?”“ตอนนี้อยู่ที่ศาลต้าหลี่พ่ะย่ะค่ะ”“ไปดูกัน”ฉินซูกล่าวจบก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วหวังฉือเห็นเขาออกมาก็คำนับแล้วกำลังจะกล่าวทว่าฉินซูกลับพูดแทรกขึ้นก่อนว่า “ใต้เท้าหวัง ไปกันเถิด ไปศาลต้าหลี่ของท่านด้วยกัน”เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังฉือก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็รีบพยักหน้าหนึ่งชั่วยามต่อมาพวกเขาก็มาถึงศาลต้าหลี่เมื่อมองดูร่างไร้วิญญาณของหูก่วงเซิงและพวก ฉ
ฉงชูโม่พยักหน้าหนักแน่น “ถูกต้องแล้วเพคะ เรื่องนี้มิใช่แค่ข้าน้อยคนเดียวที่เห็นกับตา ทหารทั้งสามทัพหลายนายก็เห็นเช่นกัน”เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของฉินอู๋ต้าวก็มิสู้ดีขึ้นมาทันตาอดีตองค์รัชทายาทสำมะเลเทเมาบัดนี้กลับสร้างคุณงามความดีครั้งยิ่งใหญ่ อีกทั้งวรยุทธ์ก็ยังลึกล้ำเกินหยั่งถึง นี่มัน… เกินความคาดหมายของเขาไปมาก!ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาคิดว่าเบื้องหลังฉินซูต้องมียอดฝีมือคอยชี้แนะแต่จากที่เห็นในเวลานี้ ยอดฝีมือที่ว่านั้น แท้จริงแล้วก็คือฉินซูเองกล่าวคือ ฉินซูมิเพียงแต่มีกลยุทธ์ที่เหนือชั้น แต่วรยุทธ์ก็ยังก้าวเข้าสู่ระดับที่น่าตกตะลึงซ้ำร้ายฉินซูยังจงใจปิดบังวรยุทธ์ของตนอีกด้วย!เมื่อรวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน ความระแวงที่ฉินอู๋ต้าวมีต่อฉินซูก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อเห็นฉินอู๋ต้าวนิ่งอึ้งไป ฉงชูโม่ก็กล่าวต่ออย่างมีนัยแฝงว่า “ฝ่าบาท ข่าวลือเรื่ององค์รัชทายาททรงทักษะยอดเยี่ยม เกรงว่าอีกมินานคงจะแพร่สะพัดไปทั่วหลงเฉิงเพคะแต่ก็ดีเหมือนกันเพคะ เหล่าคนชั่วที่คิดจะลอบสังหารองค์รัชทายาทจะได้ประมาณตนก่อนจะลงมือ เช่นนี้แล้ว ก็จะได้มิต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยขององค์รัชทายาทให้มา
สวี่จิ้นเสนาบดีกรมโยธาธิการกล่าวว่า “องค์รัชทายาท พระองค์ได้นำหนานเยวี่ยทั้งเจ็ดมณฑลสามสิบแปดเมืองมาอยู่ภายใต้ต้าเหยียนของเรา คุณูปการอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ สมควรได้รับการประทานเครื่องยศเก้าประการแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ฉินซูส่ายหน้าเล็กน้อย “ใต้เท้าสวี่ ท่านกล่าวผิดแล้ว มีคำกล่าวว่า ใต้หล้าไพศาลล้วนเป็นแผ่นดินขององค์จักรพรรดิ บนแผ่นดินนี้ล้วนเป็นข้ารองพระบาทขององค์จักรพรรดิ ข้าในฐานะองค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน ย่อมถือเอาความผาสุกของราษฎรเป็นภารกิจของตน ทุกสิ่งที่ทำล้วนเป็นหน้าที่”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉินซูก็ประสานมือคำนับฉินอู๋ต้าวอีกครั้ง “เสด็จพ่อ ดังนั้นรางวัลอันยิ่งใหญ่อย่างเครื่องยศเก้าประการนี้ลูกมิกล้ารับไว้จริง ๆ หวังว่าเสด็จพ่อจะทรงเข้าพระทัยพ่ะย่ะค่ะ!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น เหล่าขุนนางระดับสูงก็อุทานด้วยความประหลาดใจอีกครั้งรางวัลอันยิ่งใหญ่เช่นเครื่องยศเก้าประการนี้ องค์รัชทายาทกลับปฏิเสธจริง ๆ หรือ?ต้องเท้าความว่า หากฉินซูในฐานะเป็นองค์รัชทายาทรับรางวัลนี้ ในภายภาคหน้า สถานะความสำคัญของเขาในสายตาของขุนนางและราษฎรแห่งต้าเหยียนก็แทบจะเทียบเท่ากับฉินอู๋ต้าวผู้เป็นองค์จักรพรรดิได้เลยทีเ
ฉงชูโม่กำลังจะกล่าวต่อ แต่กลับสังเกตเห็นว่าฉินซูกำลังส่ายหน้าให้นางเล็กน้อยเมื่อเห็นดังนั้น คิ้วเรียวก็ขมวดเล็กน้อยด้วยความสงสัยจากนั้นเสียงของฉินซูก็ดังขึ้นในหูของนาง “สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว หลักฐานสำคัญหายไป”ฉินซูใช้วิชาแห่งกระแสจิต ดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตได้นอกจากฉงชูโม่เมื่อได้ยินถ้อยคำของฉินซู แววตาของฉงชูโม่ก็พลันไหววูบ จากนั้นจึงกล่าวกับฉินอู๋ต้าวว่า “ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยไม่มีสิ่งใดจะกล่าวทูลแล้วเพคะ”เมื่อเห็นเช่นนั้น ฉินอู๋ต้าวก็มองฉงชูโม่ด้วยความสงสัยผาดหนึ่งแล้วหันไปมองฉินซูแทน“องค์รัชทายาท รายงานเรื่องคลังหลวงของหนานเยวี่ยหน่อยซิ”“ลูกน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”ฉินซูประสานมือแล้วพูดต่อ “ทูลเสด็จพ่อ ในการตรวจค้นคลังหลวงของหนานเยวี่ยครั้งนี้ ลูกพบผ้าไหมแพรพรรณสูงค่ามากมายนับมิถ้วน เงินแท้รวมทั้งสิ้นสิบสามล้านกว่าตำลึง ทองคำสองล้านตำลึง เสบียงอาหารก็มีมากถึงเกือบแสนต้านพ่ะย่ะค่ะ”“ลูกได้จัดสรรเงินจำนวนหนึ่งล้านตำลึงจากทั้งหมดในพระนามของเสด็จพ่อ เพื่อใช้เป็นรางวัลแก่ทหารทั้งสามทัพ ส่วนพืชพรรณธัญหารก็ได้สั่งให้คนนำกลับไปเก็บไว้ที่เจียวโจวแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ยังมีอีกเรื่
ฉินอู๋ต้าวผงกศีรษะให้ฉินอวี่เล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “อ๋องฉู่ ในเมื่อชูโม่เข้าใจตัวเจ้าผิดไป เจ้าก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดอีกครั้งเถิด”“ลูกรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”ฉินอวี่ประสานมือคำนับ แล้วกล่าวช้า ๆ ว่า “ชูโม่ ตอนที่ลงใต้ไปยังเจียวโจว ยามนั้นข้าประมาทเลินเล่อ ถูกคนสนิทขโมยตราประจำตัวไป ภายหลังจึงได้ทราบว่าเจ้าคนสารเลวนั่นถูกเติ้งหม่างซื้อตัวไปนานแล้วแม้แต่หูก่วงเซิงและคนอื่น ๆ ก็ยังแปรพักตร์ไปเข้าข้างหนานเยวี่ย กว่าข้าจะรู้ตัวทัพหนานเยวี่ยก็บุกเข้าประตูเมืองเจียวโจวแล้วด้วยความจำเป็น ข้าจึงต้องถอยกลับมาก่อน จากนั้นก็เดินทางทั้งวันทั้งคืน เมื่อกลับมาถึงหลงเฉิงก็รีบทูลเรื่องนี้ให้เสด็จพ่อทรงทราบในทันที”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉงชูโม่ก็แค่นยิ้มหยันทันที “ท่านอ๋องฉู่ ท่านทรงคิดว่าแค่โยนความผิดทั้งหมดไปให้คนสนิทขอท่านแล้วเรื่องก็จะจบลงง่าย ๆ เช่นนั้นหรือ?”ฉินอวี่โต้กลับว่า “สิ่งที่ตัวข้าพูดมาทั้งหมดเป็นความจริง จะเรียกว่าโยนความผิดได้อย่างไร?”ฉงชูโม่มิได้โต้เถียงกับเขาต่อ แต่หันไปกล่าวกับฉินอู๋ต้าวว่า “ฝ่าบาท ที่ทะเลตงไห่ ท่านอ๋องฉู่...”ยังมิทันที่นางจะพูดจบ ขันทีน้อยคนหนึ่งก็วิ่งเข้าม