ชายร่างใหญ่พูดอย่างหยิ่งผยองว่า “เช่นนั้นก็ฟังให้ดี พวกเราคือห้าผู้กล้าแห่งเขาวู่ซาน คนนี้คือพี่ใหญ่ของเรา ตงฟางไป๋ ฉายาในยุทธภพคือมังกรข้ามแม่น้ำ! ส่วนข้า คือเศียรเสือดาว ตงฟางโซ่ว!”ฉินซูมองพวกเขาด้วยสายตาแปลก ๆ แล้วพึมพำว่า “ห้าผู้กล้าแห่งเขาวู่ซานอะไรกัน มิเคยได้ยินมาก่อนเลย!”ตงฟางโซ่วโกรธจนแทบคลั่ง ตะโกนว่า “นั่นเพราะเจ้าโง่เขลา! พูดมากหาปะไร มิอยากมีเรื่องก็รีบไสหัวไป มิเช่นนั้นอย่าหาว่าพวกข้ามิเตือน!”ชายร่างใหญ่ข้าง ๆ เขาตะโกนเสียงดังว่า “พี่รอง จะไปเสียเวลากับพวกมันด้วยเหตุใดเล่า รีบไปล่อเจ้าเดรัจฉานนั่นออกมา พวกเขามิไป ก็ปล่อยให้เป็นอาหารของเจ้าเดรัจฉานนั่นซะ”“ใช่ พวกเรายังสามารถฉวยโอกาสตอนที่เจ้าเดรัจฉานนั่นกำลังกินเจ้านี่อยู่ แอบเข้าไปโจมตีมันจากด้านหลังได้... เอ๊ะ? นั่นอะไรน่ะ?”อีกคนพูดพลางมองไปทางด้านหลังของฉินซูโดยมิตั้งใจ แล้วก็สังเกตเห็นชิ้นเนื้อยาว ๆ ที่นอนอยู่ด้านหลังเขาเมื่อคนอื่น ๆ ได้ยินดังนั้น ต่างก็หันไปมองตามทิศทางที่เขาชี้“เอ๊ะ?! นั่นดูเหมือน... เนื้องูหรือเปล่า?”“เนื้องูจริง ๆ ด้วย เจ้าดูสิ ตรงนั้นที่ตากไว้นั่นมิใช่หนังงูหรอกรึ!”“หนังงูสีทอง?!
“ข้ามิได้ตาบอด หญิงงามเช่นนี้ข้าจะมองมิเห็นได้อย่างไร!”ตงฟางไป๋บ่นพึมพำ แล้วหันไปยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ฉินซู “เจ้าหนุ่ม ข้าเปลี่ยนใจแล้ว มิต้องจ่ายเงินชดเชยก็ได้ ข้าจะเอาหญิงงามผู้นี้!”ฉินซูยกนิ้วโป้งให้เขา “เจ้าตัวใหญ่ เจ้ายังถือว่าใจดีอยู่นะ หากเป็นโจรป่าคนอื่น คงจะเลือกเอาทั้งเงินทั้งหญิงงามไปแล้ว”ตงฟางไป๋โบกมืออย่างองอาจ “พวกเราห้าผู้กล้าแห่งเขาวู่ซาน มิเหมือนโจรป่าพวกนั้นหรอก เจ้าฆ่างูยักษ์อำพันของเรา เอาหญิงงามผู้นี้มาชดใช้ก็พอดีแล้ว เจ้าไม่มีปัญหาอะไรใช่หรือไม่?”“แน่นอน ข้าไม่มีปัญหา แต่นางจะมีปัญหาหรือไม่ ข้ามิรับประกัน”“หึหึ หญิงคนหนึ่ง นางจะกล้ามีปัญหาอะไร!”ตงฟางไป๋ยิ้มกว้าง แล้วเดินอาด ๆ ไปหาฉงชูโม่ฉงชูโม่ยืนกอดอก ยิ้มหวานให้เขาหลังจากเห็นรอยยิ้มที่น่าหลงใหลของฉงชูโม่ เขาก็ลืมแม้กระทั่งว่าพ่อของเขาชื่ออะไรไปแล้วเขาถูมือด้วยความตื่นเต้น และพูดด้วยสายตาเป็นประกายว่า “แม่นาง ต่อจากนี้ไปเจ้าจะเป็นหญิงของข้า ตงฟางไป๋ ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปใช้ชีวิตอิ่มหนำสำราญ!”ฉงชูโม่ถามด้วยรอยยิ้ม “เมื่อครู่ เจ้าบอกว่างูยักษ์อำพันตัวนั้นมีค่าแปดร้อยตำลึงใช่หรือไม่?”“ใช่ ๆ ๆ”“เ
เห็นบรรยากาศตึงเครียด ฉินซูจึงโบกมือไปทางพวกเขา“นี่ ข้าว่าพวกเจ้าผู้กล้าทั้งห้ามิควรชักดาบขู่ผู้หญิงเลย มิเช่นนั้นเอาอย่างนี้ดีหรือไม่ พวกเรามาต่อสู้กันอย่างลูกผู้ชาย เป็นอย่างไร?”ได้ยินดังนั้น ตงฟางไป๋เลิกคิ้วเย้ยหยัน “พูดเยี่ยงนี้ หมายความว่าเจ้าจะสู้กับพวกเราคนเดียวงั้นรึ?”“หามิได้ ๆ การประลองฝีมือ มิจำเป็นต้องใช้ดาบหรือกระบี่เสมอไป เยี่ยงนั้นจะทำลายมิตรภาพอันดีของเราเสียเปล่า”ฉงชูโม่มิเข้าใจว่าฉินซูต้องการทำอะไร แต่นางก็มิได้ให้ความสำคัญกับห้าผู้กล้าแห่งเขาวู่ซานพวกนี้อยู่แล้ว จึงพูดอย่างดูถูกว่า “มิต้องยุ่งยากปานนั้นหรอก พวกเขาอยากจะลงมือ ข้าก็จะซัดพวกเขาให้น่วมไปเลย”ทันใดนั้น ตงฟางโซ่วก็คิดอะไรบางอย่างออก เขาจึงกระซิบกับตงฟางไป๋ว่า “พี่ใหญ่ งูยักษ์อำพันแข็งแกร่งมาก ครั้งที่แล้วพวกเราหลายคนร่วมมือกันยังทำอะไรมันมิได้ ตอนนี้มันกลับถูกคนสองคนนี้ฆ่า แสดงว่าทั้งสองคนนี้ต้องมีความสามารถมิธรรมดา แทนที่จะสู้กันซึ่งหน้า สู้ไปฟังว่าเจ้าเด็กนั่นอยากจะประลองแบบไหนดีกว่า!”ตงฟางไป๋พยักหน้าเล็กน้อย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า “แม่นาง มิใช่ว่าพวกเราพี่น้องกลัวเจ้าหรอกนะ แต่พวกเรากลัวว
ตงฟางไป๋และเหล่าสหายดีใจมาก จึงลุกขึ้นจะไปพาฉงชูโม่ไปด้วยแต่ในเวลานี้ สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน รู้สึกเลือดในร่างกายพลุ่งพล่าน รูม่านตาและจมูกราวกับจะพ่นไฟออกมา!“พี่… พี่ใหญ่ ข้า… ข้าร้อนเหลือเกิน…”“ข้าก็ร้อน อืม… แม่หม้ายหวัง เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” ตงฟางโซ่วพูดพลางโอบกอดตงฟางไป๋ตงฟางไป๋พึมพำด้วยใบหน้าแดงก่ำว่า “แม่นาง เจ้าเป็นของข้าแล้ว!”จากนั้น ชายฉกรรจ์สองคนก็กอดกันและจูบกันคนอื่น ๆ ก็โอบกอดกันและทำสิ่งเดียวกัน“อุก…”เมื่อเห็นฉากที่แสบตานี้ ฉงชูโม่รู้สึกอยากจะอาเจียน และอดมิได้ที่จะพึมพำว่า “องค์รัชทายาท ท่านช่างมีแผนการที่แย่เสียจริง”ฉินซูหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดว่า “ข้าเรียกสิ่งนี้ว่า สุภาพบุรุษใช้ปากมิใช้มือ! เอาเถอะ เก็บของแล้วไปกันต่อเถอะ”มินานนัก พวกเขาก็ออกจากที่นี่ไปหลังจากกลับมาที่ถนนหลวง ฉงชูโม่ถามด้วยความสับสน “องค์รัชทายาท หม่อมฉันสามารถจัดการพวกเขาได้อย่างง่ายดาย เหตุใดท่านถึงต้องทำเรื่องที่มิจำเป็นด้วยเล่า?”ฉินซูอธิบายอย่างมีความหมายว่า “ปล่อยให้มีที่ว่างไว้บ้าง ในภายหน้าจะได้เจอกันได้ นี่คือยุทธภพ!”“ท่านให้พวกเขากอดกันและจูบกัน
อีกครั้งที่ยามพลบค่ำมาเยือนหลังจากเดินทางอย่างเหน็ดเหนื่อยมาครึ่งวัน ฉินซูและฉงชูโม่ก็มาถึงเมืองเล็ก ๆ ที่ชื่อว่าหยางซานทั้งสองกำลังจะเข้าไปในเมืองเพื่อหาโรงเตี๊ยมพักทันใดนั้น กลุ่มคนก็วิ่งออกมาจากป่าข้างทาง!ผู้นำเป็นชายวัยสี่สิบกว่าสวมชุดดำเขาถือกระบี่ยาวไว้ในอ้อมแขน เหลือบมองฉินซู แล้วพูดด้วยรอยยิ้มแปลกๆ ว่า “องค์รัชทายาท ในที่สุดท่านก็มาถึง ทำให้พวกเราต้องรอนานจริง ๆ!”ฉินซูมองเขาอย่างพิจารณา แล้วถามด้วยความสงสัย “พวกเจ้าเป็นคนของใคร? อ๋องฉีหรืออ๋องจิ้น?”ชายชุดดำหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดว่า “องค์รัชทายาท ท่านคิดว่ากระหม่อมจะโง่ขนาดบอกคำตอบให้ท่านงั้นหรือ?”“เจ้าก็โง่มิเบานะ ที่กล้าลงมือกับข้า เจ้ามิรู้หรือว่าคนที่อยู่ข้าง ๆ ข้านี้คือใคร?”“แม่ทัพใหญ่แห่งแดนใต้ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบุคคลที่สองรองจากเหลยเจิ้น ฉงชูโม่!”ฉินซูรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ในเมื่อพวกเจ้ารู้ว่าเป็นนาง แล้วพวกเจ้ายังกล้าลงมืออีกงั้นรึ?”ชายชุดดำพูดอย่างมิสะทกสะท้าน “สองหมัดหรือจะสู้สี่มือ ยิ่งพวกเรามีคนมากขนาดนี้ และที่สำคัญพวกเรามีสิ่งนี้ด้วย!”ทันทีที่เขาพูดจบ เหล่าลูกน้องที่อยู่ด้านหลังก็ชักหน้าไ
หากยังปล่อยให้ดำเนินต่อไปเช่นนี้ แม้แต่ฉงชูโม่ก็ยังยากที่จะหลบหนีไปได้โดยปลอดภัยฉินซูตัดสินใจอย่างเด็ดขาด “เจ้าป้องกันไว้ก่อน ข้าจะมอบของขวัญให้พวกเขา”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ฉงชูโม่ก็ขมวดคิ้ว แต่มิได้ถามอะไรเพิ่มเติม หลังจากปล่อยฉินซูไป ปราณบริสุทธิ์ภายในของนางก็เพิ่มขึ้น นางปล่อยฝ่ามือสองครั้งไปยังอากาศว่างเปล่าข้างหน้านาง!กระแสพลังฝ่ามือที่พัดแรงนั้นทำให้ลูกธนูที่พุ่งเข้ามาตกลงสู่พื้นทันทีเมื่อชายชุดดำเห็นดังนั้น เขาจึงดึงคันธนูขึ้นมาเตรียมที่จะลงมือเองในขณะนั้นเอง ฉินซูยิ้มกว้าง “นี่ ข้าจะให้ของขวัญแก่พวกเจ้า!”หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็โยนของในมือออกไปพลธนูคนหนึ่งรับของไว้โดยมิรู้ตัว พลันสีหน้าตกตะลึงสิ่งที่เขาเห็นคือ ลูกเหล็กขนาดเล็กทรงรีลูกหนึ่งที่มีสายชนวนกำลังปล่อยควันออกมาเขามิเข้าใจจริง ๆ ว่าลูกเหล็กในมือของเขาคืออะไรชายชุดดำที่ไหวพริบดีได้กลิ่นอันตราย เขาตะโกนออกมาว่า "นั่นคืออาวุธลับ โยนมันทิ้งไปเร็ว!"เมื่อได้ยินสิ่งนี้ สีหน้าของพลธนูเปลี่ยนไป เขายกมือขึ้นและเตรียมที่จะโยนลูกเหล็กทิ้งไปแต่มันสายเกินไปแล้ว!“ตู้ม!!”เสียงระเบิดดังขึ้น ควันลอยฟุ้งทั่วบริเว
“ผู้แพ้อย่างเจ้า กล้าดีอย่างไรถึงมาข่มขู่ข้า?”ใบหน้าอันงดงามของฉงชูโม่เปลี่ยนเป็นเย็นชา นางยกเท้าและเหยียบลงที่ขาของชายชุดดำอย่างแรง“กร๊อบ!”ขาของชายชุดดำถูกเหยียบจนเนื้อหนังเละกระจาย กระดูกแตกกระจายออกมา ดูน่าหวาดกลัวอย่างยิ่งเส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปน เขากรีดร้องอย่างเจ็บปวดมิหยุดหลังจากที่เขาสงบลงแล้ว เขาก็หายใจหอบก่อนพูดว่า “ข้าเป็นคนของสำนักอาทิตย์อัสดง เจ้าสำนักของพวกข้ากำลังมาแล้ว เมื่อพวกเขามาถึง พวกเจ้าตายแน่!”“สำนักอาทิตย์อัสดง?”ใบหน้าของฉงชูโม่เริ่มเคร่งเครียดขึ้นมาเมื่อเห็นสิ่งนี้ฉินซูจึงถามอย่างสงสัย "สำนักอาทิตย์อัสดงที่ว่านี้ ทรงพลังมากหรือ?"ฉงชูโม่พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนเริ่มอธิบายปรากฏว่า สำนักอาทิตย์อัสดงเป็นสำนักบู๊ลิ้มที่ใหญ่ที่สุดในอวี้โจวเจ้าสำนักโอวหยางขุยมีพลังมาก เมื่อสิบปีก่อนก็เป็นนักรบระดับปฐพีเข้าไปแล้วเวลาผ่านไปสิบปีแล้ว และแม้ว่าความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้จะมิได้อยู่ที่ขั้นปลายระดับปฐพี แต่ก็คงทะลวงไปสู่ขั้นกลางระดับปฐพีแล้วอย่างแน่นอนหรืออาจเป็นไปได้ว่า เขาได้เข้าสู่ระดับสวรรค์แล้วมิเพียงเท่านั้น ในสำนักอาทิตย์อัสดงยังมีผู้อาวุโสอีกห
โอวหยางขุยยืนนิ่งมิขยับ ขณะที่ชายชราผู้สวมชุดเทาด้านข้างยกหอกขึ้น กระแทกเข้าที่ดาบใหญ่อย่างแม่นยำ"แกร๊ง!"มีเสียงดังคมชัด ประกายไฟพุ่งออกมา!ชายชราในชุดสีเทาตกใจมาก แขนชา ปลายหอกแตกออก!เขาดูหวาดกลัว พูดด้วยน้ำเสียงเครือต่ำ “ท่านเจ้าสำนัก ดูเหมือนว่าข่าวลือจะเป็นเรื่องจริง ฉงชูโม่ผู้นี้เป็นยอดฝีมือในระดับปฐพีจริง ๆ!”“พวกเจ้าตรวจค้นรอบ ๆ ส่วนนาง ปล่อยให้นางเป็นหน้าที่ข้า!”หลังจากที่โอวหยางขุยพูดเสียงเย็น เขาก็ใช้เท้าเคาะท้องม้า และควบตรงไปทางฉงชูโม่ร่องรอยของความตื่นตระหนกปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฉงชูโม่ตามแผนเดิมของนาง นางจะต้องล่อโอวหยางขุยและคนอื่น ๆ ไปทางอื่น เพื่อให้ฉินซูหนีเอาชีวิตรอดทว่ายามนี้ โอวหยางขุยกลับมาฆ่านางเพียงลำพัง นั่นพอที่จะแสดงให้เห็นว่า ความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้อย่างน้อยก็อยู่ในขั้นปลายของระดับปฐพีและที่สำคัญที่สุด แผนการของนางถูกทำลายลงจนสิ้นต้องรีบจบศึกนี้!ฉงชูโม่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เหยียบอานม้า พุ่งตัวออกไปหาโอวหยางขุยราวกับศรที่พุ่งออกจากคันธนู“มาเลย!”ดวงตาของโอวหยางขุยเป็นประกายด้วยความตื่นเต้นนานแล้วที่เขามิได้พบกับคู่ต่อสู้ในระดับเดียว
จบเห่แล้ว!กู้เสวี่ยเจี้ยนหน้าซีดเผือด หัวใจดิ่งวูบลงสู่ก้นบึ้ง!แต่ในขณะนั้นเอง ก็มีร่างหนึ่งวาบผ่านมาอยู่ตรงหน้านาง ฉินซูยืนขวางนางไว้!เห็นเพียงฉินซูตบฝ่ามือออกไป!ในวินาทีต่อมา กระแสพลังฝ่ามือแข็งแกร่งสองสายก็ปะทะกันอย่างรุนแรง“เปรี้ยง!!”กระแสพลังฝ่ามือระเบิดออก ปราณบริสุทธิ์บ้าคลั่งกลายเป็นปราณวายุม้วนตัว พุ่งออกไปรอบด้านต้นไม้ใหญ่บริเวณใกล้เคียงถูกกดจนล้มลงไปอีกเป็นจำนวนมาก!กู้เสวี่ยเจี้ยนเองก็ถูกคลื่นพลังอันบ้าคลั่งนี้ผลักให้ถอยร่นไปเรื่อย ๆ เช่นกัน!หากไม่มีฉินซูคอยปกป้องป่านนี้นางคงถูกพัดกระเด็นไปแล้วแต่ถึงกระนั้น ภายใต้แรงกดดันของปราณวายุที่น่าสะพรึงกลัวนี้ ร่างของฉินซูก็ถอยหลังไปหลายก้าวอย่างห้ามมิได้สุดท้ายจึงไปพิงอยู่กับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งจึงทรงตัวอยู่ได้"เอ๋?!"ฉินซูอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ เพราะเขาพบว่าซ่างกวนอวิ๋นซีที่อยู่ตรงข้ามก็ถอยหลังไปสองก้าวเช่นกัน!สิ่งนี้ทำให้เขางุนงงมากเมื่อครู่ซ่างกวนอวิ๋นซีแสดงพลังอันน่าตกใจเช่นนี้ออกมา เหตุใดบัดนี้ถึงอ่อนแอลงเช่นนี้?ฝั่งซ่างกวนอวิ๋นซีเริ่มหงุดหงิด ด้วยความโมโหนางจึงกระทืบเท้าลงบนพื้นพุ่งเข้าหาฉินซูราว
เมื่อคิดได้ดังนั้น นางก็สะบัดข้อมือ ปราณแห่งกระบี่คมกริบก็ฟันเข้าที่ต้นไม้ใหญ่ข้าง ๆ'โครม!'ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นล้มลง ฝุ่นฟุ้งกระจายเป็นวงกว้างแล้วฉินซูก็อุ้มนางวิ่งไป ส่วนนางก็คอยใช้ปราณแห่งกระบี่ฟันต้นไม้ข้างทางเป็นระยะเช่นนี้ไปตลอดทางผ่านไปกว่าหนึ่งเค่อ ในที่สุดก็มองมิเห็นร่างของซ่างกวนอวิ๋นซีไล่ตามหลังมาแล้วเมื่อเห็นดังนั้น กู้เสวี่ยเจี้ยนก็ถอนหายใจโล่งอกแต่ในขณะนั้น ฉินซูกลับหยุดลงกู้เสวี่ยเจี้ยนเร่งเร้า "ฉินซู เจ้าหยุดทำไม รีบไปสิ พวกเราอุตส่าห์หนีนางพ้นแล้วนะ"ฉินซูกล่าวด้วยสีหน้าขมขื่น "พวกเราหนีนางมิพ้น""กระไรนะ?!"กู้เสวี่ยเจี้ยนชะงักไป จากนั้นจึงเอี้ยวศีรษะไปมองเห็นสตรีผู้งามสง่าราวกับเทพธิดา ยืนอยู่มิไกลพร้อมด้วยปราณสังหาร!นั่นคือซ่างกวนอวิ๋นซีในตอนนี้ผมเผ้านางกระเซิงเล็กน้อย ผ้าคลุมหน้าหายไปไหนมิอาจทราบได้ ฉินซูและกู้เสวี่ยเจี้ยนจึงได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนางใบหน้าที่งดงามเกินต้านทานของซ่างกวนอวิ๋นซี ยังดูดีกว่าหงฉู่ม่อได้ชื่อว่างามที่สุดในต้าเหยียนอยู่เพียงเล็กน้อย!"เอ่อ เจ้าเป็นเจ้าสำนักหอดารารักษ์จริง ๆ หรือ?"ฉินซูอดถามอีกครั้งมิได้ เพราะซ่า
เมื่อเห็นหยกครึ่งซีกนี้ ดวงตาของซ่างกวนอวิ๋นซีก็หดเล็กลง ใบหน้างดงามฉายแววตกใจ!หยกนี้เป็นหยกที่นางมอบให้ซือคงเหยียนเมื่อครานั้นพลังที่อยู่ภายในนั้นเทียบเท่ากับการลงมือของนางหนึ่งครั้งหลังจากฉินซูขว้างหยกนี้ออกไป พลันอุ้มกู้เสวี่ยเจี้ยนขึ้นมา แล้วร่างก็วูบหายไปในป่าเขาใช้ปราณบริสุทธิ์ในร่างกายอย่างเต็มที่ ความเร็วของเขาเร็วมากจนน่าตกตะลึงในขณะเดียวกันหลังจากที่หยกนั้นชนเข้ากับฝ่ามือลวงตาน่าสะพรึงกลัวนั้น มันก็แตกออกพลังอันน่าพรั่นพรึงระดับเดียวกันก็ปะทุออกมาจากภายในตู้ม...เสียงดังสนั่นหวั่นไหวระเบิดออก พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ปรากฏรอยแตกคล้ายใยแมงมุมมากมายภายใต้แรงกดดันมหาศาลนี้ ทำให้กลางลำต้นของต้นไม้เกือบทั้งหมดในรัศมีหลายลี้หักลง!โครม!จากป่าที่อยู่ไกลออกไปนั้นมีนกจำนวนนับมิถ้วนบินหนีออกกระจัดกระจายไปทุกทิศทางส่วนฉินซูและกู้เสวี่ยเจี้ยนหลบพ้นจากรัศมีของแรงระเบิดไปอย่างฉิวเฉียดเมื่อเห็นป่าด้านหลังถูกทำลายราบเป็นหน้ากลอง กู้เสวี่ยเจี้ยนก็ตกใจจนพูดมิออกฉินซูเองก็รู้สึกเสียวสันหลังมิแพ้กันแต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาให้คิดมาก พลันใช้ปราณทั้งหมดไปกับวิชาตัวเบ
เมื่อเห็นภาพนั้นฉินซูก็ขมวดคิ้ว รู้สึกได้ถึงลางร้ายซ่างกวนอวิ๋นซีส่งเสียงหึ "เจ้าฉินซู เจ้าองค์รัชทายาทผู้รอวันปลด กล้าสังหารบุตรแห่งนักปราชญ์และผู้อาวุโสหอดารารักษ์ของข้า วันนี้ ข้าจะให้เจ้าชดใช้ด้วยเลือด ตอบแทนด้วยชีวิต!"เมื่อสิ้นเสียง กลิ่นอายสังหารน่าสะพรึงกลัวก็พุ่งออกมาจากร่างของนางจากนั้นนางก็สะบัดสองนิ้ว ลำแสงกระบี่ราวกับจับต้องได้สายหนึ่งก็พุ่งตรงมาหาฉินซูฉินซูผลักกู้เสวี่ยเจี้ยนออกไป จากนั้นก็กำหมัดกระแทกออกทันใดเงาหมัดแฝงด้วยปราณวายุอันพลุ่งพล่านพุ่งเข้าปะทะกับปราณแห่งกระบี่ของซ่างกวนอวิ๋นซีตูม...หลังจากเสียงระเบิดดังขึ้น ฉินซูและซ่างกวนอวิ๋นซีก็ถอยหลังไปคนละก้าว!เมื่อเห็นดังนั้น กู้เสวี่ยเจี้ยนก็อ้าปากค้างจนกรามแทบหลุด!ซ่างกวนอวิ๋นซีเป็นถึงเจ้าสำนักหอดารารักษ์ วรยุทธ์ของนางกล้าแกร่ง เกรงว่าจะมิด้อยไปกว่าหัวหน้าโหรหลวงทีเดียวแต่บัดนี้ฉินซูกลับต่อสู้กับนางได้อย่างสูสี แล้วจะมิให้นางตกใจได้อย่างไร!นางย่อมมิรู้ว่า ตอนนี้พลังในร่างของซ่างกวนอวิ๋นซีถูกหัวหน้าโหรหลวงสะกดเอาไว้ วรยุทธ์จึงอยู่ที่ระดับสวรรค์ขั้นสูงสุดเท่านั้นส่วนฉินซูขมวดคิ้วและรู้สึกงุนงงเล็ก
"ว่ากระไรนะ? เจ้าสำนักหอดารารักษ์?!"ฉินซูเบิกตากว้าง แทบมิเชื่อสายตา!ไฉนเจ้าสำนักหอดารารักษ์จึงได้อ่อนเยาว์เช่นนี้?ในดวงตาคู่สวยของซ่างกวนอวิ๋นซีเผยความประหลาดใจ นางเหลือบมองกู้เสวี่ยเจี้ยนเมื่อเห็นลายปักกลุ่มดาวหมีใหญ่ที่ปักอยู่บนชุดของนาง ก็แค่นเสียงหัวเราะเย็นชา "ตาเจ้ายังพอมีแววอยู่บ้าง มิเสียทีที่เป็นศิษย์ของตาเฒ่าเหลยเจิ้นนั่น!"กู้เสวี่ยเจี้ยนหัวใจเย็นวาบ รีบกระซิบบอกกับฉินซู "เจ้าสำนักหอดารารักษ์มีพลังลึกล้ำเกินหยั่งถึง ควานหาทั่วต้าเหยียน มีเพียงอาจารย์ของหม่อมฉันเท่านั้นที่ต้านทานนางได้ ท่านหนีไปเถิด หม่อมฉันจะพยายามถ่วงเวลานางไว้ให้นานที่สุด"เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินซูก็เผยรอยยิ้มขมขื่นตั้งแต่ที่ซ่างกวนอวิ๋นซีปรากฏตัว เขาก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันรุนแรงที่แผ่ซ่านมาจากนางนี่แสดงให้เห็นว่า พลังของอีกฝ่ายแข็งแกร่งจนน่าตกใจกู้เสวี่ยเจี้ยนต้องการถ่วงเวลานางก็มิต่างกระไรจากเรื่องเพ้อฝันเมื่อเห็นฉินซูนิ่งเฉย กู้เสวี่ยเจี้ยนก็เร่งเร้าอย่างร้อนรน "ไยท่านยังยืนอยู่อีก รีบไปเร็วเข้า"ฉินซูส่ายหน้าอย่างจนปัญญา "เจ้าถ่วงเวลานางมิได้หรอก อีกทั้งเป้าหมายของนางคือข้า เจ้าหลบไป
ฉินซูชะงักไป และจำใจต้องทำภารกิจอีกครั้งผ่านไปอีกกว่าสองเค่อ กู้เสวี่ยเจี้ยนจึงลุกขึ้นแต่งตัวอย่างพอใจนางมองฉินซูด้วยสายตาอ่อนโยน แล้วเร่งเร้า "ข้างนอกฝนหยุดแล้ว พวกเราเร่งเดินทางกันเถิด มิเช่นนั้นฟ้าจะมืดเสียก่อนไปถึงเป่ยเซียง"ดวงตาของฉินซูเป็นประกาย เขาเสนอ "หรือว่าเราจะออกเดินทางวันพรุ่งนี้?"กู้เสวี่ยเจี้ยนมองออกว่าฉินซูคิดอะไรอยู่ในใจ ทีแรกนางตั้งใจจะปฏิเสธ แต่แล้วกลับพยักหน้าตกลงอย่างน่าประหลาดเมื่อเห็นดังนั้นฉินซูก็ลิงโลด พลันรีบพูดต่อ "เช่นนั้นข้าจะไปจับกระต่ายป่าสักสองสามตัว คืนนี้พวกเรากินกระต่ายย่างกันเถอะ"ฉินซูรีบแต่งตัวแล้วเหาะออกไปกู้เสวี่ยเจี้ยนถอนหายใจเบา ๆ ดวงตาคู่งามเต็มไปด้วยความโศกเศร้ามินานฉินซูก็กลับมาพร้อมกับกระต่ายป่าที่ทำความสะอาดแล้วสองสามตัวหลังจากกินอิ่ม ท้องฟ้าก็มืดลงทั้งสองจึงนอนบนพื้นข้างกองไฟแต่ยังมิทันผล็อยหลับ กู้เสวี่ยเจี้ยนก็ปีนขึ้นคร่อมร่างฉินซูอีกครั้งคืนนั้น ฉินซูแทบมิได้นอนทั้งคืน!วันรุ่งขึ้นฉินซูขอบตาดำคล้ำและหาวมิหยุดส่วนกู้เสวี่ยเจี้ยนมีใบหน้าแดงเปล่งปลั่ง ดูสดชื่นกระปรี้กระเปร่าหลังจากออกจากถ้ำกู้เสวี่ยเจี้ยนก็ข
ด้านนอกถ้ำ พายุฝนยังคงตกกระหน่ำอย่างต่อเนื่องภายในถ้ำ เวลาเหมือนจะหยุดนิ่งฉินซูนอนอยู่บนพื้นราวกับกลายเป็นหิน มือทั้งสองยังกอดเอวบางของกู้เสวี่ยเจี้ยนไว้ส่วนกู้เสวี่ยเจี้ยนทอดกายบนร่างของเขา ริมฝีปากแดงอ่อนหวานของนางแนบสนิทกับริมฝีปากของเขาเข้าพอดีทั้งสองสบตากัน รู้สึกได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจที่เร็วขึ้นเรื่อย ๆ!อุณหภูมิระหว่างกันก็ยิ่งชัดเจน!ฉินซูกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก กำลังจะทำอะไรบางอย่างแต่เมื่อสังเกตเห็นกระบี่ยาวข้าง ๆ กู้เสวี่ยเจี้ยน เขาก็เกิดลังเลหากเผลอทำให้กู้เสวี่ยเจี้ยนโกรธแล้วนางเกิดคิดฆ่าเขาขึ้นมาจะทำอย่างไร?เพราะท้ายที่สุดแล้ว นี่มิใช่ครั้งแรกกับกู้เสวี่ยเจี้ยน หากครั้งนี้ยังมิสามารถทำให้นางยอมจำนนด้วยใจจริงได้ ก็คงจะมีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่านางจะทำเรื่องระห่ำอะไรออกมาแต่โอกาสดีเช่นนี้ ฉินซูมิอยากพลาดไปเลยจริง ๆในขณะที่เขากำลังลังเล ริมฝีปากแดงของกู้เสวี่ยเจี้ยนก็เริ่มขยับ!เห็นเพียงจมูกโด่งของนางเต็มไปด้วยลมหายใจร้อนระอุ ริมฝีปากคู่สวยจุมพิตลงบนริมฝีปากของฉินซูอย่างตะกละตะกลามฉินซูมีหรือจะทนไหว รีบตอบสนองอย่างกระตือรือร้นโดยมิรู้ตัว ทั้
"อะแฮ่ม… อะไรกันเล่า ฝนจะตก หญิงสาวจะออกเรือน เป็นเรื่องที่ห้ามมิได้ เจ้าจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟไปหาปะไร?""หม่อมฉันโกรธเพราะกระไร เจ้ามิรู้อยู่แก่ใจหรอกหรือ!""แค่ก ๆ ข้าไปหาฟืนแห้งมาดีกว่า"ฉินซูกล่าวจบก็เดินหลบไปตามผนังหินที่ยื่นออกมาด้านนอกถ้ำกู้เสวี่ยเจี้ยนแค่นเสียงเย็นชา "หึ ฝนตกหนักขนาดนี้ จะมีฟืนแห้งที่ไหน… ฮัดชิ้ว!"ยังมิทันสิ้นคำ นางก็จามออกมาช่วงต้นเหมันตฤดูผ่านไป อีกมิกี่วันก็จะเป็นช่วงหิมะโปรยปราย ดังนั้นเมื่อฝนตกจึงทำให้รู้สึกหนาวเป็นพิเศษกู้เสวี่ยเจี้ยนย่อตัวลงกับพื้น เอามือกอดอกแน่นลมหนาวพัดมาวูบหนึ่ง นางก็ตัวสั่นสะท้านอย่างห้ามมิได้นางอดมิได้ที่จะมองออกไปนอกถ้ำ ดวงตาคู่สวยเต็มไปด้วยความหวังแม้จะรู้สึกว่าเป็นไปได้ยาก ทว่ายามนี้นางก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าฉินซูจะหาฟืนแห้งมาจุดไฟได้มิฉะนั้นแม้ฝนข้างนอกจะหยุดตก ก็เป็นไปมิได้ที่จะเดินทางต่อด้วยอาภรณ์ที่เปียกชุ่มเช่นนี้ผ่านไปครู่หนึ่ง ฉินซูก็กลับมาเขาหอบฟืนแห้งกองใหญ่ในอ้อมแขนมาด้วย!เมื่อเห็นดังนั้น กู้เสวี่ยเจี้ยนก็ลุกขึ้นอย่างตื่นเต้น พลันรีบเร่งเร้า "เร็ว ๆ เข้า รีบจุดไฟเร็วเพคะ หม่อมฉันหนาวจะตายอยู่แล้ว!
ซ่างกวนอวิ๋นซีร่ายมือ โล่สีเขียวอ่อนก่อตัวรวมกันอยู่ตรงหน้านางในทันใดทว่าปราณดัชนีที่เหลยเจิ้นปล่อยออกมา กลับมิสนใจโล่ตรงหน้านาง พลันผ่าทะลุเข้าไปภายใต้สายตาตกตะลึงของซ่างกวนอวิ๋นซี ปราณดัชนีนั้นหายวับเข้าไปในร่างของนางในพริบตาในชั่วพริบตาต่อมานั้น ซ่างกวนอวิ๋นซีก็รู้สึกว่ามีพลังต้องห้ามบางอย่างเพิ่มเข้ามาในร่างเมื่อได้สติกลับคืนมา นางก็กระทืบเท้าด้วยโทสะ "เหลยเจิ้น เจ้าเฒ่าไร้สัจจะ ปลิ้นปล้อนกลับกลอก!""ข้าเพียงแต่สะกดการบ่มเพาะตนของเจ้าไว้เท่านั้น มิได้บอกว่าจะมิให้เจ้าไปหาองค์รัชทายาท แล้วจะหาว่าข้ากลับกลอกได้อย่างไร?""เจ้า!!"ซ่างกวนอวิ๋นซีโมโหจนแทบจะระเบิดอารมณ์ ดวงตาเบิกกว้างจ้องมองเหลยเจิ้นเหลยเจิ้นยักไหล่ "แม้การบ่มเพาะตนของเจ้าจะถูกข้าสะกดไว้ แต่อย่างน้อยก็ยังสามารถใช้วรยุทธ์ระดับสวรรค์ได้ เท่านี้ก็เพียงพอให้เจ้าจัดการกับผู้ฝึกยุทธ์ระดับสวรรค์ที่อาจปรากฏตัวในต้าเหยียนได้แล้ว""แล้วองค์รัชทายาทผู้รอวันถูกปลดของพวกเจ้าเล่า? เขาอยู่ในระดับใดกันแน่?"เหลยเจิ้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้าซ่างกวนอวิ๋นซีขมวดคิ้ว ถามอย่างมิพอใจ "เจ้าส่ายหน้าหมายความว่าอย่างไร?"