“โอ้? ผู้ใดกันที่มีฝีมือร้ายกาจถึงเพียงนี้ ถึงกับทำร้ายท่านได้?”เติ้งหม่างสีหน้าเคร่งขรึมกล่าวว่า “คู่ต่อสู้ของข้ามิใช่มนุษย์ หากแต่เป็นสัตว์ร้ายมหึมาแสนดุร้าย!”ฉินซูสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย เอ่ยถามต่อ “แถบนี้มีสัตว์ร้ายออกอาละวาดด้วยหรือ?”“มีสิ ทั้งยังมีอยู่มิใช่น้อยเลย สัตว์ร้ายเหล่านั้นแต่ละตัวล้วนมีรูปร่างใหญ่โต พละกำลังมหาศาล”เติ้งหม่างหัวเราะขมขื่น กล่าวต่อไปว่า “โดยปกติพวกเรามิก่อกวนพวกมันหรอก ก่อนหน้านี้สองสามวันมีสัตว์ร้ายตัวหนึ่งบุกรุกเข้ามาในค่ายกองทัพหนานเยวี่ย ทำร้ายทหารไปมิใช่น้อย ข้าจึงนำคนไปล้อมปราบ แต่คาดมิถึงว่านอกจากจะสังหารมันมิได้ ยังถูกมันทำร้ายเสียเอง”กล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความขมขื่นฉินซูหรี่ดวงตาลง ครุ่นคิดในใจสัตว์ร้ายเหล่านั้น เกรงว่าจะเป็นทายาทของสัตว์วิญญาณในยุคบำเพ็ญเพียรในอดีต มิฉะนั้นรูปร่างของพวกมันจะใหญ่โตถึงเพียงนี้ได้อย่างไรในเวลานี้เอง ตงฟางไป๋ก็กล่าวเสียงทุ้มต่ำ “หัวหน้าใหญ่ มีคนกำลังมาจากทางนั้นขอรับ!”ฉินซูมองตามทิศทางที่เขาชี้ไป เห็นเพียงกลุ่มคนจำนวนมากเดินออกมาจากซอกเขาเบื้องหน้าในหมู่พวกเขา มีคนจำนวนมิใช่น้อย
หูก่วงเซิงยังมิทันกล่าวจบประโยค ก็สังเกตเห็นสองพี่น้องตงฟางไป๋ จึงอุทานออกมาด้วยความตกตะลึงสองพี่น้องตงฟางไป๋ฝืนทำใจให้สงบ มิตอบโต้หูก่วงเซิงแต่อย่างใดเติ้งหม่างเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “หูก่วงเซิง เจ้ารู้จักผู้ใต้บังคับบัญชาของผู้มีพระคุณของข้าด้วยรึ?”“ผู้ใต้บังคับบัญชาของผู้มีพระคุณของท่าน?”หูก่วงเซิงสีหน้างุนงง กล่าวว่า “ท่านแม่ทัพเติ้ง สองคนนั้นคือคนสนิทขององค์รัชทายาทที่รอวันปลดฉินซู ไฉนยามนี้กลับกลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของผู้มีพระคุณของท่านไปได้ ท่านแม่ทัพเติ้ง ท่านมิได้ถูกพวกมันหลอกลวงแล้วหรือขอรับ?”เติ้งหม่างสีหน้าตึงเครียด ตวาดเสียงดัง “บังอาจ หูก่วงเซิง เจ้ามันมีดีแต่ปาก ถึงคราวตายอยู่รอมร่อ ยังกล้ายุแหย่ให้พวกเราแตกคอกันอีก!”“ท่านแม่ทัพเติ้ง สิ่งที่ข้ากล่าวล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น อีกทั้งในตอนกลางวันก็เป็นพวกมันที่นำพลธนูมาคุ้มกันข้า ข้าถึงกล้านำทหารม้าบุกทะลวงทัพหลังของพวกท่าน หากท่านมิเชื่อ ก็ลองสอบถามจากผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านดูก็ได้”เมื่อเห็นท่าทางหนักแน่นของหูก่วงเซิง เติ้งหม่างก็อดมิได้ที่จะคลางแคลงใจเขามองไปยังฉินซู กำลังจะเอ่ยถามฉินซูกลับกล่าวแทรก
เติ้งหม่างชักดาบออกมา เตรียมเงื้อฟัน!หูก่วงเซิงตกใจจนแทบสิ้นสติ รีบกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพเติ้ง ข้ากล่าวแต่ความจริงทั้งสิ้น จริงสิ สองคนนั้นน่าจะรู้เรื่องราวมากกว่าข้า เพราะธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้าล้วนเป็นฝีมือการคิดค้นขององค์รัชทายาทที่รอวันปลดฉินซู!”เติ้งหม่างหันไปมองตงฟางไป๋ เอ่ยถามอย่างเกรงอกเกรงใจ “ท่านทั้งสอง สิ่งที่หูก่วงเซิงกล่าว เป็นความจริงหรือไม่?”ตงฟางไป๋พยักหน้า “เป็นความจริง!”“ข้ามิคาดคิดมาก่อนว่า องค์รัชทายาทผู้รอวันปลดที่ร่ำลือกันว่าไร้ความสามารถจะสามารถคิดค้นอาวุธยุทโธปกรณ์ร้ายกาจถึงเพียงนี้ได้!” เติ้งหม่างรำพึงรำพันแล้วถามต่อ “พวกท่านสองพี่น้อง ทราบถึงโครงสร้างของธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้าหรือไม่?”ตงฟางไป๋ยักไหล่ “เรื่องลับสุดยอดเช่นนั้น พวกเราจะล่วงรู้ได้อย่างไร”เติ้งหม่างถอนหายใจด้วยความผิดหวังเล็กน้อย จากนั้นก็จ้องมองหูก่วงเซิงด้วยสายตาเย็นเยียบหูก่วงเซิงในใจพลันรู้สึกหนาวเยือก ความรู้สึกถึงลางร้ายพลันบังเกิด เขาเอ่ยถามเสียงสั่นเครือ “ท่าน… ท่านแม่ทัพเติ้ง ไยท่านจ้องมองข้าเช่นนี้เล่าขอรับ?”“หึ แม้ระเบิดสายฟ้าและธนูทดกำลังจะเป็นผลงานการคิดค้นของฉินซู
“หากเป็นจริงดังว่า เรื่องที่เจ้ากล่าวมาก็ย่อมมีหนทางเป็นไปได้ ทว่า… ข้าจะเชื่อใจเจ้าได้อย่างไร?”คำพูดของเติ้งหม่างบ่งบอกว่าใจของเขาเริ่มโอนเอียงไปแล้วท้ายที่สุดหากเป็นดังที่หูก่วงเซิงกล่าว มิเพียงแต่จะสามารถยึดครองเมืองเจียวโจวได้ หากแต่ถึงเวลานั้นยังอาจฉวยโอกาสที่ต้าเหยียนระส่ำระสาย บุกยึดครองเมืองต่าง ๆ ได้อีกหลายเมืองในคราวเดียวหากเป็นเช่นนั้น เติ้งหม่างผู้นี้ก็จะได้รับการจารึกชื่อในหน้าประวัติศาสตร์ และจะได้รับการสรรเสริญจากอนุชนหนานเยวี่ยไปชั่วกาลนานหูก่วงเซิงกล่าวอย่างหนักแน่น “ข้าน้อยสามารถเขียนสาส์นฉบับหนึ่งให้คนนำไปส่งมอบแก่ท่านอ๋องฉู่ได้ จากนั้นค่อยเชิญพระองค์มาพบท่านแม่ทัพเพื่อหารือเป็นการส่วนตัว เช่นนี้แล้ว ท่านคงเชื่อใจข้าได้แล้วกระมัง?”“ดี ตกลงตามนั้น หากสำเร็จลุล่วง ข้ามิเพียงแต่จะปล่อยเจ้าไป หากแต่จะปูนบำเหน็จทองคำหมื่นตำลึงแก่เจ้า รับรองว่าชีวิตบั้นปลายของเจ้าจะสุขสบายไร้กังวล!” เติ้งหม่างโบกมืออย่างองอาจพร้อมด้วยสีหน้าเปี่ยมสุขหูก่วงเซิงพยักหน้ารัว ๆ เขาหาได้ใส่ใจทองคำหมื่นตำลึงเหล่านั้นไม่ เพียงแต่หวังเพียงว่าจะช่วยเหลืออ๋องฉู่ในการช่วงชิงบัลลังก์ให้สำเร็
ชิวก่วนประสานมือรับคำ ก่อนจะเตรียมเดินออกไปสั่งการในเวลานี้เอง ทหารนายหนึ่งก็เดินเข้ามา ประสานมือกล่าวอย่างนอบน้อม “ท่านแม่ทัพใหญ่ ด้านนอกมีสตรีผู้หนึ่งมาขอพบ บอกว่ามีธุระสำคัญจะหารือกับท่านขอรับ”ฉงชูโม่ขมวดคิ้วมุ่น แต่คล้ายกับนึกกระไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงกล่าวว่า “เชิญนางเข้ามาเถิด”ครู่หนึ่งต่อมา สตรีผู้หนึ่งรูปโฉมงดงามก็ถูกนำตัวเข้ามานางคือมู่หรงจื่อเยียน!ฉงชูโม่เหลือบมองนางผาดหนึ่ง ก่อนจะเชิดคางขึ้นเล็กน้อย “ว่ามา มีธุระอันใดกับข้า?”“ก่อนที่องค์รัชทายาทจะออกจากเมือง พระองค์ฝากฝังให้ข้านำสาส์นฉบับนี้มามอบให้แก่ท่าน”มู่หรงจื่อเยียนกล่าวพลางหยิบสาส์นฉบับหนึ่งออกมาจากอกเสื้อและยื่นให้อีกฝ่ายฉงชูโม่คลี่สาส์นออกอ่าน เพียงชั่วครู่ นางก็มีสีหน้าประหลาดใจอย่างยิ่ง!เมื่ออ่านสาส์นจบ นางก็ร้อนรนใจราวกับมดในกระทะร้อน เมื่อเห็นดังนั้น ชิวก่วนก็รีบเอ่ยถาม “ท่านแม่ทัพใหญ่ องค์รัชทายาททรงมีพระราชสาส์นมาว่ากระไรหรือขอรับ?”“พระองค์...”ฉงชูโม่กำลังจะเอ่ยปาก ทว่าเมื่อนึกถึงความสำคัญของเรื่องนี้ นางจึงกล้ำกลืนคำกล่าวที่ริมฝีปากกลับลงไปนางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ กล่าวว่า “องค์รัชทายา
มู่หรงจื่อเยียนขมวดคิ้วเรียวงามเล็กน้อย และถามกลับ “วรยุทธ์ของฉินซูเป็นเช่นไร ท่านกลับมิรู้หรือ?”ฉงชูโม่สั่นศีรษะเล็กน้อย “ข้าเพียงแต่สงสัยว่าเขาลอบฝึกวรยุทธ์อยู่ลับ ๆ แต่วรยุทธ์ที่แท้จริงของเขานั้นเป็นเช่นไรข้าก็มิอาจทราบได้จริง ๆ แต่เมื่อฟังจากคำพูดของเจ้า ดูท่าเจ้าจะรู้เรื่องราวอยู่มิใช่น้อย ช่วยเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่?”“ข้ารู้เพียงแต่ว่าฉินซูสามารถใช้ฝ่ามือเพียงข้างเดียวสังหารคนให้แหลกเหลวเป็นจุณได้ วรยุทธ์จะแข็งแกร่งถึงเพียงใด ท่านก็ลองคิดเอาเองเถิด”“เจ้าว่ากระไรนะ? ฝ่ามือเดียวสังหารคนให้แหลกเหลวเป็นจุณ?” ฉงชูโม่ตกตะลึงจนตาค้าง แม้แต่ยังสงสัยว่าตนเองหูฝาดไปหรือไม่“ถูกต้อง หนานกงจื่อชินและเหล่าผู้อาวุโสแห่งหอดารารักษ์ ล้วนแล้วแต่ต้องมาสิ้นชีพด้วยน้ำมือของฉินซู อีกทั้งเขายังหลบหนีจากการไล่ล่าของเจ้าสำนักหอดารารักษ์มาได้สำเร็จ”“ฮึก!!!”ฉงชูโม่อดมิได้ที่จะสูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าไปเต็มปอดวรยุทธ์ของหนานกงจื่อชินมิอาจเทียบเคียงได้ แม้แต่วรยุทธ์ของผู้อาวุโสแห่งหอดารารักษ์ นางก็ยังมิได้ล่วงรู้มากนักแต่วรยุทธ์ของเจ้าสำนักหอดารารักษ์นั้น เทียบเคียงได้กับหัวหน้าโหรหลวงภายใต้ก
“ข้าเองก็หวังให้เป็นเช่นนั้น อย่างน้อยข้าก็ยังมีโอกาสที่จะได้เป็นฮองเฮา”ฉงชูโม่นึกปลาบปลื้มใจ ความรู้สึกหดหู่ใจก่อนหน้านี้พลันมลายหายสิ้นไปมิน้อยนางเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย มองมู่หรงจื่อเยียนอย่างเย่อหยิ่ง “หึ เจ้าเป็นเพียงท่านหญิงต่างแคว้น จะเป็นฮองเฮาแห่งต้าเหยียนได้อย่างไร เจ้าได้รับความรักความเมตตาจากฉินซู ก็ควรจะพอใจได้แล้ว”“เช่นนั้นในวันหน้าหากท่านได้เป็นฮองเฮา ท่านต้องเมตตาดูแลข้ามาก ๆ ข้ามิอยากจะถูกสตรีคนอื่น ๆ ของฉินซูข่มเหงรังแก”ฉงชูโม่ตบหน้าอก กล่าวอย่างองอาจ “ตราบใดที่เจ้ามิคิดเป็นศัตรูกับข้า ในภายภาคหน้าข้าจะคุ้มครองเจ้าเอง!”“ฮิ ๆ เช่นนั้นข้าก็ต้องขอขอบคุณพี่หญิงชูโม่ล่วงหน้าแล้วเจ้าค่ะ”มู่หรงจื่อเยียนยิ้มหวาน คารวะฉงชูโม่เล็กน้อยฉงชูโม่กระแอมไอสองครั้ง ทำสีหน้าให้สงบลง กล่าวว่า “เรื่องพวกนี้ยังมิเกิดขึ้น อย่าเพิ่งกล่าวถึงมันเลย หวังเพียงเขาจะกลับมาในเร็ววัน อย่าให้ข้าต้องพะว้าพะวังเป็นห่วงเขาทุกเมื่อเชื่อวันเลย”“วางใจเถิด วรยุทธ์ของฉินซูแข็งแกร่งถึงเพียงนั้น มิว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคใด เขาก็จะต้องเอาตัวรอดมาได้อย่างปลอดภัยแน่นอน”“หวังให้เป็นเช่นนั้นเ
“ระเบิดสายฟ้า!!”เมื่อเห็นลูกกลม ๆ ที่ฉินซูหยิบออกมา ตงฟางไป๋ก็อุทานออกมาด้วยความตกใจเดิมทีเขาคิดว่า ระเบิดสายฟ้าชนิดนี้ฉินซูคงใช้จนหมดแล้วฉินซูหัวเราะในลำคอ “ไปเถิด ทำการลับ ๆ หน่อย ขู่ขวัญให้พวกเติ้งหม่างตกใจกลัวไปซะ!”“น้อมรับบัญชา!”ตงฟางไป๋และตงฟางโซ่วรับระเบิดสายฟ้ามา ก่อนจะหันหลังเดินจากไปพวกเขาทั้งสองจากไปได้มินาน โจวฉางก็เดินเข้ามาเขาก้าวเข้าไปคำนับฉินซูอย่างนอบน้อม “ท่านผู้อาวุโสตงฟาง ท่านแม่ทัพใหญ่มีเรื่องจะเรียนเชิญท่านไปพบขอรับ”“อืม!”ฉินซูขานรับคำ ก่อนจะติดตามโจวฉางไปยังกระโจมทหารของเติ้งหม่างภายในกระโจมทหาร หูก่วงเซิงก็ยังคงอยู่ที่นี่เช่นเดียวกัน เขายังให้เกียรติฉินซูด้วยการคารวะคำนับเล็กน้อยฉินซูมิได้ชายตามองเขาแม้แต่ผาดเดียว หากแต่หันไปเอ่ยถามเติ้งหม่าง “ท่านแม่ทัพเติ้งเชิญข้ามาพบมีธุระอันใดหรือ?”เติ้งหม่างกล่าวอย่างนอบน้อม “เป็นดังที่ท่านผู้อาวุโสกล่าวไม่มีผิด ข้าน้อยมีเรื่องบางประการใคร่ขอคำชี้แนะจากท่าน”ฉินซูพยักหน้าเล็กน้อย เป็นสัญญาณให้เขาว่าต่อไป“เรื่องราวเป็นเช่นนี้ เมื่อครู่พวกเรานับพลทหารแต่ละกอง แม้เมื่อคืนจะประสบกับความพ่ายแพ้ยับเยิน
เช้าตรู่ของสองวันต่อมายามนี้ท้องฟ้ามืดครึ้ม พื้นที่หล่งซีที่มีภูเขาสูงป่าทึบส่วนใหญ่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกขาวโพลนในป่าทึบอันมืดมิดชื้นแฉะนั้น ร่างสามร่างกำลังเดินฝ่าเข้าไปคนแรกคือชายหนุ่มในชุดสีขาวสะอาดตา มีรอยแผลเป็นบนใบหน้า กระบี่เจ็ดดาวเล่มยักษ์ในมือของเขาโดดเด่นเป็นพิเศษหญิงสาวอีกคนสวมชุดเกราะ แม้จะแต่งกายแบบแม่ทัพ แต่ก็หาได้บดบังใบหน้างดงามราวกับเทพธิดาไม่แม้แต่น้อย กลับเพิ่มความองอาจขึ้นหลายส่วนทั้งสองคือตู๋กูโฉ่วเยวี่ยและฉงชูโม่ส่วนชายชุดดำอีกคนคือสายลับชนเผ่าหรงตะวันตกที่ถูกตู๋กูโฉ่วเยวี่ยบังคับให้นำทางยามนี้เป็นช่วงที่หนาวจัดของเหมันตฤดู ท่ามกลางป่าชื้น อาภรณ์จึงเปียกชื้นได้ง่ายอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ทำให้ยิ่งรู้สึกถึงความหนาวเสียดกระดูกดังนั้นแม้แต่ฉงชูโม่ยอดฝีมือระดับครึ่งก้าวย่ำสวรรค์ก็ยังแก้มแดงจากความหนาวอย่างอดมิได้สายลับชนเผ่าหรงตะวันตกที่นำทางยิ่งหนาวจนตัวสั่น ฟันบนล่างเริ่มกระทบกันสั่นงก ๆทว่าสิ่งที่ฉงชูโม่คาดมิถึงก็คือ ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยที่มีวรยุทธ์อ่อนแอกว่าตนเล็กน้อยกลับมีสีหน้าปกติราวกับมิได้รับผลกระทบจากไอเย็นนี้“ท่านผู้อาวุโสทั้งสอง ข้าน้อยทนมิไหวแ
อีกฝ่ายหน้าแดงก่ำ กล่าวด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอดว่า “เลิกพูดจาหวานหูได้แล้วเพคะ ท่านยังมิได้เล่าเรื่องหนานเยวี่ยให้หม่อมฉันฟังเลย ท่านตีฝ่าด่านป้องกันแสนยากเข็ญของหนานเยวี่ยแล้วยึดครองหนานเยวี่ยได้อย่างไรกันแน่?”ฉินซูยักไหล่ แล้วเล่าเรื่องราวคร่าว ๆ ให้ฟังเขาเล่าด้วยท่าทีสบาย ๆ แต่ฟังแล้วมู่หรงจื่อเยียนกลับรู้สึกฮึกเหิม!“นึกมิถึงเลยว่า ท่านจะมากเล่ห์ร้อยเหลี่ยมถึงเพียงนี้ ถึงกับให้ลูกน้องปลอมตัวเป็นทหารหนานเยวี่ยหลอกให้เปิดประตูเมือง แต่แม่ทัพหนานเยวี่ยก็ช่างโง่เง่าเสียกระไรปานนั้น มองมิออกหรือไร”ฉินซูกล่าวอย่างมิสบอารมณ์ว่า “ข้าแทรกซึมเข้าไปในหนานเยวี่ยตั้งแต่ก่อนหน้านี้ อีกทั้งยังให้จ้าวควงแต่งตั้งเป็นกุนซือของเติ้งหม่าง หากไร้ขั้นตอนนี้ไปข้าคงมิอาจหลอกล่อให้เปิดประตูเมืองแล้วจับจ้าวควงได้ง่าย ๆ เช่นนี้หรอก”“ก็จริงเพคะ ดูเหมือนว่าท่านจะทรงปราดเปรื่องลึกล้ำมากทีเดียว สมกับเป็นชายที่มู่หรงจื่อเยียนหมายตา!”เมื่อกล่าวเช่นนั้น ใบหน้างดงามของมู่หรงจื่อเยียนก็เผยสีชมพูระเรื่ออีกครั้งเมื่อทราบว่าฉินซูแสดงวรยุทธ์อันน่าทึ่งในแคว้นหนานเยวี่ย นางก็บ่นด้วยความเป็นห่วงเต็มประดา“ฉิน
ฉินซูหัวเราะเบา ๆ แล้วกล่าว “ข้าสบายดี หาได้มีกระไรต้องเป็นห่วงไม่”“ฉินซู ท่านตีหนานเยวี่ยแตกพ่ายจริงหรือ แล้วยังสังหารจักรพรรดิจ้าวควงนั่นด้วยหรือเพคะ?”จนถึงวันนี้ มู่หรงจื่อเยียนก็ยังมิกล้าเชื่อเนื่องด้วยฉินซูนำทหารไปเพียงหมื่นนายเท่านั้น คนเพียงเท่านี้จะตีด่านปราการแคว้นหนานเยวี่ยได้หรือไม่ก็ยังตอบมิได้ นับประสากระไรกับการบุกยึดพระราชสถานหนานเยวี่ยเมื่อเห็นฉินซูพยักหน้ารับ นางก็ตกใจจนยกมือขึ้นมือปิดปากเล็ก ๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจเมื่อได้สติกลับมา นางก็รีบร้อนกล่าว “ท่านทำได้อย่างไร? รีบเล่าให้หม่อมฉันฟังหน่อยเถิดเพคะ”“คุยตรงนี้คงมิเหมาะ ไปเถิด กลับไปที่โรงเตี๊ยมแล้วค่อยว่ากัน”ในยามนี้ ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในเมืองเจียวโจวทยอยกลับมาอยู่ที่เดิม โรงเตี๊ยมที่เคยปิดประตูแน่นหนาก่อนหน้า บัดนี้ก็เปิดประตูต้อนรับแขกแล้วเมื่อเห็นฉินซูลากมู่หรงจื่อเยียนไปยังโรงเตี๊ยม ตี๋จิ่งและคนอื่น ๆ ก็มีสีหน้าถมึงทึงขึ้นทันใดในฐานะองครักษ์ของมู่หรงจื่อเยียน ยามนี้พวกเขาเชื่อสนิทใจแล้วว่า ท่านหญิงของตนเสร็จฉินซูไปแล้วหนึ่งในนั้นกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “พี่ตี๋ ดูเหมือนว่าแคว้นหนา
“ถ้าเช่นนั้นก็ขอบคุณสำหรับน้ำใจ” ฉินซูหัวเราะเบา ๆ“พวกเรากลับ!”ชายชราเหลือบมองจ้าวอวี้เสวียนแล้วหันหลังเดินจากไปจ้าวอวี้เสวียนมีสีหน้าประหลาดใจ แต่ก็มิกล้าพูดกระไรมากนัก นางจ้องมองฉินซูจากระยะไกลผาดหนึ่งแล้วประคองเซวียหมิงตามไปเมื่อเห็นเช่นนั้น ฉินซูก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกแม้ว่าวรยุทธ์ของชายชราผู้นี้จะมิน่าสะพรึงกลัวเท่าซ่างกวนอวิ๋นซี แต่ก็เหนือกว่ายอดฝีมือขั้นสูงสุดระดับสวรรค์ทั่วไปลิบลับหากอีกฝ่ายสู้มิคิดชีวิตมิสนใจสิ่งใด เขาก็มิมั่นใจว่าจะสามารถหลบหนีได้อย่างปลอดภัยที่รอดพ้นอันตรายมาได้ในครั้งนี้ ถือว่าได้รับความคุ้มครองจากชื่อเสียงของเหลยเจิ้นแล้วเขารวบรวมสติแล้วสั่งว่า “พวกเราก็ไปกันเถิด”ชิวก่วนและคนอื่น ๆ เพิ่งได้สติ ก็พยักหน้ากันอย่างเหม่อลอยเมื่อครู่แม้ว่าชายชรากับฉินซูจะประลองกันเพียงกระบวนท่าเดียว แต่วรยุทธ์นั้นก็เกินขอบเขตความเข้าใจของพวกเขาไปมากมุมมองที่พวกเขามีต่อใต้หล้านี้ถูกทำลายลง ถึงกับรู้สึกว่าตนเองช่างเล็กจ้อยราวกับมดปลวกด้านนอกหุบเขาจ้าวอวี้เสวียนถามด้วยความค้างคาใจว่า “ท่านอาจารย์อา ไฉนท่านถึงปล่อยฉินซูไปง่าย ๆ เช่นนั้น แม้จะมิแก้แค้นให้ศ
“แย่งชิงสมบัติของสำนักไท่เสวียนของข้าแล้วยังคิดจะสังหารคนอีก ทำเช่นนี้ช่างเกินไปจริง ๆ!”เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยนี้ จ้าวอวี้เสวียนและเซวียหมิงที่หมดหวังไปแล้วก็เผยสีหน้ายินดีสุดขีดเห็นเพียงร่างคนวูบไหว ชายชราสวมชุดคลุมสีขาวก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าพวกเขาแล้ว“ท่านอาจารย์อา!!”จ้าวอวี้เสวียนยินดีจนน้ำตาไหล ในที่สุดก็รอดแล้วชายชราพยักหน้าเล็กน้อยพลางมองเซวียหมิงที่บาดเจ็บสาหัส จากนั้นใบหน้าเฒ่าชราก็มืดคล้ำลงทันทีสายตาเย็นเยียบลุ่มลึกของเขาจับจ้องไปที่ฉินซู ก่อนจะเปล่งวาจาชัดถ้อยคำ “ข้ามิสนว่าเจ้าเป็นใคร รีบคืนป้ายอาญาสิทธิ์ไท่เสวียนมาเสีย แล้วจงตัดแขนตนทั้งสองข้าง เรื่องที่เจ้าทำร้ายเซวียหมิงจะถือว่าเลิกแล้วต่อกัน”ฉินซูยักไหล่กล่าวว่า “อายุก็มาก ไฉนยังพูดจาไร้เดียงสาเช่นนี้ หรือว่าคนของสำนักไท่เสวียนของพวกเจ้าทุกคนเป็นพวกไร้สมองเหมือนเจ้ากันหมด?”ในดวงตาของชายชราเผยจิตสังหารแวบหนึ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าอยากตายหรือไร?”“ข้าพูดไปตามความจริงเท่านั้น แม้ว่าข้าจะตัดแขนทั้งสองข้างตามที่เจ้าพูด เจ้าอาจจะปล่อยข้าไป แต่จ้าวอวี้เสวียนมิยอมปล่อยแน่ เพราะข้าสังหารราชวงศ์จ้าว
ดวงตาของฉินซูเบิกกว้าง เมื่อเห็นภาพมหัศจรรย์นี้ทำแบบนี้ได้ด้วยหรือนี่?จากนั้นเขาก็ปล่อยกระแสพลังฝ่ามือออกมาอีกหลายครั้ง พยายามจะทำลายโล่จำแลงจากป้ายอาญาสิทธิ์นั้นลง แต่กลับพบว่าหลังจากโจมตีติดต่อกันหลายครั้งป้ายอาญาสิทธิ์นั้นก็ยังคงแข็งแกร่งราวกับหินผาป้ายอาญาสิทธิ์นั่นเป็นของวิเศษ!เมื่อคิดได้ดังนั้น ดวงตาของฉินซูก็เป็นประกายในทันที ใบหน้าฉายแววละโมบสิ่งที่เขาขาดแคลนมากที่สุดในยามนี้ก็คือของวิเศษคุ้มภัยเช่นนี้บัดนี้คงต้องคิดหาวิธีแล้ว!เขาเหลือบมองไปรอบ ๆ แล้วถามด้วยใบหน้าเปี่ยมด้วยความสงสัยว่า “จ้าวอวี้เสวียน ป้ายอาญาสิทธิ์ของเจ้า เป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของผู้บำเพ็ญตนใช่หรือไม่?”“เจ้ารู้เรื่องผู้บำเพ็ญตนด้วยหรือ?!” สีหน้าของจ้าวอวี้เสวียนยิ่งทวีความประหลาดใจ“ข้าต้องรู้อยู่แล้วสิ ในเมื่อพวกเจ้าเป็นพวกผู้บำเพ็ญตน จะปลิดชีพพวกเจ้าให้หมดสิ้นย่อมเป็นการยาก พวกเจ้าไปซะ วันนี้ข้าจะมิฆ่าพวกเจ้า”เมื่อได้ยินเช่นนั้น จ้าวอวี้เสวียนก็ดีใจมากนางยื่นนิ้วเรียวยาวขาวผ่องแตะป้ายอาญาสิทธิ์ ป้ายอาญาสิทธิ์นั้นก็หดวูบคืนสู่ขนาดเดิมแล้วตกลงมาบนฝ่ามือนางในขณะที่จ้าวอวี้เสวียนกำลังจะประค
เห็นที่ทรวงอกของเซวียหมิงปรากฏแสงสีทองวาบขึ้นอย่างกะทันหัน และรวมตัวกันเป็นคำว่า 'เสวียน' ขนาดใหญ่!กระแสพลังฝ่ามืออันรุนแรงของฉินซูเมื่อสัมผัสกับอักษร 'เสวียน' ดังกล่าว ก็สลายหายไปกลางอากาศในพริบตา“หือ?”ฉินซูอุทานด้วยความประหลาดใจ มองภาพอันน่าพิศวงนี้ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเต็มใบหน้าสีหน้าของจ้าวอวี้เสวียนเปลี่ยนไปฉับพลัน รีบถามขึ้น “ศิษย์พี่รอง ท่านเป็นกระไรหรือไม่?”เซวียหมิงส่ายหน้า เขาอ้าปากกำลังจะพูดบางอย่างแต่แล้วก็กระอักเลือดออกมาคำโตยามนี้ กระดูกแขนทั้งสองข้างของเขาหักเป็นหลายท่อน ลมปราณในร่างกายก็ปั่นป่วนราวกับน้ำเดือด ใบหน้าซีดเผือดจนไร้สีเลือดจ้าวอวี้เสวียนตกใจมาก จากนั้นก็ตวาดใส่ฉินซูว่า “เจ้าองค์รัชทายาทผู้รอวันปลด เจ้ากล้าทำร้ายศิษย์พี่ของข้า เจ้าต้องตาย สำนักไท่เสวียนของข้าจะมิปล่อยเจ้าไปเด็ดขาด!”“พวกเจ้าเป็นฝ่ายลงมือก่อน บัดนี้ฝีมือมิทัดเทียมผู้อื่น ยังกล้าปากพล่อย คิดว่าตัวข้าสังหารพวกเจ้ามิได้หรือ?”เมื่อสิ้นเสียงของฉินซู เขาก็ตบฝ่ามือข้ามห้วงเวหาออกไปอีกครามวลอากาศโดยรอบปั่นป่วน จากนั้นเงาฝ่ามือแข็งแกร่งราวกับวัตถุจริงก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว“ศิษย
จ้าวอวี้เสวียนพยักหน้า จากนั้นทั้งสองก็เตรียมจะใช้วิชาตัวเบาหนีไปทว่าในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงแผ่วเบาเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลังของทั้งสองพวกเขาทั้งสองหันกลับไปมองโดยสัญชาตญาณ ก็ต้องตกใจจนถอยกรูดไปหลายก้าว เมื่อตั้งหลักได้แล้วก็มองฉินซูที่โผล่มากะทันหันด้วยท่าทีระแวดระวังราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูร้ายฉินซูไพล่มือไว้ด้านหลังพลางพินิจมองทั้งสองด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็นรูปร่างหน้าตางดงามราวดอกท้อของจ้าวอวี้เสวียน และรัศมีแห่งความสูงศักดิ์ที่แผ่ออกมาจากตัวนาง ฉินซูเลิกคิ้วถามว่า “จ้าวอวี้เสวียนหรือ?”จ้าวอวี้เสวียนมีสีหน้าประหลาดใจ พลันถามกลับเสียงหลงว่า “เจ้ารู้จักข้าด้วยหรือ?!”ฉินซูหัวเราะน้อย ๆ “เป็นเจ้าจริง ๆ ด้วย ครั้นที่อยู่ในถัวเฉิง ข้าได้ยินคนพูดถึงองค์หญิงอวี้เสวียนบ่อยครั้งว่ามีรัศมีสูงส่ง งดงามน่าหลงใหล วันนี้ได้เห็นกับตา จริงดังคำว่าแล้ว”“เจ้ามิเคยพบข้า ไยจึงรู้ว่าข้าเป็นใคร?”“เจ้ากับข้าต่างก็เป็นเชื้อพระวงศ์ ลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ของหน่อเนื้อราชวงศ์นั้นเห็นได้ชัดเจน คำถามเช่นนี้จำเป็นต้องถามด้วยรึ?”จ้าวอวี้เสวียนใคร่ครวญแล้วก็เห็นด้วย จึงกัดฟันกล่าวว่า “ฉินซู เจ้าสังหารเช
เหยียนซงใจเต้นระรัว รีบกล่าวว่า “ตราบใดที่องค์รัชทายาททรงเมตตาไว้ชีวิตเหล่าข้าน้อย ข้าน้อยยินดีถวายสมบัติล้ำค่าของสำนักอสนีบาตให้พ่ะย่ะค่ะ”ฉินซูมีสีหน้าประหลาดใจ “โอ้? สมบัติกระไร?”เหยียนซงรีบควักกล่องไม้เล็ก ๆ สลักลวดลายงดงามออกมาจากอกเสื้อ “องค์รัชทายาท นี่คือแผนที่ขุมทรัพย์ที่สืบทอดมาจากปฐมาจารย์ของสำนักอสนีบาต ว่ากันว่าในขุมทรัพย์นั้นมีทองคำ เงินและอัญมณีมากมายฝังอยู่ อีกทั้งยังมีคัมภีร์สุดยอดวิชาลับ นี่คือสมบัติล้ำค่าที่สุดของสำนักอสนีบาตเสมอมา ข้าน้อยยินดีมอบให้องค์รัชทายาทด้วยความเต็มใจพ่ะย่ะค่ะ”เขาพูดพลางยกกล่องไม้นั้นทูนขึ้นเหนือศีรษะด้วยสองมือฉินซูโบกมือขึ้นกลางอากาศ กล่องไม้นั้นก็ลอยมาอยู่ในมือของเขาโดยตรงเมื่อเห็นว่าฉินซูสามารถใช้พลังจิตเคลื่นย้ายได้ เหยียนซงก็ยิ่งตกใจหนักกว่าเดิมฉินซูเปิดกล่องไม้นั้น ด้านในมีหนังวัวสีเหลืองซีดเมื่อคลี่หนังวัวออก ข้างในก็เป็นแผนที่“ขุมทรัพย์ที่เจ้าพูดถึง อยู่ที่เป่ยเยี่ยนหรือ?”เนื่องจากเขากวาดตามองซ้ายขวาแล้วพบว่าส่วนล่างสุดของแผนที่คือเมืองที่อยู่ตอนเหนือสุดของต้าเหยียน และเหนือขึ้นไปอีกก็คือดินแดนเป่ยเยี่ยนเหยียนซงพยัก