ชิวก่วนประสานมือรับคำ ก่อนจะเตรียมเดินออกไปสั่งการในเวลานี้เอง ทหารนายหนึ่งก็เดินเข้ามา ประสานมือกล่าวอย่างนอบน้อม “ท่านแม่ทัพใหญ่ ด้านนอกมีสตรีผู้หนึ่งมาขอพบ บอกว่ามีธุระสำคัญจะหารือกับท่านขอรับ”ฉงชูโม่ขมวดคิ้วมุ่น แต่คล้ายกับนึกกระไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงกล่าวว่า “เชิญนางเข้ามาเถิด”ครู่หนึ่งต่อมา สตรีผู้หนึ่งรูปโฉมงดงามก็ถูกนำตัวเข้ามานางคือมู่หรงจื่อเยียน!ฉงชูโม่เหลือบมองนางผาดหนึ่ง ก่อนจะเชิดคางขึ้นเล็กน้อย “ว่ามา มีธุระอันใดกับข้า?”“ก่อนที่องค์รัชทายาทจะออกจากเมือง พระองค์ฝากฝังให้ข้านำสาส์นฉบับนี้มามอบให้แก่ท่าน”มู่หรงจื่อเยียนกล่าวพลางหยิบสาส์นฉบับหนึ่งออกมาจากอกเสื้อและยื่นให้อีกฝ่ายฉงชูโม่คลี่สาส์นออกอ่าน เพียงชั่วครู่ นางก็มีสีหน้าประหลาดใจอย่างยิ่ง!เมื่ออ่านสาส์นจบ นางก็ร้อนรนใจราวกับมดในกระทะร้อน เมื่อเห็นดังนั้น ชิวก่วนก็รีบเอ่ยถาม “ท่านแม่ทัพใหญ่ องค์รัชทายาททรงมีพระราชสาส์นมาว่ากระไรหรือขอรับ?”“พระองค์...”ฉงชูโม่กำลังจะเอ่ยปาก ทว่าเมื่อนึกถึงความสำคัญของเรื่องนี้ นางจึงกล้ำกลืนคำกล่าวที่ริมฝีปากกลับลงไปนางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ กล่าวว่า “องค์รัชทายา
มู่หรงจื่อเยียนขมวดคิ้วเรียวงามเล็กน้อย และถามกลับ “วรยุทธ์ของฉินซูเป็นเช่นไร ท่านกลับมิรู้หรือ?”ฉงชูโม่สั่นศีรษะเล็กน้อย “ข้าเพียงแต่สงสัยว่าเขาลอบฝึกวรยุทธ์อยู่ลับ ๆ แต่วรยุทธ์ที่แท้จริงของเขานั้นเป็นเช่นไรข้าก็มิอาจทราบได้จริง ๆ แต่เมื่อฟังจากคำพูดของเจ้า ดูท่าเจ้าจะรู้เรื่องราวอยู่มิใช่น้อย ช่วยเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่?”“ข้ารู้เพียงแต่ว่าฉินซูสามารถใช้ฝ่ามือเพียงข้างเดียวสังหารคนให้แหลกเหลวเป็นจุณได้ วรยุทธ์จะแข็งแกร่งถึงเพียงใด ท่านก็ลองคิดเอาเองเถิด”“เจ้าว่ากระไรนะ? ฝ่ามือเดียวสังหารคนให้แหลกเหลวเป็นจุณ?” ฉงชูโม่ตกตะลึงจนตาค้าง แม้แต่ยังสงสัยว่าตนเองหูฝาดไปหรือไม่“ถูกต้อง หนานกงจื่อชินและเหล่าผู้อาวุโสแห่งหอดารารักษ์ ล้วนแล้วแต่ต้องมาสิ้นชีพด้วยน้ำมือของฉินซู อีกทั้งเขายังหลบหนีจากการไล่ล่าของเจ้าสำนักหอดารารักษ์มาได้สำเร็จ”“ฮึก!!!”ฉงชูโม่อดมิได้ที่จะสูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าไปเต็มปอดวรยุทธ์ของหนานกงจื่อชินมิอาจเทียบเคียงได้ แม้แต่วรยุทธ์ของผู้อาวุโสแห่งหอดารารักษ์ นางก็ยังมิได้ล่วงรู้มากนักแต่วรยุทธ์ของเจ้าสำนักหอดารารักษ์นั้น เทียบเคียงได้กับหัวหน้าโหรหลวงภายใต้ก
“ข้าเองก็หวังให้เป็นเช่นนั้น อย่างน้อยข้าก็ยังมีโอกาสที่จะได้เป็นฮองเฮา”ฉงชูโม่นึกปลาบปลื้มใจ ความรู้สึกหดหู่ใจก่อนหน้านี้พลันมลายหายสิ้นไปมิน้อยนางเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย มองมู่หรงจื่อเยียนอย่างเย่อหยิ่ง “หึ เจ้าเป็นเพียงท่านหญิงต่างแคว้น จะเป็นฮองเฮาแห่งต้าเหยียนได้อย่างไร เจ้าได้รับความรักความเมตตาจากฉินซู ก็ควรจะพอใจได้แล้ว”“เช่นนั้นในวันหน้าหากท่านได้เป็นฮองเฮา ท่านต้องเมตตาดูแลข้ามาก ๆ ข้ามิอยากจะถูกสตรีคนอื่น ๆ ของฉินซูข่มเหงรังแก”ฉงชูโม่ตบหน้าอก กล่าวอย่างองอาจ “ตราบใดที่เจ้ามิคิดเป็นศัตรูกับข้า ในภายภาคหน้าข้าจะคุ้มครองเจ้าเอง!”“ฮิ ๆ เช่นนั้นข้าก็ต้องขอขอบคุณพี่หญิงชูโม่ล่วงหน้าแล้วเจ้าค่ะ”มู่หรงจื่อเยียนยิ้มหวาน คารวะฉงชูโม่เล็กน้อยฉงชูโม่กระแอมไอสองครั้ง ทำสีหน้าให้สงบลง กล่าวว่า “เรื่องพวกนี้ยังมิเกิดขึ้น อย่าเพิ่งกล่าวถึงมันเลย หวังเพียงเขาจะกลับมาในเร็ววัน อย่าให้ข้าต้องพะว้าพะวังเป็นห่วงเขาทุกเมื่อเชื่อวันเลย”“วางใจเถิด วรยุทธ์ของฉินซูแข็งแกร่งถึงเพียงนั้น มิว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคใด เขาก็จะต้องเอาตัวรอดมาได้อย่างปลอดภัยแน่นอน”“หวังให้เป็นเช่นนั้นเ
“ระเบิดสายฟ้า!!”เมื่อเห็นลูกกลม ๆ ที่ฉินซูหยิบออกมา ตงฟางไป๋ก็อุทานออกมาด้วยความตกใจเดิมทีเขาคิดว่า ระเบิดสายฟ้าชนิดนี้ฉินซูคงใช้จนหมดแล้วฉินซูหัวเราะในลำคอ “ไปเถิด ทำการลับ ๆ หน่อย ขู่ขวัญให้พวกเติ้งหม่างตกใจกลัวไปซะ!”“น้อมรับบัญชา!”ตงฟางไป๋และตงฟางโซ่วรับระเบิดสายฟ้ามา ก่อนจะหันหลังเดินจากไปพวกเขาทั้งสองจากไปได้มินาน โจวฉางก็เดินเข้ามาเขาก้าวเข้าไปคำนับฉินซูอย่างนอบน้อม “ท่านผู้อาวุโสตงฟาง ท่านแม่ทัพใหญ่มีเรื่องจะเรียนเชิญท่านไปพบขอรับ”“อืม!”ฉินซูขานรับคำ ก่อนจะติดตามโจวฉางไปยังกระโจมทหารของเติ้งหม่างภายในกระโจมทหาร หูก่วงเซิงก็ยังคงอยู่ที่นี่เช่นเดียวกัน เขายังให้เกียรติฉินซูด้วยการคารวะคำนับเล็กน้อยฉินซูมิได้ชายตามองเขาแม้แต่ผาดเดียว หากแต่หันไปเอ่ยถามเติ้งหม่าง “ท่านแม่ทัพเติ้งเชิญข้ามาพบมีธุระอันใดหรือ?”เติ้งหม่างกล่าวอย่างนอบน้อม “เป็นดังที่ท่านผู้อาวุโสกล่าวไม่มีผิด ข้าน้อยมีเรื่องบางประการใคร่ขอคำชี้แนะจากท่าน”ฉินซูพยักหน้าเล็กน้อย เป็นสัญญาณให้เขาว่าต่อไป“เรื่องราวเป็นเช่นนี้ เมื่อครู่พวกเรานับพลทหารแต่ละกอง แม้เมื่อคืนจะประสบกับความพ่ายแพ้ยับเยิน
“ต่อให้กองทัพต้าเหยียนจะจงใจแสร้งทำทีเพื่อขู่ขวัญพวกเรา ท่านสามารถต้านทานระเบิดสายฟ้าและธนูทดกำลังได้หรือไม่เล่า? หากมิอาจทำได้ การยกทัพกลับในยามนี้ อีกทั้งการทูลรายงานเรื่องราวนี้ต่อจักรพรรดิแห่งหนานเยวี่ยของท่านย่อมเป็นหนทางที่ดีที่สุดหากยังคงดึงดันอยู่ที่นี่ต่อแล้วต้องเผชิญหน้ากับการซุ่มโจมตีของกองทัพต้าเหยียนอีกครา เกรงว่ากำลังพลนับแสนในมือของท่านจะต้องสูญเสียไปอีกมิใช่น้อย ถึงเวลานั้นท่านจะชี้แจงต่อจักรพรรดิของท่านอย่างไร?”ในที่สุดเติ้งหม่างก็พยักหน้าตามการโน้มน้าวอย่างมีหลักการของฉินซู“ท่านผู้อาวุโสช่างมีวิสัยทัศน์กว้างไกล หลังจากกลับถึงราชสำนัก ข้าจะทูลขอให้แต่งตั้งท่านผู้อาวุโสเป็นกุนซือให้จงได้ ถึงเวลานั้นเราทั้งสองจะร่วมมือกัน บดขยี้กองทัพต้าเหยียนให้สิ้นซาก และความแค้นอันใหญ่หลวงของท่านผู้อาวุโสก็จะได้รับการสะสางเสียที”ในใจฉินซูพลันปลาบปลื้มใจ ทว่าสีหน้าภายนอกกลับสงบนิ่งราวกับผิวน้ำในทะเลสาบ“ตราบใดที่ล้างแค้นได้ การเป็นกุนซือให้พวกท่านก็มิใช่เรื่องที่เหลือบ่ากว่าแรง”เติ้งหม่างปลาบปลื้มยินดีเป็นอย่างยิ่ง “ดีเหลือเกินที่ท่านผู้อาวุโสตอบรับเช่นนั้น ขอท่านโปรดวางใจ ฝ
แม้แต่จ้าวควงบนบัลลังก์มังกร เมื่อมองฉินซู แววตายังทอประกายร้อนแรงขึ้นหลายส่วน!จอมยุทธ์ระดับสวรรค์ นับเป็นตัวช่วยที่หายากยิ่ง!เขาส่งยิ้มอ่อนโยนให้กับฉินซู “ท่านผู้อาวุโสช่วยเหลือแม่ทัพคนโปรดของข้า ข้าจะตอบแทนท่านอย่างงาม แต่ก่อนหน้านั้น ข้ายังอยากทราบชื่อแซ่ของท่านผู้อาวุโสสักหน่อย อีกทั้งมาจากแห่งหนใดหรือ?”ฉินซูประสานมือคารวะ “ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยแซ่ตงฟาง นับแต่เยาว์วัยก็ติดตามผู้คนพเนจรไปทั่วทุกสารทิศ ด้วยเหตุนี้ชื่อแซ่และถิ่นกำเนิดของข้าน้อยเองก็จำมิได้ ภายหลังเมื่อก้าวเข้าสู่ยุทธภพจวบจนบัดนี้ยังมิเคยพานพบความปราชัย ด้วยเหตุนี้ผู้คนในยุทธภพจึงขนานนามข้าน้อยว่าปู้ป้ายพ่ะย่ะค่ะ”จ้าวควงมีสีหน้าประหลาดใจ “ตงฟางปู้ป้าย? นามของท่านผู้อาวุโสช่างทรงพลังเสียจริง!!”ฉินซูแย้มยิ้มอย่างกระดากอาย “ล้วนแล้วแต่เป็นเพียงชื่อเสียงลมปากเท่านั้น ขออภัยที่ทำให้ฝ่าบาทต้องรับรู้เรื่องน่าขันเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”“โอ้ ท่านผู้อาวุโสถ่อมตัวเกินไปแล้ว แม้จอมยุทธ์ระดับสวรรค์จะหายากดุจขนหงส์เขากิเลน หากแต่ท่านผู้อาวุโสท่องยุทธภพโดยมิเคยพานพบคู่ต่อสู้ที่ทัดเทียมได้ ย่อมเพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าพละกำลังของท่าน
“กราบทูลฝ่าบาท อย่างเร็วที่สุดอ๋องฉู่น่าจะได้รับสาส์นในวันพรุ่ง ส่วนสาส์นตอบกลับของพระองค์ คาดการณ์ว่าคงต้องใช้เวลาอีกหลายวันกว่าจะส่งกลับมาถึง ขอฝ่าบาทโปรดทรงอดทนรอ!”“เอาเถิด ช่วงสองสามวันนี้ให้เหล่าทหารได้พักผ่อนหย่อนใจให้เต็มที่เสียก่อนก็แล้วกัน”จ้าวควงพูดจบ ก็จ้องมองฉินซู “ท่านผู้อาวุโส หากอ๋องฉู่ทรงยินยอมที่จะพบปะหารือ อย่างไรคงต้องรบกวนท่านผู้อาวุโสติดตามแม่ทัพเติ้งไปด้วยกัน และช่วยให้คำชี้แนะแก่เขาด้วย”ฉินซูรับคำอย่างยินดี “ข้าน้อยน้อมรับพระบัญชา!”ราวหนึ่งเค่อต่อมา ฉินซูก็เดินออกมาจากพระราชสถานหนานเยวี่ยเมื่อเขากลับมาถึงโรงพักม้า ตงฟางไป๋ก็กุลีกุจอเข้ามาสอบถาม“องค์… อะแฮ่ม หัวหน้าใหญ่ สถานการณ์คืบหน้าไปถึงขั้นใดแล้วขอรับ?”ฉินซูกล่าวอย่างอารมณ์ดี “ทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ตอนนี้เราแค่ต้องรอคอยการตอบรับจากฉินอวี่!”“หากเป็นเช่นนั้นนับว่าเป็นเรื่องดีเกินคาด แต่คาดมิถึงว่าอ๋องฉู่จะกล้าคิดก่อการกบฏ หากเรื่องนี้ถูกเปิดโปง ใคร ๆ ย่อมรู้ว่าต้องหัวหลุดจากบ่าเป็นแน่”เพียงคิด ตงฟางไป๋ก็รู้สึกขวัญผวาจนแทบตั้งสติมิอยู่ฉินซูหรี่ดวงตาลงเล็กน้อย แล้วพึมพำว่า “หากเรื่อง
เมืองหลงเฉิง ต้าเหยียนภายในจวนอ๋องฉู่ ฉินอวี่ก้มหน้าก้มตาอ่านสาส์นในมือ พลันตกอยู่ในภวังค์ความคิดผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง สีหน้าของเขาก็พลันแน่วแน่ขึ้นมาทันใด เขาผุดลุกขึ้นจากที่นั่ง ก้าวเท้าออกจากประตูจวนอย่างรวดเร็วมิช้า เขาก็เดินทางมาถึงหน้าจวนเสนาบดีกรมกลาโหมเมื่อบ่าวรับใช้เฝ้าประตูเห็นฉินอวี่ ก็ตกใจสะดุ้งโหยง รีบคุกเข่าลงคำนับฉินอวี่โบกมือ “มิต้องมากพิธี รีบเข้าไปแจ้งเถิด บอกว่าข้ามีธุระสำคัญจะพบเสนาบดีเหวิน”“เชิญเสด็จเข้าไปรอด้านในก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยจะรีบไปรายงานให้ทราบ”บ่าวรับใช้ค้อมกายคารวะก่อนจะหันหลังเดินเข้าไปด้านในส่วนฉินอวี่ก็เดินทางไปยังห้องโถงเพื่อรอคอยผ่านไปชั่วครู่ เหวินเยวี่ยนซานก็กุลีกุจอเดินเข้ามา“โอ้ ท่านอ๋องฉู่ ช่างเป็นแขกที่พบได้ยากยิ่ง เชิญพ่ะย่ะค่ะ เชิญประทับด้านในก่อนพ่ะย่ะค่ะ”เขากล่าวเชื้อเชิญฉินอวี่ให้นั่งลง พร้อมกับตะโกนออกไปนอกประตู “ใครก็ได้ รีบรินชามาถวายเร็วเข้า!”รอจนกระทั่งบ่าวรับใช้นำชามารินให้ เหวินเยวี่ยนซานจึงเอ่ยถาม “วันนี้ท่านเสด็จมาถึงจวนของข้าน้อย มีสิ่งใดจะชี้แนะหรือพ่ะย่ะค่ะ?”ฉินอวี่จิบชาเล็กน้อย กล่าวเสียงเรียบ “มิบ
เซวียหมิงมองไปยังทิศทางที่ฉินซูและพรรคพวกจากไปพลางพึมพำกับตัวเอง“คิดมิถึงเลยว่าจะได้เจอกับคนที่สามารถกลืนกินปราณเลือดอาถรรพ์ได้ จีอันหรือ? ข้าจะจำเจ้าเอาไว้!”“แล้วก็ฉินซู เจ้าคอยข้าก่อนเถอะ สักวันข้าจะทำให้เจ้าทุกข์ทรมานจนอยู่ต่อมิไหว จะตายก็มิได้!”“แค่นี้ก็น่าจะพอให้ข้าใช้แล้ว”เขาพูดพลางมองลูกแก้วสีแดงอมม่วงในมือภายในลูกแก้วนั้นคือปราณเลือดอาถรรพ์จุดประสงค์ของการเดินทางครั้งนี้ของเขาคือต้องการหามหาปุโรหิตแห่งสำนักจันทราโรหิต เพื่อขอยืมปราณเลือดอาถรรพ์มาใช้แต่เมื่อเข้าใกล้บริเวณนี้ ก็เห็นเฉินซีถูกฉงชูโม่ล่อลวงไปแล้ว ส่วนสาวกของสำนักจันทราโรหิตก็บาดเจ็บล้มตายกันเป็นเบือ เขาจึงฉวยโอกาสจัดการสาวกที่เหลือของสำนักจันทราโรหิต จากนั้นก็เข้าไปในถ้ำจนได้พบกับแท่นบูชาต่อมาก็ฉวยโอกาสที่ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยมิทันระวังจัดการอีกฝ่ายจนสลบไป และเก็บรวบรวมปราณเลือดอาถรรพ์เหล่านี้ได้อย่างง่ายดายจากนั้นเซวียหมิงก็หันหลังเดินออกจากที่นี่ไปเช่นกันขณะที่เขาเดินผ่านป่าแห่งหนึ่ง จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าเท้าเหยียบเข้ากับบางสิ่งบางอย่างเมื่อก้มลงมอง ก็พบว่าเป็นขลุ่ยกระดูกสีขาวบริสุทธิ์เขายกมันขึ้นมาด
ในเวลานี้ แสงสีเลือดใต้รอยแตกของผนึกได้หายไปหมดจนแล้ว เหลือเพียงความมืดมิดจีอันลูบก้นพลางเดินเข้ามาเขาหยิบกระดาษยันต์สีเหลืองสองแผ่นออกมาจากอกเสื้อแล้วแปะลงบนรอยแตกของผนึกนั้นลงไปจากนั้นก็เดินไปข้าง ๆ ยกก้อนหินขนาดใหญ่กว่าวัวทั้งตัวขึ้นมาวางทับกระดาษยันต์ทั้งสองแผ่นนั้นไว้ฉินซูได้แต่มองตาค้าง ก้อนหินนั้นอย่างน้อยก็หนักสักตันสองตันกระมัง แต่จีอันกลับยกมันขึ้นมาได้ด้วยมือเปล่าเขามองด้วยความสงสัยเต็มใบหน้าแล้วถามว่า “จีอัน ตอนนี้เจ้าอยู่ระดับใด?”“ข้าน้อยมิรู้ อาจารย์มิได้บอกข้าน้อย”“มิจริงน่า? ระดับของตัวเจ้าเอง เจ้าจะมิรู้ได้อย่างไร?”จีอันพยักหน้าอย่างซื่อ ๆ แล้วถามกลับว่า “ปราณบริสุทธิ์ภายในของท่านเข้มข้นและประหลาดถึงเพียงนี้ พระองค์เล่าอยู่ระดับใด?”ฉินซูยักไหล่ “ข้าก็มิแน่ใจ”“หึ มิพูดก็ช่าง ท่านแข็งแกร่งเพียงนี้ อาจารย์คงแก่จนเลอะเลือนแล้ว ถึงให้ข้าน้อยลงใต้มาคุ้มครองท่าน”จีอันบ่นพึมพำแล้วย่อเข่าลง จากนั้นร่างก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าดุจกระสุนปืนใหญ่ ชั่วพริบตาก็กระโจนขึ้นไปข้างบนฉินซูอดสงสัยมิได้ว่า เจ้านี่น่าจะเลือกเส้นทางสายฝึกกาย มิฉะนั้นจะหนังหนาถึงเพียงนี้ได้อย
ท่ามกลางสายตาที่อยากรู้อยากเห็นของฉินซู ร่างของจีอันก็พุ่งลงไปราวกับกระสุนปืนใหญ่ กระแทกเข้ากับพื้นหุบเหวลึกเบื้องล่าง'ปัง' เสียงดังสนั่น พื้นดินถูกกระแทกจนเกิดหลุมขนาดใหญ่แต่จีอันกลับมิได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย!พลันเห็นเขาปีนขึ้นมาจากหลุมแล้วตบ ๆ ปัดฝุ่นออกจากตัวอย่างมิยี่หระราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อเห็นภาพนั้น ฉินซูยกย่องเขาอย่างสุดซึ้ง ถามด้วยความสงสัยว่า “ชูโม่ จีอันผู้นี้หนังหนาไปหน่อยกระมัง? เขาอยู่ระดับใดหรือ?”“หม่อมฉันก็มิแน่ใจ แต่ในบรรดาศิษย์ทั้งเจ็ดคนของหัวหน้าโหรหลวงเขาแข็งแกร่งที่สุดแล้วเพคะ”“เช่นนี้นี่เอง เจ้าอยู่ดูแลตู๋กูโฉ่วเยวี่ยที่นี่ไปนะ ข้าจะลงไปช่วยเขา”ฉินซูพูดจบก็กระโดดลงไปเช่นกันต่างจากจีอัน ฉินซูในยามนี้ราวกับขนนกเบาหวิวที่ลอยลงไปอย่างแผ่วเบาเมื่อมาถึงก้นหุบเหว เขาก็ตกใจเมื่อพบว่าพื้นของแท่นบูชานี้เต็มไปด้วยอักขระเวทสีแดงในยามนี้อักขระเวทเหล่านี้ล้วนเปล่งแสงสีแดงเลือด ทั้งมีเสน่ห์แบบลึกลับและทั้งแปลกประหลาดจีอันมองฉินซูผาดหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ท่านคอยอยู่ตรงนั้น อย่าเข้ามา”พูดจบเขาก็สาวเท้าเข้าไปหาแสงโลหิตนั้นอย่างรวดเร็ว
แรงกดดันน่าสะพรึงกลัวที่แฝงอยู่ในนั้น แม้จะอยู่ห่างไกลก็ยังรับรู้ได้อย่างชัดเจนฉินซูกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ท้องฟ้าเกิดปรากฏการณ์ประหลาด เกรงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่แล้ว มิควรอยู่ที่นี่แล้ว รีบไปกันก่อนเถิด”“มิได้ ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยยังอยู่ที่เขาหัวสิงห์ ที่นั่นต้องเกิดเรื่องกระไรขึ้นแน่ รีบไปดูกันเถิดเพคะ”ฉงชูโม่ยังมิทันจะพูดจบ ก็ใช้วิชาตัวเบาพุ่งไปยังทิศทางของเขาหัวสิงห์แล้วเมื่อเห็นเช่นนั้น ฉินซูก็จำต้องตามไปด้วยเมื่อสังเกตว่าความเร็วของฉงชูโม่เร็วกว่าเดิมมาก ฉินซูก็อุทานด้วยความประหลาดใจว่า “ชูโม่ มิได้เจอกันนาน พลังของเจ้าเพิ่มขึ้นเร็วถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?”“หม่อมฉันกินโอสถลับของสำนักหอดูดาวหลวง โอสถลูกกลอนนั้นสามารถเพิ่มความคล่องแคล่วของกระบวนท่าได้เพคะ”“เช่นนี้นี่เอง!”ฉินซูจดจำเรื่องนี้ไว้ในใจเงียบ ๆทั้งสองใช้ทักษะการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วราวกับภูตผี เพียงแค่ชั่วครู่ก็มาถึงตีนเขาหัวสิงห์เมื่อเงยหน้ามอง แสงสีแดงฉานที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้ายังคงแรงกล้ามิได้เจือจางลงแม้แต่น้อย ในความว่างเปล่านั้นเต็มไปด้วยเมฆดำและเสียงฟ้าร้องดังสนั่นเมื่อเห็นสถานการณ์อันน่าพิศวงนี้ ฉินซูก็
ฉินซูกล่าวด้วยท่าทางจริงจังว่า “เฮ้อ เจ้าอย่าได้หึงหวงนักเลย เจ้าเป็นถึงพระชายาองค์รัชทายาทของข้านะ”“ถุย ใครเขาตอบตกลงเป็นพระชายาองค์รัชทายาทของท่านกัน อย่าแม้แต่จะคิดเชียว”“ชูโม่อย่าล้อเล่นสิ ข้าพูดจริงนะ เจ้ายังมิเข้าใจความรู้สึกที่ข้ามีต่อเจ้าอีกหรือ?”ฉงชูโม่หยุดเดิน พลันหันขวับกลับไปกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ฉินซู หากท่านมิอยากให้ฝ่าบาททรงระแวง ท่านก็ควรกลืนคำพูดเมื่อครู่นี้กลับลงท้องไปเสีย”ฉินซูขมวดคิ้ว “ข้าชอบเจ้า แล้วมันผิดด้วยหรือ?”เมื่อเห็นฉินซูแสดงความในใจ ฉงชูโม่ก็อดมิได้ที่จะรู้สึกยินดีเล็กน้อย แต่ก็ยังคงส่ายหน้าพลางอธิบายอย่างอดทน“ผิดสิเพคะ ท่านลองไตร่ตรองดู ท่านเป็นถึงองค์รัชทายาท กลับคิดจะรับแม่ทัพขั้นหนึ่งมาเป็นพระชายาองค์รัชทายาท หากองค์จักรพรรดิทรงทราบเรื่องนี้ พระองค์จะทรงรู้สึกอย่างไร? อย่าลืมว่าเรื่องวันชุนเฟินปีหน้ายังมิจบสิ้น ดังนั้นมิว่าจะมองอย่างไร ยามนี้ก็มิใช่เวลาที่จะพูดถึงเรื่องนี้เพคะ”“แต่… แต่ข้าได้ยึดครองหนานเยวี่ยทั้งหมดมาเป็นของต้าเหยียน ด้วยความดีความชอบเช่นนี้ การรับเจ้ามาเป็นพระชายาองค์รัชทายาทก็มิ...”ยังมิทันที่ฉินซูจะพูดจบ เขาก็เข
เมื่อเห็นว่าศพแห้งทำกระไรฉินซูมิได้ เสียงขลุ่ยของเฉินซีก็เปลี่ยนทำนองกะทันหัน ศพแห้งเหล่านั้นหันหลังวิ่งหนีป่าราบทันที“ชีวิตน้อย ๆ ของเจ้ากับศพแห้งเหล่านี้ ข้าจะเอาไปทั้งหมด!”เมื่อฉินซูพูดจบ ก็ตบฝ่ามือใส่เฉินซีรูม่านตาของเฉินซีหดเล็กลง ยังมิทันได้ลงมือก็ 'ฟู่' ถูกตบจนกลายเป็นหมอกเลือดในทันใดเมื่อเห็นเช่นนั้น ชายชุดดำก็ใจหายวาบ รีบวิ่งหนีสุดชีวิตโดยมิลังเลฉินซูหัวเราะเย็นชา จากนั้นก็โบกมือชายชุดดำวิ่งออกไปได้มิไกลนัก ร่างก็ชะงักกึก จากนั้นก็ถูกแรงดึงดูดลากให้ลอยกลับไปยังมิทันเข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้น คอของเขาก็ถูกฉินซูบีบเอาไว้เสียแล้ว“บัดนี้เพิ่งคิดจะหนี มิคิดว่าสายเกินไปหน่อยรึ?” ฉินซูมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยชายชุดดำตกใจจนหน้าซีดเผือด กล่าวด้วยความยากลำบากว่า “อย่า อย่าฆ่าข้าเลย....”“ใครส่งเจ้ามา?”“ประ… ประมุขแห่งยุทธภพหนานเยวี่ย”ฉินซูหัวเราะเย็นชา “สำเนียงหลงเฉิงของเจ้าชัดถ้อยชัดคำเช่นนี้ ใกล้ตายแล้วยังคิดจะหลอกข้าอีกรึ? ในเมื่อเจ้ามิรู้สำนึก ข้าก็จะให้เจ้ารู้จักสิ่งที่เรียกว่าตายทั้งเป็น”เมื่อเขาพูดจบ ก็จิ้มไปที่จุดตันจงบนหน้าอกของชายชุดดำอย่างแรงเสี้ยวขณะต่
ชายชุดดำพยักหน้าขึงขัง “ข้าเห็นกับตาตัวเอง จะเป็นเรื่องเท็จได้อย่างไร”เฉินซีกลับหัวเราะแล้วส่ายหน้า กล่าวอย่างมิเห็นด้วยว่า “ตบยอดฝีมือระดับสวรรค์ให้กลายเป็นหมอกเลือดด้วยฝ่ามือเดียว เป็นไปได้อย่างไร ข้าว่านี่เป็นเพียงกลอุบายพวกภาพมายาเท่านั้น”ชายชุดดำคิดดูแล้วก็เห็นด้วยเฉินซีมองฉินซูอย่างดูถูก “เจ้ารัชทายาทผู้รอวันปลด ยามนี้ข้างกายข้ามียอดฝีมือระดับสวรรค์เพิ่มมาอีกคน เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว เจ้ายังมิรีบยอมจำนนแต่โดยดีอีก รอกระไรอยู่เล่า?”“ใช่แล้ว ฉินซู เจ้าฆ่าตัวตายไปเสียยังดีเสียกว่า เช่นนั้นจะได้มิต้องทนทุกข์ทรมานมากนัก”ฉินซูกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “พวกเจ้าสองคนพูดมากเกินไปแล้ว!”พูดจบ เขาก็หันกลับไปถามฉงชูโม่ว่า “จะเก็บไว้สอบปากคำหรือไม่?”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉงชูโม่ก็ชะงักไปแต่แล้วก็ส่ายหน้าส่วนเฉินซีโกรธขึ้งจนแค่นหัวเราะออกมาแทน “เจ้ารัชทายาทผู้รอวันปลด เจ้านี่ช่างปากกล้าเหลือเกิน สงสัยจะอวดอ้างเกินจริงเสียแล้วกระมัง ในเมื่อเจ้าอยากตายนัก ข้าก็จะให้เจ้าได้เห็นวิธีการอันน่าสะพรึงกลัวของสำนักจันทราโรหิตของข้า!”จากนั้นเขาก็หยิบขลุ่ยกระดูกออกมาจากอกเสื้อก่อ
เจ้าห้าเป็นจอมยุทธ์ระดับสวรรค์อย่างแท้จริง แต่กลับถูกฉินซูตบจนมิเหลือซาก แสดงให้เห็นชัดเจนว่าวรยุทธ์ของฉินซูน่าสะพรึงกลัวเพียงใดในฐานะที่เป็นจอมยุทธ์ระดับสวรรค์เช่นกัน เขาใช้วิชาตัวเบาหลบหนีอย่างสุดกำลัง ความเร็วยิ่งยวดจนน่าตกใจเช่นกันชั่วขณะหนึ่ง ฉินซูถึงกับตามมิทันได้ในทันทีแต่ยามนี้ฉินซูตั้งเป้าอีกฝ่ายไว้อย่างแน่วแน่ และไล่หลังตามติดไปอย่างมิยอมปล่อยหลังจากไล่ล่ากันไปได้ครึ่งชั่วยาม อีกด้านหนึ่งก็มีเสียงบันดาลดังขึ้นว่า “สารเลว หากมีฝีมือก็อย่าหนี ข้าจะให้เจ้าได้เห็นฤทธิ์เดชของสำนักจันทราโรหิตของข้าเสียบ้าง!”“หากเจ้ามีฝีมือก็อย่าตามมาสิ!”เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยนี้ ฉินซูก็มิได้ไล่ตามชายชุดดำคนนั้นต่อไป แต่กลับพุ่งไปยังต้นทางของเสียงนั้นมินานนัก ร่างที่คุ้นเคยก็ปรากฏแก่สายตาฉินซูกระโดดออกมาจากหลังต้นไม้ ถามด้วยความประหลาดใจว่า “ชูโม่ เกิดอันใดขึ้น?”“องค์รัชทายาท ไฉนท่านจึงมาอยู่ที่นี่?” ฉงชูโม่หยุดชะงักอย่างอดมิได้นางล่อเฉินซีลงมาจากเขาหัวสิงห์ได้สำเร็จ แต่กลับสลัดอีกฝ่ายมิหลุดมินึกเลยว่าเมื่อวิ่งมาถึงที่นี่ กลับมาเจอเข้ากับฉินซูเมื่อเห็นนางหยุด เฉินซีก็หัวเ
ด้วยปฏิกิริยาที่รวดเร็วยิ่งยวด ชายชุดดำคว้าลูกธนูที่ชิวก่วนยิงออกมาไว้ในมือได้แต่เขามองข้ามปัญหาที่ร้ายแรงไปอย่างหนึ่ง นั่นคือลูกธนูนั้นผูกติดอยู่กับระเบิดสายฟ้าไม้ไผ่ยังมิทันสิ้นถ้อยคำดูแคลนของเขา ระเบิดสายฟ้าก็ระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงร่างของเขากระเด็นออกไปทันทีพร้อมกับเสียงระเบิดดังสนั่น กระแทกลงพื้นดินที่อยู่ไกลออกไปอย่างแรงแขนขวาและแก้มครึ่งซีกของเขาถูกระเบิดจนเนื้อตัวเหวอะหวะ อาภรณ์ขาดวิ่นทั้งตัว ดูน่าสังเวชอย่างยิ่งเมื่อเห็นภาพนั้น สหายของเขามีสีหน้าตกตะลึง รีบถามว่า “เจ้าห้า เจ้าเป็นกระไรหรือไม่?”“แค่ก ๆ ...ยังมิตาย บัดซบ ข้าประมาทไปหน่อย”ชายชุดดำที่ถูกเรียกว่าเจ้าห้าสบถแล้วตะเกียกตะกายลุกขึ้น“เจ้าถ่วงเวลาเจ้ารัชทายาทผู้รอวันปลดนั่นไว้ ข้าจะจัดการเจ้าสารเลวนั่นแล้วไปช่วยเจ้า!”เมื่อเจ้าห้าพูดจบ ก็ใช้วิชาตัวเบาพุ่งเข้าใส่ชิวก่วนเมื่อเห็นเช่นนั้น ชิวก่วนก็หนังตากระตุกอย่างอดมิได้ รีบง้างธนูใส่ศรเตรียมยิงแต่ฉินซูกลับกล่าวว่า “อีกฝ่ายเป็นยอดฝีมือ หากมันตั้งรับ ลูกธนูของเจ้าก็ทำกระไรมันมิได้ จงหลบไปอยู่ห่าง ๆ”ขณะพูด ฉินซูก็กระโดดตัวลอยพุ่งเข้าหาเจ้าห้าทันทีเมื่อ