มู่หรงฟู่และคนอื่น ๆ จากเป่ยเยี่ยนก็ตกตะลึงเช่นกันหนานกงจื่อชินส่ายหัวโดยมิรู้ตัวและพึมพำด้วยความมิอยากเชื่อ “เป็น… เป็นไปได้อย่างไรกัน องค์รัชทายาททรงต่อโคลงบทแรกอย่างทรงพลังเช่นนี้ได้อย่างไร?”โคลงคู่ที่ในอดีตเขามิสามารถต่อได้ แต่ฉินซูกลับทำได้ มันยากมากที่เขาจะยอมรับข้อเท็จจริงนี้ได้เฉิงจืออี้มองฉินซูด้วยความประหลาดใจ และอดมิได้ที่จะอุทานอย่างชื่นชม “คาดมิถึงว่าองค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียนจะทรงต่อโคลงคู่ที่สองได้อย่างงดงามประณีตถึงเพียงนี้ กระหม่อมขอชื่นชมจากใจจริงพ่ะย่ะค่ะ!”พูดจบ เขาก็ประสานมือคารวะฉินซูอย่างจริงใจด้วยความประทับใจในความรู้ความสามารถของฉินซูอย่างแท้จริงหลังจากที่ได้มาสมทบกับหนานกงจื่อชินและคนอื่น ๆ เขาก็ได้รู้โคลงคู่แรกจากปากของอีกฝ่ายซึ่งก็คือ ‘หากฟ้าสร้างกระดาน หมากคือเหล่าดวงดารา ผู้ใดหนาจะกล้าลงเล่น’เขากับหนานกงจื่อชินและคนอื่น ๆ ต่างใช้ความคิดกันอย่างหนักมาหลายวัน แต่ก็มิสามารถคิดโคลงคู่สองที่เหมาะสมได้เมื่อครู่ที่หนานกงจื่อชินเอ่ยโคลงคู่แรกออกมา เขาก็เชื่อว่าเป่ยเยี่ยนจะต้องชนะการแข่งในรอบนี้แต่มิว่าอะไรจะเกิดขึ้นเขาก็มิเคยคาดคิดว่า ฉินซูจะต่อโคลงค
ทันทีที่ฉินซูพูดจบ ทุกคนก็อุทานออกมา“มิจริงน่า? องค์รัชทายาททรงจะท้าทายวงการวรรณกรรมเป่ยเยี่ยนด้วยตัวคนเดียวหรือ?”“เมื่อครู่มู่หรงฟู่พูดไว้มิใช่หรือว่า คนเหล่านั้นที่มาในครั้งนี้ล้วนเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นที่มีความรู้ความสามารถ และแน่นอนว่าต้องโดดเด่นในเป่ยเยี่ยนมากพอที่จะเป็นตัวแทนวงการวรรณกรรมแห่งเป่ยเยี่ยนได้”“แต่องค์รัชทายาททรงแข็งแกร่งและมุ่งมั่นมาก หากทรงสามารถเอาชนะการประลองรอบนี้ได้ ชื่อเสียงของพระองค์ต้องโด่งดังไปทั่วแว่นแคว้นเป็นแน่!!”“คิดไกลไปกระมัง? เฉิงจืออี้เป็นผู้อาวุโสแห่งสำนักหอสมุดหลวงของเป่ยเยี่ยนเชียวนะ จนถึงตอนนี้เขายังมิได้ออกโรงเลย หากเขาเป็นผู้คิดโจทย์ องค์รัชทายาทจะทรงมั่นใจหรือว่าพระองค์สามารถตอบโต้ได้?”“ที่พูดมาก็ถูก คนรุ่นหลังที่ยังเยาว์เช่นหนานกงจื่อชินย่อมไม่มีอะไรต้องกังวล แต่ท่านผู้อาวุโสเฉิงรับผิดชอบดูแลสำนักหอสมุดหลวงของเป่ยเยี่ยนมานับทศวรรษ พูดได้ว่าเขาคลุกคลีอยู่กับบทกวีและเพลงกลอนทุกวัน โจทย์ที่เขาคิดนั้นต้องพิเศษอย่างแน่นอน แม้องค์รัชทายาทจะทรงมีความสามารถที่โดดเด่น แต่ก็อาจมิสามารถรับมือได้”ขณะที่ทุกคนกำลังคุยกัน พวกเขาก็เริ่มทำสีหน้ากังวลอ
ฉินซูเพียงแค่ยิ้มเบา ๆ ให้พวกนางทั้งสองและมองไปที่ฉินอู๋ต้าว“เสด็จพ่อ อ๋องหนิงเป็นฝ่ายเสนอเรื่องนี้ขึ้นมา หากลูกมิตอบตกลง เกรงว่าจะทำให้ตำหนักบูรพาและเสด็จพ่อทรงต้องขายพระพักตร์ ดังนั้น ขอเพียงเสด็จพ่อทรงเห็นด้วย อ๋องหนิงก็ยินดีที่จะให้เป็นไปตามนี้เช่นกัน เท่านี้ ก็จะเป็นไปตามที่เขาต้องการพ่ะย่ะค่ะ!”หลังจากที่ฉินซูพูดจบ ฉินหยาง ฉินหงและคนอื่น ๆ ก็รู้สึกเบิกบาน!เจ้าฉินซู กล้าเอาตำแหน่งในตำหนักบูรพามาใช้เป็นเดิมพัน อวดดีถึงขั้นนี้เชียวรึ?ก็ดี กำลังกังวลที่หาวิธีโค่นเจ้ามิได้อยู่พอดี ในเมื่อเจ้าหาวิธีมาให้ขข้าถึงที่เช่นนี้ ก็อย่าโทษที่พวกข้ามิไว้หน้าก็แล้วกันเมื่อคิดได้เช่นนั้น ฉินหยางที่กลัวว่าใต้หล้าจะวุ่นวายมิพอก็เอ่ยขึ้น “เสด็จพี่รอง ในเมื่อองค์รัชทายาทตรัสเช่นนี้แล้ว ดังนั้นท่านจะทำตัวขี้ขลาดมิได้ มิว่าอย่างไรท่านก็ต้องเดิมพันกับองค์รัชทายาทสิ!”ฉินหงก็กล่าวด้วยว่า “ถูกต้อง มิเช่นนั้นมันจะเป็นการมิไว้หน้าองค์รัชทายาท นอกจากนี้ทางเป่ยเยี่ยนก็มีท่านผู้อาวุโสเฉิงคอยรับผิดชอบอยู่ ท่านมิต้องกังวลเลย!”ฉินเซียวส่งสายตาเป็นประกายวาว ในใจก็นึกลังเลขึ้นมาตอนนี้ฉินซูตกลงที่จะเดิม
มู่หรงฟู่กล่าวด้วยรอยยิ้มแห่งชัยชนะ “ฉินซู ถึงตาท่านแล้ว นี่คือโคลงเล่นคำสำนวน หากต่อโคลงมิได้ ท่านก็จะมิได้เป็นองค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียนอีกต่อไป จากนี้ก็ระวังด้วย ฮ่า ๆ ๆ !”ฉินซูยิ้มเบา ๆ พลางส่ายหัว!เมื่อเห็นเช่นนั้น หนานกงจื่อชินก็แทบรอมิไหวที่จะถาม “ฉินซู ท่านส่ายหน้าเช่นนี้หมายความว่าต่อโคลงมิได้ใช่หรือไม่?”ทุกคนจ้องมองไปที่ฉินซู รู้สึกอกสั่นขวัญแขวน!แต่ฉินซูกลับยิ้มเยาะและพูดว่า “โคลงคู่แรกง่ายถึงเพียงนี้จะไปยากอะไรกัน ข้ามิคิดจะสนใจมันด้วยซ้ำ!”ขุนนางผู้คิดโคลงคู่แรกเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง “ฮ่า ๆ ท่านช่างคุยโวได้อย่างมิละอายใจเสียจริง เช่นนั้น ท่านก็ต่อโคลงคู่ที่สองมาเถิด!”ฉินซูไพล่มือไว้ด้านหลังแล้วพูดอย่างมิเร็วหรือช้าจนเกินไป “ภูตผีวิญญาณแห่งธารน้ำและขุนเขา ปีศาจทั้งสี่เหล่า เผยเงาอยู่เบื้องหน้า!”ทันใดนั้น ด้านหน้าพระที่นั่งขนาดใหญ่ก็เงียบเป็นเป่าสาก!มิรู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรเสียงพัดในมือของหนานกงจื่อชินที่หล่นลงพื้นดัง ‘พรึ่บ’ ได้ทำลายความเงียบของสถานที่แห่งนั้นภายในชั่วพริบตานั้น…“โอ้! องค์ชายรัชทายาทผู้เกรียงไกร!” หวังฉือชูมือกู่ร้องเสียงดัง!ขุนนางห
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินซู ใบหน้าของมู่หรงจื่อเยียนก็ซีดเผือดด้วยความตกใจ!เดิมทีนางคิดว่าโคลงคู่แรกของนางสามารถหยุดยั้งฉินซูได้แล้ว แต่นางคาดมิถึงว่า อีกฝ่ายมิเพียงต่อโคลงได้เท่านั้น ทว่ายังคิดโคลงคู่สองบทออกมาในเวลาเดียวกันได้อีกด้วย!มาถึงตอนนี้นางมิกล้าดูถูกฉินซูอีกแล้วหากเพียงครั้งสองครั้งก็อาจกล่าวได้ว่าอีกฝ่ายโชคดี แต่เป็นหลายครั้งหลายคราที่ฉินซูสามารถจัดการได้โดยมิต้องใช้ความพยายามใด ๆ
มู่หรงฟู่ยิ้มเยาะและพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านก็แต่งบทกวีสิ กระหม่อมมิเชื่อหรอกว่าท่านจะทำได้จริง ๆ!”ฉินซูกลอกตาไปมา จากนั้นก็ขยิบตาแล้วถามว่า “มู่หรงฟู่ ในเมื่อพูดเช่นนี้ เจ้าอยากเดิมพันกับข้าด้วยหรือไม่?”มู่หรงฟู่พูดโดยมิได้คิดอะไร “เดิมพันก็เดิมพัน ใครกลัวกันเล่า!”แต่ทันทีที่พูดจบ เขาก็รู้สึกมิสบายใจขึ้นมาจึงรีบพูดต่อ “แต่งบทเดียวมินับ ถึงอย่างไรก็ต้องแต่งสอง… โอ้ ไม่สิ สามบทแล้วกัน! หากท่านแต่งกวีสามบทเกี่ยวกับเพลงอำลามิได้ก็จะถือว่าแพ้ จากนั้นก็ต้องเห่าให้เหมือนสุนัขต่อหน้าธารกำนัล กล้าหรือไม่?”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็บังเกิดความโกลาหล ณ ที่แห่งนี้ให้องค์รัชทายาทเห่าเลียนแบบสุนัขน่ะหรือ นี่มิเป็นการโยนศักดิ์ศรีของราชวงศ์ต้าเหยียนลงพื้นแล้วเหยียบย่ำอย่างหนักหรือไรมิทันที่พวกเขาจะได้พูดอะไร ฉินซูก็ตอบตกลงอย่างมิลังเล“ตกลง หากข้าแต่งกวีสามบทได้ หลังจากคล้ายวันพระราชสมภพของไทฮองไทเฮา เจ้า มู่หรงฟู่จะต้องอยู่ในเมืองหลงเฉิงแคว้นต้าเหยียนเป็นเวลาครึ่งปี!”คำพูดของฉินซูทำให้สีหน้าของฉินอู๋ต้าวเปลี่ยนไป!ตามข้อตกลงก่อนหน้านี้ มู่หรงฟู่จะสามารถกลับไปยังเป่ยเยี่ยนได้หลังจ
คำพูดนี้ของฉินซูมิใช่เป็นการถ่อมตัวเสียทีเดียว เพราะหากเขามิใช่ผู้เดินทางข้ามเวลามาแล้วนั้น มิต้องพูดถึงกวีโบราณเลย แม้แต่ต่อโคลงคู่ เขาก็คงทำมิได้ด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าท่าทางถ่อมตัวของเขาในสายตาของมู่หรงฟู่นั้นกลับกลายเป็นการเสแสร้ง! มู่หรงฟู่แค่นเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชาก่อนจะเอ่ยเร่งอย่างหงุดหงิดว่า “ฉินซู นี่แค่หนึ่งบทเท่านั้น ยังเหลืออีกสองบท!” “ในเมื่อเจ้าร้อนใจเช่นนี้ ข้าก็จะมิหลบซ่อนอีกแล้ว ทุกคนจงฟังให้ดี!” ฉินซูกระแอมและเริ่มเปล่งเสียงท่องบทกวีดังชัดเจน “อัสดงหม่นหมองท้องฟ้าอุไรไกลนับพันลี้ มีฝูงห่านลมพัดผ่านหิมะโปรยปราย อย่ากังวลเรื่องสหายภายภาคหน้า ทั้งใต้หล้าผู้ใดหนามิรู้จักท่าน!” เขาท่องแค่บทที่หนึ่งของบทกวีอำลาต่งต้าเท่านั้นส่วนบทที่สองนั้นมิจำเป็นต้องเอ่ยออกมาเลยเพราะแค่บทแรกก็ทำให้พวกเขาร้องอุทานอย่างประหลาดใจได้แล้ว เป็นไปตามคาด เมื่อเสียงของเขาหยุดลง ทุกคนต่างประทับใจและหลงใหลไปตาม ๆ กัน “อย่ากังวลเรื่องสหายภายภาคหน้า ทั้งใต้หล้าผู้ใดหนามิรู้จักท่าน! ช่างเป็นกวีที่ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมนัก!” “บทกวีเต็มไปด้วยจินตภาพอันงดงาม แค่หลับตาลงก็เห็นภาพท้องฟ้าอุ
เมื่อได้ยิน ทุกคนต่างตกใจอีกครั้ง! ”ว่ากระไรนะ? บทกวีของรัชทายาทสามารถร้องเป็นเพลงได้งั้นหรือ?” “มิเคยได้ยินและมิเคยเห็นเรื่องเช่นนี้เลยจริงๆ!” “รัชทายาททรงรีบร้องเถิด พวกเราอดใจรอมิไหวแล้ว!” ทุกคนพูดพร้อมกับพากันเอ่ยเร่งออกมา ยามนี้เอง มู่หรงจื่อเยียนก็พูดขึ้นมาว่า “หม่อมฉันสามารถดีดพิณได้ หากองค์รัชทายาทมิรังเกียจ หม่อมฉันจะเป็นผู้บรรเลงพิณให้ท่านเอง” “ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ!” สายตาทุกคนหันมาจับจ้องที่มู่หรงจื่อเยียนทันที! เซี่ยหลานที่เต็มไปด้วยความหึงหวง เอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “ท่านหญิงจื่อเยียน ท่านเป็นชาวเป่ยเยี่ยน ตอนนี้เสนอตัวดีดพิณให้กับองค์รัชายาทต้าเหยียนของพวกเรา เช่นนี้… ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่?” หนานกงจื่อชินสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อยก่อนจะกล่าวตำหนิเบา ๆ ว่า “จื่อเยียน ท่านทำเกินไปหน่อยกระมัง อย่าลืมว่าท่านคือท่านหญิงแห่งเป่ยเยี่ยนของเรา” มู่หรงจือเยียนขบริมฝีบากเบา ๆ แล้วอธิบายอย่างน้อยใจว่า “ข้าเพียงแค่ต้องการผ่อนคลายบรรยากาศเท่านั้น ถึงแม้การประลองนี้จะเกี่ยวข้องกับสองแคว้น ทว่าก่อนหน้านี้ตกลงกันไว้ว่า เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนความรู้เท่านั้น เพราะฉะนั้นมิจำเป็นต้องทำใ
“ท่านแม่ทัพหู แผนนี้ยอดเยี่ยมจริง ๆ ออกจากประตูเมืองฝั่งเหนือแล้วอ้อมไปอีกหน่อย ก็ลอบโจมตีทัพหนานเยวี่ยได้เหมือนเดิม!”“ไป เร่งฝีเท้า!”ดังนั้น กองทหารของพวกเขาจึงเดินทางมายังใต้ประตูเมืองฝั่งเหนือแม่ทัพรักษาการณ์ที่นี่เห็นหูก่วงเซิงและพวก จึงไต่ถาม “ท่านแม่ทัพหู นี่พวกท่านจะทำการใด?”“ในเมืองผู้คนพลุกพล่านเกินไป พวกเราจะออกไปพักผ่อนนอกเมืองสักหน่อย วันพรุ่งพวกเราจะย้ายค่ายทหารไปตั้งไว้นอกเมืองฝั่งเหนือเช่นกัน เพื่อความสะดวกในการฝึกทหาร”เมื่อได้ยินดังนั้น ทหารรักษาการณ์ก็โบกมือให้คนเปิดประตูเมืองจะตำหนิว่าเขาประมาทเกินไปก็มิได้ ท้ายที่สุดแล้วนอกเมืองทางฝั่งเหนือยังมีทหารประจำการอยู่เป็นจำนวนมิน้อย ทหารที่เข้าออกประตูเมืองทางฝั่งเหนือจึงมีจำนวนมากเป็นทุนเดิมหลังจากที่ออกนอกเมืองได้อย่างราบรื่น หูก่วงเซิงจึงนำกองทัพทหารม้าพันนายมุ่งหน้าลงใต้!ขณะเดียวกันนอกประตูเมืองเจียวโจวทางฝั่งใต้ เงาร่างสิบกว่าร่างพุ่งออกมาจากป่าละเมาะห่างออกไปมิไกลนักพวกเขามีท่าทางคล่องแคล่ว เพียงชั่วพริบตาก็เข้าไปซุ่มซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้เตี้ย ๆ ฝั่งหนึ่งหลังจากที่สังเกตการณ์บนกำแพงเมืองอยู่ครู่หน
“ท่านแม่ทัพหู กองทัพหนานเยวี่ยแตกพ่ายในวันนี้ บัดนี้คงอกสั่นขวัญแขวนกันอยู่เป็นแน่ หากพวกเรานำทัพไปลอบโจมตี อย่างไรก็ต้องสำเร็จ! ถึงเวลานั้นหากสำเร็จ ท่านแม่ทัพใหญ่จะเอาผิดพวกเราที่ยกทัพไปโดยพลการได้อย่างไร?”ชายร่างกำยำอีกด้านกล่าวสำทับ “รองแม่ทัพหลิวกล่าวได้ถูกต้อง ท่านแม่ทัพหู พวกเราอุตส่าห์บุกป่าฝ่าดงมาถึงเจียวโจวก็มิใช่อื่นใด นอกเสียจากเพื่อสร้างความดีความชอบให้มากยิ่งขึ้นพวกเราสร้างความดีความชอบในเจียวโจวมากเท่าไร พระเกียรติของท่านอ๋องฉู่ในราชสำนักก็จะยิ่งสูงส่งมากขึ้นเท่านั้น ทุกสิ่งที่พวกเราทำ ล้วนเพื่อท่านอ๋องฉู่ทั้งสิ้น!”“ถูกต้อง พวกเราคือคนของท่านอ๋องฉู่ ท่านแม่ทัพใหญ่ย่อมมิอาจตำหนิพวกเราที่ออกรบโดยพลการได้ ท่านแม่ทัพหู ท่านรีบตัดสินใจเถิด โอกาสมิคอยท่า เวลามิหวนคืน!”“ท่านแม่ทัพหู คนขององค์รัชทายาทออกนอกเมืองไปครึ่งชั่วยามแล้ว หากพวกเรามิรีบเร่งติดตามไป เกรงว่าน้ำแกงก็มิได้ซด อย่าหวังจะได้กินเนื้อเลยขอรับ!”ด้วยคำยุยงของเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชา ดวงตาของหูก่วงเซิงก็ค่อย ๆ แน่วแน่ขึ้น!เขาพยักหน้าหนักแน่น กล่าวเสียงทุ้มต่ำ “สั่งให้เหล่าสหายทั้งหลายเตรียมตัวให้พร้อม อีกห
หูก่วงเซิงยกไหสุราขึ้นกระดกไปหลายอึก และแค่นเสียง “หึ ศึกที่ได้ชัยชนะในวันนี้ หากมิใช่เพราะทหารม้าหุ้มเกราะของพวกข้าบุกตะลุยอยู่แนวหน้า มีหรือกองทัพหนานเยวี่ยจะถูกสังหารจนแตกพ่ายยับเยิน?ทว่าในงานเลี้ยงฉลองชัย ท่านแม่ทัพใหญ่กลับมิเอ่ยถึงความดีความชอบของพวกข้าแม้แต่คำเดียว เอาแต่ชื่นชมองค์รัชทายาทมิขาดปากข้าสงสัยนัก องค์รัชทายาทเพียงแต่นำอาวุธที่กรมโยธาธิการประดิษฐ์ขึ้นใหม่มาด้วยเท่านั้น มีสิ่งใดน่าสรรเสริญกัน?”รองแม่ทัพที่นั่งอยู่ข้างกายเขาขมวดคิ้ว กล่าว “ท่านแม่ทัพหู ท่านว่าเช่นนี้เห็นทีจะมิถูกกระมัง อาวุธเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งที่องค์รัชทายาททรงออกแบบ ศึกครานี้ชนะได้ ก็เป็นเพราะพระองค์”“ใช่แล้ว อีกอย่างที่ทหารม้าหุ้มเกราะของพวกท่านบุกตะลุยกองทัพหนานเยวี่ยได้ไร้ผู้ใดขัดขวาง ก็มิใช่เป็นเพราะมีอาวุธที่องค์รัชทายาททรงออกแบบให้การคุ้มครองหรอกหรือ มิเช่นนั้นกองทัพหนานเยวี่ยจะปล่อยให้พวกท่านบุกตะลุยในแนวรบโดยมิอาจโต้ตอบได้เลยด้วยเหตุใดเล่า?”หูก่วงเซิงเผยสีหน้าดูแคลน หัวเราะเยาะ “องค์รัชทายาทที่เอาแต่เสพสุขไปวัน ๆ ไฉนจึงออกแบบอาวุธร้ายกาจถึงเพียงนี้ได้? พวกเจ้าก็ช่างหูเบากันเสียจริง ใ
หลังจากที่ฟังเขาจนจบ ฉงชูโม่ขมวดคิ้วถาม “แผนการของท่านดีก็จริง ทว่าหากพวกมันมิมาในคืนนี้เล่า?”“คืนนี้พวกเราจัดงานเลี้ยงฉลองชัย พวกมันต้องปักใจเชื่อว่ากำลังป้องกันเมืองของพวกเราหย่อนยาน คืนนี้หากพวกมันมิลงมือ ภายหน้าคงไม่มีโอกาสดีเช่นนี้อีกแล้ว ดังนั้นคืนนี้พวกมันต้องลงมือเป็นแน่”“เช่นนั้นก็ได้ ทำตามที่ท่านว่าก็แล้วกันเพคะ!”ฉินซูพยักหน้าเล็กน้อย แล้วกล่าวต่อ “อีกอย่าง คืนนี้เจ้าจงส่งทหารสองกองไปซุ่มอยู่หลินสุ่ยและเซี่ยอ้าว เมื่อทัพใหญ่หนานเยวี่ยปรากฏกาย จงปล่อยให้พวกมันเข้ามา รอจนกระทั่งเสียงฆ่าฟันนอกเมืองดังขึ้นค่อยตลบหลังโจมตีกองทัพหนานเยวี่ย จากนั้นจึงเข้าตีกระหนาบหน้าหลัง กวาดล้างพวกมันในคราเดียว!”ฉงชูโม่ถามอย่างตกตะลึง “ท่านคิดว่าคืนนี้พวกหนานเยวี่ยจะบุกโจมตีด้วยทัพใหญ่หรือเพคะ?”“พูดได้แต่เพียงมีความเป็นไปได้สูงนัก”“หม่อมฉันว่ามีความเป็นไปได้น้อย เนื่องจากเติ้งหม่างเพิ่งประสบความพ่ายแพ้ในวันนี้ ซ้ำร้ายทหารใต้บัญชาของเขายังหวาดหวั่นเกรงกลัวธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้าของพวกเราจนหัวหด หากยังมิล่วงรู้ว่าพวกเรามีธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้าเหลืออยู่มากน้อยเพียงใด พวกมันคงมิกล้าผล
ฉินซูหัวเราะแห้ง ๆ แล้วกล่าวติดตลก “ข้าแค่กังวลว่าเจ้าจะหึงหวงข้า”ฉงชูโม่ถ่มน้ำลาย “ถุย ใครจะหึงท่านกัน อย่าได้หลงตัวเองไปหน่อยเลย!”“อะแฮ่ม ๆ เรื่องนั้นช่างมันเถิด ที่จริงข้ามีธุระสำคัญ...”ฉงชูโม่ขัดขึ้นมาเสียก่อน “มีกระไรก็รีบว่ามา อย่ามัวอ้อมค้อม”ฉินซูปรับสีหน้าให้เคร่งขรึม แล้วเอ่ยถาม “วันนี้ที่พวกเรามีชัยเหนือแคว้นหนานเยวี่ย ในความเห็นของเจ้า พวกมันจะทำอย่างไรต่อไป?”“ชัยชนะในวันนี้ ต้องยกความดีความชอบให้กับพลานุภาพของธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้า กองทัพหนานเยวี่ยประสบความพ่ายแพ้ย่อยยับถึงเพียงนี้ หากหม่อมฉันเป็นเติ้งหม่าง คงต้องหาทางนำอาวุธทั้งสองชนิดนี้ไปให้ได้!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินซูจึงอดมิได้ที่จะมองนางด้วยสายตาชื่นชมสมแล้วที่ฉงชูโม่เป็นแม่ทัพขั้นหนึ่งที่มากล้นด้วยสติปัญญาและความกล้าหาญ สามารถเดาใจศัตรูได้ล่วงหน้าเช่นนี้“เมื่อรู้ถึงเจตนาของเติ้งหม่างผู้นั้นแล้ว เราควรจะลองมาล่อเสือออกจากถ้ำดูสักครา”“ตรัสเช่นนี้ แสดงว่าท่านทรงคิดแผนการรับมือไว้แล้วหรือ?”ฉงชูโม่เอี้ยวศีรษะมองฉินซู ดวงตาคู่งามกระจ่างใสนั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจหางตาฉินซูเหลือบมองอ่างอาบน้ำโดยม
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาท ขอพระองค์โปรดเมตตา”ทั้งสองกล่าวพร้อมคุกเข่าลงต่อหน้าฉินซูฉินซูจนปัญญา จึงตะโกนเข้าไปในกระโจม “ชูโม่ ให้ข้าเข้าไปเถิด ข้าขออธิบายให้เจ้าฟังดี ๆ มิได้หรือ?”ทว่าข้างในกลับไร้เสียงตอบรับฉินซูยังคงมิยอมแพ้ กล่าวต่อไป “ชูโม่ เจ้าอย่าหึงหวงนักเลย อย่างน้อยก็ให้ข้าอธิบายสักหน่อยเถิด”เมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น ทหารยามทั้งสองก็อดมิได้ที่จะสบตากัน!ให้ตายสิ ท่านแม่ทัพใหญ่กับองค์รัชทายาทมีความสัมพันธ์ช่างลึกซึ้งเกินคาด!!สีหน้าของพวกเขาทั้งสองฉายแววตกตะลึง ราวกับได้รับข่าวเด็ดข่าวใหญ่ฉินซูเกลี้ยกล่อมอีกสองสามประโยค ทว่าในกระโจมก็ยังคงไร้เสียงตอบรับเมื่อเห็นดังนั้น ฉินซูจึงหันไปถามทหารยามทั้งสอง “ชูโม่อยู่ข้างในจริง ๆ หรือ?”“พ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท ท่านแม่ทัพใหญ่เข้าไปแล้วก็ยังมิได้ออกมาเลยพ่ะย่ะค่ะ”“ไม่มีประตูด้านหลังใช่หรือไม่?”“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”“มิได้การ ชูโม่อาจจะเป็นกระไรไปแล้วก็ได้!”กล่าวถึงตรงนี้ ฉินซูจึงตะโกนเข้าไปด้านใน “ชูโม่ ข้าจะเข้าไปแล้วนะ”ขณะที่ฉินซูกำลังจะก้าวเท้าเข้าไป ทหารยามทั้งสองก็รีบร้องทัดทาน “มิได้พ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท ห
ขณะเดียวกันกองหนุนทัพหนานเยวี่ยภายในค่ายทหารแม่ทัพนายกองทั้งหลายต่างจับจ้องไปยังบุรุษบนที่นั่งหัวโต๊ะด้วยใจระทึกบุรุษผู้นั้นสวมชุดเกราะสีเงินยวง ร่างกายสูงใหญ่ผึ่งผาย!เขาคือแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพหนานเยวี่ย เติ้งหม่าง!สายตาเย็นเยียบของเขากวาดมองไปยังกลุ่มคนทีละคน สุดท้ายจับจ้องที่แม่ทัพน้อยหม่า“หม่าเวย เจ้าสำนึกผิดหรือไม่?”หม่าเวยรีบคุกเข่าลงข้างหนึ่ง กล่าวด้วยสีหน้าขมขื่น “ท่านแม่ทัพใหญ่ ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว ทว่าอาวุธของต้าเหยียนคราวนี้ร้ายกาจเหลือเกิน โล่เกราะหวายของพวกเราเมื่อเผชิญกับลูกธนูของพวกมันก็มิต่างกระไรจากดินเหนียว ยิงคราเดียวก็ทะลุง่ายดาย!”“ใช่แล้วท่านแม่ทัพใหญ่ โล่เกราะหวายที่พวกเราเคยภาคภูมิใจนักหนา บัดนี้มิอาจหวังพึ่งได้อีกแล้วขอรับ”“มิเพียงเท่านั้น ทางต้าเหยียนยังใช้อาวุธเพลิงร้ายกาจชนิดหนึ่ง ของสิ่งนั้นอานุภาพร้ายแรงยิ่งนัก ทหารมิใช่น้อยถูกระเบิดจนร่างแหลกมิเหลือชิ้นดีเลยขอรับ”เมื่อกล่าวถึงระเบิดเพลิง หลายคนยังคงหวาดผวาเติ้งหม่างขมวดคิ้วมุ่น และกล่าวพึมพำ “กองทหารรักษาการณ์เจียวโจวถูกพวกเราโจมตีมาเกือบเดือน บัดนี้จู่ ๆ กลับปรากฏอาวุธร้ายกาจถึงเพียงนี
วาจาล้ำสมัยปานนี้ ตี๋จิ่งผู้นี้คิดได้อย่างไร?มู่หรงจื่อเยียนเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “ฉินซู ท่านมิเป็นกระไรใช่หรือไม่?”“มิเป็นกระไร ไปเถิด”ขณะมองตามสองร่างหายลับไปจากสายตา สหายของตี๋จิ่งก็อดมิได้ที่จะหวั่นวิตกชายร่างกำยำผู้หนึ่งเอ่ยถาม “พี่ตี๋ แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี?”“หรือว่าพวกเราฟาดหัวองค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียนให้สลบ แล้วลักพาตัวกลับเป่ยเยี่ยนดี?”“นั่นสิ หากเป็นเช่นนั้น ท่านหญิงจะได้ตามพวกเรากลับเป่ยเยี่ยนเสียที”ตี๋จิ่งโบกมือ และกล่าวว่า “มิได้ อย่าว่าแต่ท่านหญิงจะยอมให้เราทำหรือไม่เลย ลำพังแค่พวกทหารต้าเหยียนที่ยั้วเยี้ยไปทั่ว พวกเราก็มิมีทางทำสำเร็จแล้ว!”“ก็จริงดังว่า แล้วพวกเราจะทำอย่างไรเล่า?”“เฝ้าสังเกตการณ์ไปก่อน อารักขาความปลอดภัยท่านหญิงให้ดี”“ขอรับ”พวกเขาปรึกษาหารือกันครู่หนึ่ง จากนั้นก็ติดตามไปที่พักของฉินซูถูกจัดสรรให้อยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งใกล้กับประตูเมืองทางทิศเหนือที่นี่ห่างจากประตูเมืองทิศใต้ประมาณเจ็ดแปดลี้ จึงมิต้องกังวลว่าจะถูกผลกระทบจากไฟสงครามเมื่อเข้าสู่โรงเตี๊ยมและปิดประตูลง มู่หรงจื่อเยียนก็อดรนทนรอมิไหว โผเข้ากอดคอฉินซู นางเขย่งปลา
ฉินซูเองก็ประหลาดใจมิต่างกัน เมื่อเห็นสายตาของฉงชูโม่ เขาก็รู้สึกจนปัญญาในใจลอบคิดว่าคนที่มาหาตนนั้นจะเป็นใครกันแน่หรือจะเป็นเซี่ยหลาน หรือว่าหลินชิงเหยา?แต่เมื่อคิดดูอีกทีก็รู้สึกว่าเป็นไปมิได้ เพราะทั้งสองคนเคยรับปากตนว่าจะคอยเขากลับไปอยู่ที่ตำหนักบูรพาเมื่อเห็นฉินซูเงียบไปมิพูดจา ฉงชูโม่ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มคลุมเครือ "ฉินซู ดูเหมือนว่าช่วงเวลาที่หม่อมฉันมิอยู่ในเมืองหลวง พระองค์จะสำราญบานใจมิน้อยเลยกระมังเพคะ!"ฉินซูกล่าวอย่างใจเย็น "ข้าเปล่านะ""เปล่าหรือ? แล้วสตรีที่อยู่ข้างนอกนั่นเป็นใครกัน?""ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร อาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดก็ได้""คนผู้นั้นระบุชื่อเจาะจงว่าจะมาพบองค์รัชทายาท จะเป็นเรื่องเข้าใจผิดได้อย่างไร ไปเถิด ไปดูกันดีกว่าว่าอีกฝ่ายเป็นใครมาจากที่ใด"เมื่อฉงชูโม่กล่าวจบก็เดินนำออกจากกระโจมบัญชาการไปก่อนฉินซูเดินตามไปด้วยความกระวนกระวายใจเดินไปได้มิไกล ฉินซูก็ถึงกับชะงักเท้าอยู่กับที่ จ้องมองหญิงงามที่อยู่เบื้องหน้ามิไกลอย่างเหม่อลอยเมื่อฉงชูโม่เห็นคนผู้นี้ ก็ขมวดคิ้วถาม "มู่หรงจื่อเยียน? ท่านเป็นถึงท่านหญิงแห่งเป่ยเยี่ยน มายังสนามรบต้าเหยียนด้วย