ทั้งสองมองหน้ากันพลางยิ้มให้กันอย่างสดใสโดยมิได้นัดหมาย ราวกับเห็นใจและเข้าใจกันเป็นอย่างดี เมื่อเห็นสายตาของทั้งสองคนที่แฝงไปด้วยความรู้สึกคลุมเครือ หนานกงจื่อชินรู้สึกหึงหวงขึ้นมาทันที เขาดึงตัวมู่หรงจื่อเยียนมาใกล้ ๆ แล้วกระซิบว่า “จื่อเยียน ท่านกำลังทำอะไร เขาคือองค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน ศัตรูแคว้นเป่ยเยี่ยนของเรา กระหม่อมมิว่าอะไรที่ท่านดีดพิณให้เขา ทว่าถ้าท่านคิดเป็นอื่นกับเขา กระหม่อมมิอาจมองข้ามได้!” มู่หรงจื่อเยียนตกใจและรีบอธิบายว่า “ท่านพี่จื่อชิน ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้ามิได้รู้สึกอะไรกับเขาเลย เพียงแค่รู้สึกว่าบทกวีที่เขาเพิ่งขับร้องนั้น…” พูดมิทันจบ หนานกงจื่อชินซักถามด้วยความโกรธเคืองว่า “บทกวีที่เขาร้องเป็นอย่างไรรึ? ท่านรู้สึกว่ามันยอดเยี่ยม รู้สึกว่าเขามีพรสวรรค์และน่าทึ่ง รู้สึกว่าเขาเป็นบุรุษที่ท่านใฝ่ฝันใช่หรือไม่?” “มิ… มิใช่เช่นนั้น ท่านพี่จื่อชินฟังข้าอธิบายก่อน…” “มิต้องอธิบาย ท่านควรตระหนักถึงสถานะของตนเองและถอยออกมาก่อนจะสายเกินไป มิเช่นนั้น ใครก็ช่วยท่านมิได้ กระหม่อมขอเตือนท่านเป็นครั้งสุดท้าย อย่าทำให้ท่านอ๋องอวี้ต้องเดือดร้อน!” ได้ยินเช่นนี้ มู
ครั้นแล้วฉินเซียวก็เอ่ยเสียงเคร่งขรึมว่า “ใต้เท้าหวัง อันที่จริงข้อสงสัยขององค์ชายมู่หรงก็มิใช่เรื่องที่ไร้เหตุผลนัก มิว่าอย่างไรทุกคนก็ต่างรู้ดีว่าองค์รัชทายาทเป็นคนเช่นไร” หวังฉือแค่นเสียงตะคอกเย็นชา “ท่านอ๋องหนิง ข้าน้อยขอเตือนท่านว่า ท่านทรงเป็นจวิ้นอ๋องแห่งต้าเหยียนของพวกเรา มิใช่ฝั่งเป่ยเยี่ยน เวลาพูด ขอให้ระมัดระวังจุดยืนของตัวท่านด้วย!” ฉินเซียวผายมือออกแล้วกล่าวว่า “ใต้เท้าหวังก็พูดเกินไป ข้าแค่พูดอย่างยุติธรรมเท่านั้นเอง ในเมื่อองค์ชายมู่หรงเกิดข้อสงสัย เช่นนั้นแล้วองค์รัชทายาทก็ควรจะพิสูจน์ตนเพื่อความโปร่งใส วิธีนี้จึงจะได้รับการนับถือมิใช่หรือ?” “พูดจาไร้สาระสิ้นดี องค์รัชทายาทชนะก็คือชนะ บัดนี้มู่หรงฟู่กล่าวหาองค์รัชทายาทโดยไม่มีหลักฐาน มิใช่คิดจะบิดพลิ้วหรือไร? ที่คิดมิถึงไปกว่านั้นคือ ท่านอ๋องหนิงที่เป็นจวิ้นอ๋องแห่งต้าเหยียนกลับสมรู้ร่วมคิดกับองค์ชายต่างแคว้นผู้นี้ การกระทำเช่นนี้คู่ควรกับการโปรดปรานที่องค์จักรพรรดิทรงมีต่อท่านหรือไม่? หรือว่าท่านอ๋องหนิงคิดจะกบฏต่อแผ่นดิน?” คำพูดของหวังฉือคมกริบ ตรงประเด็นสำคัญทุกคำ! และหลังจากที่ฉินอู๋ต้าวได้ยินคำพูดของหวังฉ
สิ่งที่ทำให้ฉินซูประหลาดใจที่สุดคือทับทิมที่ฝังอยู่ในด้ามจับของกริช อัญมณีเม็ดนี้มีเส้นสายคมชัด เมื่อดูผิวเผิน มันเต็มไปด้วยความรู้สึกคล้ายกับสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปในยุคสมัยใหม่ก่อนที่เขาจะเดินทางข้ามเวลามา ตามหลักแล้วในยุคโบราณที่มีเทคโนโลยีล้าหลัง เป็นไปมิได้เลยที่จะเจียระไนอัญมณีแข็ง ๆ ให้เป็นรูปทรงเช่นนี้แม้จะขัดให้เข้ารูป ก็จะต้องมีร่องรอยความหยาบกร้านอยู่บ้างแน่นอน แต่เมื่อฉินซูตรวจดูอย่างละเอียดก็พบว่า ทุกพื้นผิวของทับทิมเม็ดนี้เรียบเนียนไร้ที่ติ เห็นได้ชัดว่ามิใช่สิ่งที่มนุษย์จะทำได้ คำอธิบายเดียวคือมันถูกตัดด้วยเทคโนโลยีศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด เพียงแต่ผลิตภัณฑ์เช่นนี้จะปรากฏในยุคศักดินาของโลกต่างมิติได้อย่างไร? ฉินซูครุ่นคิดอย่างไรก็มิเข้าใจ ครั้นเห็นว่าถึงอย่างไรก็ไม่มีทางคิดออกได้ในตอนนี้ ฉินซูจึงเลิกคิ้วและมองมู่หรงฟู่พร้อมถามว่า “มู่หรงฟู่ ข้าขอถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าเต็มใจยอมรับความพ่ายแพ้หรือไม่?” ในขณะที่พูดเขายังจงใจยกกริชในมือขึ้นภายใต้แสงอาทิตย์ ภายใต้แสงแดดที่สาดส่อง ใบมีดของกริชเปล่งแสงเย็นออกมาจาง ๆ ราวกับสามารถพรากวิญญาณของคนไปได้! เมื่อมู่หรงฟู่นึ
ฉินเซียวเห็นฉินอู๋ต้าวมิพูดอะไรจึงกัดฟันพูดขึ้นมา เขาชี้ไปที่ฉินซูและถามว่า “องค์รัชทายาท ท่านเพิ่งพูดว่าหมู่เฟยตั้งใจก้าวก่ายการตัดสินใจแทนเสด็จพ่อ แต่บัดนี้ท่านกำลังบีบบังคับผู้อื่นเช่นนี้ มิยิ่งเป็นการก้าวก่ายเช่นกันงั้นหรือ?” ฉินซูรู้สึกขบขันกับคำพูดของฉินเซียว “ฮ่า ๆ ฉินเซียวเอ๋ยฉินเซียว เสด็จพ่อเพิ่งจะขอให้เจ้าคิดให้ดีก่อนพูด แต่เจ้ากลับมิใส่ใจเลยจริง ๆ! การเดิมพันเมื่อครู่ ข้าบังคับให้เจ้ามาพนันกับข้าหรือไร? ยิ่งกว่านั้นตอนนั้นเสด็จพ่อทรงอนุญาตเป็นนัย ดวงตาหลายคู่ต่างก็มองเห็นกันทั้งนั้น ข้าพูดตามความจริง แล้วไฉนในปากของเจ้ากลับกลายเป็นว่าข้าก้าวก่ายไปได้เล่า?” “ข้า…” ฉินเซียวทำอะไรมิถูก ถึงแม้ความคิดในหัวจะหมุนไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็หาคำที่เหมาะสมมาตอบโต้ฉินซูมิได้ไปสักพัก ฉินซูเอามือไพล่หลังแล้วพูดต่อ “บัดนี้เจ้ากับหมู่เฟยกลับคำต่อหน้าธารกำนัลแล้วยังคิดจะให้หมู่เฟยสนับสนุนพวกเจ้าอีก อย่างไรกัน พวกเจ้าอยากให้คนทั่วหล้าหัวเราะเยาะงั้นหรือ? เสด็จพ่อเป็นจักรพรรดิสูงศักดิ์ คำพูดของพระองค์หนักแน่นที่สุด หากพระองค์กลับคำและผิดคำพูดเหมือนพวกเจ้าทั้งสอง ราษฎรทั่วทั้งแผ่นดิน
ฉินอู่ต้าวขมวดคิ้วและรู้สึกลังเลในใจอยู่เล็กน้อย ฉินซูก้าวมาด้านหน้าและเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ทั้งมิได้ถ่อมตนและหยิ่งผยอง “เสด็จย่าทวด ท่านคือพระอัยยิกาของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อทรงยอมท่านย่อมเป็นเรื่องที่ถูกต้องเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ทว่าผู้น้อยอยากขอเตือนเสด็จทวดว่า นอกจากเสด็จพ่อจะทรงเป็นพระราชนัดดาของท่านแล้ว พระองค์ยังทรงเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ต้าเหยียนของพวกเราด้วย! การกระทำทุกอย่างของพระองค์ ล้วนเชื่อมโยงกับแผ่นดินและความมั่นคงของแคว้น มิเช่นนั้นจะมีคำกล่าวว่าจักรพรรดิตรัสคำไหนคำนั้นได้อย่างไร? แน่นอนว่าคำพูดของท่าน เสด็จพ่อมิอาจมิรับฟังได้ เพียงทว่า วันนี้เสด็จพ่อต้องกระทำสิ่งที่ทำให้คำพูดพระองค์หมดความน่าเชื่อถือเพราะอิทธิพลของเสด็จย่าทวด นั่นจะมิทำให้พระองค์ถูกมองว่าไร้ความซื่อสัตย์ไร้ความเมตตาและไร้ศีลธรรมหรือ?ผู้น้อยคิดว่า เสด็จย่าทวดคงทรงมิได้ต้องการให้เป็นเช่นนี้หรอกใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ?” ไทฮองไทเฮามีสีหน้าถมึงทึงและกล่าวตำหนิว่า “เจ้าเด็กนี่ปากกล้านัก ในเมื่อเจ้ายังรู้ว่าข้าคือเสด็จย่าทวดของเจ้า เช่นนั้นเจ้าพูดมาว่า หากเสด็จพ่อของเจ้าฟังคำของข้าแล้วจะมิซื่อสัตย์ ไร้เมตตาและไร้ศ
ฉินอู๋ต้าวและคนอื่น ๆ ต่างมองไปที่ฉินซูด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง ทุกคนไม่มีใครคาดคิดเลยว่า องค์รัชทายาทผู้รอวันถูกปลดจะมีวาทศิลป์ช่างเจรจาจนทำให้ไทฮองไทเฮาผู้เผด็จการต้องเสียอารมณ์เช่นนี้ วิธีนี้ทำให้พวกเขาทึ่งจริง ๆ! เสียนเฟยยังมิยอมแพ้ นางอ้อนวอนฉินอู๋ต้าวอย่างน่าสงสารพร้อมกับน้ำตานองหน้าว่า “ฝ่าบาท พระองค์ทรงลดตำแหน่งเซียวเอ๋อร์เป็นฝู่กั๋วกงมิได้นะเพคะ พระองค์ทรงรับปากหม่อมฉันแล้ว…” ฉินอู๋ต้าวโบกมือแล้วขัดจังหวะนางอย่างเย็นชา “ชายาที่รัก อย่าพูดอีกเลย เรื่องนี้ได้ข้อสรุปแล้ว บัดนี้งานเลี้ยงใกล้ยุติแล้ว เจ้าและคนอื่นๆ กลับวังหลังเถอะ” “เหลยเจิ้น เว่ยเจิง เจ้าสองคนตามตัวข้าไปหารือที่ห้องทรงพระอักษร ส่วนคนอื่น ๆ แยกย้ายกันตามอัธยาศัยได้” ฉินอู๋ต้าวพูดจบก็เดินไปที่ห้องทรงพระอักษรโดยมิหันกลับมามอง เหลยเจิ้นและเว่ยเจิงเดินตามไปอย่างมิรีบร้อน คนอื่น ๆ ที่เหลือต่างพากันยืนขึ้นและทำความเคารพ “ข้าน้อยน้อมส่งเสด็จฝ่าบาท” เสียนเฟยจ้องเขม็งลงมาที่ฉินซูก่อนจะออกจากแท่นสูง ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเกลียดชังและประกายอาฆาตก็ฉายวาบผ่านไป! จากนั้นนางก็กลับวังหลังพร้อมกับพร
ภายในห้องทรงพระอักษรฉินอู๋ต้าวพูดด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “พวกเจ้าสองคนคิดอย่างไรกับผลงานขององค์รัชทายาทวันนี้?” เว่ยเจิงประสานมือคารวะ “ฝ่าบาท วันนี้องค์รัชทายาทสามารถเหยียบวงการวรรณกรรมของแคว้นเป่ยเยี่ยนไว้ใต้ฝ่าพระบาทของพระองค์แล้ว ผลงานเช่นนี้สมควรได้รับการยกย่องว่าสะเทือนเลื่อนลั่นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน น่าทึ่งดุจเทพเซียนจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ!” “เจ้าค่อนข้างจะยกย่องรัชทายาททีเดียว แล้วเจ้าเล่า ขุนนางเหลย?” ฉินอู๋ต้าวมองไปทางเหลยเจิ้น เหลยเจิ้นยิ้มแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาท วันนี้องค์รัชทายาททรงทำให้ทุกคนต้องตกตะลึง ทันทีที่เรื่องวันนี้แพร่ออกไป องค์รัชทายาทจะทรงมีชื่อเสียงเกรียงไกรอย่างแน่นอน อีกทั้งยังทำให้ชื่อเสียงของราชวงศ์ต้าเหยียนดังกึกก้อง อย่างน้อยก็ทำให้แคว้นโดยรอบมิกล้าดูแคลนพวกเราเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”“หึ องค์รัชทายาทผู้รอวันปลดมิเพียงแค่ทำให้เป่ยเยี่ยนต้องกลับไปอย่างปราชัยเท่านั้น ซ้ำยังยั่วยุให้ไทฮองไทเฮาทรงเสียอารมณ์ พร้อมกันนั้นยังทำให้ตัวข้าต้องลดตำแหน่งอ๋องหนิงเหลือเพียงฝู่กั๋วกงอีกด้วยวิธีการที่เด็ดขาดเช่นนี้ แม้แต่ตัวข้าเองยังต้องชื่นชม พวกเจ้าคิดว่า สิ่งที่องค์รัชทายา
ภายในจวนฝู่กั๋วกง ทันทีที่ฉินเซียวเข้าประตูมา เขาก็คว่ำโต๊ะในห้องโถงอย่างโกรธจัด ชุดน้ำชาบนโต๊ะร่วงหล่นลงพื้นแตกเป็นชิ้น ๆ ในชั่วพริบตา เมื่อคนรับใช้ในจวนเห็นท่าทางเช่นนี้ ทุกคนต่างตกใจกลัวจนหน้าซีดมิกล้าแม้แต่หายใจ ตอนนี้เองชายชราวัยห้าสิบหรือหกสิบปีเดินเข้ามา เขาเหลือบมองห้องโถงที่เละเทะด้วยเอ่ยด้วยความเคารพ “ท่านอ๋อง ท่านมิได้เข้าวังไปฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของไทฮองไทเฮาหรือพ่ะย่ะค่ะ เหตุใดจึงกลับเร็วเช่นนี้ อีกทั้งยังดูโมโหมากด้วย?” ฉินเซียวหันกลับไปและถามด้วยความประหลาดใจ “ที่ปรึกษาจี้ ไฉนท่านจึงอยู่ที่นี่?” ที่ปรึกษาจี้ผู้นี้มีนามว่าจี้เหลียน เขาเป็นอดีตพ่อบ้านของจวนอ๋องหนิง หลังจากที่ฉินเซียวถูกลดตำแหน่งเป็นฝู่กั๋วกง ที่ปรึกษาจี้ถูกสำนักขุนนางใหญ่จัดให้ไปทำงานที่อื่น เมื่อเห็นว่าเขาปรากฏตัวในจวนฝู่กั๋วกง ฉินเซียวจึงรู้สึกสับสนเล็กน้อย จี้เหลียนอธิบายว่า “นับตั้งแต่ท่านอ๋องย้ายมายังจวนฝู่กั๋วกง ข้าน้อยก็รีบเขียนหนังสือส่งให้สำนักขุนนางใหญ่เพื่อขอติดตามท่านอ๋องมาที่นี่ทันที จนกระทั่งเช้านี้ คำสั่งของสำนักขุนนางใหญ่เพิ่งออกมาพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อฉินเซียวได้ยินสิ่
“ท่านแม่ทัพหู แผนนี้ยอดเยี่ยมจริง ๆ ออกจากประตูเมืองฝั่งเหนือแล้วอ้อมไปอีกหน่อย ก็ลอบโจมตีทัพหนานเยวี่ยได้เหมือนเดิม!”“ไป เร่งฝีเท้า!”ดังนั้น กองทหารของพวกเขาจึงเดินทางมายังใต้ประตูเมืองฝั่งเหนือแม่ทัพรักษาการณ์ที่นี่เห็นหูก่วงเซิงและพวก จึงไต่ถาม “ท่านแม่ทัพหู นี่พวกท่านจะทำการใด?”“ในเมืองผู้คนพลุกพล่านเกินไป พวกเราจะออกไปพักผ่อนนอกเมืองสักหน่อย วันพรุ่งพวกเราจะย้ายค่ายทหารไปตั้งไว้นอกเมืองฝั่งเหนือเช่นกัน เพื่อความสะดวกในการฝึกทหาร”เมื่อได้ยินดังนั้น ทหารรักษาการณ์ก็โบกมือให้คนเปิดประตูเมืองจะตำหนิว่าเขาประมาทเกินไปก็มิได้ ท้ายที่สุดแล้วนอกเมืองทางฝั่งเหนือยังมีทหารประจำการอยู่เป็นจำนวนมิน้อย ทหารที่เข้าออกประตูเมืองทางฝั่งเหนือจึงมีจำนวนมากเป็นทุนเดิมหลังจากที่ออกนอกเมืองได้อย่างราบรื่น หูก่วงเซิงจึงนำกองทัพทหารม้าพันนายมุ่งหน้าลงใต้!ขณะเดียวกันนอกประตูเมืองเจียวโจวทางฝั่งใต้ เงาร่างสิบกว่าร่างพุ่งออกมาจากป่าละเมาะห่างออกไปมิไกลนักพวกเขามีท่าทางคล่องแคล่ว เพียงชั่วพริบตาก็เข้าไปซุ่มซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้เตี้ย ๆ ฝั่งหนึ่งหลังจากที่สังเกตการณ์บนกำแพงเมืองอยู่ครู่หน
“ท่านแม่ทัพหู กองทัพหนานเยวี่ยแตกพ่ายในวันนี้ บัดนี้คงอกสั่นขวัญแขวนกันอยู่เป็นแน่ หากพวกเรานำทัพไปลอบโจมตี อย่างไรก็ต้องสำเร็จ! ถึงเวลานั้นหากสำเร็จ ท่านแม่ทัพใหญ่จะเอาผิดพวกเราที่ยกทัพไปโดยพลการได้อย่างไร?”ชายร่างกำยำอีกด้านกล่าวสำทับ “รองแม่ทัพหลิวกล่าวได้ถูกต้อง ท่านแม่ทัพหู พวกเราอุตส่าห์บุกป่าฝ่าดงมาถึงเจียวโจวก็มิใช่อื่นใด นอกเสียจากเพื่อสร้างความดีความชอบให้มากยิ่งขึ้นพวกเราสร้างความดีความชอบในเจียวโจวมากเท่าไร พระเกียรติของท่านอ๋องฉู่ในราชสำนักก็จะยิ่งสูงส่งมากขึ้นเท่านั้น ทุกสิ่งที่พวกเราทำ ล้วนเพื่อท่านอ๋องฉู่ทั้งสิ้น!”“ถูกต้อง พวกเราคือคนของท่านอ๋องฉู่ ท่านแม่ทัพใหญ่ย่อมมิอาจตำหนิพวกเราที่ออกรบโดยพลการได้ ท่านแม่ทัพหู ท่านรีบตัดสินใจเถิด โอกาสมิคอยท่า เวลามิหวนคืน!”“ท่านแม่ทัพหู คนขององค์รัชทายาทออกนอกเมืองไปครึ่งชั่วยามแล้ว หากพวกเรามิรีบเร่งติดตามไป เกรงว่าน้ำแกงก็มิได้ซด อย่าหวังจะได้กินเนื้อเลยขอรับ!”ด้วยคำยุยงของเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชา ดวงตาของหูก่วงเซิงก็ค่อย ๆ แน่วแน่ขึ้น!เขาพยักหน้าหนักแน่น กล่าวเสียงทุ้มต่ำ “สั่งให้เหล่าสหายทั้งหลายเตรียมตัวให้พร้อม อีกห
หูก่วงเซิงยกไหสุราขึ้นกระดกไปหลายอึก และแค่นเสียง “หึ ศึกที่ได้ชัยชนะในวันนี้ หากมิใช่เพราะทหารม้าหุ้มเกราะของพวกข้าบุกตะลุยอยู่แนวหน้า มีหรือกองทัพหนานเยวี่ยจะถูกสังหารจนแตกพ่ายยับเยิน?ทว่าในงานเลี้ยงฉลองชัย ท่านแม่ทัพใหญ่กลับมิเอ่ยถึงความดีความชอบของพวกข้าแม้แต่คำเดียว เอาแต่ชื่นชมองค์รัชทายาทมิขาดปากข้าสงสัยนัก องค์รัชทายาทเพียงแต่นำอาวุธที่กรมโยธาธิการประดิษฐ์ขึ้นใหม่มาด้วยเท่านั้น มีสิ่งใดน่าสรรเสริญกัน?”รองแม่ทัพที่นั่งอยู่ข้างกายเขาขมวดคิ้ว กล่าว “ท่านแม่ทัพหู ท่านว่าเช่นนี้เห็นทีจะมิถูกกระมัง อาวุธเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งที่องค์รัชทายาททรงออกแบบ ศึกครานี้ชนะได้ ก็เป็นเพราะพระองค์”“ใช่แล้ว อีกอย่างที่ทหารม้าหุ้มเกราะของพวกท่านบุกตะลุยกองทัพหนานเยวี่ยได้ไร้ผู้ใดขัดขวาง ก็มิใช่เป็นเพราะมีอาวุธที่องค์รัชทายาททรงออกแบบให้การคุ้มครองหรอกหรือ มิเช่นนั้นกองทัพหนานเยวี่ยจะปล่อยให้พวกท่านบุกตะลุยในแนวรบโดยมิอาจโต้ตอบได้เลยด้วยเหตุใดเล่า?”หูก่วงเซิงเผยสีหน้าดูแคลน หัวเราะเยาะ “องค์รัชทายาทที่เอาแต่เสพสุขไปวัน ๆ ไฉนจึงออกแบบอาวุธร้ายกาจถึงเพียงนี้ได้? พวกเจ้าก็ช่างหูเบากันเสียจริง ใ
หลังจากที่ฟังเขาจนจบ ฉงชูโม่ขมวดคิ้วถาม “แผนการของท่านดีก็จริง ทว่าหากพวกมันมิมาในคืนนี้เล่า?”“คืนนี้พวกเราจัดงานเลี้ยงฉลองชัย พวกมันต้องปักใจเชื่อว่ากำลังป้องกันเมืองของพวกเราหย่อนยาน คืนนี้หากพวกมันมิลงมือ ภายหน้าคงไม่มีโอกาสดีเช่นนี้อีกแล้ว ดังนั้นคืนนี้พวกมันต้องลงมือเป็นแน่”“เช่นนั้นก็ได้ ทำตามที่ท่านว่าก็แล้วกันเพคะ!”ฉินซูพยักหน้าเล็กน้อย แล้วกล่าวต่อ “อีกอย่าง คืนนี้เจ้าจงส่งทหารสองกองไปซุ่มอยู่หลินสุ่ยและเซี่ยอ้าว เมื่อทัพใหญ่หนานเยวี่ยปรากฏกาย จงปล่อยให้พวกมันเข้ามา รอจนกระทั่งเสียงฆ่าฟันนอกเมืองดังขึ้นค่อยตลบหลังโจมตีกองทัพหนานเยวี่ย จากนั้นจึงเข้าตีกระหนาบหน้าหลัง กวาดล้างพวกมันในคราเดียว!”ฉงชูโม่ถามอย่างตกตะลึง “ท่านคิดว่าคืนนี้พวกหนานเยวี่ยจะบุกโจมตีด้วยทัพใหญ่หรือเพคะ?”“พูดได้แต่เพียงมีความเป็นไปได้สูงนัก”“หม่อมฉันว่ามีความเป็นไปได้น้อย เนื่องจากเติ้งหม่างเพิ่งประสบความพ่ายแพ้ในวันนี้ ซ้ำร้ายทหารใต้บัญชาของเขายังหวาดหวั่นเกรงกลัวธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้าของพวกเราจนหัวหด หากยังมิล่วงรู้ว่าพวกเรามีธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้าเหลืออยู่มากน้อยเพียงใด พวกมันคงมิกล้าผล
ฉินซูหัวเราะแห้ง ๆ แล้วกล่าวติดตลก “ข้าแค่กังวลว่าเจ้าจะหึงหวงข้า”ฉงชูโม่ถ่มน้ำลาย “ถุย ใครจะหึงท่านกัน อย่าได้หลงตัวเองไปหน่อยเลย!”“อะแฮ่ม ๆ เรื่องนั้นช่างมันเถิด ที่จริงข้ามีธุระสำคัญ...”ฉงชูโม่ขัดขึ้นมาเสียก่อน “มีกระไรก็รีบว่ามา อย่ามัวอ้อมค้อม”ฉินซูปรับสีหน้าให้เคร่งขรึม แล้วเอ่ยถาม “วันนี้ที่พวกเรามีชัยเหนือแคว้นหนานเยวี่ย ในความเห็นของเจ้า พวกมันจะทำอย่างไรต่อไป?”“ชัยชนะในวันนี้ ต้องยกความดีความชอบให้กับพลานุภาพของธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้า กองทัพหนานเยวี่ยประสบความพ่ายแพ้ย่อยยับถึงเพียงนี้ หากหม่อมฉันเป็นเติ้งหม่าง คงต้องหาทางนำอาวุธทั้งสองชนิดนี้ไปให้ได้!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินซูจึงอดมิได้ที่จะมองนางด้วยสายตาชื่นชมสมแล้วที่ฉงชูโม่เป็นแม่ทัพขั้นหนึ่งที่มากล้นด้วยสติปัญญาและความกล้าหาญ สามารถเดาใจศัตรูได้ล่วงหน้าเช่นนี้“เมื่อรู้ถึงเจตนาของเติ้งหม่างผู้นั้นแล้ว เราควรจะลองมาล่อเสือออกจากถ้ำดูสักครา”“ตรัสเช่นนี้ แสดงว่าท่านทรงคิดแผนการรับมือไว้แล้วหรือ?”ฉงชูโม่เอี้ยวศีรษะมองฉินซู ดวงตาคู่งามกระจ่างใสนั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจหางตาฉินซูเหลือบมองอ่างอาบน้ำโดยม
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาท ขอพระองค์โปรดเมตตา”ทั้งสองกล่าวพร้อมคุกเข่าลงต่อหน้าฉินซูฉินซูจนปัญญา จึงตะโกนเข้าไปในกระโจม “ชูโม่ ให้ข้าเข้าไปเถิด ข้าขออธิบายให้เจ้าฟังดี ๆ มิได้หรือ?”ทว่าข้างในกลับไร้เสียงตอบรับฉินซูยังคงมิยอมแพ้ กล่าวต่อไป “ชูโม่ เจ้าอย่าหึงหวงนักเลย อย่างน้อยก็ให้ข้าอธิบายสักหน่อยเถิด”เมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น ทหารยามทั้งสองก็อดมิได้ที่จะสบตากัน!ให้ตายสิ ท่านแม่ทัพใหญ่กับองค์รัชทายาทมีความสัมพันธ์ช่างลึกซึ้งเกินคาด!!สีหน้าของพวกเขาทั้งสองฉายแววตกตะลึง ราวกับได้รับข่าวเด็ดข่าวใหญ่ฉินซูเกลี้ยกล่อมอีกสองสามประโยค ทว่าในกระโจมก็ยังคงไร้เสียงตอบรับเมื่อเห็นดังนั้น ฉินซูจึงหันไปถามทหารยามทั้งสอง “ชูโม่อยู่ข้างในจริง ๆ หรือ?”“พ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท ท่านแม่ทัพใหญ่เข้าไปแล้วก็ยังมิได้ออกมาเลยพ่ะย่ะค่ะ”“ไม่มีประตูด้านหลังใช่หรือไม่?”“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”“มิได้การ ชูโม่อาจจะเป็นกระไรไปแล้วก็ได้!”กล่าวถึงตรงนี้ ฉินซูจึงตะโกนเข้าไปด้านใน “ชูโม่ ข้าจะเข้าไปแล้วนะ”ขณะที่ฉินซูกำลังจะก้าวเท้าเข้าไป ทหารยามทั้งสองก็รีบร้องทัดทาน “มิได้พ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท ห
ขณะเดียวกันกองหนุนทัพหนานเยวี่ยภายในค่ายทหารแม่ทัพนายกองทั้งหลายต่างจับจ้องไปยังบุรุษบนที่นั่งหัวโต๊ะด้วยใจระทึกบุรุษผู้นั้นสวมชุดเกราะสีเงินยวง ร่างกายสูงใหญ่ผึ่งผาย!เขาคือแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพหนานเยวี่ย เติ้งหม่าง!สายตาเย็นเยียบของเขากวาดมองไปยังกลุ่มคนทีละคน สุดท้ายจับจ้องที่แม่ทัพน้อยหม่า“หม่าเวย เจ้าสำนึกผิดหรือไม่?”หม่าเวยรีบคุกเข่าลงข้างหนึ่ง กล่าวด้วยสีหน้าขมขื่น “ท่านแม่ทัพใหญ่ ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว ทว่าอาวุธของต้าเหยียนคราวนี้ร้ายกาจเหลือเกิน โล่เกราะหวายของพวกเราเมื่อเผชิญกับลูกธนูของพวกมันก็มิต่างกระไรจากดินเหนียว ยิงคราเดียวก็ทะลุง่ายดาย!”“ใช่แล้วท่านแม่ทัพใหญ่ โล่เกราะหวายที่พวกเราเคยภาคภูมิใจนักหนา บัดนี้มิอาจหวังพึ่งได้อีกแล้วขอรับ”“มิเพียงเท่านั้น ทางต้าเหยียนยังใช้อาวุธเพลิงร้ายกาจชนิดหนึ่ง ของสิ่งนั้นอานุภาพร้ายแรงยิ่งนัก ทหารมิใช่น้อยถูกระเบิดจนร่างแหลกมิเหลือชิ้นดีเลยขอรับ”เมื่อกล่าวถึงระเบิดเพลิง หลายคนยังคงหวาดผวาเติ้งหม่างขมวดคิ้วมุ่น และกล่าวพึมพำ “กองทหารรักษาการณ์เจียวโจวถูกพวกเราโจมตีมาเกือบเดือน บัดนี้จู่ ๆ กลับปรากฏอาวุธร้ายกาจถึงเพียงนี
วาจาล้ำสมัยปานนี้ ตี๋จิ่งผู้นี้คิดได้อย่างไร?มู่หรงจื่อเยียนเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “ฉินซู ท่านมิเป็นกระไรใช่หรือไม่?”“มิเป็นกระไร ไปเถิด”ขณะมองตามสองร่างหายลับไปจากสายตา สหายของตี๋จิ่งก็อดมิได้ที่จะหวั่นวิตกชายร่างกำยำผู้หนึ่งเอ่ยถาม “พี่ตี๋ แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี?”“หรือว่าพวกเราฟาดหัวองค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียนให้สลบ แล้วลักพาตัวกลับเป่ยเยี่ยนดี?”“นั่นสิ หากเป็นเช่นนั้น ท่านหญิงจะได้ตามพวกเรากลับเป่ยเยี่ยนเสียที”ตี๋จิ่งโบกมือ และกล่าวว่า “มิได้ อย่าว่าแต่ท่านหญิงจะยอมให้เราทำหรือไม่เลย ลำพังแค่พวกทหารต้าเหยียนที่ยั้วเยี้ยไปทั่ว พวกเราก็มิมีทางทำสำเร็จแล้ว!”“ก็จริงดังว่า แล้วพวกเราจะทำอย่างไรเล่า?”“เฝ้าสังเกตการณ์ไปก่อน อารักขาความปลอดภัยท่านหญิงให้ดี”“ขอรับ”พวกเขาปรึกษาหารือกันครู่หนึ่ง จากนั้นก็ติดตามไปที่พักของฉินซูถูกจัดสรรให้อยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งใกล้กับประตูเมืองทางทิศเหนือที่นี่ห่างจากประตูเมืองทิศใต้ประมาณเจ็ดแปดลี้ จึงมิต้องกังวลว่าจะถูกผลกระทบจากไฟสงครามเมื่อเข้าสู่โรงเตี๊ยมและปิดประตูลง มู่หรงจื่อเยียนก็อดรนทนรอมิไหว โผเข้ากอดคอฉินซู นางเขย่งปลา
ฉินซูเองก็ประหลาดใจมิต่างกัน เมื่อเห็นสายตาของฉงชูโม่ เขาก็รู้สึกจนปัญญาในใจลอบคิดว่าคนที่มาหาตนนั้นจะเป็นใครกันแน่หรือจะเป็นเซี่ยหลาน หรือว่าหลินชิงเหยา?แต่เมื่อคิดดูอีกทีก็รู้สึกว่าเป็นไปมิได้ เพราะทั้งสองคนเคยรับปากตนว่าจะคอยเขากลับไปอยู่ที่ตำหนักบูรพาเมื่อเห็นฉินซูเงียบไปมิพูดจา ฉงชูโม่ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มคลุมเครือ "ฉินซู ดูเหมือนว่าช่วงเวลาที่หม่อมฉันมิอยู่ในเมืองหลวง พระองค์จะสำราญบานใจมิน้อยเลยกระมังเพคะ!"ฉินซูกล่าวอย่างใจเย็น "ข้าเปล่านะ""เปล่าหรือ? แล้วสตรีที่อยู่ข้างนอกนั่นเป็นใครกัน?""ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร อาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดก็ได้""คนผู้นั้นระบุชื่อเจาะจงว่าจะมาพบองค์รัชทายาท จะเป็นเรื่องเข้าใจผิดได้อย่างไร ไปเถิด ไปดูกันดีกว่าว่าอีกฝ่ายเป็นใครมาจากที่ใด"เมื่อฉงชูโม่กล่าวจบก็เดินนำออกจากกระโจมบัญชาการไปก่อนฉินซูเดินตามไปด้วยความกระวนกระวายใจเดินไปได้มิไกล ฉินซูก็ถึงกับชะงักเท้าอยู่กับที่ จ้องมองหญิงงามที่อยู่เบื้องหน้ามิไกลอย่างเหม่อลอยเมื่อฉงชูโม่เห็นคนผู้นี้ ก็ขมวดคิ้วถาม "มู่หรงจื่อเยียน? ท่านเป็นถึงท่านหญิงแห่งเป่ยเยี่ยน มายังสนามรบต้าเหยียนด้วย