สิ่งที่ทำให้ฉินซูประหลาดใจที่สุดคือทับทิมที่ฝังอยู่ในด้ามจับของกริช อัญมณีเม็ดนี้มีเส้นสายคมชัด เมื่อดูผิวเผิน มันเต็มไปด้วยความรู้สึกคล้ายกับสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปในยุคสมัยใหม่ก่อนที่เขาจะเดินทางข้ามเวลามา ตามหลักแล้วในยุคโบราณที่มีเทคโนโลยีล้าหลัง เป็นไปมิได้เลยที่จะเจียระไนอัญมณีแข็ง ๆ ให้เป็นรูปทรงเช่นนี้แม้จะขัดให้เข้ารูป ก็จะต้องมีร่องรอยความหยาบกร้านอยู่บ้างแน่นอน แต่เมื่อฉินซูตรวจดูอย่างละเอียดก็พบว่า ทุกพื้นผิวของทับทิมเม็ดนี้เรียบเนียนไร้ที่ติ เห็นได้ชัดว่ามิใช่สิ่งที่มนุษย์จะทำได้ คำอธิบายเดียวคือมันถูกตัดด้วยเทคโนโลยีศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด เพียงแต่ผลิตภัณฑ์เช่นนี้จะปรากฏในยุคศักดินาของโลกต่างมิติได้อย่างไร? ฉินซูครุ่นคิดอย่างไรก็มิเข้าใจ ครั้นเห็นว่าถึงอย่างไรก็ไม่มีทางคิดออกได้ในตอนนี้ ฉินซูจึงเลิกคิ้วและมองมู่หรงฟู่พร้อมถามว่า “มู่หรงฟู่ ข้าขอถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าเต็มใจยอมรับความพ่ายแพ้หรือไม่?” ในขณะที่พูดเขายังจงใจยกกริชในมือขึ้นภายใต้แสงอาทิตย์ ภายใต้แสงแดดที่สาดส่อง ใบมีดของกริชเปล่งแสงเย็นออกมาจาง ๆ ราวกับสามารถพรากวิญญาณของคนไปได้! เมื่อมู่หรงฟู่นึ
ฉินเซียวเห็นฉินอู๋ต้าวมิพูดอะไรจึงกัดฟันพูดขึ้นมา เขาชี้ไปที่ฉินซูและถามว่า “องค์รัชทายาท ท่านเพิ่งพูดว่าหมู่เฟยตั้งใจก้าวก่ายการตัดสินใจแทนเสด็จพ่อ แต่บัดนี้ท่านกำลังบีบบังคับผู้อื่นเช่นนี้ มิยิ่งเป็นการก้าวก่ายเช่นกันงั้นหรือ?” ฉินซูรู้สึกขบขันกับคำพูดของฉินเซียว “ฮ่า ๆ ฉินเซียวเอ๋ยฉินเซียว เสด็จพ่อเพิ่งจะขอให้เจ้าคิดให้ดีก่อนพูด แต่เจ้ากลับมิใส่ใจเลยจริง ๆ! การเดิมพันเมื่อครู่ ข้าบังคับให้เจ้ามาพนันกับข้าหรือไร? ยิ่งกว่านั้นตอนนั้นเสด็จพ่อทรงอนุญาตเป็นนัย ดวงตาหลายคู่ต่างก็มองเห็นกันทั้งนั้น ข้าพูดตามความจริง แล้วไฉนในปากของเจ้ากลับกลายเป็นว่าข้าก้าวก่ายไปได้เล่า?” “ข้า…” ฉินเซียวทำอะไรมิถูก ถึงแม้ความคิดในหัวจะหมุนไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็หาคำที่เหมาะสมมาตอบโต้ฉินซูมิได้ไปสักพัก ฉินซูเอามือไพล่หลังแล้วพูดต่อ “บัดนี้เจ้ากับหมู่เฟยกลับคำต่อหน้าธารกำนัลแล้วยังคิดจะให้หมู่เฟยสนับสนุนพวกเจ้าอีก อย่างไรกัน พวกเจ้าอยากให้คนทั่วหล้าหัวเราะเยาะงั้นหรือ? เสด็จพ่อเป็นจักรพรรดิสูงศักดิ์ คำพูดของพระองค์หนักแน่นที่สุด หากพระองค์กลับคำและผิดคำพูดเหมือนพวกเจ้าทั้งสอง ราษฎรทั่วทั้งแผ่นดิน
ฉินอู่ต้าวขมวดคิ้วและรู้สึกลังเลในใจอยู่เล็กน้อย ฉินซูก้าวมาด้านหน้าและเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ทั้งมิได้ถ่อมตนและหยิ่งผยอง “เสด็จย่าทวด ท่านคือพระอัยยิกาของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อทรงยอมท่านย่อมเป็นเรื่องที่ถูกต้องเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ทว่าผู้น้อยอยากขอเตือนเสด็จทวดว่า นอกจากเสด็จพ่อจะทรงเป็นพระราชนัดดาของท่านแล้ว พระองค์ยังทรงเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ต้าเหยียนของพวกเราด้วย! การกระทำทุกอย่างของพระองค์ ล้วนเชื่อมโยงกับแผ่นดินและความมั่นคงของแคว้น มิเช่นนั้นจะมีคำกล่าวว่าจักรพรรดิตรัสคำไหนคำนั้นได้อย่างไร? แน่นอนว่าคำพูดของท่าน เสด็จพ่อมิอาจมิรับฟังได้ เพียงทว่า วันนี้เสด็จพ่อต้องกระทำสิ่งที่ทำให้คำพูดพระองค์หมดความน่าเชื่อถือเพราะอิทธิพลของเสด็จย่าทวด นั่นจะมิทำให้พระองค์ถูกมองว่าไร้ความซื่อสัตย์ไร้ความเมตตาและไร้ศีลธรรมหรือ?ผู้น้อยคิดว่า เสด็จย่าทวดคงทรงมิได้ต้องการให้เป็นเช่นนี้หรอกใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ?” ไทฮองไทเฮามีสีหน้าถมึงทึงและกล่าวตำหนิว่า “เจ้าเด็กนี่ปากกล้านัก ในเมื่อเจ้ายังรู้ว่าข้าคือเสด็จย่าทวดของเจ้า เช่นนั้นเจ้าพูดมาว่า หากเสด็จพ่อของเจ้าฟังคำของข้าแล้วจะมิซื่อสัตย์ ไร้เมตตาและไร้ศ
ฉินอู๋ต้าวและคนอื่น ๆ ต่างมองไปที่ฉินซูด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง ทุกคนไม่มีใครคาดคิดเลยว่า องค์รัชทายาทผู้รอวันถูกปลดจะมีวาทศิลป์ช่างเจรจาจนทำให้ไทฮองไทเฮาผู้เผด็จการต้องเสียอารมณ์เช่นนี้ วิธีนี้ทำให้พวกเขาทึ่งจริง ๆ! เสียนเฟยยังมิยอมแพ้ นางอ้อนวอนฉินอู๋ต้าวอย่างน่าสงสารพร้อมกับน้ำตานองหน้าว่า “ฝ่าบาท พระองค์ทรงลดตำแหน่งเซียวเอ๋อร์เป็นฝู่กั๋วกงมิได้นะเพคะ พระองค์ทรงรับปากหม่อมฉันแล้ว…” ฉินอู๋ต้าวโบกมือแล้วขัดจังหวะนางอย่างเย็นชา “ชายาที่รัก อย่าพูดอีกเลย เรื่องนี้ได้ข้อสรุปแล้ว บัดนี้งานเลี้ยงใกล้ยุติแล้ว เจ้าและคนอื่นๆ กลับวังหลังเถอะ” “เหลยเจิ้น เว่ยเจิง เจ้าสองคนตามตัวข้าไปหารือที่ห้องทรงพระอักษร ส่วนคนอื่น ๆ แยกย้ายกันตามอัธยาศัยได้” ฉินอู๋ต้าวพูดจบก็เดินไปที่ห้องทรงพระอักษรโดยมิหันกลับมามอง เหลยเจิ้นและเว่ยเจิงเดินตามไปอย่างมิรีบร้อน คนอื่น ๆ ที่เหลือต่างพากันยืนขึ้นและทำความเคารพ “ข้าน้อยน้อมส่งเสด็จฝ่าบาท” เสียนเฟยจ้องเขม็งลงมาที่ฉินซูก่อนจะออกจากแท่นสูง ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเกลียดชังและประกายอาฆาตก็ฉายวาบผ่านไป! จากนั้นนางก็กลับวังหลังพร้อมกับพร
ภายในห้องทรงพระอักษรฉินอู๋ต้าวพูดด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “พวกเจ้าสองคนคิดอย่างไรกับผลงานขององค์รัชทายาทวันนี้?” เว่ยเจิงประสานมือคารวะ “ฝ่าบาท วันนี้องค์รัชทายาทสามารถเหยียบวงการวรรณกรรมของแคว้นเป่ยเยี่ยนไว้ใต้ฝ่าพระบาทของพระองค์แล้ว ผลงานเช่นนี้สมควรได้รับการยกย่องว่าสะเทือนเลื่อนลั่นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน น่าทึ่งดุจเทพเซียนจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ!” “เจ้าค่อนข้างจะยกย่องรัชทายาททีเดียว แล้วเจ้าเล่า ขุนนางเหลย?” ฉินอู๋ต้าวมองไปทางเหลยเจิ้น เหลยเจิ้นยิ้มแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาท วันนี้องค์รัชทายาททรงทำให้ทุกคนต้องตกตะลึง ทันทีที่เรื่องวันนี้แพร่ออกไป องค์รัชทายาทจะทรงมีชื่อเสียงเกรียงไกรอย่างแน่นอน อีกทั้งยังทำให้ชื่อเสียงของราชวงศ์ต้าเหยียนดังกึกก้อง อย่างน้อยก็ทำให้แคว้นโดยรอบมิกล้าดูแคลนพวกเราเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”“หึ องค์รัชทายาทผู้รอวันปลดมิเพียงแค่ทำให้เป่ยเยี่ยนต้องกลับไปอย่างปราชัยเท่านั้น ซ้ำยังยั่วยุให้ไทฮองไทเฮาทรงเสียอารมณ์ พร้อมกันนั้นยังทำให้ตัวข้าต้องลดตำแหน่งอ๋องหนิงเหลือเพียงฝู่กั๋วกงอีกด้วยวิธีการที่เด็ดขาดเช่นนี้ แม้แต่ตัวข้าเองยังต้องชื่นชม พวกเจ้าคิดว่า สิ่งที่องค์รัชทายา
ภายในจวนฝู่กั๋วกง ทันทีที่ฉินเซียวเข้าประตูมา เขาก็คว่ำโต๊ะในห้องโถงอย่างโกรธจัด ชุดน้ำชาบนโต๊ะร่วงหล่นลงพื้นแตกเป็นชิ้น ๆ ในชั่วพริบตา เมื่อคนรับใช้ในจวนเห็นท่าทางเช่นนี้ ทุกคนต่างตกใจกลัวจนหน้าซีดมิกล้าแม้แต่หายใจ ตอนนี้เองชายชราวัยห้าสิบหรือหกสิบปีเดินเข้ามา เขาเหลือบมองห้องโถงที่เละเทะด้วยเอ่ยด้วยความเคารพ “ท่านอ๋อง ท่านมิได้เข้าวังไปฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของไทฮองไทเฮาหรือพ่ะย่ะค่ะ เหตุใดจึงกลับเร็วเช่นนี้ อีกทั้งยังดูโมโหมากด้วย?” ฉินเซียวหันกลับไปและถามด้วยความประหลาดใจ “ที่ปรึกษาจี้ ไฉนท่านจึงอยู่ที่นี่?” ที่ปรึกษาจี้ผู้นี้มีนามว่าจี้เหลียน เขาเป็นอดีตพ่อบ้านของจวนอ๋องหนิง หลังจากที่ฉินเซียวถูกลดตำแหน่งเป็นฝู่กั๋วกง ที่ปรึกษาจี้ถูกสำนักขุนนางใหญ่จัดให้ไปทำงานที่อื่น เมื่อเห็นว่าเขาปรากฏตัวในจวนฝู่กั๋วกง ฉินเซียวจึงรู้สึกสับสนเล็กน้อย จี้เหลียนอธิบายว่า “นับตั้งแต่ท่านอ๋องย้ายมายังจวนฝู่กั๋วกง ข้าน้อยก็รีบเขียนหนังสือส่งให้สำนักขุนนางใหญ่เพื่อขอติดตามท่านอ๋องมาที่นี่ทันที จนกระทั่งเช้านี้ คำสั่งของสำนักขุนนางใหญ่เพิ่งออกมาพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อฉินเซียวได้ยินสิ่
“ที่ผ่านมาองค์รัชทายาทมิเคยทำตัวให้เป็นที่สะดุดตา วันนี้กลับโดดเด่นในศึกประลองวรรณกรรมระหว่างสองแคว้น เขามากเล่ห์ซ่อนกลไว้อย่างลึกซึ้งเช่นนี้ ข้าน้อยคิดว่าองค์จักรพรรดิจะต้องทรงเฝ้าระวังเขาในภายภาคหน้า นี่มิใช่เรื่องดีพ่ะย่ะค่ะ” ฉินเซียวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนพยักหน้าช้า ๆ “ที่ท่านพูดเช่นนี้ก็ถูก เสด็จพ่อทรงเป็นคนขี้ระแวง เมื่อฉินซูแสดงความสามารถโดดเด่นเช่นนี้ ย่อมทำให้พระองค์เกิดความสงสัยอย่างมากแน่นอน” “เช่นนั้น แล้วท่านอ๋อง ต่อไปเราควรเร่งหาทางให้องค์จักรพรรดิทรงฟื้นฐานะจวิ้นอ๋องของท่านกลับมา ส่วนการแก้แค้นองค์รัชทายาทพวกเรายังมีโอกาสในภายภาคหน้าพ่ะย่ะค่ะ” “ลูกผู้ชายล้างแค้นสิบปีก็มิสาย ได้ ข้าจะทำตามคำแนะนำของท่าน! เพียงแต่… จะมีวิธีใดที่ทำให้เสด็จพ่อฟื้นคืนตำแหน่งจวิ้นอ๋องให้ข้าได้หรือ?” จี้เหลียนกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ในแคว้นต้าเหยียนของเรามีภัยน้ำท่วมทางใต้และภัยแล้งทางเหนือ ถึงแม้ราชสำนักเริ่มทำการบรรเทาภัยพิบัติแล้ว ทว่าผู้คนจำนวนมากในเขตเมืองและมณฑลที่ได้รับผลกระทบรุนแรงนั้นยังไม่มีอาหารกินว่ากันว่าผู้คนในเขตเมืองและมณฑลเหล่านั้นเต็มไปด้วยความมิพอใจและเสียศรัทธาต
ฉินเหยี่ยนพูดอย่างจริงจัง “ว่ากันว่า เสด็จพ่อทรงวางแผนจะส่งองค์ชายไปตรวจสอบตามเขตเมืองและมณฑลที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากภัยพิบัติ นี่เป็นภารกิจที่สามารถสั่งสมบารมีได้ ไว้ตอนราชสำนักช่วงเช้า เสด็จพี่รัชทายาทลองหาโอกาสดูเถิดพ่ะย่ะค่ะ”ฉินซูยักไหล่เล็กน้อยและกล่าวว่า “ถึงแม้ว่าข้าเอ่ยปากทูลขอจริง เจ้าคิดว่าเสด็จพ่อจะส่งข้าไปจริงหรือ?” “เสด็จพี่รัชทายาท ในพระทัยของเสด็จพ่ออาจมิเต็มพระทัยทำเช่นนั้น แต่บัดนี้ท่านมิได้ต่อสู้ในราชสำนักเพียงลำพังแล้ว ตัวอย่างเช่น ตุลาการศาลต้าหลี่ ผู้ตรวจการฝ่ายซ้ายและคนอื่น ๆ จะต้องออกมาสนับสนุนท่านแน่นอน” พูดถึงสิ่งนี้แล้ว ฉินเหยี่ยนยังให้คำมั่นอีกว่า “และขอเพียงเสด็จพี่รัชทายาททูลขอ น้องผู้นี้ก็จะสนับสนุนท่านอย่างสุดใจโดยมิลังเลเลยพ่ะย่ะค่ะ” ฉงชูโม่ที่อยู่ด้านข้างแสดงสีหน้าสงสัยและถามว่า “ท่านอ๋องจิ้น เหตุใดท่านมิลองทูลขอภารกิจที่ดีเช่นนี้ให้ตัวท่านเอง ทว่ากลับสนับสนุนองค์รัชทายาทแทน ท่านหวังผลอะไร?” ฉินเหยี่ยนถอนหายใจอย่างจนใจ “มิว่าอย่างไรเสด็จพ่อก็มิส่งข้าไปแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น จะไม่มีขุนนางคนใดออกมาสนับสนุนข้า ในสถานการณ์ยามนี้ คนที่สามารถแย่งต
เซี่ยหลานตกใจลนลาน รีบแก้ตัวว่า “มิใช่อย่างนั้น ชูโม่ เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าจะกอดพระองค์ได้อย่างไร เจ้าก็รู้ว่าก่อนหน้านี้เขาทำกับข้าเช่นไร”ฉงชูโม่จึงนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เซี่ยหลานเคยถูกฉินซูฉีกอาภรณ์และทำให้อับอายนางจึงคลายความสงสัยในใจ “ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้นเอง จะตกใจไปไยเล่า”“หึ กล้าล้อข้ารึ ข้ามิคุยกับเจ้าแล้ว” เซี่ยหลานแสร้งทำเป็นโกรธแล้วหันหลังเดินไปฉงชูโม่เห็นดังนั้นจึงรีบตามไป “เซี่ยหลาน ข้าผิดไปแล้ว เจ้าอย่าใจน้อยนักเลย”มองดูทั้งสองคนที่ทำราวกับว่าตนเป็นอากาศธาตุ ฉินซูก็จนคำจะกล่าวโชคดีที่ในเวลานั้นหลินชิงเหยาเดินเข้ามานางคล้องแขนฉินซูพลางกล่าวด้วยความนัยลึกซึ้งว่า “องค์รัชทายาท อากาศหนาวเย็นเช่นนี้อย่าประทับอยู่ข้างนอกเลยเพคะ ข้างนอกแม้จะเย็น แต่ดีที่ตำหนักบูรพาของเรามีบ่อน้ำพุร้อน องค์รัชทายาทจะเสด็จลงไปแช่เพื่อคลายความหนาวเหน็บหรือไม่เพคะ?”“ไปสิ ไยจึงมิไป!”ฉินซูเข้าใจความหมายในทันที จึงจับมือหลินชิงเหยาแล้วรีบเข้าไปในโรงอาบน้ำอย่างใจจดใจจ่อจากนั้นเขาก็ได้รำลึกถึงความหลังกับหลินชิงเหยาอีกครั้งในขณะเดียวกันเหลยเจิ้นได้รับพระบัญชาให้มายังห้องทรงอัก
“อืม เพราะหากเป็นเช่นนั้น ก็อธิบายหลายสิ่งหลายอย่างได้”ฉงชูโม่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “คนที่สามารถสั่งการยอดฝีมือจากวังหลวงได้ ตำแหน่งของเขาต้องมิธรรมดาอย่างแน่นอน หากคนเช่นนั้นลอบให้การช่วยเหลืออ๋องฉู่ ก็อาจจะปิดบังสายตาของสำนักโหรหลวงได้จริง ๆ”ฉินซูยักไหล่อย่างจนใจ “ดูเหมือนว่าการจะสาวถึงตัวคนที่อยู่เบื้องหลังอ๋องฉู่จะเป็นเรื่องยาก”“ถูกต้องแล้วเพคะ ครั้งนี้อ๋องฉู่ก่อกบฏมิสำเร็จ ต่อไปคงต้องระมัดระวังตัวยิ่งขึ้น พวกเราคงจะจับจุดอ่อนของเขาได้ยากขึ้นด้วย” ฉงชูโม่เองก็รู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง“ช่างเถอะ พักเรื่องนี้ไว้ก่อน หากสืบสวนต่อไป เกรงว่าเสด็จพ่อจะทรงสงสัยว่าพวกเราสมคบคิดกันใส่ร้ายอ๋องฉู่”“แต่พวกเราจะปล่อยเรื่องนี้ไปเฉย ๆ หรือเพคะ? ในเมื่อที่อ๋องฉู่ตั้งใจจะก่อกบฏก็เป็นเรื่องจริง”ฉินซูกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “มิอาจปล่อยไปง่าย ๆ แน่นอน สิ่งที่เราทำได้ในยามนี้คือรอ รอให้ฉินอวี่ทำผิดพลาดอีกครั้ง ข้าเชื่อว่าเมื่อเรื่องนี้ซาลงไปแล้ว เขาจะต้องเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน เมื่อใดที่มีการเคลื่อนไหว ก็จะต้องมีพิรุธเป็นแน่”ฉงชูโม่ถามว่า “ให้หม่อมฉ้นแอบจับตาดูเขาดีหรือไม่?”
ฉินซูขมวดคิ้วกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าก็แค่คาดเดา ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด จะสอบสวนเลยได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังเป็นศิษย์เอกของท่านทั้งสิ้น หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่าจะส่งผลเสียได้”เหลยเจิ้นส่ายหน้าอย่างจนใจ กล่าวว่า “ที่แท้องค์รัชทายาทก็แค่คาดเดาไปเอง แต่ข้าน้อยบอกท่านได้เต็มปากว่า นอกจากเสวี่ยเจี้ยน โฉ่วเยวี่ยและจีอันแล้ว ข้าน้อยล้วนจับศิษย์คนอื่น ๆ ขังแยกกันไว้ในห้องลับของสำนักหอดูดาวหลวงตั้งแต่ครึ่งปีก่อน พวกเขาไม่มีรอดพ้นจากสายตาข้าน้อยได้อย่างเงียบเชียบแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”“อ้อ? ถูกท่านขังไว้หมดเลยหรือ?”ต่อมความอยากรู้อยากเห็นของฉินซูถูกกระตุ้นขึ้นมาทันที เขาถามต่อว่า “ท่านหัวหน้าโหรหลวงขังพวกเขาไว้ด้วยเหตุผลใดหรือ?”กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเหลยเจิ้นกระตุกสองสามครั้ง เขายกมือขึ้นลูบหน้าผากแล้วตอบว่า “ช่างเถิด ข้าน้อยมิกลัวองค์รัชทายาทจะหัวเราะเยาะอยู่แล้ว ศิษย์เอกของข้าน้อยแต่ละคนล้วนมีสันดานทรยศ ข้าน้อยแน่ใจว่าท่านก็พอจะรู้นิสัยใจคอของโฉ่วเยวี่ยและจีอันอยู่บ้าง ดังนั้นข้าน้อยจึงทำได้เพียงปล่อยให้พวกเขาไตร่ตรองถึงความผิดพลาดของตนเท่านั้น”“เช่นนั้น ศิษย์เอกทั้งเจ็ดคนของท
ทันทีที่เขาลงบันไดมา จีอันก็ถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า “ศิษย์พี่รอง โดนดุมาหรือไร?”“ไป ๆ ๆ หัวโขกจนปูดไปหมด เรื่องนี้ข้ายังมิได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย!”“ดูเถอะ ขี้ใจน้อยเหมือนสตรีไปได้”“นี่ เจ้าอยู่ดี ๆ มิชอบใช่หรือไม่? ข้าจะฟาดเจ้าคอยดูเถอะ!” ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยไปหาแส้ยาวมาจากไหนก็มิทราบจีอันแคะขี้มูกแล้วกล่าวอย่างมิได้ยี่หระว่า “ข้ามิกลัวเจ้าหรอก ถึงอย่างไรท่านก็สู้ข้ามิได้”“ข้า… เจ้ามันร้ายกาจ ข้ายอมแพ้!”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยหมดความอดทนใดทันที จีอันผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องหนังหนา อีกทั้งยังเก่งกาจจนน่าขนลุก สู้มิได้ เขาหลบดีกว่าพูดจบเขาก็หันหลังเดินออกไปครู่ต่อมา ฉินซูและฉงชูโม่ก็มาถึงเมื่อเห็นฉินซู จีอันก็อุทานด้วยความประหลาดใจว่า “โอ้โหแฮะ องค์รัชทายาท มิไปประกาศศักดาที่ใดหรือ ไฉนจึงมาเยือนสำนักหอดูดาวหลวงของเราได้?”ฉินซูงงงวยเล็กน้อย จึงถามกลับว่า “ตัวข้าต้องไปประกาศศักดาที่ใดเล่า? อวดอ้างกระไร?”“ท่านมิทรงทราบหรือ? ยึดครองแคว้นหนานเยวี่ยง่ายเหมือนปอกกล้วยเช่นนี้ ผลงานระดับนี้ไยมิไปประกาศให้ทั่วเล่า? หากเป็นข้าน้อย ข้าน้อยจะร้องแรกแหกกระเชอคุยโวไปสามวันสามคืนเต็ม ๆ ท่านนี่ช่าง
ชิวก่วนกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมองว่า “หาได้มีโจรผู้ร้ายบุกรุกเข้ามาไม่พ่ะย่ะค่ะ หูก่วงเซิงและพวกตายไปโดยไร้สาเหตุ ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีความผิดปกติใด ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“ว่ากระไรนะ? หูก่วงเซิงและพวกตายแล้วรึ?”ฉงชูโม่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าประหลาดใจฉินซูกล่าวอย่างมิสบอารมณ์ว่า “มิใช่แค่พวกเขา แม้แต่กองทัพส่วนตัวห้าหมื่นนายของอ๋องฉู่ก็ถูกคนช่วยออกไปแล้ว”“ว่ากระไรนะเพคะ?”ฉงชูโม่ตกตะลึงอ้าปากค้าง!เมื่อได้สติกลับมา นางก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ด้วยกำลังของอ๋องฉู่เพียงลำพัง ไม่มีทางทำเรื่องเหล่านี้ได้แน่ ดังนั้นเบื้องหลังของเขาต้องมียอดฝีมือคอยช่วยเหลือเป็นแน่เพคะ!”ฉินซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ศพของหูก่วงเซิงและพวกอยู่ที่ใด?”“ตอนนี้อยู่ที่ศาลต้าหลี่พ่ะย่ะค่ะ”“ไปดูกัน”ฉินซูกล่าวจบก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วหวังฉือเห็นเขาออกมาก็คำนับแล้วกำลังจะกล่าวทว่าฉินซูกลับพูดแทรกขึ้นก่อนว่า “ใต้เท้าหวัง ไปกันเถิด ไปศาลต้าหลี่ของท่านด้วยกัน”เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังฉือก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็รีบพยักหน้าหนึ่งชั่วยามต่อมาพวกเขาก็มาถึงศาลต้าหลี่เมื่อมองดูร่างไร้วิญญาณของหูก่วงเซิงและพวก ฉ
ฉงชูโม่พยักหน้าหนักแน่น “ถูกต้องแล้วเพคะ เรื่องนี้มิใช่แค่ข้าน้อยคนเดียวที่เห็นกับตา ทหารทั้งสามทัพหลายนายก็เห็นเช่นกัน”เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของฉินอู๋ต้าวก็มิสู้ดีขึ้นมาทันตาอดีตองค์รัชทายาทสำมะเลเทเมาบัดนี้กลับสร้างคุณงามความดีครั้งยิ่งใหญ่ อีกทั้งวรยุทธ์ก็ยังลึกล้ำเกินหยั่งถึง นี่มัน… เกินความคาดหมายของเขาไปมาก!ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาคิดว่าเบื้องหลังฉินซูต้องมียอดฝีมือคอยชี้แนะแต่จากที่เห็นในเวลานี้ ยอดฝีมือที่ว่านั้น แท้จริงแล้วก็คือฉินซูเองกล่าวคือ ฉินซูมิเพียงแต่มีกลยุทธ์ที่เหนือชั้น แต่วรยุทธ์ก็ยังก้าวเข้าสู่ระดับที่น่าตกตะลึงซ้ำร้ายฉินซูยังจงใจปิดบังวรยุทธ์ของตนอีกด้วย!เมื่อรวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน ความระแวงที่ฉินอู๋ต้าวมีต่อฉินซูก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อเห็นฉินอู๋ต้าวนิ่งอึ้งไป ฉงชูโม่ก็กล่าวต่ออย่างมีนัยแฝงว่า “ฝ่าบาท ข่าวลือเรื่ององค์รัชทายาททรงทักษะยอดเยี่ยม เกรงว่าอีกมินานคงจะแพร่สะพัดไปทั่วหลงเฉิงเพคะแต่ก็ดีเหมือนกันเพคะ เหล่าคนชั่วที่คิดจะลอบสังหารองค์รัชทายาทจะได้ประมาณตนก่อนจะลงมือ เช่นนี้แล้ว ก็จะได้มิต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยขององค์รัชทายาทให้มา
สวี่จิ้นเสนาบดีกรมโยธาธิการกล่าวว่า “องค์รัชทายาท พระองค์ได้นำหนานเยวี่ยทั้งเจ็ดมณฑลสามสิบแปดเมืองมาอยู่ภายใต้ต้าเหยียนของเรา คุณูปการอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ สมควรได้รับการประทานเครื่องยศเก้าประการแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ฉินซูส่ายหน้าเล็กน้อย “ใต้เท้าสวี่ ท่านกล่าวผิดแล้ว มีคำกล่าวว่า ใต้หล้าไพศาลล้วนเป็นแผ่นดินขององค์จักรพรรดิ บนแผ่นดินนี้ล้วนเป็นข้ารองพระบาทขององค์จักรพรรดิ ข้าในฐานะองค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน ย่อมถือเอาความผาสุกของราษฎรเป็นภารกิจของตน ทุกสิ่งที่ทำล้วนเป็นหน้าที่”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉินซูก็ประสานมือคำนับฉินอู๋ต้าวอีกครั้ง “เสด็จพ่อ ดังนั้นรางวัลอันยิ่งใหญ่อย่างเครื่องยศเก้าประการนี้ลูกมิกล้ารับไว้จริง ๆ หวังว่าเสด็จพ่อจะทรงเข้าพระทัยพ่ะย่ะค่ะ!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น เหล่าขุนนางระดับสูงก็อุทานด้วยความประหลาดใจอีกครั้งรางวัลอันยิ่งใหญ่เช่นเครื่องยศเก้าประการนี้ องค์รัชทายาทกลับปฏิเสธจริง ๆ หรือ?ต้องเท้าความว่า หากฉินซูในฐานะเป็นองค์รัชทายาทรับรางวัลนี้ ในภายภาคหน้า สถานะความสำคัญของเขาในสายตาของขุนนางและราษฎรแห่งต้าเหยียนก็แทบจะเทียบเท่ากับฉินอู๋ต้าวผู้เป็นองค์จักรพรรดิได้เลยทีเ
ฉงชูโม่กำลังจะกล่าวต่อ แต่กลับสังเกตเห็นว่าฉินซูกำลังส่ายหน้าให้นางเล็กน้อยเมื่อเห็นดังนั้น คิ้วเรียวก็ขมวดเล็กน้อยด้วยความสงสัยจากนั้นเสียงของฉินซูก็ดังขึ้นในหูของนาง “สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว หลักฐานสำคัญหายไป”ฉินซูใช้วิชาแห่งกระแสจิต ดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตได้นอกจากฉงชูโม่เมื่อได้ยินถ้อยคำของฉินซู แววตาของฉงชูโม่ก็พลันไหววูบ จากนั้นจึงกล่าวกับฉินอู๋ต้าวว่า “ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยไม่มีสิ่งใดจะกล่าวทูลแล้วเพคะ”เมื่อเห็นเช่นนั้น ฉินอู๋ต้าวก็มองฉงชูโม่ด้วยความสงสัยผาดหนึ่งแล้วหันไปมองฉินซูแทน“องค์รัชทายาท รายงานเรื่องคลังหลวงของหนานเยวี่ยหน่อยซิ”“ลูกน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”ฉินซูประสานมือแล้วพูดต่อ “ทูลเสด็จพ่อ ในการตรวจค้นคลังหลวงของหนานเยวี่ยครั้งนี้ ลูกพบผ้าไหมแพรพรรณสูงค่ามากมายนับมิถ้วน เงินแท้รวมทั้งสิ้นสิบสามล้านกว่าตำลึง ทองคำสองล้านตำลึง เสบียงอาหารก็มีมากถึงเกือบแสนต้านพ่ะย่ะค่ะ”“ลูกได้จัดสรรเงินจำนวนหนึ่งล้านตำลึงจากทั้งหมดในพระนามของเสด็จพ่อ เพื่อใช้เป็นรางวัลแก่ทหารทั้งสามทัพ ส่วนพืชพรรณธัญหารก็ได้สั่งให้คนนำกลับไปเก็บไว้ที่เจียวโจวแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ยังมีอีกเรื่
ฉินอู๋ต้าวผงกศีรษะให้ฉินอวี่เล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “อ๋องฉู่ ในเมื่อชูโม่เข้าใจตัวเจ้าผิดไป เจ้าก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดอีกครั้งเถิด”“ลูกรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”ฉินอวี่ประสานมือคำนับ แล้วกล่าวช้า ๆ ว่า “ชูโม่ ตอนที่ลงใต้ไปยังเจียวโจว ยามนั้นข้าประมาทเลินเล่อ ถูกคนสนิทขโมยตราประจำตัวไป ภายหลังจึงได้ทราบว่าเจ้าคนสารเลวนั่นถูกเติ้งหม่างซื้อตัวไปนานแล้วแม้แต่หูก่วงเซิงและคนอื่น ๆ ก็ยังแปรพักตร์ไปเข้าข้างหนานเยวี่ย กว่าข้าจะรู้ตัวทัพหนานเยวี่ยก็บุกเข้าประตูเมืองเจียวโจวแล้วด้วยความจำเป็น ข้าจึงต้องถอยกลับมาก่อน จากนั้นก็เดินทางทั้งวันทั้งคืน เมื่อกลับมาถึงหลงเฉิงก็รีบทูลเรื่องนี้ให้เสด็จพ่อทรงทราบในทันที”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉงชูโม่ก็แค่นยิ้มหยันทันที “ท่านอ๋องฉู่ ท่านทรงคิดว่าแค่โยนความผิดทั้งหมดไปให้คนสนิทขอท่านแล้วเรื่องก็จะจบลงง่าย ๆ เช่นนั้นหรือ?”ฉินอวี่โต้กลับว่า “สิ่งที่ตัวข้าพูดมาทั้งหมดเป็นความจริง จะเรียกว่าโยนความผิดได้อย่างไร?”ฉงชูโม่มิได้โต้เถียงกับเขาต่อ แต่หันไปกล่าวกับฉินอู๋ต้าวว่า “ฝ่าบาท ที่ทะเลตงไห่ ท่านอ๋องฉู่...”ยังมิทันที่นางจะพูดจบ ขันทีน้อยคนหนึ่งก็วิ่งเข้าม