กงซูหว่านเม้มฝีปาก แล้วจ้องเข้าไปในแววตาของหลี่หลงหลิน “องค์ชายเก้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองกำลังพูดอะไรหรือ?”หลี่หลงหลินยิ้ม “แน่นอน! และข้าก็ยังรู้ด้วยว่าถ้าสามารถผลิตเหล็กหลอมได้หลายร้อยชิ้น ไม่เพียงแต่ทั้งต้าเซี่ยเท่านั้น แม้แต่ทั้งใต้หล้านี้ก็พลิกฟ้าพลิกดินได้!”ซูเฟิ่งหลิงน้ำลายไหลอย่างอดไม่ได้ “ถ้าสามารถผลิตเหล็กหลอมได้หลายร้อยชิ้นจริงๆ จะสร้างอาวุธและชุดเกราะเทพได้มากขนาดไหน!”กงซูหว่านก็พยักหน้าเช่นกัน “ใช่! มีอาวุธสงครามมากมายที่ไม่กล้าจะจินตนาการ และสามารถสร้างมันออกมาได้...”หลี่หลงหลินพูดไม่ออกอยู่พักหนึ่งซูเฟิ่งหลิงก็ช่างเถอะ เดิมทีนางก็เป็นเพียงเด็กโง่คนหนึ่งแต่ด้วยความสามารถและความฉลาดของกงซูหว่าน ถือว่าอยู่ในอันดับต้นๆ ของยุคนี้อยู่แล้ว แต่วิสัยทัศน์ก็ยังได้รับอิทธิพลจากยุคสมัยจะสร้างเกราะแบบไหน จะสร้างอาวุธแบบไหน!จุดประสงค์ในการผลิตเหล็กกล้า ได้กลายเป็นการผลิตปืนและปืนใหญ่ไปแล้ว!ยุคสมัยของอาวุธเย็นได้สิ้นสุดลงแล้ว!อนาคตคือยุคแห่งอาวุธปืน!ทหารม้าเผ่าหมานอี๋เหล่านั้น เพียงกระสุนนัดเดียวก็สามารถทำลายทั้งหมดได้!อย่างไรก็ตาม หลี่หลงหลินคิดเช่นนี้เพียงใน
“องค์ชายท่านรีบไปดูเถอะ!”หลี่หลงหลินตะลึงจางอี้เจ้าคนไร้ประโยชน์ผู้นี้ กล้าไปท้าทายพ่อตัวเองได้อย่างไร?พอได้เป็นบัณฑิตชั้นสูง ก็เลยปีกกล้าขาแข็งอย่างนั้นหรือ?ในเวลานี้ ซูเฟิ่งหลิงที่เพิ่งเปลี่ยนเป็นชุดทหารเสร็จก็เดินออกมาจากห้อง แล้วกล่าวด้วยความประหลาดใจ “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”หลี่หลงหลินถามว่า “ภาพอักษรที่ข้าให้เจ้า เจ้าเอาใส่กรอบแล้วใช้หรือไม่?”ซูเฟิ่งหลิงพยักหน้ากล่าวว่า “เสร็จแล้วเมื่อวาน”หลี่หลงลินพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “เอาล่ะ! นำภาพอักษรไปที่เขาทิศประจิม!”ซูเฟิ่งหลิงหยิบภาพอักษรขึ้นมาทันที ขึ้นรถม้าพร้อมกับหลี่หลงหลินและหนิงชิงโหว จากนั้นก็มุ่งหน้าไปที่เขาทิศประจิมหนึ่งชั่วยามต่อมาเมื่อ หลี่หลงหลินมาถึงเขาทิศประจิม เขาลงจากรถม้า ก็เห็นหรงกั๋วกงกำลังทอดถอนใจกลุ่มชนชั้นสูงกำลังเกลี้ยกล่อมหรงกั๋วกงแต่เขากลับไม่ฟังเลย“หัวหน้าสำนักศึกษามาแล้ว!”เมื่อเหล่านักเรียนเห็นว่าหลี่หลงหลินมาแล้ว จึงทำความเคารพอย่างรวดเร็วหลี่หลงหลินเดินผ่านฝูงชน แล้วเดินไปตรงหน้าจางเฉวียน เอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “หรงกั๋วกงข้าได้ยินมาว่าเจ้ากับจางอี้กำลังทะเลาะกัน! มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นก
หลี่หลงหลินหัวเราะเบาๆเห็นได้ชัดว่าจางอี้อยู่ในช่วงต่อต้านแม้แต่เจ้าที่เป็นพ่อ เขายังไม่ฟังเลยแล้วข้าเป็นใคร?แต่มีคำพูดของคนผู้หนึ่ง จางอี้จะต้องฟังแน่หลี่หลงหลินพูดกับซูเฟิ่งหลิง “ไปเอาตัวเจ้าเด็กเวรจางอี้ออกมา!”ซูเฟิ่งหลิงพยักหน้า แล้วเดินไปที่ประตูพร้อมตะโกนว่า “จางอี้ ออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”จางอี้เดิมทียังคงต่อต้านอยู่ในห้องอย่างดื้อรั้น ใช้ตู้ดันประตูเอาไว้ ต่อให้เง็กเซียนฮ่องเต้ลงมา ก็ไม่คิดที่จะเปิดประตูแต่พอเขาได้ยินเสียงของซูเฟิ่งหลิง ก็ตกใจกลัวจนฉี่แทบราด เขารีบเปิดประตูออกมา แล้วก้มหน้า “ท่านอาจารย์...”ไม่มีทาง!ประสบการณ์ที่เลวร้ายในเดือนนี้ทำให้จางอี้ ต้องทนทุกข์ทรมานจากความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดสะเทือนใจ ตอนนี้จางอี้ไม่กลัวฟ้า ไม่กลัวดิน แม้แต่บิดาก็ยังกล้าต่อต้านทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าซูเฟิ่งหลิง กลับกลายเป็นหนูที่เห็นแมว“เจ้าลูกทรพี!”จางเฉวียนที่ไม่ได้ดั่งใจก็ยื่นมือออกไปหมายจะทุบตีหลี่หลงหลินยื่นมือออกไปห้ามจางเฉวียน “หรงกั๋วกง ลูกจะสั่งสอนให้ดีได้ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการทุบตี! เจ้าต้องพูดเหตุผลกับเขา! ช่างเถอะ ดูท่าเจ้าก็ไม่ใช่คนที่จะใช้เหตุผ
มันช่างเป็นคำชื่นชมที่ขัดต่อกฎธรรมชาติจริงๆซูเฟิ่งหลิงละอายใจจริงๆ!หลี่หลงหลินมองไปที่ธงเกียรติยศเขาทิศประจิมทั้งหมดที่กำลังกระพือ กลับรู้สึกพอใจมากธงเกียรติยศ!คำด้านบนนี้อาจจะฟังดูเลี่ยนหน่อย ถึงจะมีประโยชน์ในการโฆษณา!แต่ว่าธงเกียรติยศเป็นเพียงผลพลอยได้ การโฆษณาจริงๆ คือหนิงชิงโหวและจางอี้สองคนนั้นต่างหากหลี่หลงหลินโบกมือเรียกหนิงชิงโหวมาและอธิบายให้ชนชั้นสูงทุกคนได้ฟัง “ชื่อของเขาคือหนิงชิงโหว เขาคือบัณฑิตจอหงวนในการสอบขุนนางพระราชทานครั้งนี้!”ขุนนางต่างรู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง พร้อมกับยกมือขึ้นคำนับ “ชื่นชมชื่อเสียงมานานแล้ว!”หนิงชิงโหวไม่ชอบเลียแข้งเลียขาผู้มีอำนาจ เขาคุ้นเคยกับการหยิ่งผยอง เขาเพียงยกมือขึ้นแล้วกล่าวว่า “มิกล้า!”นั่นก็ยิ่งทำให้เหล่าชนชั้นสูงรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ“สมแล้วที่เป็นบัณฑิตจอหงวน!”“ช่างน่าชื่นชมมากจริงๆ!”“ข้าได้ยินมาว่าหนิงเซิงผู้นี้ก่อนเป็นบัณฑิตจอหงวน เขาถูกขนานนามว่าเป็นบัณฑิตหยิ่งยโสอันดับหนึ่งในใต้หล้า!”“ช่างเป็นยอดฝีมือมาก! น่าทึ่งมากจริงๆ!”เหล่าชนชั้นสูงล้วนเป็นคนหยาบกระด้าง สำหรับบัณฑิต และยิ่งกับหนิงชิงโหวที่เป็น
ตามที่หลี่หลงหลินคาดไว้ เหล่าชนชั้นสูงที่มักจะแย่งชิงก่อนใคร กลับไม่มีใครเดินออกมาสมัคร“ข้าหูฝาดไปหรือไม่? องค์ชายเก้าเมื่อครู่นี้เพิ่งจะพูดเรื่องเงินหรือ?”“ครึ่งปีการศึกษาละหนึ่งพันตำลึงเลยหรือ แบบนี้หนึ่งปีไม่เท่ากับว่าต้องจ่ายสองพันตำลึงหรือ!”“แม้จะเป็นหนึ่งในสี่สถาบันหลัก ค่าเล่าเรียนก็ไม่แพงขนาดนี้!”“พวกเราเป็นคนชนชั้นสูง เรียนตำราไปจะมีประโยชน์อะไร หรือว่าจะสามารถเข้าไปเป็นขุนนางในราชสำนัก สุดท้ายมันก็แค่เพื่อหน้าตาเท่านั้น!”“ถูกต้อง! เพื่อหน้าตา กลับต้องจ่ายเงินไปมากมายขนาดนั้น มันไม่คุ้มค่าเลยจริงๆ!”พวกชนชั้นสูงพากันถอยทันทีแม้พวกเขาทุกคนจะอิจฉาหรงกั๋วกงที่มีลูกชายอย่างจางอี้แต่พวกเขากลับต้องใช้เงินก้อนใหญ่หนึ่งพันตำลึง เพื่อจะส่งลูกหลานไปเรียนที่เขาทิศประจิมพวกเขาจึงปฏิเสธทันที!“องค์ชาย เจ้าเก็บค่าเล่าเรียนสูงเกินไปหรือไม่ เลอะเทอะสิ้นดี...”หนิงชิงโหวมีสีหน้าร้อนรนเล็กน้อยตอนนี้เขาเป็นครูที่โรงเรียนทหารซีซาน หากไม่ได้รับนักเรียน แล้วเขาจะสอนใคร?หลี่หลงหลินกลับไม่ได้แสดงสีหน้าตื่นตระหนกเลยและพูดด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าทุกคนเป็นชนชั้นสูง! แม้ว่าลูกหลานของพว
ถือเป็นโอกาสอันดีในการสร้างอาชีพ!พวกชนชั้นสูงต่างก็เดือดพล่าน“องค์ชายเก้า ข้าจะส่งลูกชายข้าไปเรียนที่โรงเรียนทหารซีซาน!”“ข้าก็ขอสมัครด้วย!”“ข้าขอสมัครให้หลานชายของข้า!”“องค์ชายเก้า ข้าขอสมัครก่อน แล้วจะรีบกลับไปเอาตั๋วเงินจากจวนมาให้!”“ข้ามีตั๋วเงินติดตัวมาด้วย แต่ไม่ถึงหนึ่งพันตำลึง ข้าขอมัดจำก่อน!”เหล่าชนชั้นสูงโบกตั๋วเงินในมือและลงทะเบียนอย่างกระตือรือร้นหลี่หลงหลินเผยรอยยิ้มบนใบหน้า แล้วพูดกับหนิงชิงโหว “หนิงเซิงนับรายชื่อ แล้วส่งให้ข้าโดยเร็วที่สุด!”เมื่อพูดจบแล้วหลี่หลงหลินก็เอามือไพล่หลังแล้วเดินไปที่ห้องใต้หลังคาบนเนินเขาอย่างช้าๆนักเรียนคนหนึ่ง หนึ่งภาคเรียนใช้เงินหนึ่งพันตำลึงหนึ่งร้อยคนก็เท่ากับหนึ่งแสนตำลึง!หนึ่งพันคนก็หนึ่งล้านตำลึง!มิน่าล่ะ สำนักศึกษาขงจื๊อถึงได้ยืนหยัดมาเป็นเวลาหลายพันปี สำนักศึกษาใหญ่ๆ ก็เจริญรุ่งเรืองไปทุกที่ในใต้หล้านี้ มีกิจการใดที่สามารถทำเงินได้เท่ากับกิจการการศึกษาหรือไม่ถ้ามีล่ะก็คงจะเป็นด้านที่ดินอสังหาเท่านั้น!แต่หลี่หลงหลินไม่ได้รีบร้อนกินข้าวต้องกินทีละคำ จะกินให้อ้วนในมื้อเดียวไม่ได้!ก่อนอื่นต้องรับนัก
“หลอกลวงหรือไม่?”“เงินสามตำลึง มันสูงเกินไป!”“เพื่อนบ้านของข้าก็ถูกหลอกด้วยราคาที่สูง เกือบถูกขายไปเป็นกุลีในเขา!”“โลกนี้ช่างยากลำบาก การระวังผู้อื่นนั้นมิควรขาด!”ผู้ลี้ภัยมองดูหลี่หลงหลินด้วยสายตาที่น่าสงสัยพวกเขาเดิมทีก็เป็นชาวบ้านที่ใจดีและใสซื่อ ไม่มีความระแวงใดๆแต่หลังจากที่พวกเขามาถึงเมืองหลวง ช่วงนี้พวกเขาถูกหลอกจนน่าสงสาร!กลางวันทำงานบ่อยๆ ไม่ได้รับค่าจ้าง ทั้งถูกคนทุบตี ถูกเตะ กระทั่งไปบอกทางการ ก็ยังถูกปล่อยผ่านโดนหลอกก่อนถึงจะได้รับบทเรียนผู้ลี้ภัยได้เรียนรู้ที่จะปกป้องตัวเอง จึงไม่วางใจเชื่อคนอื่นปัจจุบันนี้ค่าแรงในเมืองหลวงอยู่ที่เดือนละหนึ่งตำลึงเท่านั้นชายหนุ่มที่แต่งตัวหรูหราตรงหน้าเสนอเงินให้สามตำลึง ซึ่งเป็นราคาสามเท่า แถมยังสรุปบัญชีทุกวัน ไม่ว่าคิดอย่างไรก็ปกติ!!หลิวเกินเซิงก็อยู่ในฝูงชนเช่นกัน เขาขยี้ตาแล้วอุทานว่า “องค์ชายเก้า! นั่นองค์ชายเก้า!”หลังจากเสียงเตือนขึ้นมาเช่นนั้น ผู้ลี้ภัยก็จำหลี่หลงหลินได้ “ท้องฟ้ามืดแล้ว เมื่อครู่นี้มองไม่ชัด นั่นองค์ชายเก้าจริงๆ!”“องค์ชายเก้าไม่เคยโกหกใคร ถ้าเขาบอกว่าเดือนละสามตำลึงก็คือสามตำลึง!”ปัจจ
แม้แต่องค์ชายก็ไม่ได้! หลายวันต่อมา ฮ่องเต้หวู่ที่เพิ่งเลิกจากการว่าราชการ เมื่อเดินทางมาถึงห้องทรงพระอักษร ก็เห็นฎีกาของเหล่าบัณฑิตที่กล่าวโทษองค์ชายเก้า หลังจากอ่านฎีกาแล้ว ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย: “เจ้าเก้ากำลังทำอะไรอยู่? เขาบอกว่าจะไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงไปเปิดโรงเรียนทหารที่ภูเขาทิศประจิม แล้วยังฉวยโอกาสหาเงินอีก?” “ภายในเวลาไม่กี่วันสั้นๆ เขาก็เก็บภาษีอย่างไม่เป็นธรรมไปกว่าแสนตำลึงแล้วหรือ?” “ช่างน่ารังเกียจจริงๆ!” ที่จริงแล้วฮ่องเต้หวู่รู้สึกอิจฉา เราจนถึงขั้นเหลือแค่เหรียญ เจ้าน่ะเป็นถึงองค์ชาย กลับออกไปกอบโกยเงินทองเป็นกอบเป็นกำ? ใครจะทนได้? โดยเฉพาะเมื่อฮ่องเต้หวู่ทรงทราบว่า องค์ชายเก้าจงใจนำจี้ที่ตนประทานให้ ไปแขวนไว้ที่โรงเรียนทหารซีซาน ก็ยิ่งทรงกริ้วมากขึ้น! “เจ้าเก้าคนนี้!” “ถึงกับใช้ชื่อของเราไปหลอกลวงต้มตุ๋น!” “สหายเว่ย ประกาศพระราชโองการของเราออกไป ให้เจ้าเก้ารีบมาที่นี่ เราจะต้องตำหนิเขาสักหน่อย เพื่อไม่ให้เขาเหลิงจนเกินไป แล้วก่อเรื่องใหญ่ขึ้นมา!” ฮ่องเต้หวู่สั่งเว่ยซวิน เว่ยซวินถูกหลี่หลงหลินซื้อตัวไปแล้ว และเป
หลี่หลงหลินลูบจมูก สบมองหนิงชิงโหวอย่างพูดไม่ออก “สหายร่วมสำนักศึกษาของเจ้านี้คิดมากเกินไปแล้ว ข้ามิใช่เทพเซียนเสียหน่อย เพียงแค่ตัวอักษรของจดหมายนิรนามก็สามารถหาตัวเขาได้แล้วกระนั้น?”หนิงชิงโหวยิ้มแห้ง “องค์ชาย ท่านยังไม่รู้ คนบนโลกล้วนพูดว่าท่านฉลาดปราดเปรื่องเหนือกว่ามนุษย์ เป็นปีศาจ...”หลี่หลงหลินยิ้มขมปร่าตนเองให้เสด็จพ่อยกเว้นเก็บภาษีราษฎรสามปี พวกเขายังพูดว่าตนเป็นปีศาจอีกนะคนดี เป็นได้ยากยิ่ง!“ในเมื่อเป็นเช่นนี้...”หลี่หลงหลินใคร่ครวญ พูดกับหนิงชิงโหว “เจ้าไปบอกให้ซูเฟิ่งหลิงเตรียมรถม้า ไปที่คุกใหญ่กับข้า”หนิงชิงโหวค้อมตัว “น้อมรับคำสั่ง”ครู่ต่อมารถม้าคันหนึ่งแล่นออกจากภูเขาทิศประจิม มุ่งหน้าไปสู่คุกใหญ่กรมอาญาบัดนี้คุกใหญ่กรมอาญามีคนเนืองแน่น ภายในถูกยัดไว้แน่นเอียด เสียงโอดครวญดังระงมผู้คุมเรือนจำต้องควบคุมนักโทษมากถึงเพียงนี้ ยุ่งแทบตายตั้งแต่เช้าจรดเย็น เหนื่อยเสียจนพูดไม่ออกหากไม่ใช่เพราะจางอี้พาองครักษ์เสื้อแพรมาคุมเชิง พวกเขากล้าโมโหแต่ไม่กล้าพูดอันใด ป่านนี้คงหนีหายไม่ทำแล้วเห็นหลี่หลงหลินและซูเฟิ่งหลิงลงจากรถม้า จางอี้รีบเข้าไปต้อนรับ โค้งคำนั
มีนับล้านคน!ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าหลี่หลงหลินเป็นเทพเซียนบนสวรรค์ สามารถใช้กำลังเพียงฝ่ายเดียวเป็นศัตรูกับสำนักปราชญ์ได้?น่าขันจริงเชียว!หลี่เทียนฉี่รีบหยิบหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยออกมา ถือไว้ด้วยสองมือ “นี่คือหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยฉบับล่าสุด เชิญท่านผ่านตา!”สีหน้าเสิ่นชิงโจวเปลี่ยนไป รีบรับไปอ่านอย่างละเอียดของสิ่งอื่นเขาสามารถไม่ใส่ใจได้เว้นแต่เพียงหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยเจ้าสิ่งใหม่นี้ ทำให้เสิ่นชิงโจวไม่มั่นใจ กระวนกระวายว้าวุ่น“นี่...ก็ไม่มีอันใดพิเศษนี่”เสิ่นชิงโจวอ่านหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยอย่างละเอียดหนึ่งรอบ สีหน้าแปลกใจเดิมทีคิดว่าหลี่หลงหลินจะเขียนเรื่องวันพิธีสักการะฟ้าดินออกมาเพื่อฉวยโอกาสปรักปรำสำนักปราชญ์สรุปว่าไม่เป็นเช่นนั้นหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยฉบับนี้ เทียบกันแล้วธรรมดามาก คล้ายรีบทำออกมา ไม่เขียนถึงพิธีสักการะฟ้าดินเลยแม้แต่น้อยหลี่เทียนฉี่รีบสืบเท้าขึ้นไป ชี้ตำแหน่งใจกลางหน้าหนังสือพิมพ์ “ท่านอาจารย์ ท่านดูที่นี่...”เสิ่นชิงโจวจ้องมอง ในที่สุดก็พบประกาศเกี่ยวกับจดหมายนิรนาม ทันใดนั้นสีหน้าแข็งทื่อดุจเหล็ก “รัชทายาท นี่
สิบห้าค่ำเดือนอ้าย ก่อนวันเทศกาลโคมไฟ หลี่หลงหลินจะต้องจัดการสำนักปราชญ์พูดให้ถูกก็คือเหลืออีกเพียงสิบสี่วันเวลานั้นสั้นนัก ไม่อาจพลาดไปได้แม้เสี้ยวนาทีรุ่งเช้าวันต่อมาหลี่หลงหลินและกงซูหว่านมายังภูเขาทิศประจิม ให้เหล่าช่างฝีมือพิมพ์หนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยฉบับใหม่เริ่มงานวันที่สองเดือนอ้าย เหล่าช่างฝีมือย่อมไม่พอใจทว่าหลี่หลงหลินลงมืออย่างใจกว้าง รับปากเพิ่มค่าทำงานล่วงเวลาให้เหล่าช่างฝีมือเหล่าช่างฝีมือยิ้มกว้างอย่างดีใจ ไม่บ่นอีกสองวันต่อมาหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยฉบับใหม่ก็ออกมาเหล่าเด็กขายหนังสือพิมพ์บุกฝ่าหิมะ ขายตามตรอกเล็กซอยน้อย การค้าขายดีมากการขายหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยกลายเป็นความคุ้นชินของราษฎรภายในเมืองหลวงแล้วยังมีคนฉลาดบางส่วน สบช่องทางการค้า ลอบรับซื้อหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยโดยเฉพาะฉบับแรกรวมถึงภาคผนวกฉบับใหม่ล่าสุด ไม่เพียงพิเศษ ยังผลิตเป็นจำนวนน้อย สามารถขายได้ในราคาสูงบนตลาดมืด“หา?”“นี่คืออันใด?”“รัชทายาทต้องการให้พวกเราเขียนจดหมายร้องเรียนนิรนามฟ้องร้องสำนักปราชญ์?”“นี่แปลกมาก!”เหล่าราษฎรเห็นโฆษณาบนหนังสือพิมพ์ ดวง
“หลายปีมานี้สำนักปราชญ์ผูกขาดการสอบขุนนาง คนถูกสับเปลี่ยนข้อสอบเหมือนหนิงเซิงมีมากมายนับไม่ถ้วน”“เพียงน่าเสียดายสำนักปราชญ์ยิ่งใหญ่ ร่วมมือกับทางการทุจริต ต่อให้ภายในมือพวกเขามีหลักฐาน แต่ก็ไม่สามารถร้องขอความเป็นธรรมได้!”“สามารถใช้หนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยประกาศออกไปได้ ให้คนเหล่านี้ล่วงรู้ว่าพวกเขาสามารถเขียนจดหมายถึงข้าโดยไม่เปิดเผยชื่อ เพื่อให้ข้าร้องทุกข์แทนพวกเขาได้!”กงซูหว่านชะงักไป ใบหน้าเผยแววดีใจยังสามารถทำเช่นนี้ได้?อานุภาพของหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยมากกว่าที่ตนเองคิดไว้อย่างแท้จริง“แต่...”กงซูหว่านยังลังเลเล็กน้อย “องค์ชาย น่ากลัวว่าไม่ได้! วิธีที่ท่านพูด แม้ว่ามีเหตุผลที่แน่นอน แต่พลังอำนาจของสำนักปราชญ์กลับยิ่งใหญ่ ไม่แน่ว่าคนเหล่านี้จะกล้าเขียนจดหมายร้องเรียนและมอบหลักฐานให้พวกเรา...”ลั่วอวี้จู๋คิดไปไกลยิ่งกว่านั้น “หากเปิดให้มีการร้องเรียน น่ากลัวว่าหายนะที่ตามมาจะไม่มีที่สิ้นสุด! หากมีคนตั้งใจก่อกวน สร้างหลักฐานเท็จ กล่าวหาคนดี นั่นจะทำเช่นไร?”ในยุคสมัยโบราณ เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ปรักปรำคนดี โทษการกล่าวหาเท็จรุนแรงมากนักหากมั่นใจแล้วว่ากล่าวหาเท็
“แต่...”กงซูหว่านหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ทำใจให้สงบลง “ท่านวางแผนโจมตีสำนักปราชญ์ น่ากลัวว่าไม่ง่ายถึงเพียงนั้น! ประวัติศาสตร์นับพันปี ฮ่องเต้ผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ ขั้วอำนาจเปลี่ยนผัน ธงใหญ่บนกำแพงเมืองเปลี่ยนไปอย่างไม่หยุดหย่อน แต่มีเพียงสำนักปราชญ์ไม่เคยล้มลง”“รากฐานของสำนักปราชญ์หยั่งลึกเกินกว่าที่ท่านคิดไว้มากนัก!”“ท่านฆ่าบัณฑิตทรงคุณวุฒินั้นง่าย ก็แค่หนึ่งชีวิตเท่านั้น ขอเพียงยอมรับเสียงก่นด่าก็พอ!”“แต่ หากท่านต้องการตัดรากถอนโคนสำนักปราชญ์ นั่นยากมากเหลือเกิน”สำนักโม่ถูกสำนักปราชญ์ทำลายกงซูหว่านเป็นคนรุ่นหลังของสำนักโม่ โกรธแค้นสำนักปราชญ์ลึกถึงกระดูก ใคร่ครวญอยู่ทุกขณะจิต จะใช้วิธีการใดทำลายสำนักปราชญ์สรุปคือไม่ได้อะไรสำนักปราชญ์แข็งแกร่งเกินไปต่อให้เป็นสำนักโม่ ก็มีโอกาสเพียงน้อยนิดต่อให้หลี่หลงหลินเป็นรัชทายาท ต้องการใช้กำลังเพียงคนเดียวล้มสำนักปราชญ์ ตัดรากถอนโคนให้สิ้นซากนี่จะเป็นไปได้จริงหรือ?หลี่หลงหลินหัวเราะเบาๆ “พี่สะใภ้รอง ไม่ว่าเรื่องใดล้วนขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นของคน ไม่ลองดู จะรู้ได้เยี่ยงไร? ยิ่งไปกว่านั้น หนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยในมือข้ายั
ตกลงข้ายังไม่ตื่น หรือท่านยังไม่ตื่นกันแน่?ซูเฟิ่งหลิงยังอยากถามอีกสองประโยค กลับถูกลั่วอวี้จู๋ห้ามไว้ “น้องหญิงเล็ก ในเมื่อองค์ชายรับปากฝ่าบาทไปแล้ว ต่อให้พูดต่อไป ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอันใดได้! พวกเราต้องร่วมมือร่วมใจกันคิดหาหนทางหาเงิน”“ความสามารถในการหาเงินขององค์ชาย ต่อให้กวนจื่อยังมีชีวิตอยู่ ก็ไม่สามารถเทียบได้”ซูเฟิ่งหลิงชมชอบรำกระบี่แทงทวน ใส่ใจเพียงการฝึกทหารทำสงคราม ไม่รู้ราคาข้าวของลั่วอวี้จู๋กลับต่างออกไป เชี่ยวชาญทำการค้า จัดการกิจการของสกุลซูและภูเขาทิศประจิมทอผ้า ทำน้ำตาลทรายขาว บ่มสุรา หลอมเหล็ก...ยังมีโรงเรียนทหารซีซานกิจการเหล่านี้ ทั้งหมดล้วนมีเงินเข้ามหาศาลดุจต้นไม้เขย่าเงินขอเพียงผ่านไปสักระยะหนึ่ง จัดการดีๆ ทำให้ชื่อเสียงของภูเขาทิศประจิมโด่งดัง หลี่หลงหลินลงแรงเพียงคนเดียว รับภาระค่าใช้จ่ายของราชสำนัก นี่กลับไม่ใช่ความฝันแน่นอน นี่ต้องใช้เวลาลั่วอวี้จู๋มองทางหลี่หลงหลิน พูดอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม “ฝ่าบาทให้เวลามากน้อยเพียงใด? หนึ่งปี? หรือสองปีเพคะ”หลี่หลงหลินเอ่ยปากเสียงเรียบ “ข้าต้องการเจ็ดวัน เสด็จพ่อกลับมอบให้สิบห้าวัน”สตรีทั้งหมดลืมตา
เพียงเว่ยซวินได้ยินก็ตกตะลึงพรึงเพริดมิน่าเล่าฮ่องเต้หวู่จึงผิดแปลกไป ถึงขั้นรับปากหลี่หลงหลินยกเว้นเรียกเก็บภาษีราษฎรสามปีทำเช่นนี้ ย่อมสามารถปลอบโยนราษฎร ทำให้ราษฎรได้พักและใช้ชีวิตอย่างสงบได้ทว่า เส้นทางการเงินของราชสำนัก ชนิดที่ว่าเบี้ยหวัดของขุนนางล้วนไม่สามารถจ่ายได้ นี่จะดีได้อย่างไร?จนกระทั่งตอนนี้เว่ยซวินถึงเข้าใจหลี่หลงหลินและฮ่องเต้หวู่ทำการแลกเปลี่ยนกันอย่างลับๆ ใช้รากฐานมั่นคงที่สำนักปราชญ์สั่งสมมานานนับพันปีมาชดเชยคลังหลวงที่ว่างเปล่า!เงินของสำนักปราชญ์ไม่น้อยจริงๆทว่าเงินเหล่านี้ พวกเขากลืนเข้าไปนั้นง่าย จะให้คายออกมากลับพูดง่ายแต่ทำยากยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นเวลาสั้นๆ เพียงครึ่งเดือนนี่ยากเกินไปแล้ว!ฮ่องเต้หวู่นวดหว่างคิ้ว “เราย่อมรู้ว่าเรื่องนี้ยากมาก! แต่เชื่อว่าเจ้าเก้าจะต้องมีวิธีแน่! สรุปว่าเจ้าให้องครักษ์เสื้อแพรคอยให้ความร่วมมือเจ้าเก้าเถอะ ไม่ว่าใช้วิธีการเช่นไร ก็ต้องง้างปากบัณฑิตชั่วเหล่านั้น ทำให้พวกเขาคายเงินออกมาให้ได้”เว่ยซวินโค้งคำนับ “กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา”.....จวนสกุลซูเพียงหลี่หลงหลินกลับมาก็ถูกซูเฟิ่งหลิง ลั่วอวี้จู๋ หลิ่ว
เว่ยซวินเห็นทั้งสองคนทะเลาะกันไม่ยอมเลิกรา แยกไม่ออกว่าใครแพ้ใครชนะ จึงพูดออกมาอย่างอดไม่ได้ “เดิมทีกระหม่อมก็ไม่ควรสอดปาก! แต่ทะเลาะกันต่อไปเช่นนี้ก็ไม่ใช่ทางแก้! มิสู้ถอยกันคนละก้าว...”หลี่หลงหลินกลับมีความสุขมาก “เสด็จพ่อ ท่านเสนอเงื่อนไขเถอะ!”ฮ่องเต้หวู่เผยสีหน้าขมปร่า “เรากลับอยากบริหารบ้านเมืองให้ดีขึ้น แต่เอือมระอาในมือไม่มีเงิน!”หลี่หลงหลินครุ่นคิด พูดว่า “เจ็ดวัน! ลูกจะหาทางแก้เอง!”สีหน้าฮ่องเต้หวู่ดีใจมาก ถูฝ่ามือพลางพูดยิ้มๆ “ได้! เจ้าเก้า ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาเพียงเจ็ดวัน! ขอเพียงเจ้าหาเงินออกมาได้ก่อนเทศกาลโคมไฟ ในวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนอ้ายก็พอ!”หลี่หลงหลินพยักหน้า พูดว่า “เสด็จพ่อ พวกเราตกลงกันตามนี้แล้ว! ฟ้ามืดแล้ว ท่านรีบพักผ่อนเร็วหน่อยเถอะ! ลูกขอทูลลา!”ฮ่องเต้หวู่เห็นหลี่หลงหลินกล่าวคำลา มุมปากปรากฏรอยยิ้ม “เจ้าเก้า ช่างเป็นเด็กดีโดยแท้!”เว่ยซวินขมวดคิ้ว เอ่ยปากอย่างกังวล “ฝ่าบาท หากยกเว้นภาษี ราชสำนักก็จะถูกตัดเส้นทางทางการเงินนะพ่ะย่ะค่ะ! ภายในระยะเวลาอันสั้นเพียงครึ่งเดือน องค์ชายจะมีวิธีเติมเต็มช่องโหว่มหาศาลนี้หรือ?”ฮ่องเต้หวู่ส่ายหน้า ก้าวเท้าเนิบๆ
คำพูดครึ่งแรกของหลี่หลงหลิน ฮ่องเต้หวู่ฟังแล้วก็เบิกบานใจ สีหน้าท่าทางผ่อนคลาย แม้พระองค์จะทรงมีอายุเกินห้าสิบแล้ว ร่างกายก็ร่วงโรยลงทุกวัน มีโอรสเพียงเก้าคน ไม่สามารถให้กำเนิดคนที่สิบได้ แต่ฮ่องเต้หวู่ก็ยังรู้สึกว่าตนเองยังหนุ่มแน่น! บุรุษจนวันตายก็ยังคงเป็นเด็กหนุ่ม ฮ่องเต้หวู่ก็เช่นกัน! จนถึงบัดนี้ ฮ่องเต้หวู่ยังคงฝันหวานอยู่บ่อยครั้งว่าตนเองนำทัพสามเหล่าทัพ ออกรบด้วยตนเอง โบกมือเพียงครั้งเดียว หมานอี๋ก็มลายหายไป อันที่จริง ฮ่องเต้หวู่ไม่คิดจะสละราชสมบัติเลย ใครเล่าไม่อยากเป็นจักรพรรดิ? โดยเฉพาะอย่างยิ่งจักรพรรดิเช่นฮ่องเต้หวู่ ที่ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกรมาหลายสิบปี แต่กลับต้องคอยประนีประนอม ถูกเหล่าขุนนางควบคุม บัดนี้ พระองค์ทรงกุมอำนาจไว้ในมือ ได้ลิ้มรสชาติของอำนาจแล้ว สละราชสมบัติ? ฮ่องเต้หวู่ไม่ยอม! จนกระทั่งฮ่องเต้หวู่ได้ยินสองคำสุดท้าย ก็ขมวดคิ้ว และถามด้วยความประหลาดใจ “นอนพัก หมายความว่าอย่างไร?” หลี่หลงหลินตกใจจนเหงื่อแตก โชคดีที่ฮ่องเต้หวู่เป็นคนโบราณ ไม่เข้าใจความหมายของคำว่านอนพัก มิฉะนั้น พระองค์คงจะจับเขาถลกหนังทั้งเป็นแน่ จักรพ