กงซูหว่านเม้มฝีปาก แล้วจ้องเข้าไปในแววตาของหลี่หลงหลิน “องค์ชายเก้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองกำลังพูดอะไรหรือ?”หลี่หลงหลินยิ้ม “แน่นอน! และข้าก็ยังรู้ด้วยว่าถ้าสามารถผลิตเหล็กหลอมได้หลายร้อยชิ้น ไม่เพียงแต่ทั้งต้าเซี่ยเท่านั้น แม้แต่ทั้งใต้หล้านี้ก็พลิกฟ้าพลิกดินได้!”ซูเฟิ่งหลิงน้ำลายไหลอย่างอดไม่ได้ “ถ้าสามารถผลิตเหล็กหลอมได้หลายร้อยชิ้นจริงๆ จะสร้างอาวุธและชุดเกราะเทพได้มากขนาดไหน!”กงซูหว่านก็พยักหน้าเช่นกัน “ใช่! มีอาวุธสงครามมากมายที่ไม่กล้าจะจินตนาการ และสามารถสร้างมันออกมาได้...”หลี่หลงหลินพูดไม่ออกอยู่พักหนึ่งซูเฟิ่งหลิงก็ช่างเถอะ เดิมทีนางก็เป็นเพียงเด็กโง่คนหนึ่งแต่ด้วยความสามารถและความฉลาดของกงซูหว่าน ถือว่าอยู่ในอันดับต้นๆ ของยุคนี้อยู่แล้ว แต่วิสัยทัศน์ก็ยังได้รับอิทธิพลจากยุคสมัยจะสร้างเกราะแบบไหน จะสร้างอาวุธแบบไหน!จุดประสงค์ในการผลิตเหล็กกล้า ได้กลายเป็นการผลิตปืนและปืนใหญ่ไปแล้ว!ยุคสมัยของอาวุธเย็นได้สิ้นสุดลงแล้ว!อนาคตคือยุคแห่งอาวุธปืน!ทหารม้าเผ่าหมานอี๋เหล่านั้น เพียงกระสุนนัดเดียวก็สามารถทำลายทั้งหมดได้!อย่างไรก็ตาม หลี่หลงหลินคิดเช่นนี้เพียงใน
“องค์ชายท่านรีบไปดูเถอะ!”หลี่หลงหลินตะลึงจางอี้เจ้าคนไร้ประโยชน์ผู้นี้ กล้าไปท้าทายพ่อตัวเองได้อย่างไร?พอได้เป็นบัณฑิตชั้นสูง ก็เลยปีกกล้าขาแข็งอย่างนั้นหรือ?ในเวลานี้ ซูเฟิ่งหลิงที่เพิ่งเปลี่ยนเป็นชุดทหารเสร็จก็เดินออกมาจากห้อง แล้วกล่าวด้วยความประหลาดใจ “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”หลี่หลงหลินถามว่า “ภาพอักษรที่ข้าให้เจ้า เจ้าเอาใส่กรอบแล้วใช้หรือไม่?”ซูเฟิ่งหลิงพยักหน้ากล่าวว่า “เสร็จแล้วเมื่อวาน”หลี่หลงลินพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “เอาล่ะ! นำภาพอักษรไปที่เขาทิศประจิม!”ซูเฟิ่งหลิงหยิบภาพอักษรขึ้นมาทันที ขึ้นรถม้าพร้อมกับหลี่หลงหลินและหนิงชิงโหว จากนั้นก็มุ่งหน้าไปที่เขาทิศประจิมหนึ่งชั่วยามต่อมาเมื่อ หลี่หลงหลินมาถึงเขาทิศประจิม เขาลงจากรถม้า ก็เห็นหรงกั๋วกงกำลังทอดถอนใจกลุ่มชนชั้นสูงกำลังเกลี้ยกล่อมหรงกั๋วกงแต่เขากลับไม่ฟังเลย“หัวหน้าสำนักศึกษามาแล้ว!”เมื่อเหล่านักเรียนเห็นว่าหลี่หลงหลินมาแล้ว จึงทำความเคารพอย่างรวดเร็วหลี่หลงหลินเดินผ่านฝูงชน แล้วเดินไปตรงหน้าจางเฉวียน เอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “หรงกั๋วกงข้าได้ยินมาว่าเจ้ากับจางอี้กำลังทะเลาะกัน! มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นก
หลี่หลงหลินหัวเราะเบาๆเห็นได้ชัดว่าจางอี้อยู่ในช่วงต่อต้านแม้แต่เจ้าที่เป็นพ่อ เขายังไม่ฟังเลยแล้วข้าเป็นใคร?แต่มีคำพูดของคนผู้หนึ่ง จางอี้จะต้องฟังแน่หลี่หลงหลินพูดกับซูเฟิ่งหลิง “ไปเอาตัวเจ้าเด็กเวรจางอี้ออกมา!”ซูเฟิ่งหลิงพยักหน้า แล้วเดินไปที่ประตูพร้อมตะโกนว่า “จางอี้ ออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”จางอี้เดิมทียังคงต่อต้านอยู่ในห้องอย่างดื้อรั้น ใช้ตู้ดันประตูเอาไว้ ต่อให้เง็กเซียนฮ่องเต้ลงมา ก็ไม่คิดที่จะเปิดประตูแต่พอเขาได้ยินเสียงของซูเฟิ่งหลิง ก็ตกใจกลัวจนฉี่แทบราด เขารีบเปิดประตูออกมา แล้วก้มหน้า “ท่านอาจารย์...”ไม่มีทาง!ประสบการณ์ที่เลวร้ายในเดือนนี้ทำให้จางอี้ ต้องทนทุกข์ทรมานจากความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดสะเทือนใจ ตอนนี้จางอี้ไม่กลัวฟ้า ไม่กลัวดิน แม้แต่บิดาก็ยังกล้าต่อต้านทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าซูเฟิ่งหลิง กลับกลายเป็นหนูที่เห็นแมว“เจ้าลูกทรพี!”จางเฉวียนที่ไม่ได้ดั่งใจก็ยื่นมือออกไปหมายจะทุบตีหลี่หลงหลินยื่นมือออกไปห้ามจางเฉวียน “หรงกั๋วกง ลูกจะสั่งสอนให้ดีได้ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการทุบตี! เจ้าต้องพูดเหตุผลกับเขา! ช่างเถอะ ดูท่าเจ้าก็ไม่ใช่คนที่จะใช้เหตุผ
มันช่างเป็นคำชื่นชมที่ขัดต่อกฎธรรมชาติจริงๆซูเฟิ่งหลิงละอายใจจริงๆ!หลี่หลงหลินมองไปที่ธงเกียรติยศเขาทิศประจิมทั้งหมดที่กำลังกระพือ กลับรู้สึกพอใจมากธงเกียรติยศ!คำด้านบนนี้อาจจะฟังดูเลี่ยนหน่อย ถึงจะมีประโยชน์ในการโฆษณา!แต่ว่าธงเกียรติยศเป็นเพียงผลพลอยได้ การโฆษณาจริงๆ คือหนิงชิงโหวและจางอี้สองคนนั้นต่างหากหลี่หลงหลินโบกมือเรียกหนิงชิงโหวมาและอธิบายให้ชนชั้นสูงทุกคนได้ฟัง “ชื่อของเขาคือหนิงชิงโหว เขาคือบัณฑิตจอหงวนในการสอบขุนนางพระราชทานครั้งนี้!”ขุนนางต่างรู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง พร้อมกับยกมือขึ้นคำนับ “ชื่นชมชื่อเสียงมานานแล้ว!”หนิงชิงโหวไม่ชอบเลียแข้งเลียขาผู้มีอำนาจ เขาคุ้นเคยกับการหยิ่งผยอง เขาเพียงยกมือขึ้นแล้วกล่าวว่า “มิกล้า!”นั่นก็ยิ่งทำให้เหล่าชนชั้นสูงรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ“สมแล้วที่เป็นบัณฑิตจอหงวน!”“ช่างน่าชื่นชมมากจริงๆ!”“ข้าได้ยินมาว่าหนิงเซิงผู้นี้ก่อนเป็นบัณฑิตจอหงวน เขาถูกขนานนามว่าเป็นบัณฑิตหยิ่งยโสอันดับหนึ่งในใต้หล้า!”“ช่างเป็นยอดฝีมือมาก! น่าทึ่งมากจริงๆ!”เหล่าชนชั้นสูงล้วนเป็นคนหยาบกระด้าง สำหรับบัณฑิต และยิ่งกับหนิงชิงโหวที่เป็น
ตามที่หลี่หลงหลินคาดไว้ เหล่าชนชั้นสูงที่มักจะแย่งชิงก่อนใคร กลับไม่มีใครเดินออกมาสมัคร“ข้าหูฝาดไปหรือไม่? องค์ชายเก้าเมื่อครู่นี้เพิ่งจะพูดเรื่องเงินหรือ?”“ครึ่งปีการศึกษาละหนึ่งพันตำลึงเลยหรือ แบบนี้หนึ่งปีไม่เท่ากับว่าต้องจ่ายสองพันตำลึงหรือ!”“แม้จะเป็นหนึ่งในสี่สถาบันหลัก ค่าเล่าเรียนก็ไม่แพงขนาดนี้!”“พวกเราเป็นคนชนชั้นสูง เรียนตำราไปจะมีประโยชน์อะไร หรือว่าจะสามารถเข้าไปเป็นขุนนางในราชสำนัก สุดท้ายมันก็แค่เพื่อหน้าตาเท่านั้น!”“ถูกต้อง! เพื่อหน้าตา กลับต้องจ่ายเงินไปมากมายขนาดนั้น มันไม่คุ้มค่าเลยจริงๆ!”พวกชนชั้นสูงพากันถอยทันทีแม้พวกเขาทุกคนจะอิจฉาหรงกั๋วกงที่มีลูกชายอย่างจางอี้แต่พวกเขากลับต้องใช้เงินก้อนใหญ่หนึ่งพันตำลึง เพื่อจะส่งลูกหลานไปเรียนที่เขาทิศประจิมพวกเขาจึงปฏิเสธทันที!“องค์ชาย เจ้าเก็บค่าเล่าเรียนสูงเกินไปหรือไม่ เลอะเทอะสิ้นดี...”หนิงชิงโหวมีสีหน้าร้อนรนเล็กน้อยตอนนี้เขาเป็นครูที่โรงเรียนทหารซีซาน หากไม่ได้รับนักเรียน แล้วเขาจะสอนใคร?หลี่หลงหลินกลับไม่ได้แสดงสีหน้าตื่นตระหนกเลยและพูดด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าทุกคนเป็นชนชั้นสูง! แม้ว่าลูกหลานของพว
ถือเป็นโอกาสอันดีในการสร้างอาชีพ!พวกชนชั้นสูงต่างก็เดือดพล่าน“องค์ชายเก้า ข้าจะส่งลูกชายข้าไปเรียนที่โรงเรียนทหารซีซาน!”“ข้าก็ขอสมัครด้วย!”“ข้าขอสมัครให้หลานชายของข้า!”“องค์ชายเก้า ข้าขอสมัครก่อน แล้วจะรีบกลับไปเอาตั๋วเงินจากจวนมาให้!”“ข้ามีตั๋วเงินติดตัวมาด้วย แต่ไม่ถึงหนึ่งพันตำลึง ข้าขอมัดจำก่อน!”เหล่าชนชั้นสูงโบกตั๋วเงินในมือและลงทะเบียนอย่างกระตือรือร้นหลี่หลงหลินเผยรอยยิ้มบนใบหน้า แล้วพูดกับหนิงชิงโหว “หนิงเซิงนับรายชื่อ แล้วส่งให้ข้าโดยเร็วที่สุด!”เมื่อพูดจบแล้วหลี่หลงหลินก็เอามือไพล่หลังแล้วเดินไปที่ห้องใต้หลังคาบนเนินเขาอย่างช้าๆนักเรียนคนหนึ่ง หนึ่งภาคเรียนใช้เงินหนึ่งพันตำลึงหนึ่งร้อยคนก็เท่ากับหนึ่งแสนตำลึง!หนึ่งพันคนก็หนึ่งล้านตำลึง!มิน่าล่ะ สำนักศึกษาขงจื๊อถึงได้ยืนหยัดมาเป็นเวลาหลายพันปี สำนักศึกษาใหญ่ๆ ก็เจริญรุ่งเรืองไปทุกที่ในใต้หล้านี้ มีกิจการใดที่สามารถทำเงินได้เท่ากับกิจการการศึกษาหรือไม่ถ้ามีล่ะก็คงจะเป็นด้านที่ดินอสังหาเท่านั้น!แต่หลี่หลงหลินไม่ได้รีบร้อนกินข้าวต้องกินทีละคำ จะกินให้อ้วนในมื้อเดียวไม่ได้!ก่อนอื่นต้องรับนัก
“หลอกลวงหรือไม่?”“เงินสามตำลึง มันสูงเกินไป!”“เพื่อนบ้านของข้าก็ถูกหลอกด้วยราคาที่สูง เกือบถูกขายไปเป็นกุลีในเขา!”“โลกนี้ช่างยากลำบาก การระวังผู้อื่นนั้นมิควรขาด!”ผู้ลี้ภัยมองดูหลี่หลงหลินด้วยสายตาที่น่าสงสัยพวกเขาเดิมทีก็เป็นชาวบ้านที่ใจดีและใสซื่อ ไม่มีความระแวงใดๆแต่หลังจากที่พวกเขามาถึงเมืองหลวง ช่วงนี้พวกเขาถูกหลอกจนน่าสงสาร!กลางวันทำงานบ่อยๆ ไม่ได้รับค่าจ้าง ทั้งถูกคนทุบตี ถูกเตะ กระทั่งไปบอกทางการ ก็ยังถูกปล่อยผ่านโดนหลอกก่อนถึงจะได้รับบทเรียนผู้ลี้ภัยได้เรียนรู้ที่จะปกป้องตัวเอง จึงไม่วางใจเชื่อคนอื่นปัจจุบันนี้ค่าแรงในเมืองหลวงอยู่ที่เดือนละหนึ่งตำลึงเท่านั้นชายหนุ่มที่แต่งตัวหรูหราตรงหน้าเสนอเงินให้สามตำลึง ซึ่งเป็นราคาสามเท่า แถมยังสรุปบัญชีทุกวัน ไม่ว่าคิดอย่างไรก็ปกติ!!หลิวเกินเซิงก็อยู่ในฝูงชนเช่นกัน เขาขยี้ตาแล้วอุทานว่า “องค์ชายเก้า! นั่นองค์ชายเก้า!”หลังจากเสียงเตือนขึ้นมาเช่นนั้น ผู้ลี้ภัยก็จำหลี่หลงหลินได้ “ท้องฟ้ามืดแล้ว เมื่อครู่นี้มองไม่ชัด นั่นองค์ชายเก้าจริงๆ!”“องค์ชายเก้าไม่เคยโกหกใคร ถ้าเขาบอกว่าเดือนละสามตำลึงก็คือสามตำลึง!”ปัจจ
แม้แต่องค์ชายก็ไม่ได้! หลายวันต่อมา ฮ่องเต้หวู่ที่เพิ่งเลิกจากการว่าราชการ เมื่อเดินทางมาถึงห้องทรงพระอักษร ก็เห็นฎีกาของเหล่าบัณฑิตที่กล่าวโทษองค์ชายเก้า หลังจากอ่านฎีกาแล้ว ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย: “เจ้าเก้ากำลังทำอะไรอยู่? เขาบอกว่าจะไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงไปเปิดโรงเรียนทหารที่ภูเขาทิศประจิม แล้วยังฉวยโอกาสหาเงินอีก?” “ภายในเวลาไม่กี่วันสั้นๆ เขาก็เก็บภาษีอย่างไม่เป็นธรรมไปกว่าแสนตำลึงแล้วหรือ?” “ช่างน่ารังเกียจจริงๆ!” ที่จริงแล้วฮ่องเต้หวู่รู้สึกอิจฉา เราจนถึงขั้นเหลือแค่เหรียญ เจ้าน่ะเป็นถึงองค์ชาย กลับออกไปกอบโกยเงินทองเป็นกอบเป็นกำ? ใครจะทนได้? โดยเฉพาะเมื่อฮ่องเต้หวู่ทรงทราบว่า องค์ชายเก้าจงใจนำจี้ที่ตนประทานให้ ไปแขวนไว้ที่โรงเรียนทหารซีซาน ก็ยิ่งทรงกริ้วมากขึ้น! “เจ้าเก้าคนนี้!” “ถึงกับใช้ชื่อของเราไปหลอกลวงต้มตุ๋น!” “สหายเว่ย ประกาศพระราชโองการของเราออกไป ให้เจ้าเก้ารีบมาที่นี่ เราจะต้องตำหนิเขาสักหน่อย เพื่อไม่ให้เขาเหลิงจนเกินไป แล้วก่อเรื่องใหญ่ขึ้นมา!” ฮ่องเต้หวู่สั่งเว่ยซวิน เว่ยซวินถูกหลี่หลงหลินซื้อตัวไปแล้ว และเป