หนิงชิงโหวและกลุ่มบัณฑิต ถอดเสื้อคลุมบัณฑิตออก เปลี่ยนเป็นเครื่องแบบทหารสีดำที่ดูสง่าผ่าเผย อบรมสั่งสอนเหล่าทหารให้อ่านออกเขียนได้ ผลที่ออกมา แน่นอนว่าแย่มาก ทหารพ่ายศึกของตระกูลซูก่อนหน้านี้อย่างน้อยก็เคยผ่านสนามรบมา รู้จักเชื่อฟังคำสั่ง แม้จะไม่ชอบอ่านหนังสือ แต่ก็ยังพยายามเรียน แต่ผู้อพยพจากดินแดนทางเหนือที่เกณฑ์มาใหม่นั้นไม่ได้เรื่องเลย พวกเขาส่วนใหญ่ไม่รู้หนังสือ ไม่รู้ว่าทำไมต้องต่อสู้ เข้ามาเป็นทหารก็เพื่อให้มีข้าวกิน ตอนฝึกก็ทำแบบส่งๆ พอให้พวกเขาอ่านหนังสือก็ยิ่งแล้วใหญ่! ระเบียบวินัยในห้องเรียนก็แย่มาก บางคนนอนหลับ บางคนกินข้าว บางคนคุยกัน มีบางคนถึงขั้นแอบเล่นการพนันอยู่ข้างหลัง หนิงชิงโหวไม่เคยเป็นอาจารย์มาก่อน ขาดประสบการณ์ พอเจอสถานการณ์แบบนี้ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ทำได้เพียงไปขอความช่วยเหลือจากหลี่หลงหลิน หลี่หลงหลินยิ้มเล็กน้อย “เรื่องนี้ง่ายมาก! ไปเปิดหน้าต่างห้องของจางอี้!” จางอี้เรียนกับซูเฟิ่งหลิงเพียงลำพัง คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่ามีจางอี้อยู่ รู้แต่ว่ามีห้องหนึ่งที่ปิดประตูหน้าต่างตลอดเวลา และมักจะมีเสียงแปลกๆ ดังออกมา “อ๊าๆๆๆๆๆ...” “ขงจื๊อกล่าวว
จริงๆ แล้ว ไม่ใช่เพราะจางเฉวียนเป็นห่วงลูกชาย ลูกผู้ชายควรออกไปเผชิญโลกกว้าง อย่าว่าแต่หนึ่งเดือน แม้จะไม่ได้เจอกันหลายปีแล้วจะยังไง? แต่ที่สำคัญก็คืออวี่ชื่อ แค่สิบวันที่ไม่ได้เจอลูกชาย นางก็ถอนหายใจทั้งวัน พอกลางคืนก็ร้องไห้ จางเฉวียนทนไม่ไหว จึงพาอวี่ชื่อมาเยี่ยมลูกชายที่โรงเรียนทหารซีซาน และอยากจะดูว่าสิบวันที่ผ่านมา เขาพัฒนาขึ้นบ้างหรือเปล่า ทหารยามที่ภูเขาทิศประจิมจำหรงกั๋วกงได้ จึงอนุญาตให้เข้าไปได้ทันที เมื่อจางเฉวียนไม่ได้ถูกขัดขวางใดๆ จึงเดินตรงเข้าไปในโรงเรียนทหารซีซานอย่างรวดเร็ว “ที่นี่ก็ไม่เลวนะ!” อวี่ชื่อมองพระราชวังอันโอ่อ่าสง่างามแล้วรู้สึกโล่งใจขึ้นมาหน่อย เหล่านักเรียนชายหนุ่มที่เดินสวนกันไปมา ต่างสวมเครื่องแบบทหารสีดำ ดูสง่าผ่าเผยและกล้าหาญ ทุกคนต่างพูดคุยหัวเราะกันอย่างมีความสุข จางเฉวียนที่เคยเห็นแต่ชาวบ้านหน้าตาซีดเซียว พอมาเห็นคนหนุ่มที่มีพลัง มีชีวิตชีวา แถมหน้าตายังดูอิ่มเอิบเหล่านี้ ก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้า “ดูเหมือนอาหารการกินก็ไม่เลวนะ!” อวี่ชื่อรู้สึกวางใจลงในที่สุด ที่พักก็ดี อาหารก็ดี นักเรียนดูแล้วก็มีความสุข ลูกชายน่าจะใช้ช
“ท่านพ่อ ข้ากลัวจริงๆ...” “พระชายาน่ากลัวมาก นางจะฆ่าคนจริงๆ!” ร่างกายของจางเฉวียนสั่นสะท้าน เขาก้มหน้าลงมองอย่างละเอียด มันคือสี่ตำราห้าคัมภีร์ที่จางอี้คัดลอกมาจริงๆ ลายมือค่อนข้างเรียบร้อย เพราะยังไง จางอี้ก็เคยเรียนที่สำนักศึกษาแห่งแคว้น เรียนการเขียนพู่กันกับบัณฑิต พื้นฐานจึงยังดีอยู่ ปัญหาคือเด็กคนนี้เกียจคร้านเกินไป ชอบเล่นสนุก ไม่ชอบอ่านหนังสือ และยิ่งไม่ชอบเขียนหนังสือ พอนานๆ เข้า ก็เขียนไม่คล่อง ลายมือในจดหมายที่เขียนถึงเขาก็เหมือนลายแทงผี อ่านไม่ออกสักตัว เมื่อเทียบกันแล้ว สี่ตำราห้าคัมภีร์ที่เขาคัดลอกมานั้นกลับดูดีมีหลักการ จางเฉวียนถาม “แล้วเจ้าท่องได้หรือยัง?” จางอี้ตอบด้วยความน้อยใจ “ต้องท่องได้สิ! ไม่งั้นข้าคงโดนตีตายไปแล้ว และไม่ได้เจอท่านพ่อกับท่านแม่อีก...” จางเฉวียนดีใจมาก “งั้นเจ้าลองท่องให้พ่อฟังหน่อย!” จางอี้เปิดปากท่องออกมาทันทีมาโดยไม่ต้องคิด “ขงจื๊อกล่าวว่า...” พูดตามตรง จางอี้ไม่ได้โง่ ในทางกลับกัน เขายังฉลาดแกมโกงนิดหน่อยด้วย แต่เพราะเขาฉลาดเกินไป ถึงได้ไม่ตั้งใจเรียน และชอบก่อกวนสร้างปัญหา ยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่จางอี้เริ่มเรียนร
ห้องทำงานของเสี้ยวจ่างอยู่บนยอดสุดของภูเขาทิศประจิม มีทัศนียภาพที่ยอดเยี่ยม และสามารถมองเห็นโรงเรียนทหารซีซานได้ทั้งหมด ในขณะนี้ หลี่หลงหลินกำลังยืนพิงระเบียงอยู่ ในมือถือถ้วยชาใส มองลงไปด้านล่างอย่างภาคภูมิใจ: “ทิวทัศน์ที่สวยงามราวภาพวาด หญิงงามที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์ ดึงดูดเหล่าวีรบุรุษนับไม่ถ้วนให้ยอมจำนน...” ปัง! ซูเฟิ่งหลิงเตะประตูเข้ามา เหงื่อไหลท่วมกาย นางหอบหายใจขณะเอ่ย: “หนี... รีบหนีเร็ว...” หลี่หลงหลินตกใจ: “หนี? เผ่าหมานบุกมาแล้วหรือ?” ในความคิดของเขา มีเพียงการรุกรานของเผ่าหมานเท่านั้นที่ทำให้ซูเฟิ่งหลิงตื่นตระหนกได้ถึงเพียงนี้! ซูเฟิ่งหลิงส่ายหัว: “ไม่... ไม่ใช่ ผู้เสียหายบุกมาถึงประตูแล้ว!” “ผู้เสียหายหรือ?” หลี่หลงหลินสีหน้างุนงง หลังจากฟังคำอธิบายของซูเฟิ่งหลิง เขาถึงได้รู้ว่าหรงกั๋วกงพาฮูหยินมาด้วย ส่วนซูเฟิ่งหลิงก็ตกใจจนกระโดดหนีออกทางหน้าต่างและวิ่งมาส่งสารให้เขา หลี่หลงหลินรู้สึกอบอุ่นในใจ: “ถือว่าเจ้ายังมีจิตสำนึก ไม่คิดหนีไปคนเดียว! แต่หรงกั๋วกงนี่ก็กระไรกัน ยังไม่ถึงเดือนเลย ก็มาอย่างกระทันหันแล้ว ทำให้พวกเราตั้งตัวไม่ทัน!” ซูเฟิ่งหลิงบ่น: “ก
ผิวของนางเนียนละเอียดราวกับหยก บอบบางราวกับจะแตกได้เพียงแค่สัมผัส ใครจะไปรู้ว่า ผู้หญิงที่ใช้ชีวิตอยู่กับการฝึกฝนเพลงกระบี่ เผชิญกับแสงแดดและสายลมทุกวัน จะมีผิวพรรณอ่อนนุ่มเช่นนี้ได้! หรือนี่อาจเป็นเพราะพลังพิเศษของผู้ฝึกวรยุทธ? ซูเฟิ่งหลิงรู้สึกได้ถึงสายตาที่เร่าร้อนของหลี่หลงหลิน ใบหน้าของนางแดงระเรื่อขึ้นราวกับถูกย้อมสี ทั่วทั้งร่างกายค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง ยิ่งทำให้ดูสวยกว่าเดิม... นางหายใจถี่ขึ้น อย่างควบคุมไม่ได้ “เอ๊ะ?” “เสียงอะไรน่ะ?” จางเฉวียนซึ่งก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์เช่นกัน รับรู้ได้ทันทีถึงความผิดปกติหลังชั้นหนังสือ เขาขมวดคิ้วมุ่น และรีบเดินเข้าไป ซูเฟิ่งหลิงร้อนใจมาก นางพยายามดิ้นรนเพื่อผลักหลี่หลงหลินออกไป โครม! ชั้นหนังสือล้มลง! หลี่หลงหลินและซูเฟิ่งหลิงในสภาพกอดกันแน่น ปรากฏตัวต่อหน้าจางเฉวียนและอวี่ชื่อ ทั้งสี่คนต่างตกตะลึง! ช่างน่าอาย... ยังไงซูเฟิ่งหลิงก็เป็นผู้หญิง หน้าบาง นางอายจนอยากจะหาที่ซ่อนตัว น่าอายจนอยากจะตายจริงๆ! ผ่านไปสักพัก จางเฉวียนกระแอมไอเสียงหนึ่ง “องค์ชายเก้า ช่างเพลิดเพลินเสียจริงๆ...” หลี่หลงหลินยิ้มเจื่อนๆ “หรง
“แสดงความขอบคุณ?” หรงกั๋วกงชะงักไปครู่หนึ่ง และรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย องค์ชายเก้าช่างหยาบคายยิ่งนัก! จะมีใครเอ่ยปากขอเงินกันตรงๆ แบบนี้? อย่างไรเสีย ชีวิตและอนาคตของบุตรชายก็อยู่ในมือขององค์ชายเก้า หรงกั๋วกงจึงพูดอะไรได้ไม่มากนัก ได้แต่ภาวนาในใจว่าองค์ชายเก้าจะรู้จักพอประมาณ ไม่เรียกร้องมากเกินไป จางเฉวียนเอ่ยอย่างระมัดระวัง “องค์ชายเก้า ท่านต้องการเงินเท่าไหร่?” หลี่หลงหลินสีหน้ามืดมน “เงินอะไร ท่านช่างหยาบคายนัก ทำลายภาพลักษณ์ของบัณฑิต!” จางเฉวียนสบถในใจ ท่านเป็นถึงชนชั้นสูง ทำไมถึงติดนิสัยแย่ๆ ของพวกข้าราชการ มาทำวางท่าอยู่ต่อหน้าข้า ไม่ใช่ท่านหรือที่ขอให้ข้าแสดงความขอบคุณ? การแสดงความขอบคุณในแวดวงราชการ คือการให้เงินสินบนไม่ใช่หรือ? หลี่หลงหลินเอ่ยอธิบาย “หรงกั๋วกง ท่านเข้าใจผิดแล้ว! ข้าไม่ได้ต้องการเงิน! แต่ในเมื่อลูกชายของท่านประสบความสำเร็จในการศึกษาที่โรงเรียนทหารซีซานแล้ว ทำไมไม่มอบธงเกียรติยศให้ข้าสักหน่อยเล่า?” ธงเกียรติยศ? จางเฉวียนสีหน้างุนงง ธงเกียรติยศในสมัยโบราณ หมายถึงธงที่ทำจากผ้าไหม บางครอบครัวของผู้สอบผ่านระดับจวี่เหรินจะปักธงเกียรติ
ซูเฟิ่งหลิงอยู่ที่ฝั่งหนึ่ง ได้ยินถ้อยคำนี้พลันชะงักไป “ยังมีเรียงความปากู่เหวิน?”หลี่หลงหลินมั่นใจมาก “ข้าพูดไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ดาราศาสตร์ภูมิศาสตร์ ไม่มีเรื่องใดที่ข้าไม่รู้! ก็แค่เรียงความปากู่เหวินมิใช่หรือ ง่ายเพียงกระดิกนิ้ว!”ภายในส่วนลึกของหัวใจ หลี่หลงหลินกลับพูดแขวะเงียบๆ “เรียงความปากู่เหวิน ข้าเป็นที่ไหนเล่า!”หากข้าสามารถเขียนเรียงความปากู่เหวินได้จริง เช่นนั้นข้าก็ไปสอบขุนนางเองแล้ว ยังต้องใช้งานพวกเจ้าอีกหรือ?องค์ชายสอบได้จอหงวน ไม่ได้ดีไปกว่าพวกเจ้าได้จอหงวน ได้บัณฑิตชั้นสูง ผลลัพธ์ระเบิดนับพันนับหมื่นเท่า?เมื่อนั้น ชื่อเสียงกองทัพภูเขาทิศประจิม ก็โด่งดังเทียมฟ้า!บัณฑิตมากน้อยเพียงใดมิได้มาเพื่อชื่อเสียงกันเล่า?กระนั้นช่วยไม่ได้หลี่หลงหลินยังไม่ต้องพูดว่าไม่เป็นเรียงความปากู่เหวิน แม้แต่ตัวอักษรก็มิต่างจากไก่เขี่ยชาตินี้หลี่หลงหลินไม่มีวาสนาได้เป็นจอหงวนแล้ว เป็นได้เพียงคนลอกแบบ ลอกบทกวีโบราณสองสามบท ก็ทำให้คนทั่วหล้าตกตะลึงพรึงเพริด ได้รับความเลื่อมใสจากบัณฑิต เพียงเท่านี้!แม้หลี่หลงไม่เข้าใจเรียงความปากู่เหวิน แต่เขาในฐานะผู้ข้ามภพมาคนหนึ่ง ย่อมเข้าใจ
หลินกุ้ยเฟยเอ่ยปากปลอบโยนอย่างลึกซึ้ง “องค์ชาย เจ้าเป็นเด็กดีคนหนึ่ง! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แม่จะเล่าเรื่องเสด็จพ่อให้เจ้าฟังทั้งหมด...”หลี่หลงหลินรีบหยิบสมุดขึ้นมา วางแผนบันทึกลงไปหลินกุ้ยเฟยค่อยๆ เล่าเรื่องในอดีตของฮ่องเต้หวู่หลังจากนั้นไม่นานหลี่หลงหลินฟังจนอ้าปากหาวอยู่ตลอด น้ำตาไหลบนสุมดเล่มน้อย เขียนเพียงสองตัวอักษร ที่เหลือว่างเปล่ามิใช่หลี่หลงหลินไม่อยากเขียนแต่ชีวิตของฮ่องเต้หวู่ ช่างน่าเบื่อหน่ายเกินไปแล้ว!สิ่งที่ฮ่องเต้หวู่ภาคภูมิใจที่สุด ก็คือครั้นเป็นองค์ชาย ในช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์เคยออกรบทั่วสารทิศ บุกเบิกดินแดนแต่น่าเสียดายหลินกุ้ยเฟยได้รู้จักฮ่องเต้หวู่ หลังขึ้นครองราชย์แล้ว สำหรับช่วงเวลาที่ใช้ในกองทัพ กลับรู้ไม่มากคนบนโลกล้วนคิดว่าชีวิตของฮ่องเต้หวู่มีสีสันไม่เพียงกุมอำนาจ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีหญิงงามในวังหลังอีกสามพันคน!แต่แท้จริงแล้วกลับตรงข้ามกันอย่างอื่นของฮ่องเต้หวู่ หลี่หลงหลินไม่รู้แต่ชีวิตของฮ่องเต้หวู่ ใช้ได้เพียงสองคำจำกัดความตื่นนอน กินข้าว ประชุม อ่านฎีกา พลิกป้าย เลือกสนม เข้าหอนอนวนเวียนไปมา การกระทำในทุกวันล้วนเป็นขั้นตอน คล
“แต่...”กงซูหว่านหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ทำใจให้สงบลง “ท่านวางแผนโจมตีสำนักปราชญ์ น่ากลัวว่าไม่ง่ายถึงเพียงนั้น! ประวัติศาสตร์นับพันปี ฮ่องเต้ผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ ขั้วอำนาจเปลี่ยนผัน ธงใหญ่บนกำแพงเมืองเปลี่ยนไปอย่างไม่หยุดหย่อน แต่มีเพียงสำนักปราชญ์ไม่เคยล้มลง”“รากฐานของสำนักปราชญ์หยั่งลึกเกินกว่าที่ท่านคิดไว้มากนัก!”“ท่านฆ่าบัณฑิตทรงคุณวุฒินั้นง่าย ก็แค่หนึ่งชีวิตเท่านั้น ขอเพียงยอมรับเสียงก่นด่าก็พอ!”“แต่ หากท่านต้องการตัดรากถอนโคนสำนักปราชญ์ นั่นยากมากเหลือเกิน”สำนักโม่ถูกสำนักปราชญ์ทำลายกงซูหว่านเป็นคนรุ่นหลังของสำนักโม่ โกรธแค้นสำนักปราชญ์ลึกถึงกระดูก ใคร่ครวญอยู่ทุกขณะจิต จะใช้วิธีการใดทำลายสำนักปราชญ์สรุปคือไม่ได้อะไรสำนักปราชญ์แข็งแกร่งเกินไปต่อให้เป็นสำนักโม่ ก็มีโอกาสเพียงน้อยนิดต่อให้หลี่หลงหลินเป็นรัชทายาท ต้องการใช้กำลังเพียงคนเดียวล้มสำนักปราชญ์ ตัดรากถอนโคนให้สิ้นซากนี่จะเป็นไปได้จริงหรือ?หลี่หลงหลินหัวเราะเบาๆ “พี่สะใภ้รอง ไม่ว่าเรื่องใดล้วนขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นของคน ไม่ลองดู จะรู้ได้เยี่ยงไร? ยิ่งไปกว่านั้น หนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยในมือข้ายั
ตกลงข้ายังไม่ตื่น หรือท่านยังไม่ตื่นกันแน่?ซูเฟิ่งหลิงยังอยากถามอีกสองประโยค กลับถูกลั่วอวี้จู๋ห้ามไว้ “น้องหญิงเล็ก ในเมื่อองค์ชายรับปากฝ่าบาทไปแล้ว ต่อให้พูดต่อไป ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอันใดได้! พวกเราต้องร่วมมือร่วมใจกันคิดหาหนทางหาเงิน”“ความสามารถในการหาเงินขององค์ชาย ต่อให้กวนจื่อยังมีชีวิตอยู่ ก็ไม่สามารถเทียบได้”ซูเฟิ่งหลิงชมชอบรำกระบี่แทงทวน ใส่ใจเพียงการฝึกทหารทำสงคราม ไม่รู้ราคาข้าวของลั่วอวี้จู๋กลับต่างออกไป เชี่ยวชาญทำการค้า จัดการกิจการของสกุลซูและภูเขาทิศประจิมทอผ้า ทำน้ำตาลทรายขาว บ่มสุรา หลอมเหล็ก...ยังมีโรงเรียนทหารซีซานกิจการเหล่านี้ ทั้งหมดล้วนมีเงินเข้ามหาศาลดุจต้นไม้เขย่าเงินขอเพียงผ่านไปสักระยะหนึ่ง จัดการดีๆ ทำให้ชื่อเสียงของภูเขาทิศประจิมโด่งดัง หลี่หลงหลินลงแรงเพียงคนเดียว รับภาระค่าใช้จ่ายของราชสำนัก นี่กลับไม่ใช่ความฝันแน่นอน นี่ต้องใช้เวลาลั่วอวี้จู๋มองทางหลี่หลงหลิน พูดอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม “ฝ่าบาทให้เวลามากน้อยเพียงใด? หนึ่งปี? หรือสองปีเพคะ”หลี่หลงหลินเอ่ยปากเสียงเรียบ “ข้าต้องการเจ็ดวัน เสด็จพ่อกลับมอบให้สิบห้าวัน”สตรีทั้งหมดลืมตา
เพียงเว่ยซวินได้ยินก็ตกตะลึงพรึงเพริดมิน่าเล่าฮ่องเต้หวู่จึงผิดแปลกไป ถึงขั้นรับปากหลี่หลงหลินยกเว้นเรียกเก็บภาษีราษฎรสามปีทำเช่นนี้ ย่อมสามารถปลอบโยนราษฎร ทำให้ราษฎรได้พักและใช้ชีวิตอย่างสงบได้ทว่า เส้นทางการเงินของราชสำนัก ชนิดที่ว่าเบี้ยหวัดของขุนนางล้วนไม่สามารถจ่ายได้ นี่จะดีได้อย่างไร?จนกระทั่งตอนนี้เว่ยซวินถึงเข้าใจหลี่หลงหลินและฮ่องเต้หวู่ทำการแลกเปลี่ยนกันอย่างลับๆ ใช้รากฐานมั่นคงที่สำนักปราชญ์สั่งสมมานานนับพันปีมาชดเชยคลังหลวงที่ว่างเปล่า!เงินของสำนักปราชญ์ไม่น้อยจริงๆทว่าเงินเหล่านี้ พวกเขากลืนเข้าไปนั้นง่าย จะให้คายออกมากลับพูดง่ายแต่ทำยากยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นเวลาสั้นๆ เพียงครึ่งเดือนนี่ยากเกินไปแล้ว!ฮ่องเต้หวู่นวดหว่างคิ้ว “เราย่อมรู้ว่าเรื่องนี้ยากมาก! แต่เชื่อว่าเจ้าเก้าจะต้องมีวิธีแน่! สรุปว่าเจ้าให้องครักษ์เสื้อแพรคอยให้ความร่วมมือเจ้าเก้าเถอะ ไม่ว่าใช้วิธีการเช่นไร ก็ต้องง้างปากบัณฑิตชั่วเหล่านั้น ทำให้พวกเขาคายเงินออกมาให้ได้”เว่ยซวินโค้งคำนับ “กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา”.....จวนสกุลซูเพียงหลี่หลงหลินกลับมาก็ถูกซูเฟิ่งหลิง ลั่วอวี้จู๋ หลิ่ว
เว่ยซวินเห็นทั้งสองคนทะเลาะกันไม่ยอมเลิกรา แยกไม่ออกว่าใครแพ้ใครชนะ จึงพูดออกมาอย่างอดไม่ได้ “เดิมทีกระหม่อมก็ไม่ควรสอดปาก! แต่ทะเลาะกันต่อไปเช่นนี้ก็ไม่ใช่ทางแก้! มิสู้ถอยกันคนละก้าว...”หลี่หลงหลินกลับมีความสุขมาก “เสด็จพ่อ ท่านเสนอเงื่อนไขเถอะ!”ฮ่องเต้หวู่เผยสีหน้าขมปร่า “เรากลับอยากบริหารบ้านเมืองให้ดีขึ้น แต่เอือมระอาในมือไม่มีเงิน!”หลี่หลงหลินครุ่นคิด พูดว่า “เจ็ดวัน! ลูกจะหาทางแก้เอง!”สีหน้าฮ่องเต้หวู่ดีใจมาก ถูฝ่ามือพลางพูดยิ้มๆ “ได้! เจ้าเก้า ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาเพียงเจ็ดวัน! ขอเพียงเจ้าหาเงินออกมาได้ก่อนเทศกาลโคมไฟ ในวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนอ้ายก็พอ!”หลี่หลงหลินพยักหน้า พูดว่า “เสด็จพ่อ พวกเราตกลงกันตามนี้แล้ว! ฟ้ามืดแล้ว ท่านรีบพักผ่อนเร็วหน่อยเถอะ! ลูกขอทูลลา!”ฮ่องเต้หวู่เห็นหลี่หลงหลินกล่าวคำลา มุมปากปรากฏรอยยิ้ม “เจ้าเก้า ช่างเป็นเด็กดีโดยแท้!”เว่ยซวินขมวดคิ้ว เอ่ยปากอย่างกังวล “ฝ่าบาท หากยกเว้นภาษี ราชสำนักก็จะถูกตัดเส้นทางทางการเงินนะพ่ะย่ะค่ะ! ภายในระยะเวลาอันสั้นเพียงครึ่งเดือน องค์ชายจะมีวิธีเติมเต็มช่องโหว่มหาศาลนี้หรือ?”ฮ่องเต้หวู่ส่ายหน้า ก้าวเท้าเนิบๆ
คำพูดครึ่งแรกของหลี่หลงหลิน ฮ่องเต้หวู่ฟังแล้วก็เบิกบานใจ สีหน้าท่าทางผ่อนคลาย แม้พระองค์จะทรงมีอายุเกินห้าสิบแล้ว ร่างกายก็ร่วงโรยลงทุกวัน มีโอรสเพียงเก้าคน ไม่สามารถให้กำเนิดคนที่สิบได้ แต่ฮ่องเต้หวู่ก็ยังรู้สึกว่าตนเองยังหนุ่มแน่น! บุรุษจนวันตายก็ยังคงเป็นเด็กหนุ่ม ฮ่องเต้หวู่ก็เช่นกัน! จนถึงบัดนี้ ฮ่องเต้หวู่ยังคงฝันหวานอยู่บ่อยครั้งว่าตนเองนำทัพสามเหล่าทัพ ออกรบด้วยตนเอง โบกมือเพียงครั้งเดียว หมานอี๋ก็มลายหายไป อันที่จริง ฮ่องเต้หวู่ไม่คิดจะสละราชสมบัติเลย ใครเล่าไม่อยากเป็นจักรพรรดิ? โดยเฉพาะอย่างยิ่งจักรพรรดิเช่นฮ่องเต้หวู่ ที่ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกรมาหลายสิบปี แต่กลับต้องคอยประนีประนอม ถูกเหล่าขุนนางควบคุม บัดนี้ พระองค์ทรงกุมอำนาจไว้ในมือ ได้ลิ้มรสชาติของอำนาจแล้ว สละราชสมบัติ? ฮ่องเต้หวู่ไม่ยอม! จนกระทั่งฮ่องเต้หวู่ได้ยินสองคำสุดท้าย ก็ขมวดคิ้ว และถามด้วยความประหลาดใจ “นอนพัก หมายความว่าอย่างไร?” หลี่หลงหลินตกใจจนเหงื่อแตก โชคดีที่ฮ่องเต้หวู่เป็นคนโบราณ ไม่เข้าใจความหมายของคำว่านอนพัก มิฉะนั้น พระองค์คงจะจับเขาถลกหนังทั้งเป็นแน่ จักรพ
เดิมทีห้องขังหนึ่งห้อง หากมีคนอยู่สามถึงห้าคน ก็ถือว่าแออัดมากแล้ว แต่ตอนนี้กลับยัดคนเข้าไปสามสี่สิบคน แออัดราวกับปลากระป๋อง ไม่มีแม้แต่ที่ให้วางเท้า หอบูชาฟ้าเทียนถานที่เดิมทีอึกทึกครึกโครม บัดนี้กลับเงียบสงัดในพริบตา ผู้คนที่เหลืออยู่ ต่างหวาดผวา ไม่มีใครคาดคิด ความวุ่นวายครั้งใหญ่ จะยุติลงด้วยวิธีนี้ สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดคือ มาตรการอันเฉียบขาดขององค์รัชทายาทหลี่หลงหลิน! พระองค์ช่างกล้าหาญยิ่งนัก! บัณฑิตทรงคุณวุฒิทั้งสิบสองคนแห่งต้าเซี่ย นอกจากซ่งชิงหลวนที่เสียชีวิตไปแล้ว บัณฑิตทรงคุณวุฒิอีกสิบเอ็ดคนที่เหลือ รวมถึงเสิ่นชิงโจว ต่างก็ถูกจับขังคุก! คราวนี้ หากหลี่หลงหลินมีใจเมตตา ไม่สามารถถอนรากถอนโคนสำนักปราชญ์ได้ พระองค์จะถูกบัณฑิตทั่วแผ่นดินด่าทอว่าอย่างไร? “ไป! รีบกลับบ้าน!” “ต่อไปนี้ห้ามมุงดูเรื่องสนุก!” “ต่อให้ฟ้าถล่ม ก็ห้ามมุงดูเรื่องสนุก!” “มุงดูเรื่องสนุก จะทำให้ถึงแก่ชีวิตได้!” เหล่าราษฎรมีสีหน้าหวาดกลัว พากันแยกย้ายออกจากหอบูชาฟ้าเทียนถาน มีเด็กหนุ่มที่ไม่ยอมไป ก็ถูกบิดามารดาบิดหู ลากตัวกลับไป ตั้งแต่นี้ไป เกรงว่าราษฎรเมืองหลวงส่วนให
เหล่าขุนนางต่างสะใจกับความทุกข์ของผู้อื่น เยาะเย้ยราษฎร “สมองพวกเจ้า ถูกลาเตะมาหรือ!” “คำพูดขององค์รัชทายาท พวกเจ้าก็ยังเชื่อ?” “เขาขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าเล่ห์ แม้แต่พวกเรายังสู้ไม่ได้ นับประสาอะไรกับพวกเจ้า?” “ฮ่า ๆ สมน้ำหน้า!” ฉินฮั่นหยางรีบลุกขึ้นจากพื้น ใบหน้ายังคงบวมเป่ง ท่าทางสะใจยิ่งทำให้ดูน่าเกลียด “ฮึ่ม ๆ ๆ และแล้วพวกเจ้าก็มีวันนี้? กฎแห่งกรรมตามสนอง!” เมื่อครู่เขาแกล้งหมดสติ หากไม่ยอมอดทนแสร้งทำเป็นตาย เขาอาจจะถูกเจิ้งถูฮู่ตีตายไปแล้ว! ปัง! ฉินฮั่นหยางได้ทีรีบเดินเข้าไป เตะเจิ้งถูฮู่ เจิ้งถูฮู่เจ็บปวด ร้องออกมาเบา ๆ ดวงตาคมกริบดุจมีด จ้องมองไปยังฉินฮั่นหยาง ในใจของเขารู้สึกไม่ยินยอม อันที่จริง เมื่อครู่เขาออมมือ ใช้เพียงสามส่วนของแรง หากเจิ้งถูฮู่ใช้กำลังเท่าที่ใช้ฆ่าหมูในแต่ละวัน ตบหน้าฉินฮั่นหยางเพียงครั้งเดียว คงแปลกมากถ้าหัวเขาไม่หลุด! “น่าเสียดาย...” เจิ้งถูฮู่ถอนหายใจ “รู้เช่นนี้ ก็ไม่น่าออมมือ ยอมเสี่ยงชีวิต กำจัดคนชั่วคนนี้เสียก็ดี! ตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว” ในโลกนี้ ไม่มียาที่กินแล้วจะย้อนเวลากลับไปได้ นอกจากความเสียใจแล้ว เจิ้งถูฮู่กล
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ สำนักปราชญ์สะสมทรัพย์สินไว้อย่างมหาศาล กระทำการชั่วร้ายมากมาย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น ลำพังแค่ค่าเล่าเรียนของสำนักศึกษาที่ขึ้นราคาอย่างต่อเนื่อง จนถึงขั้นที่น่าตกตะลึง ชาวบ้านทั่วไป ไม่มีปัญญาส่งลูกหลานเข้าเรียน! บุตรชายของเจิ้งถูฮู่เฉลียวฉลาด มีพรสวรรค์ในการเรียน แต่เพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเล่าเรียน จึงไม่ได้เข้าเรียน ต้องมาช่วยเจิ้งถูฮู่ฆ่าหมู เป็นการเสียพรสวรรค์ไปอย่างน่าเสียดาย เพียงพริบตา ฉินฮั่นหยางก็ถูกตีจนหมดสติ ศีรษะบวมเป่งราวกับหัวหมู บนใบหน้าสามารถขูดน้ำมันออกมาได้ถึงสองเหลียง เหล่าบัณฑิตทรงคุณวุฒิคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้มีสภาพดีไปกว่ากัน บางคนฉวยโอกาสตอนชุลมุนถอดชุดบัณฑิตออก บางคนหลบซ่อนอยู่ในฝูงชน บางคนหมอบอยู่บนพงหญ้า เหล่าราษฎรมีสายตาที่เฉียบคม สามารถค้นหาบัณฑิตทรงคุณวุฒิทั้งสิบคนออกมาได้ทั้งหมด เพียะ...เพียะ...เพียะ... เสียงตบหน้าดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เสียงร้องโหยหวนและเสียงร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดดังไม่ขาดสาย บัณฑิตทรงคุณวุฒิทั้งสิบคนถูกตบจนหมดสติ ยังมีบัณฑิตอีกนับพันคน กุมท้อง กลิ้งไปมาอยู่บนพื้น ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด ห
“หนี?” ฉินฮั่นหยางนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ขมวดคิ้วมุ่น เมื่อครู่เขายังโอ้อวดว่า หากฮ่องเต้หวู่ไม่ลงโทษองค์รัชทายาทหลี่หลงหลิน เขาก็จะไม่ลุกขึ้นจากที่นี่ ตอนนี้กลับจะต้องหนี? เช่นนี้แล้วเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? ต่อไปจะใช้ชีวิตอย่างไร? “ท่านบัณฑิตทั้งหลาย!” “ก็แค่ราษฎรธรรมดา!” “จะมีอะไรน่ากลัว?” “พวกท่านกลัว แต่ข้าไม่กลัว!” ฉินฮั่นหยางลูบเครา ทำท่าทางราวกับเป็นผู้สูงส่ง อ๊าก! ร่างหนึ่งร้องโหยหวน ลอยมากระแทกพื้นตรงหน้าฉินฮั่นหยาง กลิ้งอยู่ครู่หนึ่งจึงหยุดนิ่ง ฉินฮั่นหยางหดรูม่านตาจนเท่ารูเข็ม เพ่งมองอยู่ครู่ใหญ่จึงจำได้ว่า คนผู้นี้คือศิษย์ของตน! แต่ถูกตีจนใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด ไม่ต้องพูดถึงตนเองที่เป็นอาจารย์ ต่อให้เป็นแม่แท้ ๆ มาเห็นก็คงจำไม่ได้ “โหดร้าย!” ฉินฮั่นหยางรู้สึกหวาดหวั่น ความกล้าที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดก็มลายหายไป! “ใช่แล้ว!” “ราษฎรที่หยาบคายเหล่านี้ ลงมือโดยไม่ยั้งมือ!” “พวกเราเหล่าบัณฑิต จดจ่ออยู่กับการอ่านตำรา ไม่เคยจับอาวุธ จะไปสู้พวกอันธพาลเหล่านี้ได้อย่างไร?” “บัณฑิตฉิน วีรบุรุษย่อมไม่ยอมเสียเปรียบในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ! ห