หลินกุ้ยเฟยเอ่ยปากปลอบโยนอย่างลึกซึ้ง “องค์ชาย เจ้าเป็นเด็กดีคนหนึ่ง! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แม่จะเล่าเรื่องเสด็จพ่อให้เจ้าฟังทั้งหมด...”หลี่หลงหลินรีบหยิบสมุดขึ้นมา วางแผนบันทึกลงไปหลินกุ้ยเฟยค่อยๆ เล่าเรื่องในอดีตของฮ่องเต้หวู่หลังจากนั้นไม่นานหลี่หลงหลินฟังจนอ้าปากหาวอยู่ตลอด น้ำตาไหลบนสุมดเล่มน้อย เขียนเพียงสองตัวอักษร ที่เหลือว่างเปล่ามิใช่หลี่หลงหลินไม่อยากเขียนแต่ชีวิตของฮ่องเต้หวู่ ช่างน่าเบื่อหน่ายเกินไปแล้ว!สิ่งที่ฮ่องเต้หวู่ภาคภูมิใจที่สุด ก็คือครั้นเป็นองค์ชาย ในช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์เคยออกรบทั่วสารทิศ บุกเบิกดินแดนแต่น่าเสียดายหลินกุ้ยเฟยได้รู้จักฮ่องเต้หวู่ หลังขึ้นครองราชย์แล้ว สำหรับช่วงเวลาที่ใช้ในกองทัพ กลับรู้ไม่มากคนบนโลกล้วนคิดว่าชีวิตของฮ่องเต้หวู่มีสีสันไม่เพียงกุมอำนาจ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีหญิงงามในวังหลังอีกสามพันคน!แต่แท้จริงแล้วกลับตรงข้ามกันอย่างอื่นของฮ่องเต้หวู่ หลี่หลงหลินไม่รู้แต่ชีวิตของฮ่องเต้หวู่ ใช้ได้เพียงสองคำจำกัดความตื่นนอน กินข้าว ประชุม อ่านฎีกา พลิกป้าย เลือกสนม เข้าหอนอนวนเวียนไปมา การกระทำในทุกวันล้วนเป็นขั้นตอน คล
หลี่หลงหลินส่ายหน้ายิ้มๆ “ย่อมไม่เป็นเช่นนั้น! ในเมื่อระยะนี้เสด็จพ่อประทับที่ตำหนักฉางเล่อบ่อยๆ หลังเสด็จพ่อบรรทมแล้ว ท่านสามารถท่อง ‘คัมภีร์กตัญญู’ ก่อนนอนหนึ่งรอบได้หรือไม่?”“เสด็จพ่อเป็นคนกตัญญูคนหนึ่ง นี่ก็ใกล้วันคล้ายวันพระราชสมภพของเสด็จย่าแล้ว หากท่านทำเช่นนี้ พระองค์ต้องดีพระทัยแน่นอน!”หลินกุ้ยเฟยชะงัก พูดอย่างปลื้มปีติดีใจ “ท่อง ‘คัมภีร์กตัญญู’ นี่ไม่ใช่ปัญหา! ได้ แม่รับปากเจ้า!”หลี่หลงหลินกล่าวลา รีบออกจากวัง กลับภูเขาทิศประจิมปัง!หลี่หลงหลินวางหนังสือบันทึกกองใหญ่ลงตรงหน้าหนิงชิงโหวหนิงชิงโหวเอ่ยถามอย่างแปลกใจ “องค์ชาย นี่ท่าน...”หลี่หลงหลินพูดโดยตรงไม่อ้อมค้อม “เหล่านี้ล้วนเป็นหนังสือที่เสด็จพ่อข้าชอบอ่าน! เจ้าอยากเป็นจอหงวน ก็ต้องอิงตามความชอบของผู้อื่น! เจ้ารีบเรียกคนอื่นมา วิเคราะห์หนังสือเรียงความเหล่านี้!”“หยั่งเดาความชอบของเสด็จพ่อ ลอกแบบทิศทางเรียงความของพระองค์ ไปเขียนเรียงความปากู่เหวิน!”หนิงชิงโหวเอ่ยปากอย่างตกตะลึง “ยังสามารถทำเช่นนี้ได้? แต่เรื่องเขียนเรียงความคือความศักดิ์สิทธิ์...”หลี่หลงหลินด่า “ก็แค่สอบสร้างชื่อเสียงเท่านั้น ศักดิ์สิทธิ์
หนิงชิงโหวประกบมือ “องค์ชายเป็นคนซื่อตรงผ่าเผย มีรัศมีของสุภาพชน ข้าเลื่อมใสอย่างลึกซึ้ง!”ซูเฟิ่งหลิงเบ้ปาก “สุภาพชน? หากเขาเป็นสุภาพชน ทั่วหล้าก็คือนักบุญแล้ว! พูดตามสัตย์จริง ก็แค่ไม่กล้าเท่านั้นมิใช่หรือ?”นี่คือวิธีสร้างความฮึกเหิมที่หลี่หลงหลินใช้กับซูเฟิ่งหลิงบ่อยๆ เห็นผลได้อย่างชัดเจนซูเฟิ่งหลิงลอบร่ำเรียน ใช้วิธีของผู้อื่นมาตอบโต้กลับในทำนองเดียวกันดังคาด แน่นอนว่าเสียเปล่า!หลี่หลงหลินยิ้ม การยั่วยุงุ่มง่ามเช่นนี้ ตนเองจะหลงกลได้เยี่ยงไรซูเฟิ่งหลิงทำไม่สำเร็จ จากอายกลายเป็นโกรธ “ในเมื่อไม่ได้โกง เช่นนั้นท่านรีบพูดเถอะ ตกลงวางแผนทำเยี่ยงไร?”หลี่หลงหลินพูดเรียบๆ “เดาคำถาม!”ดวงตาหนิงชิงโหวทอประกายเดาคำถาม ก็คือคาดเดาคำถามในการสอบ!อันที่จริงก็คือโชคดีหล่นทับ!สำนักศึกษาใหญ่ทุกแห่งก็มีการเดาคำถามในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้เดาคำถามถูกมีไม่มากสาเหตุนั้นง่ายมากคนออกคำถามจะพยายามตั้งคำถามซับซ้อนที่สุดไฉนเลยจะมีคนเดาได้อย่างง่ายดาย?ครั้งนี้ไม่เหมือนกันคนออกคำถาม มิใช่สมาชิกสำนักฮั่นหลิน แต่เป็นฮ่องเต้หวู่เขาไม่มีเล่ห์กลมากเพียงนั้นกอปรกับระยะนี้ตนเองทำคว
บัดนี้เป็นเวลาใดเล่า?ชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือใกล้จะมาถึงหน้าประตูบ้านแล้วฝ่าบาทยังสนใจเรื่องกตัญญูอยู่อีกหรือ?นี่ช่างไร้สาระเกินไปแล้วกระมัง!ซูเฟิ่งหลิงพูดอย่างโกรธขึ้ง “องค์ชายเก้า พวกเรากำลังเดาคำถามอยู่นะ เหตุใดท่านเล่นไร้สาระ?”หลี่หลงหลินหัวเราะคิกๆ พลางพูด “ข้าเล่นไร้สาระที่ใดกัน? อิงตามความเข้าใจต่อเสด็จพ่อของข้า คำถามที่พระองค์ออกในครั้งนี้ จะต้องเกี่ยวข้องกับความกตัญญูเป็นแน่!”ซูเฟิ่งหลิงส่ายหน้าอย่างต่อเนื่อง “ข้าไม่เชื่อ!”หลี่หลงหลินยิ้มนึกสนุก “เช่นนั้นพวกเราเดิมพันกันดีหรือไม่?”สีหน้าซูเฟิ่งหลิงเปลี่ยนไปอีกแล้ว?ครั้งก่อนแพ้เดิมพันให้นอนด้วยกัน ยังมิได้ทำตามสัญญาเลยนะท่านเอารัดเอาเปรียบข้าจนเสพติดไปแล้วกระมัง!ยิ่งไปกว่านั้น ข้ามอบร่างกายให้ท่านแล้วท่านยังคิดทำเช่นไรอีก?เดิมพันให้ข้าคลอดลูกให้ท่านกระนั้นรึ?ถุยๆ...เหตุใดข้าคิดเรื่องไร้สาระเหล่านี้เล่าซูเฟิ่งหลิงหน้าแดงก่ำ อยากตบหน้าตนเองเหลือเกินตนเองคล้ายถูกหลี่หลงหลินคนชั่วคนนี้พาเสียคนโดยไม่รู้ตัวไปแล้ว ถึงขั้นคิดเรื่องสกปรกเช่นนี้หนิงชิงโหวงึมงำ “อันที่จริงหัวข้อความกตัญญูขององค์ชาย
ฮ่องเต้หวู่ดุจถูกอัสนียบาตร นั่งเหม่อลอยบนพระที่นั่งมังกรเพื่อคิดหัวข้อการสอบขุนนางพระราชทาน ฮ่องเต้หวู่พยายามคิดอย่างหนัก เหนื่อยล้าถึงขีดสุดแล้วยามคนรู้สึกเหนื่อยล้า อารมณ์ย่อมหวั่นไหวง่าย“ฮือๆ...”บ่าทั้งสองข้างของฮ่องเต้หวู่สั่นไหว ปิดหน้าร้องไห้แล้วเว่ยซวินตกตะลึงพรึงเพริด รีบขยับขึ้นไปเอ่ยถาม “ฝ่าบาท ฝ่าบาท เหตุใดพระองค์ทรงพระกันแสงพ่ะย่ะค่ะ? ไม่สบายพระวรกายที่ใด? กระหม่อมจะไปตามหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้เลย!”ฮ่องเต้หวู่โบกพระหัตถ์ “ไม่จำเป็น! เรา...เราเพียงซาบซึ้งใจเกินไป มิอาจระงับตนได้ไปชั่วขณะ วางใจ เราไม่เป็นไร...”ซาบซึ้งจนร้องไห้แล้ว?เว่ยซวินมีสีหน้างุนงงอุปนิสัยของฮ่องเต้หวู่ ต่อให้ไม่นับว่าเลือดเย็น ก็เย็นชาหลายส่วนช่วยไม่ได้ฮ่องเต้หวู่เป็นเช่นนี้ โมโหดีใจล้วนไม่แสดงอารมณ์ใดผ่านทางสีหน้า ปั้นหน้าบึ้งตึงอยู่ตลอด ซ่อนอารมณ์ที่แท้จริงของตนไว้ ป้องกันมิให้พวกขุนนางมองออกคล้ายสวมหน้ากากใช้ชีวิต นานวันเข้าก็เหนื่อยมากอย่างแท้จริง!แต่ตนเองก็มิได้พูดอันใด ฮ่องเต้หวู่ก็ร้องไห้ซาบซึ้งใจเสียอย่างนั้น?ฮ่องเต้หวู่ปาดน้ำตา นึกสะท้อนใจ “เจ้าเก้า ช่างเป็นลูกกตัญญูคนหนึ
หนิงชิงโหวคิดไม่ถึงอย่างแท้จริง วันหนึ่งตนเองจะได้กลับมานั่งที่นี่ใหม่อีกครั้ง เริ่มต้นการสอบขุนนาง“สู้!”หนิงชิงโหวกำหมัดแน่น ให้กำลังใจตนเองส่วนเรื่องเจริญก้าวหน้าในตำแหน่งขุนนาง หนิงชิงโหวมิได้คาดหวังครั้งนี้เขาร่วมสอบขุนนางพระราชทาน ก็เพื่อตอบแทนบุญคุณขององค์ชายเก้า!แต่สามารถได้เป็นจอหงวนหรือไม่ หนิงชิงโหวไม่มั่นใจห่างออกไปไม่ไกลจางอี้นั่งที่ห้องสอบอีกแห่งหนึ่ง ใบหน้าประดับยิ้มทุกคนล้วนรู้ข้อบกพร่องของตนจางอี้รู้ความสามารถของตนดี ต่อให้ท่องสี่ตำราห้าคัมภีร์หนึ่งเดือน ก็คิดจะได้เป็นบัณฑิตชั้นสูงกระนั้นรึ?ฝันไปเถอะ!เพียงความคิดไม่น่าเชื่อถือเช่นนี้ ก็คือกำลังหมิ่นแคลนการสอบขุนนางที่มีมาอย่างยาวนานนับพันปี!แต่ที่จางอี้ดีใจคือหลังการสอบเสร็จสิ้นแล้ว ตนเองก็สามารถหลุดพ้นจากทะเลทุกข์ หลุดพ้นจากชีวิตติดอยู่ในนรกเสียที!ฮ่องเต้หวู่กำลังประทับอยู่ในตำแหน่งผู้ตรวจการการสอบ พระสุรเสียงก้องกังวาน การสอบขุนนางพระราชทานเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการเดิมทีการสอบขุนนางต้องใช้เวลาสามวัน ทั้งหมดมีสามหัวข้อแต่การสอบขุนนางพระราชทานครั้งนี้เวลากระชั้นชิด ทั้งหมดเรียบง่าย เพราะเ
สามวันผ่านไปถึงเวลาประกาศผลสอบแล้วภายนอกสนามสอบก้งหย่วน คนมากมายดุจภูเขาคนทะเลคน บัณฑิตนับพันไปจนถึงหมื่นกำลังมารวมตัวกันหนิงชิงโหวและเหล่าบัณฑิตหยิ่งยโสเองก็อยู่ที่นี่ แต่ละคนเขย่งเท้า มองอย่างมีความหวังเหล่าบัณฑิตหยิ่งยโสล้วนคิดว่าหนิงชิงโหวจะต้องได้เป็นจอหงวนแน่นอนมีเพียงหนิงชิงโหวไม่มั่นใจ เหงื่อเย็นผุดพรายเต็มหน้าผากสามารถตอบแทนบุญคุณองค์ชายเก้าได้หรือไม่ ก็เป็นเวลานี้แล้ว!ตอนนี้เองบัณฑิตใหญ่ของสำนักฮั่นหลินเดินออกมา ในมือถือกระดานแดง ติดไว้บนกำแพงนอกสนามสอบคนนับไม่ถ้วนปรี่ถลาเข้าไป สายตาเร่าร้อน หารายชื่อของตนด้านบน“หนิงเซิงเล่า?”“หาชื่อของเขาพบหรือไม่?”“หาไม่พบ!”“ดูท่าแล้วสอบตกไปแล้ว”“เฮ้อ ไม่ต้องพูดเรื่องเป็นอันดับต้นๆ ต่อให้เป็นจวี่เหรินก็สอบไม่ผ่าน!”เหล่าบัณฑิตหยิ่งยโสหารายชื่อของหนิงชิงโหวบนกระดานแดงไม่พบ ทั้งหมดล้วนเผยสีหน้าสิ้นหวังหัวใจของหนิงชิงโหวเองก็ร่วงหล่นลงจบสิ้นแล้ว!หนิงชิงโหวกำหมัดแน่น เล็บจิกลงบนเนื้อหนังของตน เลือดสดไหลออกมา กลับไม่รู้สึกเจ็บ!ตนเองพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว ถึงขั้นเกิดผลลัพธ์นี้?ก็เหมือนกับครั้งก่อน แม้แ
“หา?”“จางอี้?”“บนกระดาน ยังมีชื่อของจางอี้อีกด้วย!”“จางอี้มิได้อยู่ในสามอันดับแรก ชื่อค่อนไปทางสุดท้าย กระนั้นก็ได้เป็นบัณฑิตชั้นสูง!”เหล่าบัณฑิตหยิ่งยโสพบเรื่องชวนประหลาดใจ อุทานออกมาอย่างตกตะลึงหนิงชิงโหวได้เป็นจอหงวน จางอี้ได้เป็นบัณฑิตชั้นสูงสิ่งที่องค์ชายเก้าพูด ล้วนเป็นจริงแล้ว!พวกเขาล้วนตกตะลึงพรึงเพริดภายในใจองค์ชายเก้า ช่างเป็นเทพโดยแท้!หนิงชิงโหวก็ช่างเถอะ มีพรสวรรค์ของจอหงวนจริงแต่จางอี้นับเป็นตัวอะไร?ได้ชื่อว่าลูกผู้ดีตัวไร้ประโยชน์ในเมืองหลวง!เขาก็สามารถเป็นบัณฑิตชั้นสูงได้กระนั้น?ช่างเหลือจะเชื่อโดยแท้!สีหน้าหนิงชิงโหวเปลี่ยนไป ออกจากกลุ่มคน วิ่งออกไปแล้ว“หา?”“ท่านจอหงวนเป็นอะไรไป?”“หรือว่าท่านจอหงวนดีใจจนเสียสติไปแล้ว?”เหล่าบัณฑิตเห็นการกระทำของหนิงชิงโหว นึกสงสัยไม่เข้าใจ ครุ่นคิดหยั่งเดาส่งเดชสิบปีทุกข์เข็ญไร้คนถาม ระบือนามเพียงครั้งเดียวรู้ทั่วหล้า!ยังไม่ต้องพูดถึงจอหงวน คนสอบผ่านดีใจจนเสียก็มีทั้งสิ้น!หนิงชิงโหวหอบหายใจ วิ่งมาจนถึงหน้ารถม้าหรูหราคันหนึ่ง ทำความเคารพอย่างเลื่อมใส “องค์ชายเก้า พระชายา!”ม่านสีครามถูกเปิดออกเ
หลังผ่านไปหนึ่งชั่วยามหลี่หลงหลินเปิดฝาโอ่งน้ำใหญ่ด้วยใบหน้าลึกลับเหล่าสะใภ้ต่างคาดหวัง เตรียมเป็นพยานความอัศจรรย์ซี้ด!ไอเย็นเสียดแทงกระดูกสายหนึ่งส่งเข้ามา ทำให้เหล่าสะใภ้ไม่เพียงตัวสั่น ภาพเบื้องหน้ายังชวนให้คนตกตะลึงพรึงเพริด!มองเห็นน้ำในโอ่งน้ำใหญ่ทั้งหมดกลายเป็นก้อนน้ำแข็ง เย็นจนคนรู้สึกหนาว!ทุกคนกลับหายใจเย็นเฮือกหนึ่ง หันมองทางหลี่หลงหลินด้วยสายตาตกตะลึงพรึงเพริด สีหน้าเผือดซีด!ใบหน้ากงซูหว่านล้วนคือความตกตะลึง ในสายตาของนางหลี่หลงหลินไม่ต่างอันใดจากตำนานเสกหินให้เป็นทอง เพียงใช้เกลือหมางเซียวก็สามารถทำให้น้ำกลายเป็นน้ำแข็งได้แล้วหรือ? นี่เหลือจะเชื่อเกินไปแล้ว!กงซูหว่านเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “องค์ชาย นี่ทำได้เยี่ยงไร? นี่หรือว่าเป็นวิชาเซียนจริง?”หลี่หลงหลินหยิบถุงเกลือหมางเซียวในมือออกมาและพูดว่า “ตอนผสมเกลือหมางเซียวนี้กับน้ำจะสามารถดูดความร้อนมหาศาลได้ สามารถทำให้อุณหภูมิลดลงจนเหลือศูนย์องศา ดังนั้นภายใต้สถานการณ์เช่นนี้น้ำย่อมกลายเป็นน้ำแข็ง”หลี่หลงหลินไม่ปกปิด เล่าหลักการทั้งหมดให้กงซูหว่านฟัง อย่างไรเสียภายภาคหน้ายังต้องการให้มีคนไปสอนราษฎร์ตงไห่ทำน้ำแข็
ทุกคนล้วนตกตะลึง ไม่เคยได้ยินมาก่อน ทั้งยังไม่เคยพบเห็นแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยได้ยินผู้ใดเอ่ยถึงเจ้าสิ่งนี้ซูเฟิ่งหลิงแปลกใจอยู่บ้าง “องค์ชาย เหตุใดคนสามารถทำน้ำแข็งได้เล่า? ไม่ใช่ขุดมาจากพื้นที่หนาวแดนเหนือหรอกหรือ หรือว่าสามารถทำให้อุณหภูมิของตงไห่ลดลงได้?”ซูเฟิ่งหลิงรู้ว่าน้ำแข็งเป็นผลผลิตของฤดูหนาว แต่นางนึกไม่ออกว่าคนทำน้ำแข็งที่หลี่หลงหลินพูดคือสถานการณ์เช่นไร ในสายตานางมันเป็นเรื่องเพ้อฝัน และไม่มีวันเป็นจริงได้หลี่หลงหลินยิ้มน้อยๆ และพูดว่า “อีกเดี๋ยวเจ้าจะได้รู้”ทุกคนมองหลี่หลงหลินด้วยสายตาตกตะลึง คิดว่าเขาอาจเป็นเทพเซียนกลับชาติมาเกิด หาไม่แล้วจะทำเรื่องชวนให้คนรู้สึกเหลือจะเชื่อได้เยี่ยงไร?หลี่หลงหลินมองซุนชิงไต้และพูดว่า “พี่สะใภ้สาม ไม่รู้ท่านที่นั่นมีเกลือหมางเซียวหรือไม่?”เกลือหมางเซียวหรืออีกชื่อคือดินประสิว เป็นของสำคัญที่หลี่หลงหลินใช้รักษาโรคอยู่ที่ต้าเซี่ย เกลือหมางเซียวมิใช่ของหายาก เพียงแต่ถูกคนนำมาทำเป็นยาระบายขับพิษ ชนิดที่ว่ามีคนนำไปให้สัตว์ใช้แรงกิน สามารถเพิ่มความแข็งของเปลือกไข่ในสัตว์ปีกได้ สามารถพบเห็นได้ทั่วไปและราคาถูกมากซุนชิงไต้มองหลี่หลง
จวนอ๋องตงไห่ ลั่วอวี้จู๋มองเหล่าทหารที่ลำเลียงปลาหวงฮื้อใหญ่เข้ามาในวังทีละคันรถ ในดวงตาเต็มไปด้วยความยินดี “องค์รัชทายาท ท่านช่างยอดเยี่ยมจริงๆ! มีวิธีการจับปลานี้แล้ว ชาวบ้านทะเลตงไห่ทุกครัวเรือนก็จะได้กินเนื้อ ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารอีกต่อไป” ความกังวลก่อนหน้านี้ของลั่วอวี้จู๋มลายหายไปสิ้น ขอเพียงชาวบ้านมีกินมีใช้ ก็จะไม่เกิดเรื่องราววุ่นวายขึ้นอีก ทุกคนอยู่อย่างสงบสุข ทะเลตงไห่ก็จะปรองดองสามัคคี การก่อกบฏก็จะสงบลงไปเอง มิเช่นนั้นหากมีคนชั่วก่อความวุ่นวาย คอยขัดขวางอยู่เบื้องหลัง สุดท้ายผู้ที่ได้รับผลกระทบก็คือเหล่าชาวบ้านอยู่ดี ซุนชิงไต้จ้องมองปลาหวงฮื้อใหญ่รถแล้วรถเล่าตาไม่กะพริบ น้ำลายไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้: “ปลาหวงฮื้อใหญ่นี้ทั้งอ้วนทั้งอร่อย ชาวทะเลตงไห่คราวนี้จะได้ลิ้มรสของอร่อยแล้ว!” หลังจากได้ปลาหวงฮื้อใหญ่กลับมา ซุนชิงไต้ก็ลงครัวด้วยตนเอง ไม่ว่าจะทอด ผัด ต้ม ตุ๋น ล้วนเป็นรสเลิศแห่งโลกมนุษย์ เพียงแต่หากปลาหวงฮื้อใหญ่ไม่ได้รับการเก็บรักษาที่ดี ด้วยอุณหภูมิของทะเลตงไห่ในตอนนี้ ยิ่งปลาอ้วนเท่าใด ปริมาณโปรตีนในตัวก็ยิ่งสูง อัตราการเน่าเสียก็ยิ่งเร็วขึ้นเท่านั้น
“เปิดยุ้งฉางแจกข้าวหรือขอรับ?” พ่อบ้านชราประหลาดใจอย่างยิ่ง ข้าวสารเหล่านี้ซื้อมาเป็นพิเศษเพื่อปั่นราคา หลายวันก่อนหลู่จงหมิงเพิ่งจะกำชับไว้ว่า หากไม่มีคำสั่งของตน ห้ามผู้ใดเปิดฉางข้าวเป็นอันขาด เพียงไม่กี่วัน สถานการณ์ก็พลิกผัน การเปลี่ยนแปลงรวดเร็วจนน่าตกใจ ทำให้คนตั้งตัวไม่ติด พ่อบ้านยังไม่เข้าใจเจตนาของหลู่จงหมิง หลู่จงหมิงเอ่ยเสียงเข้ม: “ฉวยโอกาสตอนที่พวกตระกูลขุนนางยังไม่เริ่มเทขายข้าวสารในมือ ชิงลงมือก่อนได้เปรียบ! มิฉะนั้นราคาจะยิ่งต่ำลงไปอีก!” “บัดนี้จงนำข้าวสารในมือพวกเราทั้งหมดเทขายออกไปในราคาต่ำสุด! ขอเพียงขายออกไปได้ จะต่ำเพียงใดก็ได้!” หลู่จงหมิงกลัวสถานการณ์เช่นนี้ที่สุด หลี่หลงหลินสอนชาวบ้านจับปลา ไม่เพียงแต่ได้ใจประชาชน แต่ยังแก้ปัญหาเรื่องอาหารที่คับขันได้อีกด้วย สุดท้าย ก็เหลือเพียงตนเองที่ขาดทุนย่อยยับไม่เหลือแม้แต่กางเกงใน หลู่จงหมิงเอ่ยเสียงเข้ม: “ไม่ได้! ข้าจะไปขายข้าวด้วยตนเอง!” ผู้ได้ใจประชาชนย่อมได้ครอบครองแผ่นดิน ในความคิดของหลู่จงหมิง บัดนี้ขอเพียงยอมขายข้าวให้ชาวบ้าน ก็จะเป็นผู้ช่วยให้รอดในใจของชาวบ้านแล้วแม้ว่าจะช้ากว่าหลี่หลงหลิ
หญิงชรามองสุ่ยเซิง เอ่ยอย่างจริงจัง: “สุ่ยเซิง เจ้าบอกความจริงกับแม่มา เจ้าไปลักขโมยปลาของผู้อื่นมาพร้อมกับเถี่ยจู้ใช่หรือไม่?” ในความคิดของหญิงชรา หากไม่ใช่การลักขโมย วันเดียวจะหาปลาได้มากมายเช่นนี้ได้อย่างไร? สุ่ยเซิงยิ้มแล้วชี้ไปยังชาวประมงที่บรรทุกปลาเต็มลำกลับมา: “ท่านแม่! ลูกจะไปลักขโมยปลาของผู้อื่นได้อย่างไร ปลาเหล่านี้ล้วนจับมาได้จากทะเลตามวิธีที่องค์รัชทายาททรงสอนด้วยพระองค์เอง ท่านดูสิ ทุกคนก็จับมาได้ไม่น้อย” หญิงชรามองไป พบว่าชาวประมงที่กลับมาต่างก็มีปลาหวงฮื้อใหญ่ติดมือมาไม่มากก็น้อย เพียงแต่สุ่ยเซิงโชคดีกว่า จับปลาได้มากกว่าเล็กน้อย “องค์รัชทายาททรงสอนพวกเจ้าด้วยพระองค์เองหรือ?” หญิงชรามีสีหน้าลังเล สุ่ยเซิงพยักหน้า ชี้ไปยังท่าเทียบเรือที่ไม่ไกลนัก: “เมื่อวานก็ที่ตรงนั้น องค์รัชทายาทไม่เพียงแต่แบ่งปลาให้พวกเรา ยังทรงสอนวิธีการจับปลาให้พวกเราโดยเฉพาะ ถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้พวกเราอย่างไม่ปิดบัง” ฟุบ! หญิงชราทรุดตัวลงนั่งกับพื้น พนมมือ ดวงตาพร่ามัวด้วยน้ำตา: “สวรรค์มีตา สวรรค์มีตาโดยแท้! ต้าเซี่ยมีองค์รัชทายาทเช่นนี้ วันคืนอันแสนลำบากของพวกเราชาวบ้าน ในที่สุดก็จ
เถี่ยจู้เริ่มเหนื่อยล้า อยากจะโยนไม้ท่อนสองอันในมือทิ้งลงทะเลเสียเดี๋ยวนี้ ไม่อยากเชื่อเรื่องเหลวไหลว่าจะมีโชคหล่นจากฟ้าอีกต่อไป แต่พอนึกถึงรสชาติอันโอชะของปลาหวงฮื้อใหญ่ ก็ทำให้เขายังคงยืนหยัดต่อไปได้ ตึง ตึง ตึง... สุ่ยเซิงพลันหรี่ตาลง ชี้ไปยังที่ไกลๆ แล้วเอ่ยว่า: “ทางนั้นดูเหมือนมีความเคลื่อนไหว!” ทุกคนพลันมีชีวิตชีวาขึ้นมา มองไปยังทิศที่สุ่ยเซิงชี้ ก็เอ่ยอย่างประหลาดใจว่า: “มีคลื่นนี่ หรือว่าลมใหญ่กำลังจะมา?” ไร้ลมไหนเลยจะมีคลื่น เพียงแค่ทะเลมีคลื่นซัดสาดขึ้นมากะทันหัน ก็บ่งบอกว่าอีกไม่นานลมใหญ่จะพัดมาถึง สุ่ยเซิงส่ายหน้า สีหน้าแน่วแน่ แล้วเอ่ยว่า: “ไม่...ไม่ใช่คลื่น แต่เป็นปลา!” “ฝูงปลา!” “ไม่! คือคลื่นปลา!” ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างตกตะลึงตาค้าง ราวกับอยู่ในความฝัน ปลาแหวกว่ายถาโถมเข้ามาหาพวกเขาราวกับกระแสน้ำ นานๆ ครั้งก็จะมีปลาใหญ่กระโดดขึ้นเหนือผิวน้ำ ดุจดังเกลียวคลื่นที่ม้วนตัว สุ่ยเซิงตะโกน: “เร็วเข้า! ตักปลา!” เพียงชั่วพริบตา ฝูงปลาก็เข้ามาล้อมเรือประมงไว้แล้ว เหวี่ยงอวน สาวอวน ทุกคนไม่กล้าลังเลแม้แต่น้อย ต่างกลั้นหายใจรวบรวมสมาธิ ออกเรี่ยวแรงทั้
รุ่งเช้า ณ ท่าเทียบเรือตงไห่ อรุณรุ่งตะวันออกฉาย แสงทองสาดส่องนภา เหล่าชาวประมงต่างแย่งกันเข็นเรือประมงลงสู่ทะเล ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังต่ออนาคต “ท่านแม่ ไม่ต้องมาส่งแล้ว ข้าไปกับเถี่ยจู้ไม่เป็นอันใดหรอก วางใจเถิด” สุ่ยเซิงเอ่ยลามารดา วิ่งเหยาะๆ มายังท่าเทียบเรือ ขึ้นเรือประมงไปพร้อมกับเถี่ยจู้และชาวประมงเพื่อนบ้านอีกสองสามคน “สุ่ยเซิง เร็วเข้าสิ เหลือแค่เจ้าแล้ว!” สุ่ยเซิงยิ้มซื่อๆ พลางล้วงห่อกระดาษเคลือบน้ำมันสองห่อออกมาจากอกเสื้อ ส่งให้เถี่ยจู้ เถี่ยจู้สงสัยเล็กน้อย: “นี่คืออันใด?” สุ่ยเซิงยิ้มแล้วเอ่ยว่า: “นี่เป็นสิ่งที่ท่านแม่ยัดเยียดให้ข้าตอนจะออกมา บอกว่าเป็นปลาทอดกรอบที่ทำจากปลาหวงฮื้อใหญ่เมื่อวานนี้ เก็บไว้หลายวันก็ไม่เสีย ให้พวกเราเอาไว้กินเป็นเสบียงแห้งในทะเล” เถี่ยจู้ทำหน้าอิจฉา: “สุ่ยเซิง ท่านแม่ของเจ้าช่างรอบคอบนัก ยังเตรียมเสบียงแห้งให้เจ้าด้วย แต่ว่าปลาที่องค์รัชทายาทแจกเมื่อวานหอมจริงๆ! เมื่อวานข้ากินไปตั้งสามตัว ทำเอาท้องที่หิวมาหลายวันของข้าอิ่มแปล้ไปเลย” คนอื่นๆ ที่มาด้วยกันต่างพูดคุยถึงวิธีการปรุงปลาหวงฮื้อใหญ่กันเซ็งแซ่ ทุกคนต่างบอกเป็นเส
หลู่จงหมิงไม่เคยเห็นปลามากมายเช่นนี้มาก่อน ช่างเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อเกินไป! เหล่าขุนนางที่อยู่รอบๆ ก็ยืนนิ่งตะลึงงัน พูดไม่ออก “องค์รัชทายาท แจกปลาเถิด!” “พวกเราต้องการกินปลา!” ชาวบ้านชูแขนโห่ร้อง แม้ว่าหลี่หลงหลินจะนำปลาทั้งหมดมากองไว้บนท่าเทียบเรือแล้ว แต่ก็ยังคงให้ทหารตระกูลซูเฝ้าไว้ ยังไม่มีทีท่าว่าจะแจกจ่ายปลาให้แก่ชาวบ้าน หลี่หลงหลินเอ่ยเสียงเข้ม: “ข้าเคยพูดเมื่อใด ว่าจะแจกปลาเหล่านี้ให้เปล่าๆ?” ทุกคนต่างส่งเสียงฮือฮา ชาวบ้านมองหลี่หลงหลินด้วยสีหน้าตกตะลึง ในแววตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ไม่ใช่ว่าหลี่หลงหลินรับปากเองหรอกหรือ ว่าจะทำให้ชาวบ้านได้กินเนื้อกันถ้วนหน้า? บัดนี้เหตุใดจึงกลับคำเล่า? “ทุกคนเห็นหรือไม่? นี่แหละองค์รัชทายาท ปากก็พร่ำบอกว่าจะให้ชาวบ้านได้กินเนื้อ แต่บัดนี้กลับตระบัดสัตย์!” หลู่จงหมิงเดินมาหน้าชาวบ้าน ใบหน้าเต็มไปด้วยการเย้ยหยัน หลู่จงหมิงฉวยโอกาสทันที ไม่อาจปล่อยให้หลี่หลงหลินชนะใจประชาชนไปง่ายๆ เช่นนี้ได้ หลี่หลงหลินเอ่ยเสียงเข้ม: “ข้าพูดเมื่อใดว่าจะไม่ให้ชาวบ้านกินเนื้อ?” หลู่จงหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้ว่าในน้ำเต้าของหลี
ยามเย็น ณ ท่าเรือตงไห่ เรือลำใหญ่ค่อยๆ แล่นเข้าสู่ท่าเรือ บนท่าเทียบเรือมีผู้คนเนืองแน่น ล้วนเป็นชาวบ้านที่มามุงดูเรื่องสนุก ทั้งยังมีขุนนางผู้มีอำนาจไม่น้อยที่มารอสมน้ำหน้าหลี่หลงหลิน หลู่จงหมิงได้ยินว่าวันนี้หลี่หลงหลินออกทะเลไปจับปลา จึงมารออยู่ที่ท่าเทียบเรือตลอดทั้งวัน เพื่อรอที่จะหยามเกียรติหลี่หลงหลิน หลู่จงหมิงมองเรือใหญ่ที่กำลังเทียบท่า ใบหน้าเต็มไปด้วยความดูแคลน: “ยังกล้าคุยโวโอ้อวด ว่าจะทำให้ชาวบ้านได้กินเนื้อกันถ้วนหน้า? ช่างเพ้อฝันลมๆ แล้งๆ ปลาที่จับได้ในทะเลตงไห่แค่นั้น ยังไม่พอให้ตดด้วยซ้ำ!” ขุนนางผู้หนึ่งเอ่ยสมทบ: “พระเชษฐภาดา เดี๋ยวรอตอนที่เอาปลาออกมา พวกเราต้องหยามเกียรติเขาสักครา ต้องระบายความแค้นนี้ให้ได้!” พระเชษฐภาดาแค่นเสียงหัวเราะเย็นชา: “ชาวบ้านมากมายขนาดนี้กำลังจ้องมองอยู่ที่ท่าเรือ ถึงเวลานั้นหากหลี่หลงหลินเอาปลาออกมาไม่ได้ ดูสิว่าเขาจะจัดการอย่างไร!” เรือใหญ่เทียบท่า ชาวบ้านกรูกันเข้ามา ล้อมเรือใหญ่ไว้แน่นขนัด “กลิ่นคาวปลาแรงมาก!” พอชาวบ้านเข้าใกล้เรือใหญ่ กลิ่นคาวปลาก็ปะทะเข้าหน้าทันที “กลิ่นคาวปลาขนาดนี้ ต้องจับปลามาได้มากเท่าใดกัน?”