ต้องเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน!คราวนี้การสอบขุนนางพระราชทาน ต้องเป็นเวทีเต้นรำที่องค์ชายเก้าสร้างให้ตนโดยเฉพาะ!และเป็นเวทีเต้นรำที่ยุติธรรม!น้ำตาไหลพรากออกมาจากหางตาหนิงชิงโหว เขาคุกเข่าแล้วโขกศีรษะไปกับพื้น “ขอบพระทัยในความเมตตาขององค์ชายเก้า! ชิงโหวไม่มีอะไรจะตอบแทนในชีวิตนี้! มีเพียงขอสาบานจะติดตามไปจนวันตาย จนร่างกายจะแหลกสลาย!”เมื่อมาถึงจุดนี้ หนิงชิงโหวบัณฑิตที่หยิ่งยโสอันดับหนึ่ง รู้สึกซาบซึ้งใจต่อหลี่หลงหลินเป็นอย่างมาก!เฉินตันชิงเห็นท่าทางเช่นนี้ของหนิงชิงโหวเจ้าไม่ขอบพระทัยฮ่องเต้ แต่ไปขอบพระทัยองค์ชายเก้าทำไม?ฮ่องเต้พระราชทานการสอบขุนนาง เกี่ยวอะไรกับองค์ชายเก้า?เฉินตันชิงคิดว่าหนิงชิงโหวคงจะทนทุกข์ทรมานมากเกินไป จนเกิดปัญหากับสมองของเขา ในใจก็รู้สึกเศร้าจนพูดอะไรไม่ออก ตบไหล่เขาเบาๆ แล้วพาคนจากไปในพริบตา คนที่มามุงดูความคึกคักที่กระท่อมก็แยกย้ายกันไป เหลือเพียงหนิงชิงโหวและกลุ่มบัณฑิตผู้หยิ่งยโสเท่านั้นอย่างไรมันก็แค่การกู้เกียรติยศกลับมาเท่านั้นไม่ใช่ว่าสอบผ่านขุนนาง และยิ่งไม่ใช่สอบได้อันดับจอหงวนเดิมทีนี่ก็เป็นขั้นตอนเล็กๆ ที่ไม่ได้สำคัญอะไร!ในเวลา
องค์ชายเก้า!ในความเงียบสงัดภายในหอคัมภีร์เหวินยวนบรรดาขุนนางต่างตกตะลึง และมีสีหน้าประหลาดใจวันนี้องค์ชายเก้าอยู่ในห้องทรงพระอักษรแต่ขุนนางส่วนใหญ่เห็นว่าองค์ชายเก้าเป็นเหมือนอากาศ แทบไม่ได้เห็นอยู่ในสายตาพอคิดอย่างรอบคอบแล้วแท้จริงแล้วเป็นองค์ชายเก้าที่คอยชี้แนะการพัฒนาของเรื่องต่างๆไม่ว่าจะเป็นบทกวีสามบท หรือหนิงชิงโหวและการสอบขุนนางพระราชทาน ล้วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับองค์ชาย!ตั้งแต่เริ่มแรกก็มีความขัดแย้งระหว่างขุนนางกับองค์ชายเก้า!แต่หลังจากที่หรงกั๋วกงมาถึง ความขัดแย้งก็เปลี่ยนไปเป็นการต่อสู้ระหว่างสองกลุ่มหลัก ชนชั้นสูงและขุนนาง และองค์ชายเก้าถูกเพิกเฉยไป!จริงๆ แล้วองค์ชายเก้าคือผู้บงการเบื้องหลังเรื่องนี้ไม่เพียงแต่กลุ่มขุนนางเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชนชั้นสูง ขันที และแม้แต่ฮ่องเต้ ล้วนกลายเป็นเบี้ยในมือของเขาและกำลังถูกบงการอยู่ในมือของเขา!ซี๊ด...เสียงสูดหายใจด้วยความตกใจก็ดังขึ้นใบหน้าของขุนนางทุกคนเต็มไปด้วยความประหลาดใจพวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยองค์ชายเก้าที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียง จะฉลาดขนาดนี้ตอนนี้ปัญหามาแล้วองค์ชายเก้าต้องการทำอะไร?พวกขุนนางไม่
เมื่อได้ยินเช่นนี้ขุนนางทุกคนก็ตกตะลึงหนิงชิงโหวได้เป็นจอหงวนไม่ว่าคนโง่อย่างจางอี้ก็สามารถกลายเป็นบัณฑิตชั้นสูงได้หรือ?องค์ชายเก้าดูแคลนระบบการสอบขุนนางที่มีมาอย่างยาวนานนับพันปีนี้ต่ำไปหรือไม่?นอกเสียงจากว่าจะโกง!ส่วนคำถามนั้น ฮ่องเต้จะเป็นคนออกหัวข้อเอง ขัดขวางเส้นทางของการเล่นพรรคเล่นพวกและการทุจริตของขุนนางพวกขุนนางล้วนเป็นคนฉลาด แต่ก็ยังไร้มาตรการรับมือองค์ชายเก้ามีวิธีการอะไร ถึงสามารถรับประกันได้ว่าหนิงชิงโหวและจางอี้ได้?ตู้เหวินยวนส่ายหัว แล้วถอนหายใจ “นี่คือสิ่งที่ข้าคิดไม่ออก! ไม่ว่าจะเป็นบัณฑิตจอหงวน หรือบัณฑิตชั้นสูง ในเงื่อนไขที่ยุติธรรม นอกจากการแข่งขันเพื่อความสามารถและการเรียนรู้ที่แท้จริงแล้ว ก็ยังต้องอาศัยโชคด้วย...”“สรุปแล้ว ข้าคิดว่า ต่อให้ความคิดขององค์ชายเก้าจะพิถีพิถันแค่ไหน จะฉลาดล้ำลึกแค่ไหน ก็ไม่สามารถทำได้!”ขุนนางคนหนึ่งพูดเสียงต่ำว่า “ถ้าเกิดว่า... ถ้าเกิดว่าองค์ชายเก้ามีวิธีการจริงๆ ล่ะ ให้หนิงชิงโหวและจางอี้สอบผ่าน จะทำอย่างไร?”ดวงตาของตู้เหวินยวนก็เย็นชาขึ้นมา “ถ้าอย่างนั้น พวกเราก็คงต้องใช้วิธีการทุกอย่าง สู้กันให้ตายไปทั้งสองฝ่าย
โรงเรียนทหารซีซาน?สีหน้าของหนิงชิงโหวดูประหลาดใจไม่ใช่เพราะคำว่าซีซานสองคำนี้ แต่คือโรงเรียนทหาร!อย่างไรเสียในสมัยโบราณไม่มีโรงเรียนทหารหนิงชิงโหวถามด้วยความประหลาดใจ “โรงเรียนทหารหมายความว่าอย่างไร?”ลั่วอวี้จู๋จึงตอบอย่างตรงไปตรงมา “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน องค์ชายเก้าต้องการใช้ชื่อนี้ ข้าคิดว่ามันคงเหมือนกับสำนักศึกษาอะไรแบบนั้นกระมัง? เจ้าไปถามเจ้าตัวเองเลยเถอะ!”หนิงชิงโหวพยักหน้า พร้อมกับเดินตามลั่วอวี้จู๋ไปที่ห้องรับแขก และจิบชาอย่างช้าๆแต่ในใจเขากลับคิดถึงความหมายของโรงเรียนทหารไม่นานนักหลี่หลงหลินก็เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มข้างหลังเขาคือซูเฟิ่งหลิง ใบหน้าอันงดงามของนางแดงก่ำ หมัดของนางกำแน่น ราวกับอยากจะฆ่าคนไม่จำเป็นต้องพูดซูเฟิ่งหลิงไม่เพียงแต่ถูกหลอกเท่านั้น แต่ยังถูกหลี่หลงหลินเอาเปรียบ นางเสียเปรียบไปไม่น้อย!“คารวะองค์ชายเก้า!”หนิงชิงโหวเป็นผู้นำทุกคนลุกขึ้นยืนแล้วยกมือคารวะไปทางหลี่หลงหลิน“นั่งตามสบายเถอะ!”หลี่หลงหลินโบกมือ ไม่ได้วางท่าเลยสักนิด ยิ้มให้หนิงชิงโหวแล้วถามว่า “เกียรติยศของเจ้าถูกกู้กลับคืนมาแล้วใช่หรือไม่?”หนิงชิงโหวกล่าวด้วยความเ
อย่าไปสนใจเหล่าบรรดาชนชั้นสูงที่จางเฉวียนหรงกั๋วกงเป็นผู้นำ วันปกติสวมชุดเครื่องแบบทหาร พกดาบยาว ดูแล้วเหมือนจะได้เรื่องได้ราว ในความเป็นจริงนั้น พวกเขาสามารถบัญชาการทหารได้หรือ? สู้รบเป็นหรือ? ตอนเข้าไปในสนามรบ ไม่กลัวจนฉี่ราด ก็ถือว่าดีมากแล้ว ก็เพราะฝ่าบาทเข้าใจหลักการข้อนี้ จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากส่งจางไป่เจิงให้นำทัพทหารรักษาพระองค์หนึ่งแสนนายออกไปรบ แต่เมื่อจางไป่เจิงไป เมืองหลวงก็จะว่างทันที นำไปสู่เหตุการณ์ยุ่งเหยิงที่องค์ชายหกก่อกบฏเพื่อแย่งชิงอำนาจ หรือว่าราชสำนักนี้ นอกจากจางไป่เจิงคนเดียวแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถต่อสู้ได้อีก? หรือจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ หลี่หลงหลินมองไปทางหนิงชิงโหวแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นไหนเจ้าลองว่ามาสิ เหตุใดถึงเกิดสถานการณ์เช่นนี้ได้? หนิงชิงโหวขมวดคิ้วเป็นปม ดำดิ่งสู่ห่วงความคิด ฝ่าบาททรงให้ความสำคัญกับวรรณกรรมมากกว่าการทหารหรือ? ก็ไม่ใช่ ฝ่าบาทได้ชื่อว่าเป็นฮ่องเต้บู๊ พร่องการปกครองเมืองด้วยวัฒนธรรม เชี่ยวชาญด้านการทหาร แล้วจะให้ความสำคัญกับวรรณกรรมมากกว่าการทหารได้อย่างไร? ต้าเซี่ยขาดแคลนผู้มีความสามารถหรือ? ก็ยังไม่ใช่ ต้า
ซูเฟิ่งหลิงรู้สึกว่าตนเองถูกหักหลัง จึงบ่นพึมพำ “แต่ท่านก็บอกอยู่ว่า จะต้องสร้างกองทัพตระกูลซูขึ้นมาใหม่ ทำไมถึงกลายเป็นจะก่อตั้งโรงเรียนทหารไปได้ล่ะ!” หลี่หลงหลินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “โรงเรียนทหารกับกองทัพใหม่ จะสร้างไปด้วยกันไม่ได้หรือ! นอกจากนี้ ข้าก็เกณฑ์ชาวบ้านอพยพมาหนึ่งพันคนแล้วไม่ใช่หรือ บวกกับทหารพ่ายศึกที่มีอยู่เดิม ข้าไม่ได้ต้องการแค่สร้างกองทัพตระกูลซูขึ้นมาใหม่ แต่ยังจะสร้างกองทัพอันดับหนึ่งในใต้หล้าให้เป็นมาตรฐานด้วย” หนิงชิงโหวดวงตาเป็นประกาย “ข้าเข้าใจแล้ว! องค์ชายจะให้กองทัพตระกูลซูเป็นมาตรฐาน เพื่อที่จะประชาสัมพันธ์โรงเรียนทหารซีซาน! เมื่อถึงตอนนั้น วีรบุรุษที่มีความสามารถในใต้หล้า ก็จะหลั่งไหลกันเข้ามาราวกับน้ำหลาก...” หลี่หลงหลินลูบคางแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ถูกต้องแล้ว” ในสมองของเขา นึกถึงภาพหนึ่งขึ้นมา ชายหนุ่มที่เปี่ยมด้วยความกระตือรือร้นหลายพันคน รวมตัวกันอยู่ที่ลานกว้างของโรงเรียนทหารซีซาน และตะโกนเรียกเสี้ยวจ่าง! ตัวเองหัวล้าน ปัดโถ่..... ตัวเองที่ผมสวยพลิ้วสลวย แต่งกายด้วยชุดทหาร ตรวจตราทัพสามกอง มองแล้วช่างสง่าผ่าเผย! ไม่ว่ายังไงก็ตาม เมื่อเทียบกับเ
องค์ชายเก้าดูจะให้ความสำคัญกับตนมากเกินไปหรือเปล่านะ? ซูเฟิ่งหลิงเองยิ่งประหลาดใจ จึงดึงหลี่หลงหลินไปด้านข้างเพื่อคุย “ท่านให้ข้าเป็นอาจารย์หรือ?” หลี่หลงหลินเผยยิ้มร่า “ใช่แล้ว การเป็นอาจารย์น่าเกรงขามมากนะ! ถ้าเจ้าไม่ชอบหน้าเขา เจ้าก็สามารถซ้อมเขาได้! เจ้าชอบซ้อมคนที่สุดไม่ใช่หรือ?” ซูเฟิ่งหลิงใบหน้าแดงก่ำ “แต่ว่า แต่ว่า ข้ารู้แค่เรื่องการต่อสู้ ความรู้ทางวิชาการข้าอาจจะเทียบกับจางอี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ” จางอี้ยังไงก็เคยเรียนที่สำนักศึกษาแห่งแคว้นมาตั้งแต่เด็ก ได้รับการสอนจากบัณฑิตผู้ยิ่งใหญ่! ถึงแม้ว่าจางอี้จะมีนิสัยเกียจคร้าน ไม่ตั้งใจเรียน ทำให้เหล่าบัณฑิตโกรธจนควันออกหู แต่สุดท้ายเขาก็ยังได้เป็นกงเซิงอยู่ดี! ซูเฟิ่งหลิงเติบโตมากับปู่ในกองทัพ ไม่เคยได้เรียนหนังสือเลย อ่านออกเขียนได้ก็เพราะมีพี่ชายและพี่สะใภ้คอยสอน ตนเองเป็นแค่คนอ่านออกเขียนได้นิดหน่อย จะไปเป็นอาจารย์ของบัณฑิตได้อย่างไร นี่มันเรื่องเหลวไหลชัดๆนะ? หลี่หลงหลินพูดอย่างจริงจัง “ที่นี่คือโรงเรียนทหาร ไม่ใช่สำนักศึกษา! นอกจากวิชาการแล้ว ยังต้องสอนการวางแผนยุทธวิธี และยังต้องสอนวิทยายุทธ์ด้วย อันนี้เจ้าถนัดใช่ไห
“ปัง!” ซูเฟิ่งหลิงปิดประตูโดยไม่รู้ตัว ถึงค่อยตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น นางจ้องหลี่หลงหลินอย่างโกรธเคือง “ปิดประตู ปล่อยหมาหรือ? ท่านว่าใครเป็นหมา?” หลี่หลงหลินโยนไม้บรรทัดให้ซูเฟิ่งหลิง “เจ้าอย่าเพิ่งไปใส่ใจเรื่องนั้นเลย! ยังไงก็ตาม เจ้าแค่คอยดูเขาให้อ่านหนังสือ ถ้าเขากล้าขี้เกียจ เจ้าก็ตีเขาแรงๆ เลย!” ซูเฟิ่งหลิงถือไม้บรรทัดไว้ เมื่อเห็นจางอี้ตัวสั่นด้วยความกลัว สภาพน่าสงสาร น่าก็เกิดความสงสารขึ้นมาทันที “ข้า...ข้าทำไม่ลง!” หลี่หลงหลินแค่นเสียง “ดูเจ้าสิ! ตอนที่เจ้าตีข้า ลงมือไปเต็มแรงเลยไม่ใช่หรือ?” ซูเฟิ่งหลิงหน้าแดงก่ำ “ไร้สาระ! ท่านก็คือท่าน เขาเป็นเขา ข้าไม่ได้มีเรื่องบาดหมางอะไรกับเขา...” หลี่หลงหลินมองซูเฟิ่งหลิง แล้วพูดกลั้วหัวเราะ “ข้าเข้าใจแล้ว! ตีคือรัก ด่าคือความเอ็นดู รักมากก็ต้องใช้เท้าถีบ! เจ้าตีข้า แสดงว่าเจ้ารักข้า!” ซูเฟิ่งหลิงโกรธจัด “ไปให้พ้น! เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะตีท่านให้ตาย...” หนิงชิงโหวเห็นว่าทั้งสองคนกำลังจะทะเลาะกันอีกแล้ว จึงรีบห้าม “องค์ชายเก้า จางอี้ยังอยู่ตรงนี้นะ...” หลี่หลงหลินไม่สนใจซูเฟิ่งหลิง เดินไปหาจางอี้แล้วถาม “เมื่อครู่ เหตุใ
คำพูดครึ่งแรกของหลี่หลงหลิน ฮ่องเต้หวู่ฟังแล้วก็เบิกบานใจ สีหน้าท่าทางผ่อนคลาย แม้พระองค์จะทรงมีอายุเกินห้าสิบแล้ว ร่างกายก็ร่วงโรยลงทุกวัน มีโอรสเพียงเก้าคน ไม่สามารถให้กำเนิดคนที่สิบได้ แต่ฮ่องเต้หวู่ก็ยังรู้สึกว่าตนเองยังหนุ่มแน่น! บุรุษจนวันตายก็ยังคงเป็นเด็กหนุ่ม ฮ่องเต้หวู่ก็เช่นกัน! จนถึงบัดนี้ ฮ่องเต้หวู่ยังคงฝันหวานอยู่บ่อยครั้งว่าตนเองนำทัพสามเหล่าทัพ ออกรบด้วยตนเอง โบกมือเพียงครั้งเดียว หมานอี๋ก็มลายหายไป อันที่จริง ฮ่องเต้หวู่ไม่คิดจะสละราชสมบัติเลย ใครเล่าไม่อยากเป็นจักรพรรดิ? โดยเฉพาะอย่างยิ่งจักรพรรดิเช่นฮ่องเต้หวู่ ที่ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกรมาหลายสิบปี แต่กลับต้องคอยประนีประนอม ถูกเหล่าขุนนางควบคุม บัดนี้ พระองค์ทรงกุมอำนาจไว้ในมือ ได้ลิ้มรสชาติของอำนาจแล้ว สละราชสมบัติ? ฮ่องเต้หวู่ไม่ยอม! จนกระทั่งฮ่องเต้หวู่ได้ยินสองคำสุดท้าย ก็ขมวดคิ้ว และถามด้วยความประหลาดใจ “นอนพัก หมายความว่าอย่างไร?” หลี่หลงหลินตกใจจนเหงื่อแตก โชคดีที่ฮ่องเต้หวู่เป็นคนโบราณ ไม่เข้าใจความหมายของคำว่านอนพัก มิฉะนั้น พระองค์คงจะจับเขาถลกหนังทั้งเป็นแน่ จักรพ
เดิมทีห้องขังหนึ่งห้อง หากมีคนอยู่สามถึงห้าคน ก็ถือว่าแออัดมากแล้ว แต่ตอนนี้กลับยัดคนเข้าไปสามสี่สิบคน แออัดราวกับปลากระป๋อง ไม่มีแม้แต่ที่ให้วางเท้า หอบูชาฟ้าเทียนถานที่เดิมทีอึกทึกครึกโครม บัดนี้กลับเงียบสงัดในพริบตา ผู้คนที่เหลืออยู่ ต่างหวาดผวา ไม่มีใครคาดคิด ความวุ่นวายครั้งใหญ่ จะยุติลงด้วยวิธีนี้ สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดคือ มาตรการอันเฉียบขาดขององค์รัชทายาทหลี่หลงหลิน! พระองค์ช่างกล้าหาญยิ่งนัก! บัณฑิตทรงคุณวุฒิทั้งสิบสองคนแห่งต้าเซี่ย นอกจากซ่งชิงหลวนที่เสียชีวิตไปแล้ว บัณฑิตทรงคุณวุฒิอีกสิบเอ็ดคนที่เหลือ รวมถึงเสิ่นชิงโจว ต่างก็ถูกจับขังคุก! คราวนี้ หากหลี่หลงหลินมีใจเมตตา ไม่สามารถถอนรากถอนโคนสำนักปราชญ์ได้ พระองค์จะถูกบัณฑิตทั่วแผ่นดินด่าทอว่าอย่างไร? “ไป! รีบกลับบ้าน!” “ต่อไปนี้ห้ามมุงดูเรื่องสนุก!” “ต่อให้ฟ้าถล่ม ก็ห้ามมุงดูเรื่องสนุก!” “มุงดูเรื่องสนุก จะทำให้ถึงแก่ชีวิตได้!” เหล่าราษฎรมีสีหน้าหวาดกลัว พากันแยกย้ายออกจากหอบูชาฟ้าเทียนถาน มีเด็กหนุ่มที่ไม่ยอมไป ก็ถูกบิดามารดาบิดหู ลากตัวกลับไป ตั้งแต่นี้ไป เกรงว่าราษฎรเมืองหลวงส่วนให
เหล่าขุนนางต่างสะใจกับความทุกข์ของผู้อื่น เยาะเย้ยราษฎร “สมองพวกเจ้า ถูกลาเตะมาหรือ!” “คำพูดขององค์รัชทายาท พวกเจ้าก็ยังเชื่อ?” “เขาขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าเล่ห์ แม้แต่พวกเรายังสู้ไม่ได้ นับประสาอะไรกับพวกเจ้า?” “ฮ่า ๆ สมน้ำหน้า!” ฉินฮั่นหยางรีบลุกขึ้นจากพื้น ใบหน้ายังคงบวมเป่ง ท่าทางสะใจยิ่งทำให้ดูน่าเกลียด “ฮึ่ม ๆ ๆ และแล้วพวกเจ้าก็มีวันนี้? กฎแห่งกรรมตามสนอง!” เมื่อครู่เขาแกล้งหมดสติ หากไม่ยอมอดทนแสร้งทำเป็นตาย เขาอาจจะถูกเจิ้งถูฮู่ตีตายไปแล้ว! ปัง! ฉินฮั่นหยางได้ทีรีบเดินเข้าไป เตะเจิ้งถูฮู่ เจิ้งถูฮู่เจ็บปวด ร้องออกมาเบา ๆ ดวงตาคมกริบดุจมีด จ้องมองไปยังฉินฮั่นหยาง ในใจของเขารู้สึกไม่ยินยอม อันที่จริง เมื่อครู่เขาออมมือ ใช้เพียงสามส่วนของแรง หากเจิ้งถูฮู่ใช้กำลังเท่าที่ใช้ฆ่าหมูในแต่ละวัน ตบหน้าฉินฮั่นหยางเพียงครั้งเดียว คงแปลกมากถ้าหัวเขาไม่หลุด! “น่าเสียดาย...” เจิ้งถูฮู่ถอนหายใจ “รู้เช่นนี้ ก็ไม่น่าออมมือ ยอมเสี่ยงชีวิต กำจัดคนชั่วคนนี้เสียก็ดี! ตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว” ในโลกนี้ ไม่มียาที่กินแล้วจะย้อนเวลากลับไปได้ นอกจากความเสียใจแล้ว เจิ้งถูฮู่กล
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ สำนักปราชญ์สะสมทรัพย์สินไว้อย่างมหาศาล กระทำการชั่วร้ายมากมาย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น ลำพังแค่ค่าเล่าเรียนของสำนักศึกษาที่ขึ้นราคาอย่างต่อเนื่อง จนถึงขั้นที่น่าตกตะลึง ชาวบ้านทั่วไป ไม่มีปัญญาส่งลูกหลานเข้าเรียน! บุตรชายของเจิ้งถูฮู่เฉลียวฉลาด มีพรสวรรค์ในการเรียน แต่เพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเล่าเรียน จึงไม่ได้เข้าเรียน ต้องมาช่วยเจิ้งถูฮู่ฆ่าหมู เป็นการเสียพรสวรรค์ไปอย่างน่าเสียดาย เพียงพริบตา ฉินฮั่นหยางก็ถูกตีจนหมดสติ ศีรษะบวมเป่งราวกับหัวหมู บนใบหน้าสามารถขูดน้ำมันออกมาได้ถึงสองเหลียง เหล่าบัณฑิตทรงคุณวุฒิคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้มีสภาพดีไปกว่ากัน บางคนฉวยโอกาสตอนชุลมุนถอดชุดบัณฑิตออก บางคนหลบซ่อนอยู่ในฝูงชน บางคนหมอบอยู่บนพงหญ้า เหล่าราษฎรมีสายตาที่เฉียบคม สามารถค้นหาบัณฑิตทรงคุณวุฒิทั้งสิบคนออกมาได้ทั้งหมด เพียะ...เพียะ...เพียะ... เสียงตบหน้าดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เสียงร้องโหยหวนและเสียงร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดดังไม่ขาดสาย บัณฑิตทรงคุณวุฒิทั้งสิบคนถูกตบจนหมดสติ ยังมีบัณฑิตอีกนับพันคน กุมท้อง กลิ้งไปมาอยู่บนพื้น ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด ห
“หนี?” ฉินฮั่นหยางนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ขมวดคิ้วมุ่น เมื่อครู่เขายังโอ้อวดว่า หากฮ่องเต้หวู่ไม่ลงโทษองค์รัชทายาทหลี่หลงหลิน เขาก็จะไม่ลุกขึ้นจากที่นี่ ตอนนี้กลับจะต้องหนี? เช่นนี้แล้วเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? ต่อไปจะใช้ชีวิตอย่างไร? “ท่านบัณฑิตทั้งหลาย!” “ก็แค่ราษฎรธรรมดา!” “จะมีอะไรน่ากลัว?” “พวกท่านกลัว แต่ข้าไม่กลัว!” ฉินฮั่นหยางลูบเครา ทำท่าทางราวกับเป็นผู้สูงส่ง อ๊าก! ร่างหนึ่งร้องโหยหวน ลอยมากระแทกพื้นตรงหน้าฉินฮั่นหยาง กลิ้งอยู่ครู่หนึ่งจึงหยุดนิ่ง ฉินฮั่นหยางหดรูม่านตาจนเท่ารูเข็ม เพ่งมองอยู่ครู่ใหญ่จึงจำได้ว่า คนผู้นี้คือศิษย์ของตน! แต่ถูกตีจนใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด ไม่ต้องพูดถึงตนเองที่เป็นอาจารย์ ต่อให้เป็นแม่แท้ ๆ มาเห็นก็คงจำไม่ได้ “โหดร้าย!” ฉินฮั่นหยางรู้สึกหวาดหวั่น ความกล้าที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดก็มลายหายไป! “ใช่แล้ว!” “ราษฎรที่หยาบคายเหล่านี้ ลงมือโดยไม่ยั้งมือ!” “พวกเราเหล่าบัณฑิต จดจ่ออยู่กับการอ่านตำรา ไม่เคยจับอาวุธ จะไปสู้พวกอันธพาลเหล่านี้ได้อย่างไร?” “บัณฑิตฉิน วีรบุรุษย่อมไม่ยอมเสียเปรียบในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ! ห
พวกเขาจะไปเป็นหุ่นเชิดให้องค์รัชทายาท ทำร้ายสำนักปราชญ์ที่มีรากฐานแข็งแกร่งไปทำไม? อันที่จริง คำพูดเหล่านี้ก็มีเหตุผลอยู่บ้าง คนเราหากไม่เห็นแก่ตัวเสียบ้าง ก็จะถูกสวรรค์ลงโทษ ชาวบ้านตาดำ ๆ ไม่มีอำนาจวาสนา การรักษาตัวรอดจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด! แต่สถานการณ์ในตอนนี้กลับแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง องค์ชายใหญ่ สำนักปราชญ์ และเหล่าขุนนางร่วมมือกันขัดขวางไม่ให้ฝ่าบาทยกเว้นภาษีสามปี? การกระทำเช่นนี้เป็นการแย่งชิงผลประโยชน์ของคนทั้งแผ่นดิน! เพราะอย่างไรเสีย ฝ่าบาทก็เอ่ยออกมาแล้วว่าจะยกเว้นภาษี ราษฎรต่างก็มีผลประโยชน์เป็นของตนเอง! หลี่เทียนฉี่เป็นองค์ชาย เชื้อพระวงศ์ชั้นสูง ไม่สามารถแตะต้องได้ เหล่าขุนนางมีตำแหน่ง มีฐานะเป็นขุนนาง ก็แตะต้องไม่ได้เช่นกัน แต่พวกท่านเหล่าบัณฑิตทรงคุณวุฒิ และบัณฑิตทั้งหลายเล่า? ก็เป็นแค่บัณฑิตตกยากเท่านั้น จะมีอะไรให้น่าเกรงขาม! ต่อให้พวกท่านสำนักปราชญ์จะเป็นก้นเสือ วันนี้ข้าก็จะลองลูบดู! ในหมู่ราษฎร มีแกนนำหลายคนตะโกนขึ้นว่า “ตี!” “ตีพวกสุนัขรับใช้พวกนี้ให้หนัก!” “มีองค์รัชทายาทและฝ่าบาทคอยหนุนหลัง พวกเราจะกลัวอะไร?” มวลชนที่ไร้
หลี่หลงหลินคุกเข่าลงกับพื้นในทันที โค้งคำนับฮ่องเต้หวู่อย่างนอบน้อม “ลูกขอเป็นตัวแทนราษฎรทั้งแผ่นดิน ขอบพระทัยเสด็จพ่อ! ขอเสด็จพ่อทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี!” ไม่ว่าจะอย่างไร ฮ่องเต้หวู่ทรงตอบตกลงยกเว้นภาษีสามปี นี่เป็นเรื่องดีที่สร้างประโยชน์สุขให้แก่ราษฎรต้าเซี่ย เป็นสิริมงคลแก่ต้าเซี่ย! เหล่าประชาราษฎร์ต่างตกตะลึง ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง ฝ่าบาททรงตอบตกลงยกเว้นภาษีแล้ว? เป็นไปได้อย่างไร? เหล่าบัณฑิตมิได้กล่าวว่าฝ่าบาททรงเย็นชา ไร้ความเมตตา เห็นแก่เงินยิ่งกว่าสิ่งใดหรอกหรือ? ทว่า ภายใต้สายตาของผู้คน คำพูดของฝ่าบาท ผู้คนนับพันนับหมื่นได้ยินอย่างชัดเจน วาจาจักรพรรดิ ยากจะตามคืน! นี่เป็นเรื่องจริง! สามปีข้างหน้า พวกเขาไม่ต้องเสียภาษีให้แก่ราชสำนักแล้ว! “นี่...นี่...” ราษฎรดีใจจนเกินบรรยาย ต่างโห่ร้องยินดี น้ำตาไหลด้วยความตื้นตัน พรึบ...พรึบ... ราษฎรนับพันนับหมื่นคุกเข่าลงกับพื้น โขกศีรษะด้วยความซาบซึ้ง “ขอบพระทัยฝ่าบาท! ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี!” นอกจากจะขอบคุณฝ่าบาทแล้ว พวกเขายังขอบคุณองค์รัชทายาทหลี่หลงหลินยิ่งกว่า ผู้ที่มีสายตาแหล
ฉินฮั่นหยางในฐานะบัณฑิตทรงคุณวุฒิ มีความรู้ลึกซึ้ง วาทศิลป์เฉียบคม ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าหลี่หลงหลิน ฉินฮั่นหยางกลับกลายเป็นเหมือนเด็กสามขวบ ถูกเย้ยหยันจนไม่เหลือชิ้นดี! ในสมองของหลี่เทียนฉี่ ปรากฏภาพงานเลี้ยงชมดอกไม้ร้อยบุปผาขึ้นมา ทำให้เขาเข้าใจความรู้สึกของฉินฮั่นหยางอย่างถ่องแท้ แต่ว่า หลี่เทียนฉี่ไม่กังวลแม้แต่น้อย มุมปากยังปรากฏรอยยิ้ม หลี่หลงหลินต้องการยกเว้นภาษีสามปี? ฝันไปเถอะ! เสด็จพ่อไม่มีทางตอบตกลงแน่นอน! ไม่มีใครรู้จักบิดาดีเท่าบุตร คนอื่นอาจจะไม่รู้ว่าฮ่องเต้หวู่เป็นคนเช่นไร ไม่เข้าใจอุปนิสัยของเขา แต่หลี่เทียนฉี่เป็นใคร? เขาเคยเป็นองค์รัชทายาท เป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ต้าเซี่ย ปัจจุบันของหลี่หลงหลิน ก็คืออดีตของหลี่เทียนฉี่ ในยามที่หลี่เทียนฉี่เป็นที่โปรดปราน ฮ่องเต้หวู่ไม่เคยปิดบังสิ่งใดกับเขา ดังนั้น หลี่เทียนฉี่จึงเข้าใจนิสัยของฮ่องเต้หวู่เป็นอย่างดี หากจะให้บรรยายด้วยสองคำคือ – ขี้เหนียว ในเรื่องอื่น ๆ ฮ่องเต้หวู่อาจจะยังปิดบังอำพราง แสร้งทำเป็นลึกลับ ยากที่จะมองเห็นจิตใจที่แท้จริง แต่เมื่อใดที่เกี่ยวข้องกับเงินทอง ฮ่องเต้หวู่จะไม่เสแสร้ง
ยกเว้นภาษีสามปี? เหล่าประชาราษฎร์ได้ยินความปรารถนาของหลี่หลงหลินแล้ว สมองก็อื้ออึง ช่วงเวลาที่ผ่านมา ด้วยความพยายามของหลี่หลงหลิน สถานการณ์ของต้าเซี่ยค่อย ๆ เริ่มดีขึ้น ทางด้านเมืองซั่วเป่ย มีข่าวชัยชนะส่งมาอย่างต่อเนื่อง แผนการร้ายขององค์ชายสี่และชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือก็ถูกเปิดโปง ราษฎรต่างรู้สึกภาคภูมิใจ ได้ศักดิ์ศรีและความเชื่อมั่นกลับคืนมา แต่ปัญหาก็คือ ศักดิ์ศรีและความเชื่อมั่นนั้นกินได้หรือไม่? แน่นอนว่าไม่ได้! ไม่ว่าจะเป็นสงครามระหว่างต้าเซี่ยกับชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือ หรือความขัดแย้งในราชสำนัก การแย่งชิงบัลลังก์ของเหล่าองค์ชาย เกี่ยวข้องอะไรกับราษฎร? อาจจะเกี่ยว แต่ก็ไม่มากนัก เพราะว่า ราษฎรไม่ได้รับผลประโยชน์ใด ๆ จากเรื่องเหล่านี้เลย ยังคงต้องดิ้นรนทำงานหนักเพื่อปากท้อง แต่การยกเว้นภาษีสามปีนั้นแตกต่างออกไป! ต้องรู้ว่า ภาษีในสมัยโบราณนั้นสูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในต้าเซี่ยซึ่งเป็นยุคปลายราชวงศ์ ขุนนางกังฉินเปรียบเสมือนปลวกที่กัดกินประเทศชาติจนย่อยยับ ทุกหย่อมหญ้ามีแต่ความเสียหาย งบประมาณขาดดุล ท้องพระคลังหลวงว่างเปล่า ราชสำนักไม่มีเงิน