หนิงชิงโหวเดินมาพร้อมกับบัณฑิตหยิ่งยโส มาถึงกระท่อมที่ทรุดโทรมหลังหนึ่งนี่คือกระท่อมที่คับแคบและทรุดโทรมที่เขาอาศัยอยู่นับตั้งแต่หนิงชิงโหวสอบตก และถูกปลดจากเกียรติยศ ใช้ชีวิตอย่างไร้ค่าไปวันๆ แทบไม่เหมือนคนตอนนี้หลายคนมารวมตัวกันอยู่ที่หน้ากระท่อมมุงจากมีชาวบ้านมาดูความความครึกครื้นนอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการด้วยผู้นำก็คือบัณฑิตจากสำนักฮั่นหลินก็คือเฉินตันชิงอาจารย์ผู้มีพระคุณของชิงหนิงโหว!“ท่านอาจารย์...”“ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร?”หนิงชิงโหวเอามือปิดหน้า ไม่กล้ามองไปที่เฉินตันชิงเขาคือคนที่หยิ่งผยองที่สุดหลังจากสอบตก หนิงชิงโหวก็ตัดสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมชั้นในสำนักศึกษา และยิ่งไม่ไปพบหน้าเฉินตันชิงอาจารย์ผู้มีพระคุณของตนเลยแต่ไม่คิดว่าวันนี้เฉินตันชิงจะมาที่นี่ด้วยตัวเองหนิงชิงโหวรู้สึกหวาดกลัว ไม่กล้าแสดงความเย่อหยิ่งต่อหน้าอาจารย์ของตน“ชิงโหว...”เฉินตันชิงถอนหายใจ น้ำตาไหลพราก “เจ้าไม่จำเป็นต้องโทษตัวเอง อาจารย์เองที่ไม่มีหน้ามาพบเจ้า! เรื่องในปีนั้น อาจารย์ไร้ความสามารถเอง ไม่อาจปกป้องเจ้าได้...”เฉินตันชิงเป็นบัณฑิตของสำนักฮั่นหลิน เป็นผ
ต้องเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน!คราวนี้การสอบขุนนางพระราชทาน ต้องเป็นเวทีเต้นรำที่องค์ชายเก้าสร้างให้ตนโดยเฉพาะ!และเป็นเวทีเต้นรำที่ยุติธรรม!น้ำตาไหลพรากออกมาจากหางตาหนิงชิงโหว เขาคุกเข่าแล้วโขกศีรษะไปกับพื้น “ขอบพระทัยในความเมตตาขององค์ชายเก้า! ชิงโหวไม่มีอะไรจะตอบแทนในชีวิตนี้! มีเพียงขอสาบานจะติดตามไปจนวันตาย จนร่างกายจะแหลกสลาย!”เมื่อมาถึงจุดนี้ หนิงชิงโหวบัณฑิตที่หยิ่งยโสอันดับหนึ่ง รู้สึกซาบซึ้งใจต่อหลี่หลงหลินเป็นอย่างมาก!เฉินตันชิงเห็นท่าทางเช่นนี้ของหนิงชิงโหวเจ้าไม่ขอบพระทัยฮ่องเต้ แต่ไปขอบพระทัยองค์ชายเก้าทำไม?ฮ่องเต้พระราชทานการสอบขุนนาง เกี่ยวอะไรกับองค์ชายเก้า?เฉินตันชิงคิดว่าหนิงชิงโหวคงจะทนทุกข์ทรมานมากเกินไป จนเกิดปัญหากับสมองของเขา ในใจก็รู้สึกเศร้าจนพูดอะไรไม่ออก ตบไหล่เขาเบาๆ แล้วพาคนจากไปในพริบตา คนที่มามุงดูความคึกคักที่กระท่อมก็แยกย้ายกันไป เหลือเพียงหนิงชิงโหวและกลุ่มบัณฑิตผู้หยิ่งยโสเท่านั้นอย่างไรมันก็แค่การกู้เกียรติยศกลับมาเท่านั้นไม่ใช่ว่าสอบผ่านขุนนาง และยิ่งไม่ใช่สอบได้อันดับจอหงวนเดิมทีนี่ก็เป็นขั้นตอนเล็กๆ ที่ไม่ได้สำคัญอะไร!ในเวลา
องค์ชายเก้า!ในความเงียบสงัดภายในหอคัมภีร์เหวินยวนบรรดาขุนนางต่างตกตะลึง และมีสีหน้าประหลาดใจวันนี้องค์ชายเก้าอยู่ในห้องทรงพระอักษรแต่ขุนนางส่วนใหญ่เห็นว่าองค์ชายเก้าเป็นเหมือนอากาศ แทบไม่ได้เห็นอยู่ในสายตาพอคิดอย่างรอบคอบแล้วแท้จริงแล้วเป็นองค์ชายเก้าที่คอยชี้แนะการพัฒนาของเรื่องต่างๆไม่ว่าจะเป็นบทกวีสามบท หรือหนิงชิงโหวและการสอบขุนนางพระราชทาน ล้วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับองค์ชาย!ตั้งแต่เริ่มแรกก็มีความขัดแย้งระหว่างขุนนางกับองค์ชายเก้า!แต่หลังจากที่หรงกั๋วกงมาถึง ความขัดแย้งก็เปลี่ยนไปเป็นการต่อสู้ระหว่างสองกลุ่มหลัก ชนชั้นสูงและขุนนาง และองค์ชายเก้าถูกเพิกเฉยไป!จริงๆ แล้วองค์ชายเก้าคือผู้บงการเบื้องหลังเรื่องนี้ไม่เพียงแต่กลุ่มขุนนางเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชนชั้นสูง ขันที และแม้แต่ฮ่องเต้ ล้วนกลายเป็นเบี้ยในมือของเขาและกำลังถูกบงการอยู่ในมือของเขา!ซี๊ด...เสียงสูดหายใจด้วยความตกใจก็ดังขึ้นใบหน้าของขุนนางทุกคนเต็มไปด้วยความประหลาดใจพวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยองค์ชายเก้าที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียง จะฉลาดขนาดนี้ตอนนี้ปัญหามาแล้วองค์ชายเก้าต้องการทำอะไร?พวกขุนนางไม่
เมื่อได้ยินเช่นนี้ขุนนางทุกคนก็ตกตะลึงหนิงชิงโหวได้เป็นจอหงวนไม่ว่าคนโง่อย่างจางอี้ก็สามารถกลายเป็นบัณฑิตชั้นสูงได้หรือ?องค์ชายเก้าดูแคลนระบบการสอบขุนนางที่มีมาอย่างยาวนานนับพันปีนี้ต่ำไปหรือไม่?นอกเสียงจากว่าจะโกง!ส่วนคำถามนั้น ฮ่องเต้จะเป็นคนออกหัวข้อเอง ขัดขวางเส้นทางของการเล่นพรรคเล่นพวกและการทุจริตของขุนนางพวกขุนนางล้วนเป็นคนฉลาด แต่ก็ยังไร้มาตรการรับมือองค์ชายเก้ามีวิธีการอะไร ถึงสามารถรับประกันได้ว่าหนิงชิงโหวและจางอี้ได้?ตู้เหวินยวนส่ายหัว แล้วถอนหายใจ “นี่คือสิ่งที่ข้าคิดไม่ออก! ไม่ว่าจะเป็นบัณฑิตจอหงวน หรือบัณฑิตชั้นสูง ในเงื่อนไขที่ยุติธรรม นอกจากการแข่งขันเพื่อความสามารถและการเรียนรู้ที่แท้จริงแล้ว ก็ยังต้องอาศัยโชคด้วย...”“สรุปแล้ว ข้าคิดว่า ต่อให้ความคิดขององค์ชายเก้าจะพิถีพิถันแค่ไหน จะฉลาดล้ำลึกแค่ไหน ก็ไม่สามารถทำได้!”ขุนนางคนหนึ่งพูดเสียงต่ำว่า “ถ้าเกิดว่า... ถ้าเกิดว่าองค์ชายเก้ามีวิธีการจริงๆ ล่ะ ให้หนิงชิงโหวและจางอี้สอบผ่าน จะทำอย่างไร?”ดวงตาของตู้เหวินยวนก็เย็นชาขึ้นมา “ถ้าอย่างนั้น พวกเราก็คงต้องใช้วิธีการทุกอย่าง สู้กันให้ตายไปทั้งสองฝ่าย
โรงเรียนทหารซีซาน?สีหน้าของหนิงชิงโหวดูประหลาดใจไม่ใช่เพราะคำว่าซีซานสองคำนี้ แต่คือโรงเรียนทหาร!อย่างไรเสียในสมัยโบราณไม่มีโรงเรียนทหารหนิงชิงโหวถามด้วยความประหลาดใจ “โรงเรียนทหารหมายความว่าอย่างไร?”ลั่วอวี้จู๋จึงตอบอย่างตรงไปตรงมา “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน องค์ชายเก้าต้องการใช้ชื่อนี้ ข้าคิดว่ามันคงเหมือนกับสำนักศึกษาอะไรแบบนั้นกระมัง? เจ้าไปถามเจ้าตัวเองเลยเถอะ!”หนิงชิงโหวพยักหน้า พร้อมกับเดินตามลั่วอวี้จู๋ไปที่ห้องรับแขก และจิบชาอย่างช้าๆแต่ในใจเขากลับคิดถึงความหมายของโรงเรียนทหารไม่นานนักหลี่หลงหลินก็เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มข้างหลังเขาคือซูเฟิ่งหลิง ใบหน้าอันงดงามของนางแดงก่ำ หมัดของนางกำแน่น ราวกับอยากจะฆ่าคนไม่จำเป็นต้องพูดซูเฟิ่งหลิงไม่เพียงแต่ถูกหลอกเท่านั้น แต่ยังถูกหลี่หลงหลินเอาเปรียบ นางเสียเปรียบไปไม่น้อย!“คารวะองค์ชายเก้า!”หนิงชิงโหวเป็นผู้นำทุกคนลุกขึ้นยืนแล้วยกมือคารวะไปทางหลี่หลงหลิน“นั่งตามสบายเถอะ!”หลี่หลงหลินโบกมือ ไม่ได้วางท่าเลยสักนิด ยิ้มให้หนิงชิงโหวแล้วถามว่า “เกียรติยศของเจ้าถูกกู้กลับคืนมาแล้วใช่หรือไม่?”หนิงชิงโหวกล่าวด้วยความเ
อย่าไปสนใจเหล่าบรรดาชนชั้นสูงที่จางเฉวียนหรงกั๋วกงเป็นผู้นำ วันปกติสวมชุดเครื่องแบบทหาร พกดาบยาว ดูแล้วเหมือนจะได้เรื่องได้ราว ในความเป็นจริงนั้น พวกเขาสามารถบัญชาการทหารได้หรือ? สู้รบเป็นหรือ? ตอนเข้าไปในสนามรบ ไม่กลัวจนฉี่ราด ก็ถือว่าดีมากแล้ว ก็เพราะฝ่าบาทเข้าใจหลักการข้อนี้ จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากส่งจางไป่เจิงให้นำทัพทหารรักษาพระองค์หนึ่งแสนนายออกไปรบ แต่เมื่อจางไป่เจิงไป เมืองหลวงก็จะว่างทันที นำไปสู่เหตุการณ์ยุ่งเหยิงที่องค์ชายหกก่อกบฏเพื่อแย่งชิงอำนาจ หรือว่าราชสำนักนี้ นอกจากจางไป่เจิงคนเดียวแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถต่อสู้ได้อีก? หรือจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ หลี่หลงหลินมองไปทางหนิงชิงโหวแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นไหนเจ้าลองว่ามาสิ เหตุใดถึงเกิดสถานการณ์เช่นนี้ได้? หนิงชิงโหวขมวดคิ้วเป็นปม ดำดิ่งสู่ห่วงความคิด ฝ่าบาททรงให้ความสำคัญกับวรรณกรรมมากกว่าการทหารหรือ? ก็ไม่ใช่ ฝ่าบาทได้ชื่อว่าเป็นฮ่องเต้บู๊ พร่องการปกครองเมืองด้วยวัฒนธรรม เชี่ยวชาญด้านการทหาร แล้วจะให้ความสำคัญกับวรรณกรรมมากกว่าการทหารได้อย่างไร? ต้าเซี่ยขาดแคลนผู้มีความสามารถหรือ? ก็ยังไม่ใช่ ต้า
ซูเฟิ่งหลิงรู้สึกว่าตนเองถูกหักหลัง จึงบ่นพึมพำ “แต่ท่านก็บอกอยู่ว่า จะต้องสร้างกองทัพตระกูลซูขึ้นมาใหม่ ทำไมถึงกลายเป็นจะก่อตั้งโรงเรียนทหารไปได้ล่ะ!” หลี่หลงหลินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “โรงเรียนทหารกับกองทัพใหม่ จะสร้างไปด้วยกันไม่ได้หรือ! นอกจากนี้ ข้าก็เกณฑ์ชาวบ้านอพยพมาหนึ่งพันคนแล้วไม่ใช่หรือ บวกกับทหารพ่ายศึกที่มีอยู่เดิม ข้าไม่ได้ต้องการแค่สร้างกองทัพตระกูลซูขึ้นมาใหม่ แต่ยังจะสร้างกองทัพอันดับหนึ่งในใต้หล้าให้เป็นมาตรฐานด้วย” หนิงชิงโหวดวงตาเป็นประกาย “ข้าเข้าใจแล้ว! องค์ชายจะให้กองทัพตระกูลซูเป็นมาตรฐาน เพื่อที่จะประชาสัมพันธ์โรงเรียนทหารซีซาน! เมื่อถึงตอนนั้น วีรบุรุษที่มีความสามารถในใต้หล้า ก็จะหลั่งไหลกันเข้ามาราวกับน้ำหลาก...” หลี่หลงหลินลูบคางแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ถูกต้องแล้ว” ในสมองของเขา นึกถึงภาพหนึ่งขึ้นมา ชายหนุ่มที่เปี่ยมด้วยความกระตือรือร้นหลายพันคน รวมตัวกันอยู่ที่ลานกว้างของโรงเรียนทหารซีซาน และตะโกนเรียกเสี้ยวจ่าง! ตัวเองหัวล้าน ปัดโถ่..... ตัวเองที่ผมสวยพลิ้วสลวย แต่งกายด้วยชุดทหาร ตรวจตราทัพสามกอง มองแล้วช่างสง่าผ่าเผย! ไม่ว่ายังไงก็ตาม เมื่อเทียบกับเ
องค์ชายเก้าดูจะให้ความสำคัญกับตนมากเกินไปหรือเปล่านะ? ซูเฟิ่งหลิงเองยิ่งประหลาดใจ จึงดึงหลี่หลงหลินไปด้านข้างเพื่อคุย “ท่านให้ข้าเป็นอาจารย์หรือ?” หลี่หลงหลินเผยยิ้มร่า “ใช่แล้ว การเป็นอาจารย์น่าเกรงขามมากนะ! ถ้าเจ้าไม่ชอบหน้าเขา เจ้าก็สามารถซ้อมเขาได้! เจ้าชอบซ้อมคนที่สุดไม่ใช่หรือ?” ซูเฟิ่งหลิงใบหน้าแดงก่ำ “แต่ว่า แต่ว่า ข้ารู้แค่เรื่องการต่อสู้ ความรู้ทางวิชาการข้าอาจจะเทียบกับจางอี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ” จางอี้ยังไงก็เคยเรียนที่สำนักศึกษาแห่งแคว้นมาตั้งแต่เด็ก ได้รับการสอนจากบัณฑิตผู้ยิ่งใหญ่! ถึงแม้ว่าจางอี้จะมีนิสัยเกียจคร้าน ไม่ตั้งใจเรียน ทำให้เหล่าบัณฑิตโกรธจนควันออกหู แต่สุดท้ายเขาก็ยังได้เป็นกงเซิงอยู่ดี! ซูเฟิ่งหลิงเติบโตมากับปู่ในกองทัพ ไม่เคยได้เรียนหนังสือเลย อ่านออกเขียนได้ก็เพราะมีพี่ชายและพี่สะใภ้คอยสอน ตนเองเป็นแค่คนอ่านออกเขียนได้นิดหน่อย จะไปเป็นอาจารย์ของบัณฑิตได้อย่างไร นี่มันเรื่องเหลวไหลชัดๆนะ? หลี่หลงหลินพูดอย่างจริงจัง “ที่นี่คือโรงเรียนทหาร ไม่ใช่สำนักศึกษา! นอกจากวิชาการแล้ว ยังต้องสอนการวางแผนยุทธวิธี และยังต้องสอนวิทยายุทธ์ด้วย อันนี้เจ้าถนัดใช่ไห
เช้าวันรุ่งขึ้นทะเลคราม ฟ้าสีฟ้า ท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้เมฆ ไกลสุดสายตาเรือใหญ่ลำหนึ่งแล่นออกจากท่าเรือตงไห่อย่างโอ่อ่า ท่วงทีองอาจไม่ธรรมดาการออกทะเลครั้งนี้ หลี่หลงหลินไม่เพียงแต่พาเหล่าพี่สะใภ้มาด้วยหลายคน แต่ยังคัดเลือกทหารยอดฝีมือของตระกูลซูมาเป็นพิเศษอีกสามร้อยนายซูเฟิ่งหลิงยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ ทอดสายตามองไปยังเส้นขอบฟ้าที่ผืนน้ำจรดกับผืนฟ้า แววตาเต็มไปด้วยความกังวล ลมทะเลพัดผ่าน ผ้าคลุมสีแดงสดด้านหลังนางปลิวสะบัดพลิ้วไหว!หลี่หลงหลินบิดขี้เกียจ กระทืบเท้าลงบนดาดฟ้าเรือเบาๆเรือของเมืองตงไห่แข็งแรงกว่าที่ข้าคิดไว้มากตอนนี้หลี่หลงหลินทำได้เพียง มีอะไรก็ใช้อย่างนั้นไปก่อนแม้จะเทียบไม่ได้กับเรือประมงหมื่นตันในจินตนาการแต่แค่จับปลาหลายพันชั่งขึ้นมาก็ยังถือว่าสบายมากหลี่หลงหลินหยิบคันเบ็ดออกมานั่งลงข้างๆ ซูเฟิ่งหลิง ด้วยท่าทางสบายๆ ราวกับไม่ได้กังวลแม้แต่น้อยซูเฟิ่งหลิงขมวดคิ้วงาม กล่าวเสียงขรึม "รัชทายาท ท่านบอกว่าจะพาพวกเราออกมาจับปลา คงไม่ได้คิดจะใช้แค่คันเบ็ดนี่ตกปลาหรอกนะเพคะ?"เหล่าพี่สะใภ้ก็รู้สึกว่ามันเหลือเชื่ออยู่บ้างอาศัยเพียงคันเบ็ดคันเดียวของหลี่หลงหลิน
ลั่วอวี้จู๋ก็ตกตะลึงไปเช่นกัน นางส่ายหน้าไม่หยุดกล่าวว่า “ไม่ได้ น้องหญิง เจ้าอย่าพูดอะไรพล่อยๆ บัญชีมันไม่ได้คำนวณแบบนั้น! ตอนนี้ประชาชนหลายแสนคนในตงไห่กำลังรอเสบียงอาหารอยู่ นี่ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เพียงแค่พึ่งพาการล่าสัตว์ อย่างไรก็ไม่พอ!”ตอนนี้ไม่เพียงแต่ต้องคำนึงถึงค่ากินอยู่ใช้สอยของเหล่าทหารกองทัพตระกูลซูทั้งหมด แต่ที่สำคัญกว่าคือการแก้ปัญหาความต้องการเสบียงอาหารของประชาชนตงไห่ทั้งหมดซูเฟิ่งหลิงขมวดคิ้วเรียวงาม “ถ้าไม่ไหวจริงๆ ข้าจะนำกองทัพตระกูลซูไปปล้นยุ้งฉางของพวกพ่อค้าเหล่านั้นเสียเลย! แบบนี้พวกเราก็จะมีเสบียงอาหารแล้วไม่ใช่รึ?”ลั่วอวี้จู๋ตกใจ รีบกล่าวว่า “น้องหญิง! เจ้าอย่าทำเรื่องเหลวไหล!”“เจ้าทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ แล้วชื่อเสียงของกองทัพตระกูลซูจะทำอย่างไร! ชื่อเสียงอันดีงามที่ตระกูลซูผู้จงรักภักดีสืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษจะถูกทำลายในพริบตาได้อย่างไร?”“อีกอย่าง ท่านย่าก็คงไม่อนุญาตให้เจ้าทำตามอำเภอใจเช่นนี้แน่!”ซูเฟิ่งหลิงเบ้ปาก พึมพำว่า “ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง...”ตระกูลซูรับราชการทหารมาหลายชั่วอายุคน ทั้งตระกูลจงรักภักดี ไม่เคยทำเรื่องผิดต่อมโนธรรมใดๆ แม้กระทั
ตกเย็น จวนอ๋องตงไห่สว่างไสวไปด้วยแสงไฟเหล่าพี่สะใภ้รวมตัวกันอยู่ในห้อง ใบหน้างดงามซีดเผือด ดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล ทุกคนต่างกลัดกลุ้มกับสถานการณ์ปัจจุบันของตงไห่ลั่วอวี้จู๋ขมวดคิ้วเรียวเล็กน้อย ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “รัชทายาท ตอนนี้พวกเราควรทำเช่นไรดี? ท่านสัญญาว่าจะทำให้ราษฎรตงไห่ทุกคนได้กินเนื้อสัตว์ภายในเจ็ดวัน แต่ตอนนี้อย่าว่าแต่เนื้อเลย เกรงว่าแม้แต่การกินให้อิ่มท้องธรรมดาๆ ก็ยังยาก”เมื่อตอนเย็น ลั่วอวี้จู๋ได้ส่งคนไปสืบราคาเสบียงอาหารในตลาดแล้วและก็เป็นไปตามคาด หลังจากที่ราษฎรตื่นตระหนก ราคาเสบียงอาหารก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปอีก ถึงขนาดที่ว่าในตลาดตงไห่ไม่มีข้าวสารขายในทันทีแล้ว หากต้องการซื้อทันทีก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มพิเศษ!เหล่าราษฎรต่างพากันส่งเสียงก่นด่าอย่างคับแค้น สถานการณ์เริ่มจะดำเนินไปในทิศทางที่ควบคุมไม่ได้แล้วลั่วอวี้จู๋มองไปยังหลี่หลงหลิน ถอนหายใจกล่าวว่า “รัชทายาท ตอนนี้วิธีที่ง่ายที่สุดคือการขายทรัพย์สมบัติทั้งหมด แล้วนำเงินไปแลกเป็นเสบียงอาหารเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย”“แต่ข้าคำนวณดูแล้ว ต่อให้ขายทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลซู ก็ทำได้เพียงแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น
เหล่าราษฎรจ้องเขม็งไปยังหลี่หลงหลิน ต้องการคำอธิบายจากเขา หากไม่ได้ความในวันนี้ พวกเขาสาบานว่าจะไม่ยอมเลิกรา!หลี่หลงหลินเชิดหน้าอกผาย กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ปากท้องของราษฎรคือเรื่องสำคัญที่สุด ในเมื่อตงไห่เป็นดินแดนในอาณัติของข้า เช่นนั้นพวกท่านก็คือราษฎรของข้า หลี่หลงหลิน”“แม้จะมีภัยพิบัติทางธรรมชาติและภัยจากมนุษย์ แต่ข้ารับรองว่าจะไม่ปล่อยให้พวกท่านต้องอดอยากหิวโหยเป็นอันขาด เรื่องเสบียงอาหารนั้นขอให้ราษฎรวางใจ ภายในเจ็ดวัน ข้าจะทำให้พวกท่านได้กินอิ่มท้องอย่างแน่นอน!”น้ำเสียงของหลี่หลงหลินทรงพลังอย่างยิ่ง ถ้อยคำดังก้องกังวานอยู่ในโสตประสาทของเหล่าราษฎรผู้คนต่างส่งเสียงฮือฮา“ขี้โม้!”“พี่น้องทั้งหลาย อย่าได้หลงเชื่อคำโอ้อวดของเขาเลย! ดูสิ ยุ้งฉางเหล่านี้ล้วนว่างเปล่า! จะเอาข้าวที่ไหนมาให้พวกเรา!”“หากวันนี้ไม่ให้คำตอบที่ชัดเจนกับพวกเรา แล้วอีกเจ็ดวันพวกเราจะไปเรียกร้องความเป็นธรรมกับใคร!”“ใช่แล้ว!”“หากวันนี้ไม่ยอมมอบเสบียงอาหารออกมา ก็อย่าหวังว่าจะได้ก้าวเท้าออกจากยุ้งฉางนี้ไปได้!”ชายฉกรรจ์ผู้เป็นหัวหน้าโบกแขนตะโกนปลุกระดมเหล่าราษฎร ผู้คนต่างขานรับเป็นเสียงเดี
เหล่าราษฎรที่อยู่ด้านนอกยุ้งฉางต่างชูกำปั้นตะโกนก้อง เสียงดังสะท้อนไปทั่วฟ้า “แจกจ่ายเสบียง! แจกจ่ายเสบียง!”ข่าวราคาเสบียงอาหารในเมืองตงไห่พุ่งสูงขึ้นได้แพร่กระจายออกไปแล้ว ราษฎรต่างตื่นตระหนกหวาดกลัว จึงนัดหมายกันมารวมตัวที่หน้ายุ้งฉางเพื่อเรียกร้องขอเสบียง ก่อเกิดเป็นพลังมหาศาลหากไม่ใช่เพราะเหล่าทหารที่คอยขัดขวางไว้ เกรงว่าป่านนี้เหล่าราษฎรคงบุกเข้าไปในยุ้งฉางแล้วลั่วอวี้จู๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวเสียงเบา “รัชทายาท เช่นนี้จะทำอย่างไรดี ตอนนี้ยังไม่ได้ขาดแคลนเสบียงอาหารถึงที่สุด แต่ความโกรธแค้นของราษฎรก็รุนแรงถึงเพียงนี้แล้ว หากมีวันใดที่เสบียงหมดลงจริงๆ...”ใบหน้างามของลั่วอวี้จู๋ซีดขาว ริมฝีปากแดงเม้มแน่น ยืนนิ่งตะลึงงันอยู่กับที่ นางไม่อาจจินตนาการถึงภาพนั้นได้ราษฎรที่ก่อความวุ่นวายนอกยุ้งฉางมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงก็ดังขึ้นเรื่อยๆเหล่าทหารยามเริ่มชักดาบประจำกายออกมา แต่สำหรับเหล่าราษฎรแล้ว หากไม่มีเสบียงให้กิน ในภายภาคหน้าก็มีแต่ความตายสถานเดียว!ซูเฟิ่งหลิงขมวดคิ้วงามเล็กน้อย แววตาหงส์ฉายประกายดุดัน “รัชทายาท หากปล่อยให้พวกเขาอาละวาดต่อไปเช่นนี้ ต้องเกิดเรื่องแน่เพค
ลั่วอวี้จู๋เดินเข้ามาก่อนสองก้าว กล่าวว่า “องค์รัชทายาท ตอนนี้แม้จะจัดการกับพวกพ่อค้าเศรษฐี แต่ก็ยังต้องหาวิธีแก้ไขปัญหาเรื่องเสบียงอาหารก่อน มิฉะนั้นเมื่อถึงเวลา ราษฎรอาจตื่นตระหนก ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อพวกเราได้”หลี่หลงหลินเพียงแค่แย้มยิ้มบางเบาซูเฟิ่งหลิงกล่าวว่า “องค์รัชทายาท ยุ้งฉางเมืองตงไห่ถือเป็นสถานที่สำคัญยิ่งของต้าเซี่ย ข้างในย่อมต้องมีเสบียงเก็บไว้แน่นอน ตอนนี้สามารถนำเสบียงในยุ้งฉางออกมาแจกจ่ายช่วยเหลือราษฎร เพื่อให้พวกเขาคลายกังวลได้แล้วเพคะ”ลั่วอวี้จู๋พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่แล้วเพคะ องค์รัชทายาท ทำให้ราษฎรคลายกังวลลงก่อน แล้วค่อยว่ากันถึงแผนขั้นต่อไป”หลี่หลงหลินส่ายหน้า กล่าวเสียงเรียบ “ไม่ต้องเสียแรงเปล่าแล้ว ยุ้งฉางเมืองตงไห่ถูกขนย้ายไปจนหมดสิ้นนานแล้ว ไม่เหลือแม้แต่เมล็ดเดียว ตอนนี้เหลือเพียงแค่ยุ้งฉางเปล่าๆ เท่านั้น”ทั้งสองคนตกตะลึง“เป็นไปได้อย่างไร? ยุ้งฉางนั้นเป็นเสบียงช่วยชีวิตที่ราชสำนักเก็บไว้ เพื่อรับประกันว่าราษฎรจะไม่อดตายในปีที่เกิดภัยพิบัติ จะมีคนกล้าบ้าบิ่นถึงเพียงนี้ มาคิดการใหญ่กับมันได้อย่างไร?”ซูเฟิ่งหลิงไม่อยากจะเชื่อคำพูดของหลี่หลงหลินหลี่
ตำหนักอ๋องตงไห่หลี่หลงหลินเดินออกจากห้องก็พบกับลั่วอวี้จู๋และซูเฟิ่งหลิงที่รีบร้อนเข้ามาพอดีลั่วอวี้จู๋มีสีหน้าตื่นตระหนก รีบกล่าวว่า “องค์รัชทายาท เกิดเรื่องใหญ่แล้วเพคะ!”หลี่หลงหลินหาว กล่าวเรียบๆ ว่า “พี่สะใภ้ ไม่ต้องรีบร้อน มีอะไรค่อยๆ พูด”ลั่วอวี้จู๋หอบหายใจเล็กน้อย กล่าวว่า “เมื่อครู่ข้ากับน้องหญิงกำลังดูแลร้านค้าของตระกูลซูในตงไห่ที่ถนน ได้ยินเถ้าแก่บอกว่า ตอนนี้ราคาธัญพืชในตงไห่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว วันเดียวเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว!”“เรื่องผิดปกติย่อมมีเบื้องหลัง ดังนั้นจึงรีบกลับมารายงานองค์รัชทายาท”ปากท้องของประชาชนคือเรื่องสำคัญที่สุดราคาธัญพืชเกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎร หากราคาธัญพืชผิดปกติ ผลที่ตามมาจะร้ายแรงมาก!ซูเฟิ่งหลิงพยักหน้า ตอบว่า “องค์รัชทายาท ตอนนี้เป็นปีแห่งภัยพิบัติอยู่แล้ว เกิดภัยแล้งติดต่อกันหลายปี ผลผลิตธัญพืชลดลงทุกปี บ้านเรือนของราษฎรแทบไม่มีเสบียงสำรอง ต้องอาศัยการซื้อธัญพืชประทังชีวิตทั้งสิ้น”“แต่ตอนนี้ถ้าหากราคาธัญพืชพุ่งสูงขึ้น แล้วราษฎรในตงไห่เหล่านี้จะทำอย่างไร?”หลี่หลงหลินมองลั่วอวี้จู๋ กล่าวเรียบๆ ว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่าน
“แต่ทุกท่านกลับมองข้ามเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งไป นั่นคือโอกาสที่จะร่ำรวยมหาศาล”แววตาละโมบปรากฏขึ้นในดวงตาของหลู่จงหมิง“นั่นก็คือเสบียงอาหาร”พอหลู่จงหมิงกล่าวคำนี้ออกมา ทั่วทั้งห้องก็เกิดเสียงฮือฮา พูดคุยวิพากษ์วิจารณ์กันเซ็งแซ่พ่อค้าร่ำรวยไม่อาจปิดบังความดีใจอย่างบ้าคลั่งในใจ “ท่านพระเชษฐภาดา ท่านหมายความว่าจะลงมือกับราคาธัญพืชหรือ?”หลู่จงหมิงเผยรอยยิ้มเย็นชา “ถูกต้อง”ปัจจุบันต้าเซี่ยประสบภัยแล้งติดต่อกันหลายปี ผลผลิตธัญพืชลดลงทุกปี แม้แต่ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์อย่างตงไห่ ยุ้งฉางก็ร่อยหรอเต็มทีแล้วยิ่งไปกว่านั้น หลี่หลงหลินนำกองทัพใหญ่มาปักหลักที่ตงไห่ ค่ากินอยู่ใช้สอยล้วนต้องเบิกจ่ายจากท้องพระคลังตงไห่แม้ว่ากบฏจะถูกปราบปรามจนสงบ ก็จะยิ่งเพิ่มแรงกดดันด้านเสบียงอาหารให้กับตงไห่มากขึ้นเท่านั้นยิ่งไปกว่านั้น อาจมีสถานการณ์กบฏที่รุนแรงกว่าเกิดขึ้นได้อีกถึงตอนนั้น เสบียงอาหารของตงไห่ก็จะยิ่งน้อยลงเรื่อยๆของยิ่งน้อยยิ่งมีค่า ราคาธัญพืชย่อมต้องถูกปั่นสูงขึ้นปากท้องของประชาชนคือเรื่องสำคัญที่สุดพ่อค้าร่ำรวยย่อมรู้หนทางสู่ความร่ำรวยด้วยการกักตุนธัญพืช ปั่นราคา แต่ไม่มีใครกล
จวนตระกูลหลู่คานแกะสลัก เสากรอบวาดลวดลาย วิจิตรตระการตา ทองเหลืองเรืองรอง หลู่จงหมิงมีสีหน้าเคร่งขรึม สายตากวาดมองเหล่าพ่อค้าที่มาถึง “มากันครบแล้วหรือ?”เงียบสงั ดจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตกพ่อค้าเหล่านี้หูตาสว่าง รู้เรื่องที่พระเชษฐภาดาเจอในจวนอ๋องนานแล้ว ไม่กล้าราดน้ำมันบนกองไฟในจังหวะสำคัญนี้ พ่อค้าที่ปกติหยิ่งยโสโอหังต่างก็สงบเสงี่ยมเจียมตัวต่อหน้าหลู่จงหมิง ไม่กล้าพูดมาก เกรงว่าจะล่วงเกินแม้หลู่จงหมิงจะเสียหน้าอย่างหนักในจวนอ๋อง แต่ก็ไม่ใช่คนที่พ่อค้าอย่างพวกเขาจะดูเบาได้พ่อบ้านจวนตระกูลหลู่เดินเข้ามากล่าวเสียงเบา “นายท่าน ยังมีคนจากตระกูลซุนและตระกูลจ้าวที่ยังไม่มา ท่านจะว่าอย่างไร...”หลู่จงหมิงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ตวาดว่า “ไม่มาก็ไม่ต้องมาแล้ว! กล้าดีอย่างไรไม่เห็นคำพูดของข้าผู้เป็นพระเชษฐภาดาอยู่ในสายตา”หลู่จงหมิงมองเหล่าพ่อค้ามั่งคั่งที่อยู่ ณ ที่นั้น กล่าวเสียงเย็นชา “นับแต่นี้ไป ทุกท่านที่อยู่ที่นี่ห้ามทำการค้าใดๆ กับสองตระกูลนี้ หากข้าพบเข้า... หึหึ!”แววตาอำมหิตวาบผ่านดวงตาของหลู่จงหมิงนี่คือเขาต้องการแสดงอำนาจ สร้างบารมี กู้หน้าตาที่เสียไปกลับคืนมาพ่อค