จวนตระกูลซูหลี่หลงหลินถูกเสียงเอะอะนอกเรือนปลุกให้ตื่นตั้งแต่เช้าเขาอ้าปากหาววอด เดินลงมาที่สนาม บังเอิญพบกับซูเฟิ่งหลิงจึงถามว่า “ข้างนอกเอะอะอะไรกัน?”ซูเฟิ่งหลิงมองหลี่หลงหลินด้วยสายตาแปลกๆ “ท่านไฟไหม้[footnoteRef:1]แล้ว!” [1: เดือดร้อน เป็นเรื่องใหญ่โต] หลี่หลงหลินตกใจ “ไฟอยู่ไหน?”ซูเฟิ่งหลิงพูดอย่างโกรธๆ “ไม่ใช่ท่านโดนไฟไหม้! แต่เป็นท่านไฟไหม้แล้ว! เมื่อคืนพวกผู้สุดขีดเอาบทกวีของท่านไปอ่านอยู่ที่สำนักการสังคีต! ผลที่ตามมาคือเช้านี้ มันแพร่กระจายเหมือนไฟลามทุ่ง ทุกคนรู้เรื่องนี้กันหมดแล้ว!”“จากนั้นยิ่งแพร่ก็ยิ่งลึกลับ!”“บางคนถึงกับบอกว่าท่านดาวกวีมาเยือนโลก!”“ประชาชนข้างนอกเพื่อตามหาลายมือของท่าน แม้แต่ขยะที่ตระกูลซูเอาไปทิ้งก็ยังไปคุ้นมา ทำราวกับว่าพบสมบัติก็มิปาน!”หลี่หลงหลินยิ้มและพูดว่า “แฟนคลับในยุคนี้ก็คลั่งไคล้เช่นนี้เลย? นี่ข้าเดบิวต์ได้เลยด้วยรึเปล่า?”ซูเฟิ่งหลิงตกใจ ขมวดคิ้วและพูดว่า “ท่านพูดจาพิลึกอะไรอยู่?”หลี่หลงหลินโบกมือแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่เข้าใจหรอก!”ซูเฟิ่งหลิงพูดด้วยความโกรธ “ข้าไม่รู้ว่าท่านพูดอะไรก็จริง! แต่ข้ารู้แล้วว่าท่านกำลังจ
หรือว่า พวกเขามิได้มาสืบถามเอาความ?เช่นนั้นพวกเขามาทำอันใดกันเล่า?หลี่หลงหลินพยักหน้า พูดว่า “ตามสบาย พวกเจ้ามีคำใด ก็พูดออกมาโดยตรงเถอะ!”หนิงชิงโหวตาแดงก่ำ ขอบตาดำคล้ำ เห็นได้ชัดว่าอดตาหลับขับตานอนมาหลายคืนแล้ว พูดอย่างระแวดระวัง “องค์ชาย คำพูดของท่านเมื่อวานนี้ จริงหรือ?”หลี่หลงหลินถามยิ้มๆ “คำใดเล่า?”หนิงชิงโหวสั่นสะท้านภายในใจ เวลาสั้นๆ เพียงคืนเดียว องค์ชายเก้าคงไม่ผิดคำพูดหรอกกระมัง?เขาเกร็งหนังศีรษะพูดตอบ “กวีสามบทขององค์ชาย คล้ายทำให้พวกเราตื่นรู้ เข้าใจแจ่มแจ้งอย่างฉับพลัน! ข้าและคนอื่นไม่ยอมสับสนไร้จุดหมาย เสียเวลาอีกต่อไป!”“ข้ายินดีเป็นทหารชั้นต่ำปกป้องบ้านเมือง ไม่ยินดีเป็นบัณฑิตคนหนึ่ง!”“ข้าและคนอื่นยินดีเข้าร่วมกองทัพตอบแทนบ้านเมือง เข้าร่วมกองทัพใหม่ของสกุลซู ติดตามองค์ชายเก้า สละชีวิตเพื่อองค์ชาย!”คนอื่นเองก็ร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่ง “ ข้าและคนอื่นยินดีติดตามองค์ชายเก้า สละชีวิตเพื่อองค์ชาย!”ดวงตาซูเฟิ่งหลิงทอประกายระยับวุ่นวายมานาน ที่แท้หนิงชิงโหวบัณฑิตหยิ่งยโสเหล่านี้ ก็มาเพื่อเข้าร่วมกองทัพ!กองทัพใหม่สกุลซู กำลังอยู่ในช่วงขาดคนพอดีหนิงชิงโหวมา
หาคนได้ตำแหน่งจอหงวนอย่างไม่ตั้งใจคนหนึ่ง?ซูเฟิ่งหลิงอยู่ทางด้านข้างได้ยินคำนี้ ตกตะลึงคางแทบหลุดแล้วองค์ชายเก้า ท่านไม่เจอกับตัวไฉนเลยจะเข้าใจ!ท่านเกิดมาก็เป็นเชื้อพระวงศ์ อาจคิดว่าจอหงวนไม่นับเป็นอะไร!อย่างไรเสีย ต่อให้ได้เป็นจอหงวน มากที่สุดก็แค่เข้าสำนักฮั่นหลิน เป็นอาลักษณ์ขั้นหกคนหนึ่ง เป็นมือใหม่เพิ่งเข้าสู่เส้นทางการเป็นขุนนาง!ในประวัติศาสตร์ จอหงวนมากเพียงนั้นที่มีชาติกำเนิดจากครอบครัวยากจน กลายเป็นขุนนางใหญ่ขั้นหนึ่งสองของราชสำนัก มีกี่คนกันเล่า?ทว่า สำหรับบัณฑิตคนหนึ่งคะแนนสูงสุดได้เป็นจอหงวน ก็คือเป้าหมายให้ไล่ตามชั่วชีวิต!สำหรับลูกหลานครอบครัวยากจนแล้ว นี่เป็นเรื่องยากเกินสิ่งใดเทียบ!ปรากฏว่า ครั้นอยู่ในปากของท่าน จอหงวนคล้ายเป็นผักกาดขาวหัวใหญ่สามารถพบเห็นได้โดยไม่ตั้งใจกระนั้น?หนิงชิงโหวขมวดคิ้ว ไม่ตอบโต้หลี่หลงหลินยิ้มพลางสบมองเขา “อะไรกัน? ไม่มั่นใจกระนั้น?”หนิงชิงโหวประกบมือพลางพูด “องค์ชาย ข้ากลับยินดีลองสักครั้ง! แต่ ข้าถูกปลดฐานะบัณฑิตระดับท้องถิ่นไปแล้ว ไม่สามารถเข้าร่วมการสอบขุนนางได้ เส้นทางสู่การเป็นขุนนางขาดสะบั้นไปตั้งแต่แรกแล้ว...”
จวนสกุลซูนับว่าป้องกันอย่างเข้มงวดแต่หรงกั๋วกงบุกเข้ามา ใครขวัญกล้าขัดขวาง?“แย่แล้ว!”หลี่หลงหลินเห็นสองพ่อลูกจางเฉวียนแผ่ไอสังหารเดินเข้ามา รีบหลบด้านหลังซูเฟิ่งหลิง “รีบปกป้องข้าเร็วเข้า!”ซูเฟิ่งหลิงคลี่ยิ้มกว้างดุจบุปผาเบ่งบาน ใบหน้าภาคภูมิใจท่านหลี่หลงหลินเองก็มีช่วงเวลาขี้ขลาดกระนั้นรึ?หากรู้ตั้งแต่แรกว่ามีวันนี้ เมื่อแรกใครใช้ให้ท่านไม่ไว้หน้าหรงกั๋วกงกันเล่า?บัดนี้รู้จักกลัวแล้วหรือ?พูดก็พูดเช่นนี้แต่ซูเฟิ่งหลิงไม่สามารถนิ่งดูดายมองหลี่หลงหลินถูกตีที่จวนสกุลซูได้นางขยับขึ้นไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ขวางพ่อลูกจางเฉวียนไว้ “หรงกั๋วกง มีคำใดก็พูดดีๆ...”พึ่บ!จางเฉวียนดึงจางอี้คุกเข่าลงบนพื้นโดยตรง สองพ่อลูกถอดเสื้อตัวบนออก เผยให้เห็นรอยยาวหลายรอยบนแผ่นหลัง ทั่วทั้งแผ่นหลังเต็มไปด้วยเนื้อโลหิตพร่ามัวหนึ่งผืนซูเฟิ่งหลิงโง่งมแล้ว เสียงสั่นเครือ “หรงกั๋วกง นี่ท่านกำลังทำอันใด?”เสียงจางเฉวียนสั่นเครือ “หลายวันก่อน เพราะลูกอกตัญญูคนนี้ ข้าโมโหไปชั่วขณะ วู่วามกับองค์ชาย! วันนี้แบกไม้มารับโทษ องค์ชายคนใหญ่คนโตอย่าถือสาข้าน้อยเลย!”หลี่หลงหลินนึกดีใจภายในใจที่แท้จางเฉ
จางเฉวียนโง่งมแล้ว!ได้ตำแหน่งบัณฑิตชั้นสูง?จางอี้ เจ้ากระสอบฟางใบใหญ่ไร้ประโยชน์ยิ่งคนนี้ หากสามารถได้ตำแหน่งบัณฑิตชั้นสูงจริงจางเฉวียนคุกเข่าลงในทันใด ขอบคุณบรรพบุรุษ ทำให้โชคดีได้ตำแหน่งใหญ่โต!อันที่จริง ไม่เพียงแค่จางอี้กลุ่มขุนนางชนชั้นสูงทั่วทั้งต้าเซี่ย ล้วนเน่าเฟะจนถึงในกระดูกแล้วต่อสู้ ฝืนๆ ก็ยังสามารถต่อยตีได้แต่เรื่องท่องตำรา หนึ่งคนเน่าเฟะแล้วอีกหนึ่งคนเน่าเฟะยิ่งกว่าสามารถรู้ตัวอักษร เขียนชื่อตนเองได้ ก็นับว่าไม่เลวแล้ว!จางเฉวียนจ่ายเงินก้อนใหญ่ ให้จางอี้ได้เป็นก้งเซิงคนหนึ่งก้งเซิง เทียบเท่าบัณฑิตระดับท้องถิ่น มีคุณสมบัติเข้าร่วมการสอบขุนนางแต่ได้เป็นบัณฑิตชั้นสูง จางเฉวียนไม่กล้าฝัน!ดวงตาคู่สวยของซูเฟิ่งหลิงเบิกกว้าง คิดว่าหลี่หลงหลินจะต้องเสียสติไปแล้วเป็นแน่!เมื่อครู่คือจอหงวน บัดนี้บัณฑิตชั้นสูงท่านจะหยุดได้หรือยัง?ดีร้ายอย่างไรหนิงชิงโหวก็เป็นคนมีพรสวรรค์โดยแท้ บทความโด่งดังทั่วหล้าหากฝ่าบาทให้จัดการสอบขุนนางพระราชทานจริง มิหนำซ้ำยังคืนฐานะบัณฑิตระดับท้องถิ่นให้หนิงชิงโหว อีกทั้งตู้เหวินยวนขุนนางบุ๋นเหล่านี้ ไม่เข้ามาข้องเกี่ยวแล้วละก็
ทว่า จางเฉวียนยังพยักหน้ารับปากก็แค่ให้จางอี้ทนลำบากหนึ่งเดือนมิใช่หรือ?นี่ไม่นับเป็นอะไรหลี่หลงหลินชูนิ้วที่สองขึ้น โน้มตัวกระซิบข้างหูจางเฉวียนเสียงแผ่วสองประโยคจางเฉวียนตกตะลึง “แค่นี้?”มิใช่ข้อเสนอของหลี่หลงหลินมากเกินไปตรงข้ามกัน สำหรับจางเฉวียนแล้ว ช่างง่ายดายมากนัก!ง่ายถึงขั้นชวนให้เขารู้สึกเหลือจะเชื่อ!หลี่หลงหลินพูดยิ้มๆ “ใช่ ก็ง่ายเพียงนี้!”จางเฉวียนมองหลี่หลงหลินสายตาลุ่มลึก เอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นพูดคำใดคำนั้น! ข้าขอกลับไปก่อนชั่วคราว รอฟังข่าวดีจากองค์ชายเก้า!”หลี่หลงหลินพยักหน้ารับยิ้มๆ “วางใจ ท่านรอไม่นานเกินไปนัก!”สองพ่อลูกจางเฉวียนจากไปแล้วซูเฟิ่งหลิงพูดเยาะหยัน “องค์ชายเก้า ท่านเองก็ช่างโอ้อวดเกินไปแล้ว! ท่านสามารถทำให้จางอี้ได้รับตำแหน่งบัณฑิตชั้นสูง ยังมิสู้ให้ดวงตะวันขึ้นทิศประจิม!”หลี่หลงหลินยิ้มน้อยๆ มองใบหน้าด้านข้างของซูเฟิ่งหลิงอย่างสงสัย “อะไรกัน? เจ้าไม่เชื่อรึ?”ซูเฟิ่งหลิงเบ้ปาก “ไร้สาระ! เห็นได้ชัดว่ากำลังหลอกคน! ก็เพราะหรงกั๋วกงซื่อตรง นี่ถึงเชื่อคำพูดไร้สาระของท่าน!”หลี่หลงหลินหัวเราะ “มิสู้ พวกเรามาเดิมพันก
หลี่หลงหลินเข้าห้องทรงพระอักษรยังไม่รอให้ทำความเคารพ ฮ่องเต้หวู่ก็ขยับขึ้นมา กุมมือทั้งสองข้างของเขาไว้ ตรัสอย่างกระตือรือร้น “เจ้าเก้า กวีชายแดนสามบทนั้น เจ้าเป็นผู้แต่งจริงหรือ?”หลี่หลงหลินพยักหน้า “เป็นผลงานต่ำต้อยของลูกจริงพ่ะย่ะค่ะ!”เขาแปลกใจอยู่บ้างสำนักการสังคีต ช่างเป็นสถานที่มหัศจรรย์แห่งหนึ่งโดยแท้!ข่าวแพร่กระจายรวดเร็วเพียงนี้!เรื่องของเมื่อวาน วันต่อมาก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวง แม้แต่ฮ่องเต้อาศัยบนที่สูงก็ได้ยินแล้วเหล่านางคณิกากำลังศึกษาวารสารกระนั้นหรือ?ฮ่องเต้หวู่ส่ายหน้า “ผลงานต่ำต้อย? เจ้าถ่อมตนเกินไปแล้ว! บทกวีนิรันดร์ ไม่ผิดก็คือบทกวีนิรันดร์! เราไม่เพียงมองเห็นพรสวรรค์ของเจ้าผ่านบทกวี แต่ยังเห็นความซื่อสัตย์ภักดีของเจ้าอีกด้วย!”“เจ้าอยากได้รางวัลอะไร?”“ยังเป็นกฎเดิม!”หลี่หลงหลินพูดไม่ออกฮ่องเต้หวู่กลับใจกว้าง เอะอะก็พระราชทานรางวัล เห็นได้ชัดว่าลำเอียงปัญหา ประการแรกมิใช่เงิน ประการที่สองไม่เลื่อนตำแหน่งขุนนาง พูดตามสัตย์จริงก็เป็นเพียงสรรเสริญผ่านวาจาเท่านั้น ไม่มีรางวัลจับต้องได้ มีประโยชน์อันใด!ทว่าหลี่หลงหลินเตรียมการมาตั้งแต่แร
“เหตุใดเขาอยู่ที่นี่!”ตู้เหวินยวนมองเห็นหลี่หลงหลิน ก็แค้นจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างไรเสียเขาก็เป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ จิตใจล้ำลึก ไม่เผยอารมณ์ใดผ่านทางสีหน้า เดินนำไปทำความเคารพฮ่องเต้หวู่ “กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท!”ฮ่องเต้หวู่โบกพระหัตถ์ “ทุกคนตามสบาย! ใช่แล้ว กวีสามบทที่สำนักการสังคีตเผยแพร่ พวกเจ้าผ่านตาแล้วหรือไม่?”“กวี?”เหล่าขุนนางชะงัก ส่ายหน้าพลางเอ่ยตอบ “พวกกระหม่อมงานยุ่งนัก ยังมิได้ผ่านตาพ่ะย่ะค่ะ”ในกำมือฮ่องเต้หวู่มีพรรคขันที ผู้ตรวจการขุนนาง รวบรวมข่าวสาร ข่าวย่อมว่องไวเป็นไปตามธรรมชาติเทียบกันแล้ว เห็นได้ชัดว่าข่าวของเหล่าขุนนางถูกปิดกั้นแน่นอน สาเหตุสำคัญที่สุดคือพวกเขามิได้ใส่ใจเรื่องของราษฎร์ภายในเมืองเลยแม้แต่น้อยหากเป็นเรื่องภายในราชสำนัก ยกตัวอย่างเช่นใครเลื่อนตำแหน่ง ใครลดตำแหน่งพวกเขากลับสืบความว่องไวยิ่งกว่าใคร!สีพระพักตร์ฮ่องเต้หวู่ภาคภูมิใจ ส่งบทกวีออกไป “พวกท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านบทกวี ประเมินๆ ดูเถอะ!”บทกวี?เหล่าขุนนางแปลกใจมากนักฮ่องเต้หวู่เรียกตัวขุนนางสำนักเลขาธิการทั้งหมดออกมา ก็เพื่อประเมินบทกวีกระนั้นหรือ?ยิ่งไปกว่านั้น เด
หลังผ่านไปหนึ่งชั่วยามหลี่หลงหลินเปิดฝาโอ่งน้ำใหญ่ด้วยใบหน้าลึกลับเหล่าสะใภ้ต่างคาดหวัง เตรียมเป็นพยานความอัศจรรย์ซี้ด!ไอเย็นเสียดแทงกระดูกสายหนึ่งส่งเข้ามา ทำให้เหล่าสะใภ้ไม่เพียงตัวสั่น ภาพเบื้องหน้ายังชวนให้คนตกตะลึงพรึงเพริด!มองเห็นน้ำในโอ่งน้ำใหญ่ทั้งหมดกลายเป็นก้อนน้ำแข็ง เย็นจนคนรู้สึกหนาว!ทุกคนกลับหายใจเย็นเฮือกหนึ่ง หันมองทางหลี่หลงหลินด้วยสายตาตกตะลึงพรึงเพริด สีหน้าเผือดซีด!ใบหน้ากงซูหว่านล้วนคือความตกตะลึง ในสายตาของนางหลี่หลงหลินไม่ต่างอันใดจากตำนานเสกหินให้เป็นทอง เพียงใช้เกลือหมางเซียวก็สามารถทำให้น้ำกลายเป็นน้ำแข็งได้แล้วหรือ? นี่เหลือจะเชื่อเกินไปแล้ว!กงซูหว่านเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “องค์ชาย นี่ทำได้เยี่ยงไร? นี่หรือว่าเป็นวิชาเซียนจริง?”หลี่หลงหลินหยิบถุงเกลือหมางเซียวในมือออกมาและพูดว่า “ตอนผสมเกลือหมางเซียวนี้กับน้ำจะสามารถดูดความร้อนมหาศาลได้ สามารถทำให้อุณหภูมิลดลงจนเหลือศูนย์องศา ดังนั้นภายใต้สถานการณ์เช่นนี้น้ำย่อมกลายเป็นน้ำแข็ง”หลี่หลงหลินไม่ปกปิด เล่าหลักการทั้งหมดให้กงซูหว่านฟัง อย่างไรเสียภายภาคหน้ายังต้องการให้มีคนไปสอนราษฎร์ตงไห่ทำน้ำแข็
ทุกคนล้วนตกตะลึง ไม่เคยได้ยินมาก่อน ทั้งยังไม่เคยพบเห็นแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยได้ยินผู้ใดเอ่ยถึงเจ้าสิ่งนี้ซูเฟิ่งหลิงแปลกใจอยู่บ้าง “องค์ชาย เหตุใดคนสามารถทำน้ำแข็งได้เล่า? ไม่ใช่ขุดมาจากพื้นที่หนาวแดนเหนือหรอกหรือ หรือว่าสามารถทำให้อุณหภูมิของตงไห่ลดลงได้?”ซูเฟิ่งหลิงรู้ว่าน้ำแข็งเป็นผลผลิตของฤดูหนาว แต่นางนึกไม่ออกว่าคนทำน้ำแข็งที่หลี่หลงหลินพูดคือสถานการณ์เช่นไร ในสายตานางมันเป็นเรื่องเพ้อฝัน และไม่มีวันเป็นจริงได้หลี่หลงหลินยิ้มน้อยๆ และพูดว่า “อีกเดี๋ยวเจ้าจะได้รู้”ทุกคนมองหลี่หลงหลินด้วยสายตาตกตะลึง คิดว่าเขาอาจเป็นเทพเซียนกลับชาติมาเกิด หาไม่แล้วจะทำเรื่องชวนให้คนรู้สึกเหลือจะเชื่อได้เยี่ยงไร?หลี่หลงหลินมองซุนชิงไต้และพูดว่า “พี่สะใภ้สาม ไม่รู้ท่านที่นั่นมีเกลือหมางเซียวหรือไม่?”เกลือหมางเซียวหรืออีกชื่อคือดินประสิว เป็นของสำคัญที่หลี่หลงหลินใช้รักษาโรคอยู่ที่ต้าเซี่ย เกลือหมางเซียวมิใช่ของหายาก เพียงแต่ถูกคนนำมาทำเป็นยาระบายขับพิษ ชนิดที่ว่ามีคนนำไปให้สัตว์ใช้แรงกิน สามารถเพิ่มความแข็งของเปลือกไข่ในสัตว์ปีกได้ สามารถพบเห็นได้ทั่วไปและราคาถูกมากซุนชิงไต้มองหลี่หลง
จวนอ๋องตงไห่ ลั่วอวี้จู๋มองเหล่าทหารที่ลำเลียงปลาหวงฮื้อใหญ่เข้ามาในวังทีละคันรถ ในดวงตาเต็มไปด้วยความยินดี “องค์รัชทายาท ท่านช่างยอดเยี่ยมจริงๆ! มีวิธีการจับปลานี้แล้ว ชาวบ้านทะเลตงไห่ทุกครัวเรือนก็จะได้กินเนื้อ ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารอีกต่อไป” ความกังวลก่อนหน้านี้ของลั่วอวี้จู๋มลายหายไปสิ้น ขอเพียงชาวบ้านมีกินมีใช้ ก็จะไม่เกิดเรื่องราววุ่นวายขึ้นอีก ทุกคนอยู่อย่างสงบสุข ทะเลตงไห่ก็จะปรองดองสามัคคี การก่อกบฏก็จะสงบลงไปเอง มิเช่นนั้นหากมีคนชั่วก่อความวุ่นวาย คอยขัดขวางอยู่เบื้องหลัง สุดท้ายผู้ที่ได้รับผลกระทบก็คือเหล่าชาวบ้านอยู่ดี ซุนชิงไต้จ้องมองปลาหวงฮื้อใหญ่รถแล้วรถเล่าตาไม่กะพริบ น้ำลายไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้: “ปลาหวงฮื้อใหญ่นี้ทั้งอ้วนทั้งอร่อย ชาวทะเลตงไห่คราวนี้จะได้ลิ้มรสของอร่อยแล้ว!” หลังจากได้ปลาหวงฮื้อใหญ่กลับมา ซุนชิงไต้ก็ลงครัวด้วยตนเอง ไม่ว่าจะทอด ผัด ต้ม ตุ๋น ล้วนเป็นรสเลิศแห่งโลกมนุษย์ เพียงแต่หากปลาหวงฮื้อใหญ่ไม่ได้รับการเก็บรักษาที่ดี ด้วยอุณหภูมิของทะเลตงไห่ในตอนนี้ ยิ่งปลาอ้วนเท่าใด ปริมาณโปรตีนในตัวก็ยิ่งสูง อัตราการเน่าเสียก็ยิ่งเร็วขึ้นเท่านั้น
“เปิดยุ้งฉางแจกข้าวหรือขอรับ?” พ่อบ้านชราประหลาดใจอย่างยิ่ง ข้าวสารเหล่านี้ซื้อมาเป็นพิเศษเพื่อปั่นราคา หลายวันก่อนหลู่จงหมิงเพิ่งจะกำชับไว้ว่า หากไม่มีคำสั่งของตน ห้ามผู้ใดเปิดฉางข้าวเป็นอันขาด เพียงไม่กี่วัน สถานการณ์ก็พลิกผัน การเปลี่ยนแปลงรวดเร็วจนน่าตกใจ ทำให้คนตั้งตัวไม่ติด พ่อบ้านยังไม่เข้าใจเจตนาของหลู่จงหมิง หลู่จงหมิงเอ่ยเสียงเข้ม: “ฉวยโอกาสตอนที่พวกตระกูลขุนนางยังไม่เริ่มเทขายข้าวสารในมือ ชิงลงมือก่อนได้เปรียบ! มิฉะนั้นราคาจะยิ่งต่ำลงไปอีก!” “บัดนี้จงนำข้าวสารในมือพวกเราทั้งหมดเทขายออกไปในราคาต่ำสุด! ขอเพียงขายออกไปได้ จะต่ำเพียงใดก็ได้!” หลู่จงหมิงกลัวสถานการณ์เช่นนี้ที่สุด หลี่หลงหลินสอนชาวบ้านจับปลา ไม่เพียงแต่ได้ใจประชาชน แต่ยังแก้ปัญหาเรื่องอาหารที่คับขันได้อีกด้วย สุดท้าย ก็เหลือเพียงตนเองที่ขาดทุนย่อยยับไม่เหลือแม้แต่กางเกงใน หลู่จงหมิงเอ่ยเสียงเข้ม: “ไม่ได้! ข้าจะไปขายข้าวด้วยตนเอง!” ผู้ได้ใจประชาชนย่อมได้ครอบครองแผ่นดิน ในความคิดของหลู่จงหมิง บัดนี้ขอเพียงยอมขายข้าวให้ชาวบ้าน ก็จะเป็นผู้ช่วยให้รอดในใจของชาวบ้านแล้วแม้ว่าจะช้ากว่าหลี่หลงหลิ
หญิงชรามองสุ่ยเซิง เอ่ยอย่างจริงจัง: “สุ่ยเซิง เจ้าบอกความจริงกับแม่มา เจ้าไปลักขโมยปลาของผู้อื่นมาพร้อมกับเถี่ยจู้ใช่หรือไม่?” ในความคิดของหญิงชรา หากไม่ใช่การลักขโมย วันเดียวจะหาปลาได้มากมายเช่นนี้ได้อย่างไร? สุ่ยเซิงยิ้มแล้วชี้ไปยังชาวประมงที่บรรทุกปลาเต็มลำกลับมา: “ท่านแม่! ลูกจะไปลักขโมยปลาของผู้อื่นได้อย่างไร ปลาเหล่านี้ล้วนจับมาได้จากทะเลตามวิธีที่องค์รัชทายาททรงสอนด้วยพระองค์เอง ท่านดูสิ ทุกคนก็จับมาได้ไม่น้อย” หญิงชรามองไป พบว่าชาวประมงที่กลับมาต่างก็มีปลาหวงฮื้อใหญ่ติดมือมาไม่มากก็น้อย เพียงแต่สุ่ยเซิงโชคดีกว่า จับปลาได้มากกว่าเล็กน้อย “องค์รัชทายาททรงสอนพวกเจ้าด้วยพระองค์เองหรือ?” หญิงชรามีสีหน้าลังเล สุ่ยเซิงพยักหน้า ชี้ไปยังท่าเทียบเรือที่ไม่ไกลนัก: “เมื่อวานก็ที่ตรงนั้น องค์รัชทายาทไม่เพียงแต่แบ่งปลาให้พวกเรา ยังทรงสอนวิธีการจับปลาให้พวกเราโดยเฉพาะ ถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้พวกเราอย่างไม่ปิดบัง” ฟุบ! หญิงชราทรุดตัวลงนั่งกับพื้น พนมมือ ดวงตาพร่ามัวด้วยน้ำตา: “สวรรค์มีตา สวรรค์มีตาโดยแท้! ต้าเซี่ยมีองค์รัชทายาทเช่นนี้ วันคืนอันแสนลำบากของพวกเราชาวบ้าน ในที่สุดก็จ
เถี่ยจู้เริ่มเหนื่อยล้า อยากจะโยนไม้ท่อนสองอันในมือทิ้งลงทะเลเสียเดี๋ยวนี้ ไม่อยากเชื่อเรื่องเหลวไหลว่าจะมีโชคหล่นจากฟ้าอีกต่อไป แต่พอนึกถึงรสชาติอันโอชะของปลาหวงฮื้อใหญ่ ก็ทำให้เขายังคงยืนหยัดต่อไปได้ ตึง ตึง ตึง... สุ่ยเซิงพลันหรี่ตาลง ชี้ไปยังที่ไกลๆ แล้วเอ่ยว่า: “ทางนั้นดูเหมือนมีความเคลื่อนไหว!” ทุกคนพลันมีชีวิตชีวาขึ้นมา มองไปยังทิศที่สุ่ยเซิงชี้ ก็เอ่ยอย่างประหลาดใจว่า: “มีคลื่นนี่ หรือว่าลมใหญ่กำลังจะมา?” ไร้ลมไหนเลยจะมีคลื่น เพียงแค่ทะเลมีคลื่นซัดสาดขึ้นมากะทันหัน ก็บ่งบอกว่าอีกไม่นานลมใหญ่จะพัดมาถึง สุ่ยเซิงส่ายหน้า สีหน้าแน่วแน่ แล้วเอ่ยว่า: “ไม่...ไม่ใช่คลื่น แต่เป็นปลา!” “ฝูงปลา!” “ไม่! คือคลื่นปลา!” ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างตกตะลึงตาค้าง ราวกับอยู่ในความฝัน ปลาแหวกว่ายถาโถมเข้ามาหาพวกเขาราวกับกระแสน้ำ นานๆ ครั้งก็จะมีปลาใหญ่กระโดดขึ้นเหนือผิวน้ำ ดุจดังเกลียวคลื่นที่ม้วนตัว สุ่ยเซิงตะโกน: “เร็วเข้า! ตักปลา!” เพียงชั่วพริบตา ฝูงปลาก็เข้ามาล้อมเรือประมงไว้แล้ว เหวี่ยงอวน สาวอวน ทุกคนไม่กล้าลังเลแม้แต่น้อย ต่างกลั้นหายใจรวบรวมสมาธิ ออกเรี่ยวแรงทั้
รุ่งเช้า ณ ท่าเทียบเรือตงไห่ อรุณรุ่งตะวันออกฉาย แสงทองสาดส่องนภา เหล่าชาวประมงต่างแย่งกันเข็นเรือประมงลงสู่ทะเล ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังต่ออนาคต “ท่านแม่ ไม่ต้องมาส่งแล้ว ข้าไปกับเถี่ยจู้ไม่เป็นอันใดหรอก วางใจเถิด” สุ่ยเซิงเอ่ยลามารดา วิ่งเหยาะๆ มายังท่าเทียบเรือ ขึ้นเรือประมงไปพร้อมกับเถี่ยจู้และชาวประมงเพื่อนบ้านอีกสองสามคน “สุ่ยเซิง เร็วเข้าสิ เหลือแค่เจ้าแล้ว!” สุ่ยเซิงยิ้มซื่อๆ พลางล้วงห่อกระดาษเคลือบน้ำมันสองห่อออกมาจากอกเสื้อ ส่งให้เถี่ยจู้ เถี่ยจู้สงสัยเล็กน้อย: “นี่คืออันใด?” สุ่ยเซิงยิ้มแล้วเอ่ยว่า: “นี่เป็นสิ่งที่ท่านแม่ยัดเยียดให้ข้าตอนจะออกมา บอกว่าเป็นปลาทอดกรอบที่ทำจากปลาหวงฮื้อใหญ่เมื่อวานนี้ เก็บไว้หลายวันก็ไม่เสีย ให้พวกเราเอาไว้กินเป็นเสบียงแห้งในทะเล” เถี่ยจู้ทำหน้าอิจฉา: “สุ่ยเซิง ท่านแม่ของเจ้าช่างรอบคอบนัก ยังเตรียมเสบียงแห้งให้เจ้าด้วย แต่ว่าปลาที่องค์รัชทายาทแจกเมื่อวานหอมจริงๆ! เมื่อวานข้ากินไปตั้งสามตัว ทำเอาท้องที่หิวมาหลายวันของข้าอิ่มแปล้ไปเลย” คนอื่นๆ ที่มาด้วยกันต่างพูดคุยถึงวิธีการปรุงปลาหวงฮื้อใหญ่กันเซ็งแซ่ ทุกคนต่างบอกเป็นเส
หลู่จงหมิงไม่เคยเห็นปลามากมายเช่นนี้มาก่อน ช่างเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อเกินไป! เหล่าขุนนางที่อยู่รอบๆ ก็ยืนนิ่งตะลึงงัน พูดไม่ออก “องค์รัชทายาท แจกปลาเถิด!” “พวกเราต้องการกินปลา!” ชาวบ้านชูแขนโห่ร้อง แม้ว่าหลี่หลงหลินจะนำปลาทั้งหมดมากองไว้บนท่าเทียบเรือแล้ว แต่ก็ยังคงให้ทหารตระกูลซูเฝ้าไว้ ยังไม่มีทีท่าว่าจะแจกจ่ายปลาให้แก่ชาวบ้าน หลี่หลงหลินเอ่ยเสียงเข้ม: “ข้าเคยพูดเมื่อใด ว่าจะแจกปลาเหล่านี้ให้เปล่าๆ?” ทุกคนต่างส่งเสียงฮือฮา ชาวบ้านมองหลี่หลงหลินด้วยสีหน้าตกตะลึง ในแววตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ไม่ใช่ว่าหลี่หลงหลินรับปากเองหรอกหรือ ว่าจะทำให้ชาวบ้านได้กินเนื้อกันถ้วนหน้า? บัดนี้เหตุใดจึงกลับคำเล่า? “ทุกคนเห็นหรือไม่? นี่แหละองค์รัชทายาท ปากก็พร่ำบอกว่าจะให้ชาวบ้านได้กินเนื้อ แต่บัดนี้กลับตระบัดสัตย์!” หลู่จงหมิงเดินมาหน้าชาวบ้าน ใบหน้าเต็มไปด้วยการเย้ยหยัน หลู่จงหมิงฉวยโอกาสทันที ไม่อาจปล่อยให้หลี่หลงหลินชนะใจประชาชนไปง่ายๆ เช่นนี้ได้ หลี่หลงหลินเอ่ยเสียงเข้ม: “ข้าพูดเมื่อใดว่าจะไม่ให้ชาวบ้านกินเนื้อ?” หลู่จงหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้ว่าในน้ำเต้าของหลี
ยามเย็น ณ ท่าเรือตงไห่ เรือลำใหญ่ค่อยๆ แล่นเข้าสู่ท่าเรือ บนท่าเทียบเรือมีผู้คนเนืองแน่น ล้วนเป็นชาวบ้านที่มามุงดูเรื่องสนุก ทั้งยังมีขุนนางผู้มีอำนาจไม่น้อยที่มารอสมน้ำหน้าหลี่หลงหลิน หลู่จงหมิงได้ยินว่าวันนี้หลี่หลงหลินออกทะเลไปจับปลา จึงมารออยู่ที่ท่าเทียบเรือตลอดทั้งวัน เพื่อรอที่จะหยามเกียรติหลี่หลงหลิน หลู่จงหมิงมองเรือใหญ่ที่กำลังเทียบท่า ใบหน้าเต็มไปด้วยความดูแคลน: “ยังกล้าคุยโวโอ้อวด ว่าจะทำให้ชาวบ้านได้กินเนื้อกันถ้วนหน้า? ช่างเพ้อฝันลมๆ แล้งๆ ปลาที่จับได้ในทะเลตงไห่แค่นั้น ยังไม่พอให้ตดด้วยซ้ำ!” ขุนนางผู้หนึ่งเอ่ยสมทบ: “พระเชษฐภาดา เดี๋ยวรอตอนที่เอาปลาออกมา พวกเราต้องหยามเกียรติเขาสักครา ต้องระบายความแค้นนี้ให้ได้!” พระเชษฐภาดาแค่นเสียงหัวเราะเย็นชา: “ชาวบ้านมากมายขนาดนี้กำลังจ้องมองอยู่ที่ท่าเรือ ถึงเวลานั้นหากหลี่หลงหลินเอาปลาออกมาไม่ได้ ดูสิว่าเขาจะจัดการอย่างไร!” เรือใหญ่เทียบท่า ชาวบ้านกรูกันเข้ามา ล้อมเรือใหญ่ไว้แน่นขนัด “กลิ่นคาวปลาแรงมาก!” พอชาวบ้านเข้าใกล้เรือใหญ่ กลิ่นคาวปลาก็ปะทะเข้าหน้าทันที “กลิ่นคาวปลาขนาดนี้ ต้องจับปลามาได้มากเท่าใดกัน?”