ตู้เหวินยวนกระตือรือร้นขึ้นมาในทันใด!ใช่ จะต้องเป็นฝ่าบาท!ฝ่าบาทเคยออกศึกทำสงครามในสนามรบ ก็คือแม่ทัพเฉกเดียวกัน!มีเพียงผู้ครอบครองอำนาจสูงสุด ถึงจะสามารถแต่งหม่านเจียงหงกวีเช่นนี้ได้!เดิมทีตู้เหวินยวนคิดแทะกระดูกในไข่หาข้อตำหนิติเตียนผู้อื่น ใช้กวีสามบทนี้ ยกตนเองขึ้นสูงขุนนางบุ๋นประชันขันแข่งกัน นับตั้งแต่โบราณก็เป็นเช่นนี้!ตู้เหวินยวนคิดได้ว่ากวีสามบทนี้เป็นไปได้มากว่าคือฝ่าบาทแต่งขึ้น เปลี่ยนความคิดในทันทีทันใดมองขาดนับพันนับหมื่น มีเพียงคำประจบเมินข้ามไปได้!ต่อต้านบทกวีของฝ่าบาท รนหาที่ตายกระนั้นรึ?ตู้เหวินยวนลูบเครา ตั้งใจเงียบเสียงลงครู่หนึ่ง ประเมินออกมา “ฝ่าบาท กวีสามบทนี้...ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก!ไม่รู้เป็นใครแต่ง จะต้องมีพรสวรรค์ของผู้ปกครองใต้หล้าเป็นแน่!”คำนี้พูดออกมา ทำให้ขุนนางชะงัก หันมองทางตู้เหวินยวนอย่างสงสัยกวีสามบทนี้ ไม่เลวอย่างจริงนั่นล่ะ อาจพูดว่าเป็นนิรันดร์ได้แต่พรสวรรค์ของผู้ปกครองใต้หล้า?ในประวัติศาสตร์ ผู้แต่งบทกวีมีมากมายทว่า มีกี่คน ถูกขนานนามว่าพรสวรรค์ของผู้ปกครองใต้หล้าสี่คำนี้?ปกครองบ้านเมือง มิใช่ว่าเขียนกวีเพียงไม่กี่บทก็
ตู้เหวินยวนข่มโทสะ “ฝ่าบาท กวีถูกประเมินแล้ว หากไม่มีเรื่องอื่น กระหม่อมขอทูลลา...”หากเขายังอยู่ห้องทรงพระอักษรต่อไป เห็นใบหน้าของหลี่หลงหลิน น่ากลัวว่าตนเองต้องโมโหตายทั้งเป็นแน่นอน!“ช้าก่อน!”ฮ่องเต้หวู่โบกพระหัตถ์ สั่งเว่ยซวินนำรายชื่อไปมอบให้ “พวกเจ้าดูเถอะ รู้จักชื่อของคนเหล่านี้หรือไม่?”ตู้เหวินยวนรับรายชื่อไป ก้มหน้ามอง สีหน้าเปลี่ยนไปหนิงชิงโหว!ชื่อแรก ตู้เหวินยวนคุ้นเคยมากนักปีนั้นตู้เหวินยวนเป็นผู้คุมสอบการสอบขุนนาง ก็สับเปลี่ยนกระดาษข้อสอบของหนิงชิงโหว ให้ลูกชายของตนได้เป็นจอหงวน หนิงชิงโหวจึงสอบตกไป ต่อมา หนิงชิงโหวไม่ยอมเลิกรา ยังมาฟ้องร้องที่ศาลาว่าการก็เป็นตู้เหวินยวนใช้ลูกไม้ สั่งคนไปตีหนิงชิงโหวเกือบตาย ยังปลดตำแหน่งบัณฑิตระดับท้องถิ่นของเขาอีกด้วยเขาและหนิงชิงโหว มีความแค้นต่อกันอย่างลึกซึ้ง!ไฉนเลยจะลืมได้!ปัญหาคือฝ่าบาทนำรายชื่อนี้ออกมาด้วยเหตุใด?หรือว่าเขาวางแผนรื้อคดีเก่าออกมา ลงโทษตนเองกระนั้นหรือ?ตู้เหวินยวนเกิดความกลัวขึ้นภายในใจ ฝืนสุขุม “ทูลฝ่าบาท รายชื่อเหล่านี้ไม่คุ้นตา กระหม่อมไม่รู้จัก มิรู้เหตุใดฝ่าบาทถึงถามเรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ?
“หนิงชิงโหว?”ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้ว “เจ้าต้องการแนะนำคนผู้นี้รึ?”หรงกั๋วกงจางเฉวียนเอ่ยปายเสียงหนัก “ไม่ผิด! คนผู้นี้รอบรู้มีความสามารถ ความรู้ห้าคันเกวียน มีพรสวรรค์ของจอหงวน! เพียงน่าเสียดาย วาสนาไม่ดี สอบตกในการสอบขุนนางพ่ะย่ะค่ะ!”“หากคนผู้นี้ไม่สามารถเป็นขุนนางในราชสำนักได้ ช่างมีตาหามีแววไม่ น่าเสียดายเกินไปแล้ว!”ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้ว “แต่ตู้เหวินยวนพูดว่าคนผู้นี้โกงสอบขุนนาง ถึงถูกยึดตำแหน่งไป!”จางเฉวียนตอบเร็วโดยไม่ยั้งคิด “ถูกยึดตำแหน่งเป็นเรื่องจริง แต่โกงสอบเป็นเรื่องเท็จ! หากฝ่าบาทไม่เชื่อ สามารถสั่งสามกรมร่วมกันตรวจสอบคดีนี้ได้พ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หวู่หันมองตู้เหวินยวน “ท่านขุนนาง เจ้าคิดเห็นเช่นไร?”ตู้เหวินยวนว้าวุ่นแล้ว “โกงสอบขุนนาง เป็นคดีเก่าผ่านมาหลายปีแล้ว ตรวจสอบตอนนี้ยากเกินไป! กระหม่อมคิดว่าไม่จำเป็นพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หวู่มองตู้เหวินยวนสายตาลุ่มลึกแวบหนึ่งอัครมหาเสนาบดีแห่งต้าเซี่ยท่านนี้ สุขุมรอบคอบ รักเกลียดไม่แสดงผ่านทางสีหน้าเพราะคดีโกงสอบเล็กๆ นี้ ถึงขั้นว้าวุ่นหนัก ต้องมีลับลมคมในเป็นแน่!ทว่า ฮ่องเต้หวู่ไม่คิดสืบต่อไปราษฎร์ไม่ร้องทุกข์ ขุนนางไ
ด่าหรือชมทำไมถึงฟังไม่ออก?ข้ากำลังด่าเจ้าอยู่...ครู่ต่อมา ตู้เหวินยวนก็ฟื้นขึ้นมาแล้วเวลาล่วงเลยไป!องค์ชายเก้าในวันนี้ไม่ใช่คนเสเพลไร้ประโยชน์อย่างในปีนั้นอีกแล้ว!แต่เป็นคนที่มีความสามารถในการต่อสู้สูง เป็นนักกวีผู้มีความรู้มากมายในหมู่คนทั่วไป ยังคงมองว่าองค์ชายเก้าเป็นดวงดาวแห่งการศึกษาที่ลงมาจุติยังโลกมนุษย์เมื่อครู่ตนเพิ่งจะด่าจางเฉวียน บอกว่าลูกชายของเขาแย่กว่าดวงดาวแห่งการศึกษานี่ใช่คำด่าเสียที่ไหนนั่นเป็นคำชื่นชมชัดๆ!ปอดของตู้เหวินยวนแทบจะระเบิดด้านโต้แย้ง ตนพ่ายแพ้ให้องค์ชายเก้าครั้งแล้วครั้งเล่าก็ยังพอทนเจ้าเด็กคนนี้ ปากคอเราะราย มีความคิดเฉียบไว และฉลาดนิดหน่อยแต่จางเฉวียนเป็นผู้สูงศักดิ์คำพูดคำจาเงอะงะไม่ทันใคร ตนจึงได้พ่ายแพ้ไปแบบนี้มันยากจะทนไหวจริงๆ!ตู้เหวินยวนสะบัดแขนเสื้อด้วยความโกรธและพูดอย่างด้วยความโกรธ“หรงกั๋วกง ข้าจะไม่โต้เถียงกับเจ้า!”หลังจากพูดเช่นนี้แล้ว ตู้เหวินยวนก็ยกมือคำนับต่อฮ่องเต้หวู่ “ฝ่าบาท บัณฑิตที่หยิ่งยโสอย่างหนิงชิงโหวไม่สามารถเป็นขุนนางได้! กระหม่อมไม่เห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ...”ขุนนางคนอื่นๆ ยกมือคำนับ “พวกกระหม่อมก็ไม่เ
จางเฉวียนเองก็ประหลาดใจมาก มองดูหลี่หลงหลินด้วยสายตาล้ำลึกการพระราชทานสอบขุนนาง เป็นเรื่องใหญ่จางเฉวียนไม่แปลกใจเลยที่ฮ่องเต้จะเห็นด้วยอย่างไรก็ตาม สิ่งที่จางเฉวียนไม่คาดคิดก็คือขุนนางอย่างตู้เหวินยวนกลับเห็นด้วยอย่างเต็มใจเช่นนี้!เห็นได้ชัดว่าจิตใจของพวกเขา ถูกหลี่หลงหลินควบคุมเอาไว้ในกำมือได้แล้ว!“ความสามารถขององค์ชายเก้าช่างยากแท้หยั่งถึง!”จางเฉวียนตกใจไม่น้อยเขารู้ว่า ในราชสำนักนอกจากกองกำลังเดิมแล้ว ก็ยังมีกองกำลังใหม่ที่เกิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน จากนั้นก็เปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาพรวมของต้าเซี่ยในราชสำนัก!แต่สำหรับชนชั้นสูงอย่างจางเฉวียน ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร!อย่างไรเสีย องค์ชายเก้าก็เป็นชนชั้นสูงมาแต่กำเนิด และเป็นคนฝั่งตนเองด้วย!ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยของตระกูลซู ได้รับการสืบทอดมาจากตระกูลซู...ขณะที่จางเฉวียนกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ฮ่องเต้หวู่ก็ตรัสว่า “หรงกั๋วกง เรื่องการสอบขุนนางพระราชทาน เจ้าคิดอย่างไร?”จู่ๆ จางเฉวียนก็ได้สติกลับมา แล้วรีบกล่าวว่า “ฝ่าบาทต้องการพระราชทานเปิดการสอบขุนนาง รับสมัครผู้มีความสามารถ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับแคว้น นับว่าเป็นเรื่
ดูเหมือนว่าตอนที่นางตัดแต่งกิ่งไม้เมื่อครู่นี้ มือหยกของนางถูกกิ่งดอกไม้แทง จนกระทั่งล้างมือถึงพบเข้าหลี่หลงหลินรีบคว้านิ้วที่บาดเจ็บของหลินกุ้ยเฟย แล้วใส่เข้าไปในปากของเขา พร้อมกับดูดมันเบาๆหลินกุ้ยเฟยหน้าแดงก่ำ “ลูกชาย มันสกปรก...”หลี่หลงหลินเงยหน้าขึ้น พร้อมกับกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ ท่านลืมไปแล้วหรือ ตอนเด็กๆ ข้าติดเล่นมากจนนิ้วเจ็บ ท่านเองก็ช่วยข้าทำความสะอาดแผลเช่นนี้...ท่านยังไม่รังเกียจว่ามันจะสกปรก แล้วลูกจะรังเกียจท่านได้อย่างไร?”หลินกุ้ยเฟยนึกถึงสมัยที่หลี่หลงหลินยังเป็นเด็ก ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม “ใช่แล้ว ตอนนั้นเจ้ายังเด็ก เจ้าซนมากจริงๆ เจ้าเหมือนลิง มักจะปีนขึ้นปีนลูกที่สูงตลอด...”ในขณะที่ช่วยหลินกุ้ยเฟยพันผ้าพันแผลที่นิ้วของนาง หลี่หลงหลินก็พูดด้วยความประหลาดใจ “ท่านแม่ ท่านชอบดูแลดอกไม้ ข้าไม่ขัดข้อง! แต่ว่างาตัดแต่งกิ่งไม้เช่นนี้เป็นงานลำบาก ให้บ่าวรับใช้ทำก็ได้...”หลินกุ้ยเฟยมองดูใบหน้าอันหล่อเหลาของหลี่หลงหลิน พร้อมกล่าวว่า “ลูกชายข้าโตขึ้นแล้วจริงๆ รู้จักห่วงใยแม่ด้วย! แต่ว่าเรื่องความสุขที่เจ้าไม่เข้าใจ ก็ต้องไปลงมือทำเอง ถึงจะน่าสนใจ! ““จริงสิ เจ้าม
ทันใดนั้นฮ่องเต้หวู่ก็ลืมตาขึ้น แล้วพูดด้วยความประหลาดใจ “ความดีความชอบของข้า? แต่ว่าเมื่อก่อนนี้ข้าละเลยเจ้าเก้า ไม่เคยสั่งสอนแนะนำอะไรเจ้าเก้าเลยนะ...”หลินกุ้ยเฟยหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ท่านไม่ได้สอนบทเรียนกับเขา แต่ท่านก็เป็นแบบอย่างให้เขา! ลูกชายเคยบอกหลายครั้งว่าเขาอยากเป็นแม่ทัพเหมือนกับท่าน ต่อสู้ในสนามรบและจงรักภักดีต่อแคว้น...”ร่างกายของฮ่องเต้หวู่สั่นสะท้าน เขากล่าวด้วยความตกใจ “หรือว่าแม่ทัพชราในบทกวีหม่านเจียงหง ไม่ใช่แม่ทัพอาวุโสซู แต่เป็น...ข้า!”เดิมทีฮ่องเต้หวู่คิดว่าตัวเอกของบทกวีหม่านเจียงหงจะเป็นแม่ทัพอาวุโสซูแต่เมื่อคิดอย่างรอบคอบแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้นเสมอไป!เพราะอย่างไร ครั้งหนึ่งตนก็เคยเข้าร่วมกองทัพ พิชิตทั่วสารทิศ และยังเคยประสบความสำเร็จมากมายจอนผมทั้งสองข้างของตนก็เริ่มขาว ผมขาวแต่เยาว์วัยหลินกุ้ยเฟยกล่าวด้วยเสียงหนักแน่น “บทกวีหม่านเจียงหงของลูกชาย! ต้องหมายถึงฝ่าบาทแน่นอนเพคะ! อย่างไร แม่ทัพอาวุโสซูก็เสียสละชีวิตเพื่อแคว้นไปแล้ว! แล้วจะรอบรวมใต้หล้าได้อย่างไร? ผู้ที่ทำเรื่องนี้ได้ มีเพียงฮ่องเต้คนเดียวเพคะ!”ฮ่องเต้หวู่รู้สึกตื่นเต้
“อย่างแรก การพระราชทานการสอบในครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อวันพระราชสมภพของไทเฮา ท่านเป็นผู้ดูแลด้วยตัวเอง ถือเป็นการแสดงความกตัญญู!”“สอง หม่อมฉันได้ยินข่าวลือมาบ้างว่าการสอบขุนนางต้าเซี่ยไม่ยุติธรรม มีการทุจริตต่อหน้าที่อย่างร้ายแรงแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว! หากท่านเป็นผู้ดูแลด้วยตัวเอง ท่านก็จะสามารถให้ความยุติธรรมต่อบัณฑิตทั่วหล้าได้!”“สาม ท่านเป็นผู้ออกคำถามด้วยตัวเอง จะได้เป็นโอกาสที่ดีในการแสดงความสามารถในการบริหารบ้านเมือง!”“หม่อมฉันไม่ได้มีเจตนาเห็นแก่ตัวจริงๆ หม่อมฉันคิดไตร่ตรองเพื่อฮ่องเต้เท่านั้นเพคะ...”ยิ่งหลินกุ้ยเฟยพูดมากเท่าไหร่ น้ำตาของนางก็ยิ่งไหลลงมามากเท่านั้น เหมือนดอกสาลี่ที่เปื้อนฝน ยิ่งเห็นก็ยิ่งรู้สึกสงสารทันใดนั้น ฮ่องเต้หวู่ก็ใจอ่าน เอื้อมมือไปโอบเอวหลินกุ้ยเฟยเอาไว้ แล้วช่วยพยุงนางขึ้นมาพร้อมขอโทษ “สนมที่รักของข้า ข้าตำหนิเจ้าผิดแล้ว! การสอบขุนนางพระราชทานครั้งนี้ ข้าจะไม่ใช้ขุนนางเหล่านั้น ข้าจะออกหัวข้อด้วยตนเอง และเป็นผู้ตรวจการการสอบด้วยตัวเอง!”“แต่ข้าควรจะออกหัวข้ออะไรดีล่ะ?”หลินกุ้ยเฟยเปลี่ยนจากร้องไห้เป็นยิ้ม นางเอื้อมมือปิดหูแล้วกล่าวว่า “หม่อมฉันไ
เช้าวันรุ่งขึ้นทะเลคราม ฟ้าสีฟ้า ท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้เมฆ ไกลสุดสายตาเรือใหญ่ลำหนึ่งแล่นออกจากท่าเรือตงไห่อย่างโอ่อ่า ท่วงทีองอาจไม่ธรรมดาการออกทะเลครั้งนี้ หลี่หลงหลินไม่เพียงแต่พาเหล่าพี่สะใภ้มาด้วยหลายคน แต่ยังคัดเลือกทหารยอดฝีมือของตระกูลซูมาเป็นพิเศษอีกสามร้อยนายซูเฟิ่งหลิงยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ ทอดสายตามองไปยังเส้นขอบฟ้าที่ผืนน้ำจรดกับผืนฟ้า แววตาเต็มไปด้วยความกังวล ลมทะเลพัดผ่าน ผ้าคลุมสีแดงสดด้านหลังนางปลิวสะบัดพลิ้วไหว!หลี่หลงหลินบิดขี้เกียจ กระทืบเท้าลงบนดาดฟ้าเรือเบาๆเรือของเมืองตงไห่แข็งแรงกว่าที่ข้าคิดไว้มากตอนนี้หลี่หลงหลินทำได้เพียง มีอะไรก็ใช้อย่างนั้นไปก่อนแม้จะเทียบไม่ได้กับเรือประมงหมื่นตันในจินตนาการแต่แค่จับปลาหลายพันชั่งขึ้นมาก็ยังถือว่าสบายมากหลี่หลงหลินหยิบคันเบ็ดออกมานั่งลงข้างๆ ซูเฟิ่งหลิง ด้วยท่าทางสบายๆ ราวกับไม่ได้กังวลแม้แต่น้อยซูเฟิ่งหลิงขมวดคิ้วงาม กล่าวเสียงขรึม "รัชทายาท ท่านบอกว่าจะพาพวกเราออกมาจับปลา คงไม่ได้คิดจะใช้แค่คันเบ็ดนี่ตกปลาหรอกนะเพคะ?"เหล่าพี่สะใภ้ก็รู้สึกว่ามันเหลือเชื่ออยู่บ้างอาศัยเพียงคันเบ็ดคันเดียวของหลี่หลงหลิน
ลั่วอวี้จู๋ก็ตกตะลึงไปเช่นกัน นางส่ายหน้าไม่หยุดกล่าวว่า “ไม่ได้ น้องหญิง เจ้าอย่าพูดอะไรพล่อยๆ บัญชีมันไม่ได้คำนวณแบบนั้น! ตอนนี้ประชาชนหลายแสนคนในตงไห่กำลังรอเสบียงอาหารอยู่ นี่ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เพียงแค่พึ่งพาการล่าสัตว์ อย่างไรก็ไม่พอ!”ตอนนี้ไม่เพียงแต่ต้องคำนึงถึงค่ากินอยู่ใช้สอยของเหล่าทหารกองทัพตระกูลซูทั้งหมด แต่ที่สำคัญกว่าคือการแก้ปัญหาความต้องการเสบียงอาหารของประชาชนตงไห่ทั้งหมดซูเฟิ่งหลิงขมวดคิ้วเรียวงาม “ถ้าไม่ไหวจริงๆ ข้าจะนำกองทัพตระกูลซูไปปล้นยุ้งฉางของพวกพ่อค้าเหล่านั้นเสียเลย! แบบนี้พวกเราก็จะมีเสบียงอาหารแล้วไม่ใช่รึ?”ลั่วอวี้จู๋ตกใจ รีบกล่าวว่า “น้องหญิง! เจ้าอย่าทำเรื่องเหลวไหล!”“เจ้าทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ แล้วชื่อเสียงของกองทัพตระกูลซูจะทำอย่างไร! ชื่อเสียงอันดีงามที่ตระกูลซูผู้จงรักภักดีสืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษจะถูกทำลายในพริบตาได้อย่างไร?”“อีกอย่าง ท่านย่าก็คงไม่อนุญาตให้เจ้าทำตามอำเภอใจเช่นนี้แน่!”ซูเฟิ่งหลิงเบ้ปาก พึมพำว่า “ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง...”ตระกูลซูรับราชการทหารมาหลายชั่วอายุคน ทั้งตระกูลจงรักภักดี ไม่เคยทำเรื่องผิดต่อมโนธรรมใดๆ แม้กระทั
ตกเย็น จวนอ๋องตงไห่สว่างไสวไปด้วยแสงไฟเหล่าพี่สะใภ้รวมตัวกันอยู่ในห้อง ใบหน้างดงามซีดเผือด ดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล ทุกคนต่างกลัดกลุ้มกับสถานการณ์ปัจจุบันของตงไห่ลั่วอวี้จู๋ขมวดคิ้วเรียวเล็กน้อย ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “รัชทายาท ตอนนี้พวกเราควรทำเช่นไรดี? ท่านสัญญาว่าจะทำให้ราษฎรตงไห่ทุกคนได้กินเนื้อสัตว์ภายในเจ็ดวัน แต่ตอนนี้อย่าว่าแต่เนื้อเลย เกรงว่าแม้แต่การกินให้อิ่มท้องธรรมดาๆ ก็ยังยาก”เมื่อตอนเย็น ลั่วอวี้จู๋ได้ส่งคนไปสืบราคาเสบียงอาหารในตลาดแล้วและก็เป็นไปตามคาด หลังจากที่ราษฎรตื่นตระหนก ราคาเสบียงอาหารก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปอีก ถึงขนาดที่ว่าในตลาดตงไห่ไม่มีข้าวสารขายในทันทีแล้ว หากต้องการซื้อทันทีก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มพิเศษ!เหล่าราษฎรต่างพากันส่งเสียงก่นด่าอย่างคับแค้น สถานการณ์เริ่มจะดำเนินไปในทิศทางที่ควบคุมไม่ได้แล้วลั่วอวี้จู๋มองไปยังหลี่หลงหลิน ถอนหายใจกล่าวว่า “รัชทายาท ตอนนี้วิธีที่ง่ายที่สุดคือการขายทรัพย์สมบัติทั้งหมด แล้วนำเงินไปแลกเป็นเสบียงอาหารเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย”“แต่ข้าคำนวณดูแล้ว ต่อให้ขายทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลซู ก็ทำได้เพียงแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น
เหล่าราษฎรจ้องเขม็งไปยังหลี่หลงหลิน ต้องการคำอธิบายจากเขา หากไม่ได้ความในวันนี้ พวกเขาสาบานว่าจะไม่ยอมเลิกรา!หลี่หลงหลินเชิดหน้าอกผาย กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ปากท้องของราษฎรคือเรื่องสำคัญที่สุด ในเมื่อตงไห่เป็นดินแดนในอาณัติของข้า เช่นนั้นพวกท่านก็คือราษฎรของข้า หลี่หลงหลิน”“แม้จะมีภัยพิบัติทางธรรมชาติและภัยจากมนุษย์ แต่ข้ารับรองว่าจะไม่ปล่อยให้พวกท่านต้องอดอยากหิวโหยเป็นอันขาด เรื่องเสบียงอาหารนั้นขอให้ราษฎรวางใจ ภายในเจ็ดวัน ข้าจะทำให้พวกท่านได้กินอิ่มท้องอย่างแน่นอน!”น้ำเสียงของหลี่หลงหลินทรงพลังอย่างยิ่ง ถ้อยคำดังก้องกังวานอยู่ในโสตประสาทของเหล่าราษฎรผู้คนต่างส่งเสียงฮือฮา“ขี้โม้!”“พี่น้องทั้งหลาย อย่าได้หลงเชื่อคำโอ้อวดของเขาเลย! ดูสิ ยุ้งฉางเหล่านี้ล้วนว่างเปล่า! จะเอาข้าวที่ไหนมาให้พวกเรา!”“หากวันนี้ไม่ให้คำตอบที่ชัดเจนกับพวกเรา แล้วอีกเจ็ดวันพวกเราจะไปเรียกร้องความเป็นธรรมกับใคร!”“ใช่แล้ว!”“หากวันนี้ไม่ยอมมอบเสบียงอาหารออกมา ก็อย่าหวังว่าจะได้ก้าวเท้าออกจากยุ้งฉางนี้ไปได้!”ชายฉกรรจ์ผู้เป็นหัวหน้าโบกแขนตะโกนปลุกระดมเหล่าราษฎร ผู้คนต่างขานรับเป็นเสียงเดี
เหล่าราษฎรที่อยู่ด้านนอกยุ้งฉางต่างชูกำปั้นตะโกนก้อง เสียงดังสะท้อนไปทั่วฟ้า “แจกจ่ายเสบียง! แจกจ่ายเสบียง!”ข่าวราคาเสบียงอาหารในเมืองตงไห่พุ่งสูงขึ้นได้แพร่กระจายออกไปแล้ว ราษฎรต่างตื่นตระหนกหวาดกลัว จึงนัดหมายกันมารวมตัวที่หน้ายุ้งฉางเพื่อเรียกร้องขอเสบียง ก่อเกิดเป็นพลังมหาศาลหากไม่ใช่เพราะเหล่าทหารที่คอยขัดขวางไว้ เกรงว่าป่านนี้เหล่าราษฎรคงบุกเข้าไปในยุ้งฉางแล้วลั่วอวี้จู๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวเสียงเบา “รัชทายาท เช่นนี้จะทำอย่างไรดี ตอนนี้ยังไม่ได้ขาดแคลนเสบียงอาหารถึงที่สุด แต่ความโกรธแค้นของราษฎรก็รุนแรงถึงเพียงนี้แล้ว หากมีวันใดที่เสบียงหมดลงจริงๆ...”ใบหน้างามของลั่วอวี้จู๋ซีดขาว ริมฝีปากแดงเม้มแน่น ยืนนิ่งตะลึงงันอยู่กับที่ นางไม่อาจจินตนาการถึงภาพนั้นได้ราษฎรที่ก่อความวุ่นวายนอกยุ้งฉางมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงก็ดังขึ้นเรื่อยๆเหล่าทหารยามเริ่มชักดาบประจำกายออกมา แต่สำหรับเหล่าราษฎรแล้ว หากไม่มีเสบียงให้กิน ในภายภาคหน้าก็มีแต่ความตายสถานเดียว!ซูเฟิ่งหลิงขมวดคิ้วงามเล็กน้อย แววตาหงส์ฉายประกายดุดัน “รัชทายาท หากปล่อยให้พวกเขาอาละวาดต่อไปเช่นนี้ ต้องเกิดเรื่องแน่เพค
ลั่วอวี้จู๋เดินเข้ามาก่อนสองก้าว กล่าวว่า “องค์รัชทายาท ตอนนี้แม้จะจัดการกับพวกพ่อค้าเศรษฐี แต่ก็ยังต้องหาวิธีแก้ไขปัญหาเรื่องเสบียงอาหารก่อน มิฉะนั้นเมื่อถึงเวลา ราษฎรอาจตื่นตระหนก ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อพวกเราได้”หลี่หลงหลินเพียงแค่แย้มยิ้มบางเบาซูเฟิ่งหลิงกล่าวว่า “องค์รัชทายาท ยุ้งฉางเมืองตงไห่ถือเป็นสถานที่สำคัญยิ่งของต้าเซี่ย ข้างในย่อมต้องมีเสบียงเก็บไว้แน่นอน ตอนนี้สามารถนำเสบียงในยุ้งฉางออกมาแจกจ่ายช่วยเหลือราษฎร เพื่อให้พวกเขาคลายกังวลได้แล้วเพคะ”ลั่วอวี้จู๋พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่แล้วเพคะ องค์รัชทายาท ทำให้ราษฎรคลายกังวลลงก่อน แล้วค่อยว่ากันถึงแผนขั้นต่อไป”หลี่หลงหลินส่ายหน้า กล่าวเสียงเรียบ “ไม่ต้องเสียแรงเปล่าแล้ว ยุ้งฉางเมืองตงไห่ถูกขนย้ายไปจนหมดสิ้นนานแล้ว ไม่เหลือแม้แต่เมล็ดเดียว ตอนนี้เหลือเพียงแค่ยุ้งฉางเปล่าๆ เท่านั้น”ทั้งสองคนตกตะลึง“เป็นไปได้อย่างไร? ยุ้งฉางนั้นเป็นเสบียงช่วยชีวิตที่ราชสำนักเก็บไว้ เพื่อรับประกันว่าราษฎรจะไม่อดตายในปีที่เกิดภัยพิบัติ จะมีคนกล้าบ้าบิ่นถึงเพียงนี้ มาคิดการใหญ่กับมันได้อย่างไร?”ซูเฟิ่งหลิงไม่อยากจะเชื่อคำพูดของหลี่หลงหลินหลี่
ตำหนักอ๋องตงไห่หลี่หลงหลินเดินออกจากห้องก็พบกับลั่วอวี้จู๋และซูเฟิ่งหลิงที่รีบร้อนเข้ามาพอดีลั่วอวี้จู๋มีสีหน้าตื่นตระหนก รีบกล่าวว่า “องค์รัชทายาท เกิดเรื่องใหญ่แล้วเพคะ!”หลี่หลงหลินหาว กล่าวเรียบๆ ว่า “พี่สะใภ้ ไม่ต้องรีบร้อน มีอะไรค่อยๆ พูด”ลั่วอวี้จู๋หอบหายใจเล็กน้อย กล่าวว่า “เมื่อครู่ข้ากับน้องหญิงกำลังดูแลร้านค้าของตระกูลซูในตงไห่ที่ถนน ได้ยินเถ้าแก่บอกว่า ตอนนี้ราคาธัญพืชในตงไห่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว วันเดียวเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว!”“เรื่องผิดปกติย่อมมีเบื้องหลัง ดังนั้นจึงรีบกลับมารายงานองค์รัชทายาท”ปากท้องของประชาชนคือเรื่องสำคัญที่สุดราคาธัญพืชเกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎร หากราคาธัญพืชผิดปกติ ผลที่ตามมาจะร้ายแรงมาก!ซูเฟิ่งหลิงพยักหน้า ตอบว่า “องค์รัชทายาท ตอนนี้เป็นปีแห่งภัยพิบัติอยู่แล้ว เกิดภัยแล้งติดต่อกันหลายปี ผลผลิตธัญพืชลดลงทุกปี บ้านเรือนของราษฎรแทบไม่มีเสบียงสำรอง ต้องอาศัยการซื้อธัญพืชประทังชีวิตทั้งสิ้น”“แต่ตอนนี้ถ้าหากราคาธัญพืชพุ่งสูงขึ้น แล้วราษฎรในตงไห่เหล่านี้จะทำอย่างไร?”หลี่หลงหลินมองลั่วอวี้จู๋ กล่าวเรียบๆ ว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่าน
“แต่ทุกท่านกลับมองข้ามเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งไป นั่นคือโอกาสที่จะร่ำรวยมหาศาล”แววตาละโมบปรากฏขึ้นในดวงตาของหลู่จงหมิง“นั่นก็คือเสบียงอาหาร”พอหลู่จงหมิงกล่าวคำนี้ออกมา ทั่วทั้งห้องก็เกิดเสียงฮือฮา พูดคุยวิพากษ์วิจารณ์กันเซ็งแซ่พ่อค้าร่ำรวยไม่อาจปิดบังความดีใจอย่างบ้าคลั่งในใจ “ท่านพระเชษฐภาดา ท่านหมายความว่าจะลงมือกับราคาธัญพืชหรือ?”หลู่จงหมิงเผยรอยยิ้มเย็นชา “ถูกต้อง”ปัจจุบันต้าเซี่ยประสบภัยแล้งติดต่อกันหลายปี ผลผลิตธัญพืชลดลงทุกปี แม้แต่ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์อย่างตงไห่ ยุ้งฉางก็ร่อยหรอเต็มทีแล้วยิ่งไปกว่านั้น หลี่หลงหลินนำกองทัพใหญ่มาปักหลักที่ตงไห่ ค่ากินอยู่ใช้สอยล้วนต้องเบิกจ่ายจากท้องพระคลังตงไห่แม้ว่ากบฏจะถูกปราบปรามจนสงบ ก็จะยิ่งเพิ่มแรงกดดันด้านเสบียงอาหารให้กับตงไห่มากขึ้นเท่านั้นยิ่งไปกว่านั้น อาจมีสถานการณ์กบฏที่รุนแรงกว่าเกิดขึ้นได้อีกถึงตอนนั้น เสบียงอาหารของตงไห่ก็จะยิ่งน้อยลงเรื่อยๆของยิ่งน้อยยิ่งมีค่า ราคาธัญพืชย่อมต้องถูกปั่นสูงขึ้นปากท้องของประชาชนคือเรื่องสำคัญที่สุดพ่อค้าร่ำรวยย่อมรู้หนทางสู่ความร่ำรวยด้วยการกักตุนธัญพืช ปั่นราคา แต่ไม่มีใครกล
จวนตระกูลหลู่คานแกะสลัก เสากรอบวาดลวดลาย วิจิตรตระการตา ทองเหลืองเรืองรอง หลู่จงหมิงมีสีหน้าเคร่งขรึม สายตากวาดมองเหล่าพ่อค้าที่มาถึง “มากันครบแล้วหรือ?”เงียบสงั ดจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตกพ่อค้าเหล่านี้หูตาสว่าง รู้เรื่องที่พระเชษฐภาดาเจอในจวนอ๋องนานแล้ว ไม่กล้าราดน้ำมันบนกองไฟในจังหวะสำคัญนี้ พ่อค้าที่ปกติหยิ่งยโสโอหังต่างก็สงบเสงี่ยมเจียมตัวต่อหน้าหลู่จงหมิง ไม่กล้าพูดมาก เกรงว่าจะล่วงเกินแม้หลู่จงหมิงจะเสียหน้าอย่างหนักในจวนอ๋อง แต่ก็ไม่ใช่คนที่พ่อค้าอย่างพวกเขาจะดูเบาได้พ่อบ้านจวนตระกูลหลู่เดินเข้ามากล่าวเสียงเบา “นายท่าน ยังมีคนจากตระกูลซุนและตระกูลจ้าวที่ยังไม่มา ท่านจะว่าอย่างไร...”หลู่จงหมิงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ตวาดว่า “ไม่มาก็ไม่ต้องมาแล้ว! กล้าดีอย่างไรไม่เห็นคำพูดของข้าผู้เป็นพระเชษฐภาดาอยู่ในสายตา”หลู่จงหมิงมองเหล่าพ่อค้ามั่งคั่งที่อยู่ ณ ที่นั้น กล่าวเสียงเย็นชา “นับแต่นี้ไป ทุกท่านที่อยู่ที่นี่ห้ามทำการค้าใดๆ กับสองตระกูลนี้ หากข้าพบเข้า... หึหึ!”แววตาอำมหิตวาบผ่านดวงตาของหลู่จงหมิงนี่คือเขาต้องการแสดงอำนาจ สร้างบารมี กู้หน้าตาที่เสียไปกลับคืนมาพ่อค