“หนิงชิงโหว?”ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้ว “เจ้าต้องการแนะนำคนผู้นี้รึ?”หรงกั๋วกงจางเฉวียนเอ่ยปายเสียงหนัก “ไม่ผิด! คนผู้นี้รอบรู้มีความสามารถ ความรู้ห้าคันเกวียน มีพรสวรรค์ของจอหงวน! เพียงน่าเสียดาย วาสนาไม่ดี สอบตกในการสอบขุนนางพ่ะย่ะค่ะ!”“หากคนผู้นี้ไม่สามารถเป็นขุนนางในราชสำนักได้ ช่างมีตาหามีแววไม่ น่าเสียดายเกินไปแล้ว!”ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้ว “แต่ตู้เหวินยวนพูดว่าคนผู้นี้โกงสอบขุนนาง ถึงถูกยึดตำแหน่งไป!”จางเฉวียนตอบเร็วโดยไม่ยั้งคิด “ถูกยึดตำแหน่งเป็นเรื่องจริง แต่โกงสอบเป็นเรื่องเท็จ! หากฝ่าบาทไม่เชื่อ สามารถสั่งสามกรมร่วมกันตรวจสอบคดีนี้ได้พ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หวู่หันมองตู้เหวินยวน “ท่านขุนนาง เจ้าคิดเห็นเช่นไร?”ตู้เหวินยวนว้าวุ่นแล้ว “โกงสอบขุนนาง เป็นคดีเก่าผ่านมาหลายปีแล้ว ตรวจสอบตอนนี้ยากเกินไป! กระหม่อมคิดว่าไม่จำเป็นพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หวู่มองตู้เหวินยวนสายตาลุ่มลึกแวบหนึ่งอัครมหาเสนาบดีแห่งต้าเซี่ยท่านนี้ สุขุมรอบคอบ รักเกลียดไม่แสดงผ่านทางสีหน้าเพราะคดีโกงสอบเล็กๆ นี้ ถึงขั้นว้าวุ่นหนัก ต้องมีลับลมคมในเป็นแน่!ทว่า ฮ่องเต้หวู่ไม่คิดสืบต่อไปราษฎร์ไม่ร้องทุกข์ ขุนนางไ
ด่าหรือชมทำไมถึงฟังไม่ออก?ข้ากำลังด่าเจ้าอยู่...ครู่ต่อมา ตู้เหวินยวนก็ฟื้นขึ้นมาแล้วเวลาล่วงเลยไป!องค์ชายเก้าในวันนี้ไม่ใช่คนเสเพลไร้ประโยชน์อย่างในปีนั้นอีกแล้ว!แต่เป็นคนที่มีความสามารถในการต่อสู้สูง เป็นนักกวีผู้มีความรู้มากมายในหมู่คนทั่วไป ยังคงมองว่าองค์ชายเก้าเป็นดวงดาวแห่งการศึกษาที่ลงมาจุติยังโลกมนุษย์เมื่อครู่ตนเพิ่งจะด่าจางเฉวียน บอกว่าลูกชายของเขาแย่กว่าดวงดาวแห่งการศึกษานี่ใช่คำด่าเสียที่ไหนนั่นเป็นคำชื่นชมชัดๆ!ปอดของตู้เหวินยวนแทบจะระเบิดด้านโต้แย้ง ตนพ่ายแพ้ให้องค์ชายเก้าครั้งแล้วครั้งเล่าก็ยังพอทนเจ้าเด็กคนนี้ ปากคอเราะราย มีความคิดเฉียบไว และฉลาดนิดหน่อยแต่จางเฉวียนเป็นผู้สูงศักดิ์คำพูดคำจาเงอะงะไม่ทันใคร ตนจึงได้พ่ายแพ้ไปแบบนี้มันยากจะทนไหวจริงๆ!ตู้เหวินยวนสะบัดแขนเสื้อด้วยความโกรธและพูดอย่างด้วยความโกรธ“หรงกั๋วกง ข้าจะไม่โต้เถียงกับเจ้า!”หลังจากพูดเช่นนี้แล้ว ตู้เหวินยวนก็ยกมือคำนับต่อฮ่องเต้หวู่ “ฝ่าบาท บัณฑิตที่หยิ่งยโสอย่างหนิงชิงโหวไม่สามารถเป็นขุนนางได้! กระหม่อมไม่เห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ...”ขุนนางคนอื่นๆ ยกมือคำนับ “พวกกระหม่อมก็ไม่เ
จางเฉวียนเองก็ประหลาดใจมาก มองดูหลี่หลงหลินด้วยสายตาล้ำลึกการพระราชทานสอบขุนนาง เป็นเรื่องใหญ่จางเฉวียนไม่แปลกใจเลยที่ฮ่องเต้จะเห็นด้วยอย่างไรก็ตาม สิ่งที่จางเฉวียนไม่คาดคิดก็คือขุนนางอย่างตู้เหวินยวนกลับเห็นด้วยอย่างเต็มใจเช่นนี้!เห็นได้ชัดว่าจิตใจของพวกเขา ถูกหลี่หลงหลินควบคุมเอาไว้ในกำมือได้แล้ว!“ความสามารถขององค์ชายเก้าช่างยากแท้หยั่งถึง!”จางเฉวียนตกใจไม่น้อยเขารู้ว่า ในราชสำนักนอกจากกองกำลังเดิมแล้ว ก็ยังมีกองกำลังใหม่ที่เกิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน จากนั้นก็เปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาพรวมของต้าเซี่ยในราชสำนัก!แต่สำหรับชนชั้นสูงอย่างจางเฉวียน ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร!อย่างไรเสีย องค์ชายเก้าก็เป็นชนชั้นสูงมาแต่กำเนิด และเป็นคนฝั่งตนเองด้วย!ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยของตระกูลซู ได้รับการสืบทอดมาจากตระกูลซู...ขณะที่จางเฉวียนกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ฮ่องเต้หวู่ก็ตรัสว่า “หรงกั๋วกง เรื่องการสอบขุนนางพระราชทาน เจ้าคิดอย่างไร?”จู่ๆ จางเฉวียนก็ได้สติกลับมา แล้วรีบกล่าวว่า “ฝ่าบาทต้องการพระราชทานเปิดการสอบขุนนาง รับสมัครผู้มีความสามารถ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับแคว้น นับว่าเป็นเรื่
ดูเหมือนว่าตอนที่นางตัดแต่งกิ่งไม้เมื่อครู่นี้ มือหยกของนางถูกกิ่งดอกไม้แทง จนกระทั่งล้างมือถึงพบเข้าหลี่หลงหลินรีบคว้านิ้วที่บาดเจ็บของหลินกุ้ยเฟย แล้วใส่เข้าไปในปากของเขา พร้อมกับดูดมันเบาๆหลินกุ้ยเฟยหน้าแดงก่ำ “ลูกชาย มันสกปรก...”หลี่หลงหลินเงยหน้าขึ้น พร้อมกับกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ ท่านลืมไปแล้วหรือ ตอนเด็กๆ ข้าติดเล่นมากจนนิ้วเจ็บ ท่านเองก็ช่วยข้าทำความสะอาดแผลเช่นนี้...ท่านยังไม่รังเกียจว่ามันจะสกปรก แล้วลูกจะรังเกียจท่านได้อย่างไร?”หลินกุ้ยเฟยนึกถึงสมัยที่หลี่หลงหลินยังเป็นเด็ก ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม “ใช่แล้ว ตอนนั้นเจ้ายังเด็ก เจ้าซนมากจริงๆ เจ้าเหมือนลิง มักจะปีนขึ้นปีนลูกที่สูงตลอด...”ในขณะที่ช่วยหลินกุ้ยเฟยพันผ้าพันแผลที่นิ้วของนาง หลี่หลงหลินก็พูดด้วยความประหลาดใจ “ท่านแม่ ท่านชอบดูแลดอกไม้ ข้าไม่ขัดข้อง! แต่ว่างาตัดแต่งกิ่งไม้เช่นนี้เป็นงานลำบาก ให้บ่าวรับใช้ทำก็ได้...”หลินกุ้ยเฟยมองดูใบหน้าอันหล่อเหลาของหลี่หลงหลิน พร้อมกล่าวว่า “ลูกชายข้าโตขึ้นแล้วจริงๆ รู้จักห่วงใยแม่ด้วย! แต่ว่าเรื่องความสุขที่เจ้าไม่เข้าใจ ก็ต้องไปลงมือทำเอง ถึงจะน่าสนใจ! ““จริงสิ เจ้าม
ทันใดนั้นฮ่องเต้หวู่ก็ลืมตาขึ้น แล้วพูดด้วยความประหลาดใจ “ความดีความชอบของข้า? แต่ว่าเมื่อก่อนนี้ข้าละเลยเจ้าเก้า ไม่เคยสั่งสอนแนะนำอะไรเจ้าเก้าเลยนะ...”หลินกุ้ยเฟยหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ท่านไม่ได้สอนบทเรียนกับเขา แต่ท่านก็เป็นแบบอย่างให้เขา! ลูกชายเคยบอกหลายครั้งว่าเขาอยากเป็นแม่ทัพเหมือนกับท่าน ต่อสู้ในสนามรบและจงรักภักดีต่อแคว้น...”ร่างกายของฮ่องเต้หวู่สั่นสะท้าน เขากล่าวด้วยความตกใจ “หรือว่าแม่ทัพชราในบทกวีหม่านเจียงหง ไม่ใช่แม่ทัพอาวุโสซู แต่เป็น...ข้า!”เดิมทีฮ่องเต้หวู่คิดว่าตัวเอกของบทกวีหม่านเจียงหงจะเป็นแม่ทัพอาวุโสซูแต่เมื่อคิดอย่างรอบคอบแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้นเสมอไป!เพราะอย่างไร ครั้งหนึ่งตนก็เคยเข้าร่วมกองทัพ พิชิตทั่วสารทิศ และยังเคยประสบความสำเร็จมากมายจอนผมทั้งสองข้างของตนก็เริ่มขาว ผมขาวแต่เยาว์วัยหลินกุ้ยเฟยกล่าวด้วยเสียงหนักแน่น “บทกวีหม่านเจียงหงของลูกชาย! ต้องหมายถึงฝ่าบาทแน่นอนเพคะ! อย่างไร แม่ทัพอาวุโสซูก็เสียสละชีวิตเพื่อแคว้นไปแล้ว! แล้วจะรอบรวมใต้หล้าได้อย่างไร? ผู้ที่ทำเรื่องนี้ได้ มีเพียงฮ่องเต้คนเดียวเพคะ!”ฮ่องเต้หวู่รู้สึกตื่นเต้
“อย่างแรก การพระราชทานการสอบในครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อวันพระราชสมภพของไทเฮา ท่านเป็นผู้ดูแลด้วยตัวเอง ถือเป็นการแสดงความกตัญญู!”“สอง หม่อมฉันได้ยินข่าวลือมาบ้างว่าการสอบขุนนางต้าเซี่ยไม่ยุติธรรม มีการทุจริตต่อหน้าที่อย่างร้ายแรงแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว! หากท่านเป็นผู้ดูแลด้วยตัวเอง ท่านก็จะสามารถให้ความยุติธรรมต่อบัณฑิตทั่วหล้าได้!”“สาม ท่านเป็นผู้ออกคำถามด้วยตัวเอง จะได้เป็นโอกาสที่ดีในการแสดงความสามารถในการบริหารบ้านเมือง!”“หม่อมฉันไม่ได้มีเจตนาเห็นแก่ตัวจริงๆ หม่อมฉันคิดไตร่ตรองเพื่อฮ่องเต้เท่านั้นเพคะ...”ยิ่งหลินกุ้ยเฟยพูดมากเท่าไหร่ น้ำตาของนางก็ยิ่งไหลลงมามากเท่านั้น เหมือนดอกสาลี่ที่เปื้อนฝน ยิ่งเห็นก็ยิ่งรู้สึกสงสารทันใดนั้น ฮ่องเต้หวู่ก็ใจอ่าน เอื้อมมือไปโอบเอวหลินกุ้ยเฟยเอาไว้ แล้วช่วยพยุงนางขึ้นมาพร้อมขอโทษ “สนมที่รักของข้า ข้าตำหนิเจ้าผิดแล้ว! การสอบขุนนางพระราชทานครั้งนี้ ข้าจะไม่ใช้ขุนนางเหล่านั้น ข้าจะออกหัวข้อด้วยตนเอง และเป็นผู้ตรวจการการสอบด้วยตัวเอง!”“แต่ข้าควรจะออกหัวข้ออะไรดีล่ะ?”หลินกุ้ยเฟยเปลี่ยนจากร้องไห้เป็นยิ้ม นางเอื้อมมือปิดหูแล้วกล่าวว่า “หม่อมฉันไ
หนิงชิงโหวเดินมาพร้อมกับบัณฑิตหยิ่งยโส มาถึงกระท่อมที่ทรุดโทรมหลังหนึ่งนี่คือกระท่อมที่คับแคบและทรุดโทรมที่เขาอาศัยอยู่นับตั้งแต่หนิงชิงโหวสอบตก และถูกปลดจากเกียรติยศ ใช้ชีวิตอย่างไร้ค่าไปวันๆ แทบไม่เหมือนคนตอนนี้หลายคนมารวมตัวกันอยู่ที่หน้ากระท่อมมุงจากมีชาวบ้านมาดูความความครึกครื้นนอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการด้วยผู้นำก็คือบัณฑิตจากสำนักฮั่นหลินก็คือเฉินตันชิงอาจารย์ผู้มีพระคุณของชิงหนิงโหว!“ท่านอาจารย์...”“ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร?”หนิงชิงโหวเอามือปิดหน้า ไม่กล้ามองไปที่เฉินตันชิงเขาคือคนที่หยิ่งผยองที่สุดหลังจากสอบตก หนิงชิงโหวก็ตัดสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมชั้นในสำนักศึกษา และยิ่งไม่ไปพบหน้าเฉินตันชิงอาจารย์ผู้มีพระคุณของตนเลยแต่ไม่คิดว่าวันนี้เฉินตันชิงจะมาที่นี่ด้วยตัวเองหนิงชิงโหวรู้สึกหวาดกลัว ไม่กล้าแสดงความเย่อหยิ่งต่อหน้าอาจารย์ของตน“ชิงโหว...”เฉินตันชิงถอนหายใจ น้ำตาไหลพราก “เจ้าไม่จำเป็นต้องโทษตัวเอง อาจารย์เองที่ไม่มีหน้ามาพบเจ้า! เรื่องในปีนั้น อาจารย์ไร้ความสามารถเอง ไม่อาจปกป้องเจ้าได้...”เฉินตันชิงเป็นบัณฑิตของสำนักฮั่นหลิน เป็นผ
ต้องเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน!คราวนี้การสอบขุนนางพระราชทาน ต้องเป็นเวทีเต้นรำที่องค์ชายเก้าสร้างให้ตนโดยเฉพาะ!และเป็นเวทีเต้นรำที่ยุติธรรม!น้ำตาไหลพรากออกมาจากหางตาหนิงชิงโหว เขาคุกเข่าแล้วโขกศีรษะไปกับพื้น “ขอบพระทัยในความเมตตาขององค์ชายเก้า! ชิงโหวไม่มีอะไรจะตอบแทนในชีวิตนี้! มีเพียงขอสาบานจะติดตามไปจนวันตาย จนร่างกายจะแหลกสลาย!”เมื่อมาถึงจุดนี้ หนิงชิงโหวบัณฑิตที่หยิ่งยโสอันดับหนึ่ง รู้สึกซาบซึ้งใจต่อหลี่หลงหลินเป็นอย่างมาก!เฉินตันชิงเห็นท่าทางเช่นนี้ของหนิงชิงโหวเจ้าไม่ขอบพระทัยฮ่องเต้ แต่ไปขอบพระทัยองค์ชายเก้าทำไม?ฮ่องเต้พระราชทานการสอบขุนนาง เกี่ยวอะไรกับองค์ชายเก้า?เฉินตันชิงคิดว่าหนิงชิงโหวคงจะทนทุกข์ทรมานมากเกินไป จนเกิดปัญหากับสมองของเขา ในใจก็รู้สึกเศร้าจนพูดอะไรไม่ออก ตบไหล่เขาเบาๆ แล้วพาคนจากไปในพริบตา คนที่มามุงดูความคึกคักที่กระท่อมก็แยกย้ายกันไป เหลือเพียงหนิงชิงโหวและกลุ่มบัณฑิตผู้หยิ่งยโสเท่านั้นอย่างไรมันก็แค่การกู้เกียรติยศกลับมาเท่านั้นไม่ใช่ว่าสอบผ่านขุนนาง และยิ่งไม่ใช่สอบได้อันดับจอหงวนเดิมทีนี่ก็เป็นขั้นตอนเล็กๆ ที่ไม่ได้สำคัญอะไร!ในเวลา
ข้ามศพไปก่อนหรือ? ฮูหยินผู้เฒ่าซูช่างแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ชาวบ้านที่มาชุมนุมประท้วงต่างตกตะลึงราวกับถูกสาปให้กลายเป็นหิน ด้านหลังมีบัณฑิตกลุ่มหนึ่งยุยง: “ก็แค่ยายแก่ใกล้ตายนางหนึ่ง! จะไปกลัวนางทำไม?” “ใช่แล้ว ประตูก็เปิดแล้ว บุกเข้าไป จะกลัวอะไร?” “ไป ๆ ๆ ยายแก่ผู้นี้สมคบคิดกับรัชทายาท ไม่ใช่คนดีอะไร!” ผัวะ! ชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ บันดาลโทสะ ตบหน้าบัณฑิตผู้นั้นไปหนึ่งฉาด “เจ้าปากพล่อยพูดอะไร? นางคือฮูหยินผู้เฒ่าซู!” บัณฑิตผู้นั้นถูกตบจนมึนงง เอามือกุมแก้มที่บวมแดง ยังคิดจะโต้เถียง แต่ชาวบ้านรอบข้างต่างก็จ้องมองเขาด้วยสายตาโกรธเคือง คำพูดหยาบคายที่ในปากของบัณฑิตจึงถูกกลืนกลับลงไป ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ไม่กล้าเอ่ยอะไร บารมีของฮูหยินผู้เฒ่าซูนั้นสูงส่งยิ่งนัก ในใจของชาวบ้าน นางเปรียบเสมือนเทพเจ้า ไม่ใช่สิ่งที่บัณฑิตผู้จมอยู่แต่ในตำรา ไม่ออกมาสัมผัสโลกภายนอกจะเข้าใจได้! ในหมู่ชาวบ้าน มีผู้อาวุโสหลายคนเดินออกมาข้างหน้า โค้งคำนับฮูหยินผู้เฒ่าซูด้วยความเคารพ: “ฮูหยินผู้เฒ่า โปรดระงับโทสะ... พวกเราจะถอยกลับไปเดี๋ยวนี้...”เอ่ยจบ พวกเขาก็นำพาชาวบ้านถอยออกจ
ใบหน้าของกงซูหว่านแดงระเรื่อ “รัชทายาทไม่ต้องเกรงใจ!” ในขณะนี้ หน้าจวนสกุลซูก็เริ่มมีบัณฑิตมารวมตัวกัน ก่อความวุ่นวาย กงซูหว่านรีบไปที่ภูเขาทิศประจิมภายใต้การคุ้มกันของซูเฟิ่งหลิง เวลาผ่านไปนาทีต่อนาที ข่าวการตายของซ่งชิงหลวนแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว บัณฑิตที่ออกมาเดินขบวนประท้วงมีมากขึ้นเรื่อยๆ ประชาชนต่างก็โกรธแค้น เห็นใจซ่งชิงหลวน รู้สึกไม่ยุติธรรมแทนเขา สถานการณ์เริ่มควบคุมไม่ได้! บัณฑิตและประชาชนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ มารวมตัวกันหน้าจวนสกุลซู ร้องตะโกนเสียงดัง “องค์รัชทายาท ออกมา!” “บัณฑิตซ่งตายอย่างไม่เป็นธรรมในคุกหลวง ท่านต้องออกมาชี้แจง!” “บัณฑิตซ่งน่าสงสาร บัณฑิตผู้มีคุณธรรมสูงส่ง กลับต้องมาตายด้วยมือของท่าน!” “ท่านไม่คู่ควรเป็นรัชทายาท!” “บุกเข้าไป ให้รัชทายาทออกมาชี้แจง!” “บัณฑิตซ่งต้องไม่ตายเปล่า ต้องมีคำอธิบาย!” ในฝูงชน มีคนคอยยุยง ปลุกปั่น ความไม่พอใจของประชาชนเพิ่มสูงขึ้น พวกเขาต่างเดือดดาล ประชาชนขาดสติ ภายใต้การนำของผู้ไม่หวังดี พวกเขาพยายามทุบประตูจวนสกุลซู เพื่อบุกเข้าไป ภายในจวนสกุลซู บ่าวไพร่ต่างพากันหวาดกลัว จนตัวสั่นเทา ลั่วอ
“ทำอย่างไรดี?” ซูเฟิ่งหลิงอยู่ในชุดนักรบเต็มยศ สวมชุดเกราะเงินและเสื้อคลุมสีแดง เปล่งประกายความสง่างามและกล้าหาญ คิ้วของนางขมวดเล็กน้อยด้วยความกังวล “ข้าได้ยินมาว่า พวกบัณฑิตก่อเรื่อง ล้อมคุกหลวงไว้! หรือว่า พิธีบวงสรวงสวรรค์วันนี้ พวกเราจะไม่ไป?” “อย่างไรเสีย ฮ่องเต้หวู่ก็ทรงมีรับสั่งแล้ว...” หลี่หลงหลินส่ายหน้า “ไม่ได้! ข้าเป็นรัชทายาท ไม่เข้าร่วมพิธีบวงสรวงสวรรค์ มันไม่สมเหตุสมผล! ยิ่งไปกว่านั้น...” แม้ว่าฮ่องเต้หวู่จะไม่ได้ตรัสอะไรออกมาอย่างชัดเจน แต่พิธีบวงสรวงสวรรค์นี้ นอกเหนือจากการประกาศต่อสวรรค์ ขอพรให้ปีหน้าพืชผลอุดมสมบูรณ์ ลมฝนต้องตามฤดูกาลแล้ว ยังมีการจัดพิธีแต่งตั้งรัชทายาทอย่างเป็นทางการในพิธีนี้อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นพิธีแต่งตั้งรัชทายาทก็คงไม่ผิดนัก หลี่หลงหลินในฐานะตัวเอก หากไม่เข้าร่วม ก็คงไม่สมเหตุสมผล ซูเฟิ่งหลิงขมวดคิ้ว “แต่...มันอันตรายเกินไป ด้วยกำลังของข้าคนเดียว เกรงว่า...” หลี่หลงหลินคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วสั่งการ “เจ้าไปเคลื่อนพลจากภูเขาทิศประจิมมาเดี๋ยวนี้! เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน! นอกจากนี้ ข้าต้องไปพบพี่สะใภ้รองด้วย!” พูดจบ หลี
ไม่ว่าบัณฑิตจะก่อความวุ่นวายอย่างไร ก็ไม่สามารถบุกเข้ามาในวังหลวงได้ แต่การป้องกันของจวนสกุลซูนั้น อ่อนแอกว่าวังหลวงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระหว่างทางที่หลี่หลงหลินเดินทางจากจวนสกุลซูไปยังวังหลวง มีเพียงซูเฟิ่งหลิงที่คอยคุ้มกันอย่างใกล้ชิด หากเหล่าบัณฑิตดักรออยู่ระหว่างทาง หลี่หลงหลินอาจตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต! เว่ยซวินรีบกล่าว "บ่าวจะรีบไปแจ้งองค์ชายเดี๋ยวนี้!" ... จวนสกุลซู เดิมทีหลี่หลงหลินอยากจะนอนตื่นสาย ข้างนอกอากาศหนาวเหน็บ หิมะตกหนัก เขาไม่อยากลุกจากผ้าห่มอุ่นๆ เลย แต่ก็ไม่มีทางเลือก พิธีบวงสรวงสวรรค์เป็นเรื่องสำคัญยิ่งสำหรับต้าเซี่ย หลี่หลงหลินในฐานะรัชทายาท ต้องเข้าร่วมพิธี “เฮ้อ” "รู้งี้ไม่เป็นรัชทายาทดีกว่า!" “ต้องตื่นเช้าเป็นประจำ น่าเบื่อจริงๆ!” หลี่หลงหลินลุกจากเตียงอย่างไม่เต็มใจ ล้างหน้าล้างตา กำลังรับประทานอาหารเช้า ทันใดนั้น ก็มีองครักษ์เสื้อแพรขี่ม้ามา "องค์รัชทายาท ฮ่องเต้หวู่มีรับสั่ง! บัณฑิตซ่งชิงหลวนผูกคอตายในคุกหลวงใต้ดิน! โปรดระวังตัวด้วยพ่ะย่ะค่ะ!" เมื่อหลี่หลงหลินได้ยิน สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนไปทันที หัวใจราวกับถูกคลื่นยักษ์ซัด
วันขึ้นปีใหม่ ตามธรรมเนียมแล้ว ฮ่องเต้ต้องทำพิธีบวงสรวงต่อสวรรค์ เพื่อขอพรให้พืชผลอุดมสมบูรณ์ ฮ่องเต้หวู่ตื่นแต่เช้า อาบน้ำแต่งตัว “ฝ่าบาท...” “เกิดเรื่องใหญ่แล้วพ่ะย่ะค่ะ!” เว่ยซวินเดินก้าวย่างเล็กๆ เข้ามาอย่างเร่งรีบ ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้ว ไม่พอใจ “วันปีใหม่แท้ๆ เช้าตรู่ก็มีเรื่องอัปมงคลเช่นนี้แล้ว!” เว่ยซวินรีบตบหน้าตัวเองหลายครั้ง “บ่าวปากเสียเอง! แต่ฝ่าบาท เกิดเรื่องใหญ่จริงๆ!” ฮ่องเต้หวู่เอ่ยเสียงเย็น “เกิดอะไรขึ้น? ว่ามาเถิด” เว่ยซวินลดเสียงลง “เมื่อคืนวาน ในคุกหลวงใต้ดินเกิดคดีมีผู้เสียชีวิต ซ่งชิงหลวนเขา...เขา...เขาผูกคอตาย!” “อะไรนะ?” สีหน้าของฮ่องเต้หวู่เปลี่ยนไปอย่างมาก ขาวซีดราวกับกระดาษ เดิมทีพระองค์คิดว่าเว่ยซวินคงจะตกใจเกินเหตุ แต่ไม่คิดว่า... จะเกิดเรื่องใหญ่จริงๆ! ซ่งชิงหลวนตายในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้! ฆ่าตัวตาย? หรือถูกฆาตกรรม? ไม่ว่าเขาจะตายอย่างไร เรื่องนี้ก็ยุ่งยากแล้ว! “พวกเจ้าทำอะไรกัน!” ฮ่องเต้หวู่โกรธมาก จึงเอ่ยตำหนิเสียงดัง “คุกหลวงอยู่ในความรับผิดชอบขององครักษ์เสื้อแพร! พวกเจ้าดูแลคนเป็นไม่ได้ จะเอาโทษอย่างไร?” ตุบ! เ
น้ำตาของซ่งชิงหลวนไหลอาบแก้ม เขารีบพุ่งเข้าไปกอดขาของหลี่เทียนฉี่ ร้องไห้ฟูมฟาย “องค์ชายใหญ่ ที่แท้ก็เป็นพระองค์! ข้าขอร้องพระองค์ ช่วยพาข้าออกไปที!” “ที่นี่มันไม่ใช่ที่สำหรับคนอยู่!” “ขอเพียงพระองค์ช่วยข้าออกไป ข้าจะเป็นวัวเป็นม้ารับใช้พระองค์” เดิมที ซ่งชิงหลวนยังคงหยิ่งผยอง คิดจะประท้วงด้วยการอดอาหาร เพื่อบีบให้ฮ่องเต้หวู่ปล่อยตัวตนเองออกไป จนกระทั่งเขาได้เห็นบทความที่ใส่ร้ายเขาในหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ย จึงกระอักเลือดด้วยความโกรธ และตระหนักได้ว่า ตัวเขาเองไม่ได้สำคัญในสายพระเนตรของฮ่องเต้หวู่เลย! แม้แต่มดปลวกยังดิ้นรนเพื่อมีชีวิต แล้วมนุษย์เล่า? หลังจากซ่งชิงหลวนยอมรับความจริง เขาก็ล้มเลิกความคิดโง่ๆ ที่จะอดอาหาร ตอนนี้ เขาแค่อยากมีชีวิตรอด พยายามอย่างหนักเพื่อเอาชีวิตรอด ออกไปจากคุกหลวงใต้ดินที่เส็งเคร็งแห่งนี้ หลี่เทียนฉี่ก้มลงไป กระซิบกับซ่งชิงหลวน “บัณฑิตซ่ง ข้ามาพบเจ้าตามคำสั่งของอาจารย์!” ซ่งชิงหลวนตกใจ ใบหน้าเผยรอยยินดี “อาจารย์ของฮ่องเต้งั้นหรือ? ข้ากับอาจารย์ของฮ่องเต้เป็นสหายสนิท! เขามีปัญญาเฉียบแหลม ต้องมีวิธีช่วยข้าออกไปแน่! พระองค์รีบบอกข้ามาเร็
“รองลงมา...” เสิ่นชิงโจวครุ่นคิด แล้วพูดต่อ “ตอนนี้หลี่หลงหลินเป็นรัชทายาท ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้หวู่ หากเขาเป็นอะไรไป ฮ่องเต้หวู่ไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้ไปแน่!” “เมื่อถึงตอนนั้น เกรงว่าเรื่องวุ่นวายนี้ คงใหญ่กว่าฟ้าเสียอีก!” ร่างของหลี่เทียนฉี่สั่นสะท้าน ครั้งที่แล้ว หลี่หลงหลินถูกลอบสังหารบาดเจ็บ ฮ่องเต้หวู่ก็ทรงกริ้วมาก พลิกแผ่นดินตามหาคนร้าย! หากหลี่หลงหลินตายไป ด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้งของฮ่องเต้หวู่ ไม่อาจรับประกันได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เสิ่นชิงโจวพูดต่อ “สาม นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด หลี่หลงหลินเจ้าเด็กนั่นเจ้าเล่ห์เพทุบาย! แม้ว่าฮ่องเต้หวู่จะสืบสวนคดีทุจริตในการสอบขุนนาง ก็ทรงให้องครักษ์เสื้อแพรเป็นคนสืบ” “ต่อให้พวกเราฆ่าหลี่หลงหลินได้ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้!” “สรุปแล้ว ห้ามแตะต้องหลี่หลงหลิน!” หลี่เทียนฉี่ขมวดคิ้วแน่น ด้วยความไม่พอใจ “หรือว่า... พวกเราได้แต่มองดูหลี่หลงหลินทำตามอำเภอใจ ไม่มีทางจัดการเขาได้เลยหรือ?” “ไม่!” มุมปากของเสิ่นชิงโจวยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ข้ามีวิธีที่จะผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้ แถมยังทำให้หลี่หลงหลินตกอยู่ในหาย
ส่วนลั่วอวี้จู๋นางเพียงยิ้มเบาๆ “องค์รัชทายาท โลกในฝันของพระองค์ ผู้คนต้องมีความสุขมากแน่ๆ” หลี่หลงหลินไม่ตอบ เพียงแย้มยิ้ม มีความสุขหรือ? ก็อาจจะใช่ คนในแต่ละยุคสมัยล้วนมีเรื่องทุกข์ใจต่างกัน ความสุขเป็นเรื่องของมุมมอง การได้กินอิ่มย่อมมีความสุขกว่าการอดอยาก... ... ณ คุกหลวง หลี่เทียนฉี่เดินฝ่าพายุหิมะเข้ามา เสิ่นชิงโจวที่หลับสนิท ตื่นขึ้นเพราะเสียงฝีเท้า “ท่านเองหรือ!” “ทำให้ข้าตกใจหมด!” เสิ่นชิงโจวปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก หัวใจยังเต้นไม่เป็นจังหวะ เขาเพิ่งฝันร้ายว่า หลี่หลงหลินนำคนบุกเข้ามาในคุกหลวง และฆ่าเขาตาย หลังจากจิบชา เสิ่นชิงโจวจึงสงบสติอารมณ์ลงได้ เขาหันไปมองหลี่เทียนฉี่ “ดึกดื่นป่านนี้ พระองค์รีบร้อนมาทำอะไร?” หลี่เทียนฉี่เอ่ยอย่างร้อนรน “อาจารย์ แย่แล้ว! เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!” เสิ่นชิงโจวใจหายวาบ “เรื่องใหญ่? เรื่องอะไร?” หลี่เทียนฉี่เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงชมดอกไม้ร้อยบุปผาให้เสิ่นชิงโจวฟังโดยละเอียด หลังจากฟังจบ สีหน้าของเสิ่นชิงโจวก็ดูแย่มาก อะไรกัน? หลี่หลงหลินสามารถทำให้ดอกไม้นานาพันธุ์เบ่งบานในฤดูหนาวได้?
“เสด็จแม่” หลี่หลงหลินโค้งคำนับให้ฮองเฮาหลิน “ฟ้ามืดแล้ว พระองค์รีบกลับไปพักผ่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ฮองเฮาหลินพยักหน้าเล็กน้อย ทว่ายังคงลังเลที่จะเอ่ยปาก หลี่หลงหลินขึ้นรถม้าพร้อมกับคนในตระกูลซู เพื่อออกจากวังกลับไปยังจวนสกุลซู ภายในรถม้า แม่ทัพผู้เฒ่าซูอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “รัชทายาท เหตุใดพระองค์ถึงทำเช่นนี้? กลุ่มข้าราชการเต็มใจที่จะสวามิภักดิ์ต่อพระองค์ เหตุใดพระองค์จึงปฏิเสธ?” ฟึบ! ทันใดนั้น สายตาของซูเฟิ่งหลิงและพี่สะใภ้ทั้งสี่ก็จับจ้องไปที่หลี่หลงหลิน ในใจพวกนางรู้สึกสงสัยเช่นเดียวกับแม่ทัพผู้เฒ่าซู นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะรวบรวมกลุ่มข้าราชการไว้ในมือ เหตุใดหลี่หลงหลินถึงปฏิเสธ แถมยังพูดจาดูถูกจนทำให้กลุ่มข้าราชการขุ่นเคือง? หรือว่า... หลี่หลงหลินไม่เข้าใจ ว่าหากกลุ่มข้าราชการสวามิภักดิ์ด้วย เขาก็จะทรงครองตำแหน่งรัชทายาทได้อย่างมั่นคง ไม่มีใครสามารถสั่นคลอนได้ แผ่นดินต้าเซี่ยจะอยู่ในมือของเขา? หลี่หลงหลินสีหน้าเคร่งขรึม เขาแงนมองไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิด แล้วเอ่ยเสียงต่ำ “แผ่นดินต้าเซี่ยนี้ ผุพังเกินเยียวยานานแล้ว ข้าจะเอาไปทำอะไร?” บรรดาหญิงสาว