ฮูหยินในชุดสีน้ำเงินเข้มถูกฮูหยินในชุดสีแดงลูกท้อตบไหล่ นางพูดใกล้ ๆ หู “ฮูหยินเหยียน เหตุใดข้าถึงเห็นว่าท่านอ๋องเหลียนถึงเอาแต่มองมาทางนี้ล่ะ?”ฮูหยินเหยียนเงยหน้าขึ้นสบตากับเย่เหลียนพลางยิ้มอย่างสง่างามด้วยสายตาที่ซับซ้อนและคาดเดาไม่ได้ไม่รู้เลยว่าเย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีออกจากพระตำหนักเจาฮุยมาตั้งแต่เมื่อใดทั้งสองเดินบนแผ่นหินสีครามแกะสลักที่วางเป็นทางยาวและเยือกเย็น ล้อมรอบด้วยกำแพงสีแดงสูงตระหง่านและกระเบื้องสีทองสุกใสผู้คนภายนอกคิดเพียงว่าสังคมชนชั้นสูงนั้นมั่งคั่งและอุดมสมบูรณ์ ส่วนผู้คนในวังก็คิดว่าผู้คนข้างนอกนั้นมีอิสระและกล้าหาญเย่เฟยหลีบังลมให้ฉู่เนี่ยนซีด้วยเสื้อคลุม เขาก็ยิ้มอย่างลึกซึ้งขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับนึกถึงอะไรบางอย่าง ฉู่เนี่ยนซีมองเขาอย่างนึกสงสัย ขณะนั้นใบหน้าเย็นชาก็ถูกสายลมพัดเข้าหา“เมื่อครู่ได้ยินไทเฮาทรงตรัสว่าเคยเสนอเรื่องการแต่งงานเช่นนี้มาก่อนแล้วแต่ถูกเจ้าปฏิเสธ เจ้าบอกข้าหน่อยสิว่าเหตุใดถึงปฏิเสธ?”ฉู่เนี่ยนซีนึกคำพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง วันนั้นนางรู้สึกอึดอัดใจเพียงเท่านั้น รวมไปถึงมีความโกรธที่อธิบายไม่ได้แผดเผาหัวใจและตับของนางจนไหม้เท่านั้
ฉู่เนี่ยนซีห้ามเย่เฟยหลีแล้วเดินไปหาเย่เซวียนเล่ออย่างสงบด้วยสายตาแน่วแน่และไม่แยแส “องค์หญิงห้า องค์หญิงเป็นธิดาผู้สูงศักดิ์ของราชวงศ์ องค์หญิงควรรู้ดีที่สุดว่าหากจะกำจัดศัตรูต้องทำเช่นไร องค์จักรพรรดิไม่ทรงถอดยศฮองเฮา ทั้งยังไม่ลากตระกูลไป๋เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ไม่ใช่เพราะฮองเฮาโชคดี แต่เพราะสวรรค์ยังเมตตา ท่านอ๋องหลีเองก็มีส่วนช่วยด้วยครึ่งหนึ่ง”“องค์หญิงห้าจะไม่สำนึกบุญคุณ หม่อมฉันก็ไม่ว่าอะไร แต่หากองค์จักรพรรดิทรงทราบว่าองค์หญิงห้ากำลังก่อเรื่องและพูดจาไม่คิดหน้าคิดหลัง ไม่รู้ว่าจะกระทบไปถึงฮองเฮาหรือไม่? หากฮองเฮาทรงถูกถอดยศจริง ๆ องค์หญิงห้าทรงเคยคำนึงถึงชะตากรรมของตัวเองบ้างหรือไม่ แม้จะมีการลดโทษเพราะเป็นเชื้อพระวงศ์ แต่ก็เกรงว่าจะอยู่รอดในวังแห่งนี้ได้ยากนะเพคะ”“องค์หญิงห้าโปรดใช้สมองไตร่ตรองให้ดี นกที่ดีย่อมเลือกต้นไม้ที่จะเกาะ คิดคำนวนถึงประโยชน์ต่อตัวท่านให้ดีเถิด”หากเป็นการต่อสู้ของจริง ฉู่เนี่ยนซีจะไม่แลเย่เซวียนเล่อเลย แต่การที่เย่เซวียนเล่อสร้างปัญหาครั้งแล้วครั้งเล่านั้นเป็นการกระทำที่ชวนให้หงุดหงิดเป็นอย่างยิ่ง หวังว่าเย่เซวียนเล่อจะเข้าใจและอยู่ให้ห่างจากนางต่
ตอนนั้นหม่อมฉันตกใจมากจึงคิดว่าจะไปหาท่านพ่อท่านแม่เพื่อสอบถามรายละเอียด แต่ท่านอ๋องก็ทรงรั้งหม่อมฉันไว้แล้ว พะ...พูดว่าด้วยรูปร่างหน้าตาของหม่อมฉัน หากสามารถแต่งเข้าจวนท่านอ๋องเหลียนได้จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตนี้ แต่ว่าหม่อมฉัน...หม่อมฉัน”ฉู่เนี่ยนซีพยักหน้าอย่างเข้าใจ ในขณะที่ทั้งสองกำลังคิดว่าจะทำอย่างไรดี นางกำนัลนางหนึ่งก็เข้ามาพูดด้วยความนอบน้อม “พระชายาหลีเพคะ องค์หญิงฉางเล่อเชิญท่านไปดื่มชากับพระองค์ที่ตำหนักฉางหลิงเพคะ”“เข้าใจแล้ว” ฉู่เนี่ยนซีจับมือเหยียนจือซินกำลังจะเดินไป แต่เหยียนจือซินก็ดึงมือออกพลางถอยหลังไปสองก้าว นางก้มหน้าปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “ไม่...ไม่ได้ เรื่องนี้...มัน…”เหยียนจือซินเริ่มตื่นตระหนกอีกครั้งด้วยเหตุผลบางอย่าง ดวงตาของนางเลิ่กลั่ก พลางพูดไม่เป็นประโยคอยู่สักพัก จากนั้นนางก็กำลังจะหันหลังวิ่งหนีไป“เหยียนจือซิน”ด้วยเสียงเรียกของฉู่เนี่ยนซี เหยียนจือซินจึงหยุด แต่ไม่ยอมหันหลังกลับมาฉู่เนี่ยนซีไม่ได้มีนิสัยชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น แต่เมื่อเห็นสตรีตัวเล็ก ๆ ที่ขี้อายอีกทั้งยังมีความมั่นใจในตัวเองน้อยเช่นนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะเทือนใจฉู่เ
เย่หลิงเอ๋อร์มองไปที่เหยียนจือซินอย่างเงียบ ๆ และฉู่เนี่ยนซีก็ถอนหายใจให้นาง และจากเนื้อหาในบทสนทนาของพวกนาง ไม่สามารถคาดเดาอะไรได้เลยมุมปากของนางยิ้มแย้มแจ่มใส และดวงตาของนางสุกสกาว“ว่ากันว่าสตรีมักจะแต่งตัวพิถีพิถันเพื่อคนที่ตนชอบ นี่เป็นเรื่องจริง แต่ที่จริงยิ่งกว่านั้นคือสตรีที่ดูแลตัวเองเพื่อตัวเอง รูปร่างหน้าตาเป็นของตัวเอง ไม่ใช่ของผู้อื่น ใช้ชีวิตด้วยตัวเองไม่ใช่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขจากถ้อยคำของผู้อื่น แม้ว่าข้าจะร่างกายอ่อนแอ และอาศัยอยู่ในวังหลังมาเป็นเวลานาน แต่หากข้าเอาแต่โทษทุกสิ่งทุกอย่าง ชีวิตก็คงไม่มีความสุข ”คำพูดของเย่หลิงเอ๋อร์ทำให้เหยียนจือซินเงยหน้าขึ้น นางมองไปยังองค์หญิงฉางเล่อแล้วมองไปที่ฉู่เนี่ยนซี ทุกคนไม่ได้สมบูรณ์แบบแต่องค์หญิงฉางเล่อมีชีวิตอิสระและอีกทั้งยังอยู่อย่างสุขกายสบายใจ ส่วนฉู่เนี่ยนซีเองก็ได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระตามอำเภอใจ“หม่อมฉัน…”“ข้ารู้ว่าเจ้าอาจจะยังทำใจยอมรับไม่ได้ เหตุใดเราไม่ลองแก้ปัญหาอื่นกันก่อนล่ะ?”ฉู่เนี่ยนซีมองเหยียนจือซินด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ แล้วพูดกับเย่หลิงเอ๋อร์ว่า "ขอบพระทัยองค์หญิงสำหรับการต้อนรับเพคะ
เมื่อค่อย ๆ ได้ฟังสิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีพูด ฮูหยินเหยียนก็หันหน้าไปมองบุตรสาวและอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ“ลูกสาวของหม่อมฉันเก่งทุกอย่าง เว้นเสียแต่เป็นคนใจอ่อนเกินไป”“ในพระตำหนักอันชิ่ง ท่านกล่าวว่าตระกูลซ่างกวานถูกรื้อค้น หากไม่ได้พิจารณาอย่างรอบคอบและให้นางออกเรือนกับตระกูลร่ำรวยอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า ทั้งที่อีกฝ่ายเป็นคนไม่ดี เกรงว่าอนาคตของนางคงจะมืดมน และไม่ได้ดีไปกว่าตระกูลซ่างกวาน ฮูหยินเหยียน แม่ทุกคนย่อมรู้ดีว่าสำหรับสตรีไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ควรเตรียมพร้อมให้บุตรสาวมากกว่านี้หรือ?”คำพูดของฉู่เนี่ยนซีทั้งจริงใจและสมเหตุสมผลจนฮูหยินเหยียนเริ่มไตร่ตรองในความพูดของนาง “หม่อมฉันยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะ...”“ข้าไม่รู้ว่าจะมีใครมาสู่ขอหรือไม่ ไม่ต้องพูดถึงว่าใครจะมาสู่ขอเลย ข้าแค่ถือว่าจือซินเป็นสหาย ดังนั้นจึงได้พูดสิ่งมากมายกับท่านเช่นนี้ ฮูหยินเหยียน ท่านเองก็เคยเป็นบุตรสาวของบ้านเดิมตนเองมาก่อน แน่นอนว่าย่อมหวังให้จือซินได้ตบแต่งกับคนที่นางรักและดูแลนางได้”ฉู่เนี่ยนซีพูดแทรกฮูหยินเหยียน นางไม่ได้กลัวเย่เหลียน และไม่กลัวฮองเฮา เพียงแต่ไม่ต้องการสร้างปัญหาให้กับเย่เฟยหลีอีก เพราะนางสร้า
“ฮ่าฮ่า เจ้าเด็กฉลาด”องค์จักรพรรดิถูกเย่เซวียนเล่อทำให้รู้สึกขบขัน จนเกิดเส้นขีดที่หางตาของเขา“เสด็จพ่อเพคะ” เมื่อเห็นว่าองค์จักรพรรดิอารมณ์ดี เย่เซวียนเล่อจึงถือโอกาสกล่าวขึ้นว่า “เสด็จพ่อและลูกมีจิตเชื่อมโยงกัน แต่เสด็จแม่และลูกก็มีจิตเชื่อมโยงกันเช่นกัน ลูกรู้สึกว่าเสด็จแม่อยู่ในตำหนักเฟิงอี้อย่างยากลำบาก ลูกขอไปพบเสด็จแม่หน่อยได้หรือไม่เพคะ เพียงครู่เดียวก็ได้”รอยยิ้มบนใบหน้าขององค์จักรพรรดิจางหายไป เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “แม่ของเจ้าทำผิด ก็ต้องถูกลงโทษ ข้ามีราชโองการไปแล้วว่าไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าออก เจ้ากลับไปเสียเถอะ”“เพคะ ลูกเองก็รู้ว่าเสด็จแม่ทรงทำผิด ดังนั้นจึงอยากจะไปเกลี้ยกล่อมพระองค์” เย่เซวียนเล่อส่ายแขนขององค์จักรพรรดิและพูดอย่างออดอ้อน “เสด็จพ่อ ได้โปรดให้ลูกได้ไปเกลี้ยกล่อมเสด็จแม่เถิด หากลูกไปแล้ว เสด็จแม่จะต้องฟังเล่อเอ๋อร์อย่างแน่นอนเพคะ”“เจ้าพูดฟังค่อนข้างมีเหตุผล รีบไปรีบกลับ อย่าได้อยู่นานจนเกินไป”องค์จักรพรรดิคิดว่ามันคงจะดีหากเย่เซวียนเล่อโน้มน้าวฮองเฮาได้จริง ๆเย่เซวียนเล่อรีบเข้าไปในตำหนักเฟิงอี้ทันที และร้องเรียก "เสด็จแม่" น้ำเสียงของนางกังวลมาก
“แต่เสด็จแม่เพคะ ตอนนี้พี่สามมีอำนาจสูงสุดอยู่ในมือแล้ว และอำนาจในท้องพระโรงก้กำลังรุ่งโรจน์ มีทั้งขุนนางบู๊บุ๋นคอยประจบประแจงเขา เสด็จแม่ ไม่ใช่ว่าลูกไหลตามกระแสน้ำ เพียงแต่คิดว่าเราควรพิจารณาให้รอบครอบว่าพี่สองควรค่าแก่การพึ่งพาหรือไม่?”“แน่นอนว่าพี่สองของเจ้าไม่คู่ควรกับการพึ่งพา เย่เฟยหลีเองก็เช่นกัน! เล่อเอ๋อร์ เราคนสองแม่ลูกพึ่งพาได้เพียงกันและกันเท่านั้น เจ้ามีเลือดของข้าไหลเวียนอยู่ในร่างกาย ดังนั้นก็ควรร่วมแรงร่วมใจกับข้า”ฮองเฮาก้มลงและจับไหล่ของเย่เซวียนเล่อด้วยมือทั้งสองข้างความสงบบนใบหน้าสามารถสะท้อนให้เห็นถึงการวางแผนและความยากลำบากมาหลายปี ดวงตาของนางเหมือนเปลวไฟ และพูดกับเย่เซวียนเล่อด้วยเสียงหนักแน่นว่า “เล่อเอ๋อร์เจ้าอย่าได้คิดที่จะแปรพักตร์ไปหาเย่เฟยหลีอีก เจ้าจะยอมจำนนต่อใครก็ได้ แต่ห้ามเป็นเขา”"เพราะเหตุใดเพคะ?"“เพียงจำคำของข้าไว้ก็พอ เล่อเอ๋อร์ เจ้าต้องรู้เอาไว้ว่าไม่มีใครให้พึ่งได้ มีเพียงตระกูลไป๋ของข้าเท่านั้นที่เจ้าสามารถไว้วางใจและพึ่งพาได้มากที่สุด เพราะนั่นไม่ใช่เพียงแต่เป็นตระกูลที่สนับสนุนข้า แต่ยังเป็นตระกูลที่หนุนหลังเจ้าด้วย”หลังจากได้ยินคำพ
ฉู่เนี่ยนซีลองชิมแล้วจึงพบว่ามันรสชาติดีมาก ขณะที่นางกำลังทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย เสี่ยวเถาก็เข้ามาส่งกระดาษใบหนึ่งให้กับฉู่เนี่ยนซี“ทูลท่านอ๋องและพระชายา ตระกูลเหยียนส่งข้อความมาว่าจะมีงานรวมตัวของผู้มีการศึกษาในวันพรุ่งนี้ และขอเชิญพระชายาไปร่วมด้วยเพคะ”“ตระกูลเหยียน?” เย่เฟยหลีมองฉู่เนี่ยนซีด้วยความสับสน “ใต้เท้าเหยียนสำเร็จการศึกษาจากเมืองหลวง และเขาเป็นข้าราชการที่ซื่อตรง เจ้าสามารถไปงานสังสรรค์ของตระกูลเขาได้ แต่เราไม่ได้ติดต่อกับตระกูลเหยียนมากนัก เหตุใดเขาถึงได้ส่งบัตรเชิญมาที่นี่กัน?”ฉู่เนี่ยนซีเล่าเรื่องเกี่ยวกับเหยียนจือซินให้เขาฟัง และบอกเขาว่าอย่าได้บอกใครในเรื่องนี้เกรงว่าวงค์ตระกูลที่มีบุตรสาวคนเดียว โดยเฉพาะคนที่ใสซื่ออย่างเหยียนจือซินมีแต่จะถูกนินทามากยิ่งขึ้น“เช่นนี้นี่เอง” เย่เฟยหลีพยักหน้าเล็กน้อย ขณะที่เขากำลังจะยกชามแกงปลาไนให้ฉู่เนี่ยนซี เย่ฉงเฉิงก็เข้ามาแล้วพูดว่า "ข้าได้กลิ่นอาหารโชยมา โชคดีที่ข้ายังไม่ได้ทานออะไรพอดี”เย่ฉงเฉิงเพิกเฉยต่อสายตาของเย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซี เขานั่งลงและเอื้อมมือไปหยิบชามน้ำแกงชามนั้นจากมือของเย่เฟยหลี“ขอบพระทัยพี่สามที่