“พี่สามช่างปราดเปรื่องนัก!” เย่ฉงเฉิงคล้ายกับมีสติแจ่มชัดขึ้นทันตา ทั้งยังมองไปโดยรอบก็เห็นแต่เพียงเหลียงหยวนคนเดียวที่คอยรับใช้ทั้งซ้ายขวา จึงได้ลดเสียงลงเอ่ยถามขึ้นทันที “ในจวนท่านพี่ มีสาวงามปานนางฟ้าด้วยตั้งแต่เมื่อใดกัน?”เย่เฟยหลีตอบไปอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว “เจ้าพูดถึงซ่างกวานเยียนงั้นหรือ? ไม่ใช่ว่าเจ้าเคยพบนางมาก่อนแล้วงั้นหรือ มีอันใด”“ไม่ใช่ซ่างกวานเยียน!” เย่ฉงเฉิงถึงกับหุบยิ้ม ทั้งยกมือแสดงตัวอย่างและกล่าวอธิบายไปพลางต่อ “น่าจะสูงประมาณนี้ ค่อนข้างผอม สวมชุดกระโปรงสีขาว”เย่เฟยหลีเลิกคิ้วขึ้น หันไปมองเหลียงหยวน เหลียงหยวนขบคิดอย่างละเอียดอยู่นานสองนาน สุดท้ายก็ได้แต่ส่ายหน้าเย่ฉงเฉิงนิ่งเงียบ และตบเข่าดังฉาดทันที “เช่นนั้นก็ต้องเป็นสาวรับใช้แล้วแน่นอน! แต่สาวใช้จวนพวกท่าน...มิใช่ว่าล้วนแต่มีเพียงหยิบมือมิใช่หรือ? ข้างกายท่านไม่มีแม้กระทั่งสาวรับใช้ เช่นนั้นก็ต้องเป็นพระชายา และแม่นางซ่างกวานทางนั้นแล้ว? แต่จะเป็นเยี่ยงนั้นก็ไม่ถูกสิ หากว่าสาวใช้ผู้หนึ่งโดดเด่นถึงเพียงนี้แล้วล่ะก็ มีหรือที่พวกเจ้าจะไม่สังเกตเห็นได้?”เย่ฉงเฉิงกล่าวไปกล่าวมา ก็พาแม้กระทั่งตัวเองสับสนตา
เย่เฟยหลีกลับเป็นฝ่ายละสายตาไปแทน ทิ้งไว้เพียงคำพูดประโยคเดียว “สำรวมวาจาการกระทำด้วย”ฉู่เนี่ยนซีนิ่งเงียบถึงแม้จะเป็นงานเฉลิมฉลองของฮองเฮา แต่งานเฉลิมฉลองในวังวันนี้กลับไม่ได้อยู่ในความดูแลของฝ่ายสตรี แต่ยังมีบุคคลเลื่องชื่อทรงอำนาจที่ต่างก็เข้าร่วมด้วย จึงค่อนข้างที่จะมีพิธีรีตองบวกกับที่องค์ชายเย่เฟยหลีผู้นี้ตามปกติที่ไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ทุกการกระทำล้วนสุขุมไม่ถือตัว จนฉู่เนี่ยนซีอดไม่ได้ที่จะมองอีกหลายครา หลังจากที่รถม้าได้ผ่านเข้าประตูพระราชวัง ก็เริ่มตกเป็นที่สังเกตจากโดยรอบหลังเสร็จสิ้นพิธีบวงสรวงและกราบไหว้ทั้งหมด ราชนิกุลต่างก็แยกย้ายไปยังที่นั่งของตนฉู่เนี่ยนซีได้นั่งอยู่ทางด้านหลังเย่เฟยหลีตามลำดับ และมีสาวใช้คอยรินสุราตามโต๊ะ ระหว่างนั้นก็จะได้ยินเสียงซุบซิบดังบ้างบางครั้งบางคราวเมื่อนึกถึงประโยคที่เย่เฟยหลีกล่าวไว้ว่า “สำรวมวาจาการกระทำด้วย” ฉู่เนี่ยนซีก็เหมือนกับมีค้อนทุบเข้ามาที่หัวใจตัวเองถึงอย่างไรที่แห่งนี้ก็มิใช่จวนอ๋องหลี ตอนนี้เขาที่เป็นเพียงอ๋องหลี และนางก็คือพระชายาชายเสื้อของนางรำระบำได้งดงามลื่นไหลดุจวารี จนกลายเป็นที่ดึงดูดสายตาไปโดยปริยาย พร
เสียงของเจี๋ยงจาวอวิ๋นกลับไม่นับว่าดังอะไรมากมาย แต่ก็พอดีที่จะทำให้องค์ชายและเหล่าราชนิกุลได้ยินกันอย่างชัดเจนแต่สำหรับเย่เฟยหลีที่เป็นองค์ชาย ที่ไม่ได้มีความสำคัญ รวมไปจนถึงฉู่เนี่ยนซีที่ดูแล้ว “กำเริบเสิบสาน” และ “ไร้ยางอาย” คนอื่น ๆ ที่เหลือต่างก็คอยจะหัวเราะเยาะกัน กลับไม่มีใครใดเดินหน้าเพื่อพูดแก้ต่างแทนทั้งสองฉู่เนี่ยนซียังคงถือจอกสุราไว้ “จะว่าไปก็นับว่าถูกต้อง เจ้านับว่างดงามยิ่ง ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าโง่งม ดั่งถอดสมองทิ้งไว้ในพระราชวังต้องห้าม ไม่อาจเห็นเดือนเห็นตะวันได้อีก ข้านับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว” “เจ้าว่าอะไรนะ?” รอยยิ้มบนใบหน้าของเจี๋ยงจาวอวิ๋นถึงกับต้องสลายหายไปทันที ทั้งยังถลึงตาใส่ จนใบหูแดงซ่านและสั่นระริกควรทราบว่าต่อให้พลิกแผ่นดิน ก็มีสตรีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะกล้ากล่าววาจาเยี่ยงนี้กับเจี๋ยงจาวอวิ๋นแต่กระนั้น ชั่วพริบตานั้นนางก็คล้ายกับนึกอะไรขึ้นได้ ทันใดนั้นก็พลันปั้นรอยยิ้มจอมปลอมขึ้นแทน อีกทั้งยังใช้น้ำเสียงที่ได้ยินกันแค่สองคนโดยที่กล่าวไปว่า “วาจานี้ของน้องหญิงนับว่ากล่าวหนักไปแล้ว สตรีอ้วนที่ไม่คิดจะขยับเขยื้อนอย่างเจ้า ต่อให้เจ้าจะมีฝีปากที่
เจี๋ยงจาวอวิ๋นถูกแรงกดดัน และน้ำเสียงของนางทำเอาแตกตื่นยิ่งกว่าเดิม กระทั่งดวงตาก็อดไม่ได้ที่จะมีหยาดน้ำตาขึ้นโดยไม่ทันรู้ตัวเมื่อเห็นเย่เหลียนเดินมา ทันใดนั้นก็เหมือนกับเห็นที่พึ่งสุดท้าย “ท่านอ๋อง ข้ายังไม่ได้ตบนาง้ลยนะเพคะ! ไม่สิ...ข้าหมายความว่า ข้าไม่ได้ตบโดนนางจริง ๆ!”เย่เหลียนที่เป็นคนเย็นชาเสมอต้นเสมอปลาย แต่ก็ไม่ได้เย็นชาเหมือนอย่างเย่เฟยหลี ภายในตัวของเขามีความเคร่งขรึมมากกว่า แต่กลับให้ความรู้สึกกดันที่น้อยกว่าเย่เฟยหลีเมื่อพบว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังกอบกุมใบหน้า และยืนข้างเย่เฟยหลิงอย่างว่านอนสอนง่าย นางไม่เพียงแต่จะไม่พูดแก้ต่างอะไร แต่กลับยังหันไปยิ้มให้เย่เฟยหลีอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว“น้องสามก็ช่างหาโอกาสที่จะออกหน้าต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทเสียจริง แม้แต่สตรีที่ตบแต่งด้วยก็ยังเป็นที่สะดุดตาถึงเพียงนี้”ฉู่เนี่ยนซีขมวดคิ้วชนกันเล็กน้อยจากท่าทีของอ๋องเหลียน เขาทำราวกับใจกว้าง และไม่คิดจะมีข้อพิพาทด้วย แต่กลับชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่เอาชนะทุกสิ่งเมื่อนึกถึงเย่เหลียนผู้นี้ที่ตั้งแต่เล็กจนโตก็เป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท ย่อมไม่มีทางที่จะเป็นเพียงปลาในบ่ออย่างแน่นอน ฉู่เนี่ยนซีลอบ
ฉู่เนี่ยนซีจ้องมองกริยาท่าทางของทั้งสอง แม้ว่านางจะไม่มีทักษะด้านการต่อสู้เหมือนเย่เฟยหลี แต่ประสาทสัมผัสด้านการได้ยินของนางนับว่ายอดเยี่ยมมาก ยิ่งตั้งแต่ที่นางได้ทำการรักษาพี่ใหญ่และเย่เฟยหลีอย่างต่อเนื่อง ประสาทสัมผัสของนางก็เหนือกว่าคนทั่วไปแล้ว ดังนั้นนางจึงได้ยินการสนทนาระหว่างทั้งสองชัดเจน คำพูดประโยคนั้นทำให้นางตกใจเล็กน้อย หรือเขารู้แล้วว่าคนที่ลอบสังหารเขาคือเย่เหลียน หรือไม่เป็นเพียงการลองใจเท่านั้น แต่ด้วยความเป็นปรปักษ์และความเกลียดชังที่ท่านอ๋องเหลียนผู้นี้มีต่อเย่เฟยหลี เกรงว่าเรื่องนี้จะเป็นฝีมือเขาจริงๆเย่เหลียนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มกว้างขึ้น “น้องสามพูดเรื่องอะไร? ข้าไม่เข้าใจ”เย่เฟยหลีเห็นเขาทำเป็นไม่ได้ยิน ก็ไม่ได้โกรธ เพียงแต่ถอยหลังไปสองก้าว แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบว่า “ข้ากำลังพูดเรื่องอะไร พี่รองรู้ดีแก่ใจก็พอแล้ว”เย่เหลียนยักไหล่แล้วยกจะออกสุราขึ้นเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าน้องสามไม่เต็มใจจะให้เกียรติข้าฐานะพี่ชายใช่หรือไม่?” ความแข็งกร้าวดังกล่าว ทำเอาคนรอบข้างถึงกับอ้าปากค้าง ผู้คนที่ไม่ชอบเย่เฟยหลีอยู่แล้วต่างพากันเฝ้ามองสถานการณ์ และหวังว
ทันใดนั้นเอง ขันทีหนุ่มคนหนึ่งก้าวไปข้างหน้า ทำความเคารพแขกเหรื่อ แล้วเอ่ยว่า “ยินดียิ่งที่ได้พบทุกท่าน องค์จักรพรรดิและฉู่กุ้ยเฟยเรียกพระชายาหลีไปสอบถามขอรับ”ฉู่เนี่ยนซีสะดุ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นสีหน้าก็ผ่อนคลายลงทันที “รบกวนใต้เท้าเป็นธุระแล้ว”ในที่สุดเหตุบันเทิงนี้ก็จบลงด้วยการที่ฉู่เนี่ยนซีถูกเรียกตัวไปเมื่อทุกคนเห็นว่าไม่มีเรื่องน่าตื่นเต้นใด ๆ ก็หันกลับไปดื่มอวยพรต่อบนเวทีสูง มีจักรพรรดิและฮ่องเฮานั่งอยู่บนบัลลังก์ ส่วนฉู่กุ้ยเฟยนั่งอยู่ในตําแหน่งด้านล่างฉู่เนี่ยนซีเดินขึ้นบันไดตามขันทีไป รู้สึกว่าทุกย่างก้าวมีแต่จะหายใจหายคอได้ลำบากขึ้นนางก้มศีรษะลงเดินช้า ๆ ไปที่เวทีสูง และคุกเข่าลงเพื่อทําความเคารพแม้ว่าฉู่กุ้ยเฟยจะมีอายุสามสิบแล้ว แต่ก็ได้รับการบำรุงร่างกายอย่างดี รอยยิ้มบนใบหน้าของนางสดใสขึ้นเมื่อเห็นฉู่เนี่ยนซีปรากฏตัวจักรพรรดิอยู่ห่างออกไปเพียงเล็กน้อย ฉู่เนี่ยนซีจึงไม่กล้ามอง ได้แต่คำนับอย่างเรียบร้อยและรอให้อีกฝ่ายเอ่ยถามเมื่อจักรพรรดิเย่จงเป็นจักรพรรดิผู้เปี่ยมความสามารถ แต่ไม่ว่าเขาจะเป็นคนมีคุณธรรมหรือความสามารถเพียงใด ก็ไม่อาจหลุดพ้นจากคลื่นใต้น้ำที่
“หม่อมฉันไม่รู้ว่าพวกเขาสองคนพูดอะไรกันเพคะ หม่อมฉันดื่มสุรากับพระชายาเหลียนอยู่ตลอดเพคะ” ฮองเฮาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วหัวเราะเบา ๆ ฉู่กุ้ยเฟยเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยทันที นางพูดพลางยิ้ม “เหตุใดฮองเฮาถึงไม่ไปถามเหลียนเอ๋อร์โดยตรงเลยล่ะเพคะ เนี่ยนซีกับจาวอวิ๋นต่างก็เป็นเด็กดี พวกนางจะเข้าไปแทรกแซงในกงการของเหล่าองค์ชายได้เช่นไร?” ฮองเฮายังคงสงบ รอยยิ้มที่แสดงถึงอำนาจอย่างไม่ห่างหายไป “กุ้ยเฟยพูดถูก แต่กงการของเย่เหลียนและเย่เฟยหลีนั้นต่างกัน เกรงว่าคงไม่มีอะไรปรึกษาพูดคุยกันได้”ฉู่กุ้ยเฟยไม่สนใจนางอีกต่อไป และเหลือบมององค์จักรพรรดิ เมื่อนางเห็นเขาพยักหน้าให้ เธอก็ยื่นมือไปทางฉู่เนี่ยนซี พูดพรางอมยิ้ม “เร็วเข้า มาให้ข้างเจ้าถนัดๆ หน่อย เร็ว”ฉู่เนี่ยนซีหวนนึกถึงความทรงจําในใจ ความรักที่ท่านป้าคู่นี้มีต่อตัวนาง เกือบจะเรียกได้ว่าไข่ในหินเลยก็ว่าได้ ท่านป้าของนางผู้นี้ตามใจไม่มีขัด คนที่ไม่รู้อาจจะคิดว่าฉู่กุ้ยเฟยเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของนางฉู่เนี่ยนซีไม่ได้คิดอะไรมาก เดินไปอย่างเชื่อฟัง ยอมให้กุ้ยเฟยลากนางไปคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ชายาคนอื่น ๆ ที่อยู่ข้าง ๆ ต่างก็นั่งอยู่ข้างจักรพ
มือข้างนั้นไม่รู้ว่าเป็นเพราะถูกแสงจันทร์สาดส่องหรือไม่ แม้ว่าจะเป็นมือที่จับคันธนูและใช้ยิงธนู แต่มันก็เรียวได้รูป แม้แต่ข้อต่อระหว่างนิ้วก็ยังงดงามมากฉู่เนี่ยนซีชื่นชมอย่างใจกว้างอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็จับมือคนบนหลังม้า แล้วพลิกขึ้นตัวม้าไปนั่งข้างหลังเขาอีกทีเย่เฟยหลีหันข้าง ก่อนพูดเบา ๆ ราวกับจงใจให้นางได้ยิน “เจ้าไม่ต้องคิดมาก หน้าเจ้าก็คือหน้าข้า หากพรุ่งนี้มีข่าวเลยออกไปว่าพระชายาหลีและสาวใช้ของนางใช้เวลาทั้งคืนเดินกลับจวน เจ้าจะให้ข้าเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?”ทันทีที่พูดจบ เขาก็เริ่มควบม้าไปบนถนนที่ไร้ผู้คนเดิมทีฉู่เนี่ยนซีไม่ได้อยากจะกอดเอวเย่เฟยหลี แต่ถูกกระแทกอย่างกะทันหันนั้นโดยไม่ทันได้คาดคิด ทำให้นางได้แต่ต้องกัดฟันออกแขนเข้าที่รอบเอวของเขาสายลมเย็นย่ำในยามค่ำคืนพัดผ่านหู ให้ความรู้สึกดีเป็นที่สุดฉู่เนี่ยนซีสูบลมหายใจเข้าเต็มปอด แม้ว่านางจะขี่ม้าไม่เป็น แต่นางก็ก็คิดว่านางอาจจะตกหลุมรักความรู้สึกของการขี่ม้าและควบม้าได้ในอนาคตสิ่งที่นางไม่ได้เห็นก็คือ ทันทีที่นางโอบแขนรอบเอวเขา เย่เฟยหลีนึกอยากจะปัดป้องมือของนางออก แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด เมื่อมือของนางหยุดเคลื่อนไหว