ทันใดนั้นนางก็ดูเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ และมองไปที่อวี่ตงนังชั่วผู้นี้ยังพาองครักษ์ใหม่ถึงสี่นายมาด้วย หรือที่แท้แล้วจะมีขุมอำนาจในยุทธภพคอยหนุนหลัง?จนเมื่อเกิดอาการวิงเวียนศีรษะขึ้นอีกรอบ เย่เฟยหลีจึงยกมือขึ้นลูบหน้าผาก ข่มกลั้นความไม่พอใจไว้ แล้วถามไปว่า “ข้าจะให้โอกาสเจ้าเป็นเป็นครั้งสุดท้าย จงพูดความจริงออกมา!”เมื่อเขามีโทสะ ชายผู้วางยาถึงกับรีบคลานมาจนถึงตรงหน้า อีกทั้งยังคลานมาจับชายอาภรณ์ของเย่เฟยหลีเพื่อวิงวอนร้องขอ โดยที่ตะโกนขึ้นเสียงดังว่า “ท่านอ๋องโปรดให้ความกระจ่างด้วย! ท่านอ๋องโปรดให้ความกระจ่างด้วย!”“คุมตัวเขาไว้! อย่าได้ให้เขาแตะต้องฝ่าบาท!” ซ่างกวานเยียนที่กลัวเกิดเหตุกลับตาลปัตร จึงรีบใช้ประโยชน์จากความวุ่นวายนี้ขยิบตาให้กัวเซียวกัวเซียวรีบพุ่งออกไปทันที พร้อมกับองครักษ์หลายนายคุมตัวเขาไป และตวาดขึ้นว่า “ช่างบังอาจนัก!”“ครอบครัวผู้น้อยถูกจับไว้เป็นตัวประกัน ผู้น้อยทำไปเพราะหมดหนทางจริง ๆ”ในขณะที่ความสนใจของทุกคนถูกดึงดูดด้วยความสับสนวุ่นวาย นิ้วของกัวเซียวก็กดเข้าไปที่จุดชีพจรของชายคนนั้นอย่างแรงดวงตาของชายคนนั้นเบิกกว้าง น้ำลายฟูมปาก ล้มลงพับลงกลางกลุ่มอ
เย่เฟยหลีมองนางที่เงียบเชียบไม่เคลื่อนไหว พยายามขบคิดในใจต่อเรื่องราวมากมายผ่านไปอยู่นาน เขาจึงชี้ไปถึงอาการบาดเจ็บตรงหัวไหล่อย่างเฉยชา แล้วถามว่า “อีกนานแค่ไหนกว่าจะหายดี?”“สิบวัน” ฉู่เนี่ยนซีตอบไปอย่างรวบรัดเย่เฟยหลีพยักหน้าและกล่าวว่า “เพียงพอแล้ว หลังจากนี้อีกครึ่งเดือน ฮองเฮาจะจัดพิธีเฉลิมฉลอง เจ้าก็ไปพร้อมกับข้า จำไว้ด้วยว่าต้องรักษามารยาทไว้ให้ดี”ฉู่เนี่ยนซีจึงค่อยนึกขึ้นได้ ครั้งก่อนเขาทั้งสองที่เพิ่งเข้าพิธีสมรสได้ไม่นานก็ถูกเชิญให้เข้าวัง ใบหน้าของนางยังถูกคนกลุ่มหนึ่งคิดหัวเราะเยาะในใจ ยิ่งมีคนถึงกับมุ่งเป้าเย้ยหยันเย่เฟยหลีไปด้วยผลสุดท้ายแล้ว เมื่อชาติที่แล้วสิ่งที่นางทำไปโดยไม่ยั้งคิด เพื่อปกป้องเย่เฟยหลี จึงได้ตอบโต้ผู้อื่นไปหลายประโยค แต่ประจวบกับถูกฮองเฮาพบเห็นเข้าพอดีจากนั้นพระชายาหลีอย่างนางที่ไม่เพียงแต่จะมีชื่อเสียงจากรอยแผลเป็นนี้ แต่ยิ่งกลายเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว จากการ “เอะอะโวยวาย” ในวังหลวงเมื่อนึกถึงเรื่องเหล่านี้ ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่ชวนให้นึกถึงเลยฉู่เนี่ยนซีถอนหายใจ สีหน้ากลับเศร้าหมองจนยากที่จะปราฏให้เห็น “ไม่ไปไม่ได้หรือ?”เย่เฟยหล
และในช่วงเวลานี้ เหลียงหยวนที่กำลังก้าวเข้าไปในเรือนของเย่เฟยหลี จึงให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป แล้วค่อยๆเดินมาถึงตรงหน้าเย่เฟยหลี“สอบสวนได้เรื่องอะไรมาบ้าง?” “เกี่ยวกับวิชาธนูที่นายท่านได้รับบาดเจ็บดอกนั้น ข้าได้ส่งคนไปเยี่ยมกองทัพต้องห้ามเป็นการลับแล้ว ทหารหน้าใหม่ภายในห้าปีต่างก็ไม่ทราบเรื่องราว สุดท้ายจึงได้ทราบจากทหารผ่านศึกที่กลับบ้านเพื่อพักฟื้นทราบว่าการสร้างลูกธนูชนิดนี้ ครั้งหนึ่งในช่วงที่เขาคอยรับใช้จักรพรรดิองค์ก่อนพิชิตแคว้นตะวันตก เคยเห็นผ่านทหารม้าทางตะวันตกมาก่อน” เย่เฟยหลีเงยหน้าขึ้น “จากนั้นเล่า?” เหลียงหยวนถึงกับต้องกลืนน้ำลายอย่างอึดอัด แล้วจึงค่อยกล่าวต่อ “นายหญิง ทหารชราผู้นั้นบอกไว้ว่า วิชาการใช้ธนูที่ไปมาไร้ร่องรอยชนิดนี้ กลับไม่ได้ปรากฏในสงครามมานานหลายปีแล้ว แม้แต่ในยุทธภพก็หลงเหลือแต่เพียงข่าวลือ ดังนั้นร่องรอยทั้งหมดจึงหยุดแต่เพียงเท่านี้ เกี่ยวกับคนผู้นี้ คาดว่าพระสนมซ่างกวานเองก็ไม่สามารถเข้าถึงได้ เกรงว่าสิ่งที่ยับยั้งท่านในวันนั้น จะมีก็แต่เพียงความบังเอิญแล้วเท่านั้น” “สมควรที่จะเป็นเรื่องบังเอิญ กระนั้นการที่สามารถชักนำผู้ใช้วิชาธนูเช่นนี้จาก
“พี่สามช่างปราดเปรื่องนัก!” เย่ฉงเฉิงคล้ายกับมีสติแจ่มชัดขึ้นทันตา ทั้งยังมองไปโดยรอบก็เห็นแต่เพียงเหลียงหยวนคนเดียวที่คอยรับใช้ทั้งซ้ายขวา จึงได้ลดเสียงลงเอ่ยถามขึ้นทันที “ในจวนท่านพี่ มีสาวงามปานนางฟ้าด้วยตั้งแต่เมื่อใดกัน?”เย่เฟยหลีตอบไปอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว “เจ้าพูดถึงซ่างกวานเยียนงั้นหรือ? ไม่ใช่ว่าเจ้าเคยพบนางมาก่อนแล้วงั้นหรือ มีอันใด”“ไม่ใช่ซ่างกวานเยียน!” เย่ฉงเฉิงถึงกับหุบยิ้ม ทั้งยกมือแสดงตัวอย่างและกล่าวอธิบายไปพลางต่อ “น่าจะสูงประมาณนี้ ค่อนข้างผอม สวมชุดกระโปรงสีขาว”เย่เฟยหลีเลิกคิ้วขึ้น หันไปมองเหลียงหยวน เหลียงหยวนขบคิดอย่างละเอียดอยู่นานสองนาน สุดท้ายก็ได้แต่ส่ายหน้าเย่ฉงเฉิงนิ่งเงียบ และตบเข่าดังฉาดทันที “เช่นนั้นก็ต้องเป็นสาวรับใช้แล้วแน่นอน! แต่สาวใช้จวนพวกท่าน...มิใช่ว่าล้วนแต่มีเพียงหยิบมือมิใช่หรือ? ข้างกายท่านไม่มีแม้กระทั่งสาวรับใช้ เช่นนั้นก็ต้องเป็นพระชายา และแม่นางซ่างกวานทางนั้นแล้ว? แต่จะเป็นเยี่ยงนั้นก็ไม่ถูกสิ หากว่าสาวใช้ผู้หนึ่งโดดเด่นถึงเพียงนี้แล้วล่ะก็ มีหรือที่พวกเจ้าจะไม่สังเกตเห็นได้?”เย่ฉงเฉิงกล่าวไปกล่าวมา ก็พาแม้กระทั่งตัวเองสับสนตา
เย่เฟยหลีกลับเป็นฝ่ายละสายตาไปแทน ทิ้งไว้เพียงคำพูดประโยคเดียว “สำรวมวาจาการกระทำด้วย”ฉู่เนี่ยนซีนิ่งเงียบถึงแม้จะเป็นงานเฉลิมฉลองของฮองเฮา แต่งานเฉลิมฉลองในวังวันนี้กลับไม่ได้อยู่ในความดูแลของฝ่ายสตรี แต่ยังมีบุคคลเลื่องชื่อทรงอำนาจที่ต่างก็เข้าร่วมด้วย จึงค่อนข้างที่จะมีพิธีรีตองบวกกับที่องค์ชายเย่เฟยหลีผู้นี้ตามปกติที่ไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ทุกการกระทำล้วนสุขุมไม่ถือตัว จนฉู่เนี่ยนซีอดไม่ได้ที่จะมองอีกหลายครา หลังจากที่รถม้าได้ผ่านเข้าประตูพระราชวัง ก็เริ่มตกเป็นที่สังเกตจากโดยรอบหลังเสร็จสิ้นพิธีบวงสรวงและกราบไหว้ทั้งหมด ราชนิกุลต่างก็แยกย้ายไปยังที่นั่งของตนฉู่เนี่ยนซีได้นั่งอยู่ทางด้านหลังเย่เฟยหลีตามลำดับ และมีสาวใช้คอยรินสุราตามโต๊ะ ระหว่างนั้นก็จะได้ยินเสียงซุบซิบดังบ้างบางครั้งบางคราวเมื่อนึกถึงประโยคที่เย่เฟยหลีกล่าวไว้ว่า “สำรวมวาจาการกระทำด้วย” ฉู่เนี่ยนซีก็เหมือนกับมีค้อนทุบเข้ามาที่หัวใจตัวเองถึงอย่างไรที่แห่งนี้ก็มิใช่จวนอ๋องหลี ตอนนี้เขาที่เป็นเพียงอ๋องหลี และนางก็คือพระชายาชายเสื้อของนางรำระบำได้งดงามลื่นไหลดุจวารี จนกลายเป็นที่ดึงดูดสายตาไปโดยปริยาย พร
เสียงของเจี๋ยงจาวอวิ๋นกลับไม่นับว่าดังอะไรมากมาย แต่ก็พอดีที่จะทำให้องค์ชายและเหล่าราชนิกุลได้ยินกันอย่างชัดเจนแต่สำหรับเย่เฟยหลีที่เป็นองค์ชาย ที่ไม่ได้มีความสำคัญ รวมไปจนถึงฉู่เนี่ยนซีที่ดูแล้ว “กำเริบเสิบสาน” และ “ไร้ยางอาย” คนอื่น ๆ ที่เหลือต่างก็คอยจะหัวเราะเยาะกัน กลับไม่มีใครใดเดินหน้าเพื่อพูดแก้ต่างแทนทั้งสองฉู่เนี่ยนซียังคงถือจอกสุราไว้ “จะว่าไปก็นับว่าถูกต้อง เจ้านับว่างดงามยิ่ง ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าโง่งม ดั่งถอดสมองทิ้งไว้ในพระราชวังต้องห้าม ไม่อาจเห็นเดือนเห็นตะวันได้อีก ข้านับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว” “เจ้าว่าอะไรนะ?” รอยยิ้มบนใบหน้าของเจี๋ยงจาวอวิ๋นถึงกับต้องสลายหายไปทันที ทั้งยังถลึงตาใส่ จนใบหูแดงซ่านและสั่นระริกควรทราบว่าต่อให้พลิกแผ่นดิน ก็มีสตรีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะกล้ากล่าววาจาเยี่ยงนี้กับเจี๋ยงจาวอวิ๋นแต่กระนั้น ชั่วพริบตานั้นนางก็คล้ายกับนึกอะไรขึ้นได้ ทันใดนั้นก็พลันปั้นรอยยิ้มจอมปลอมขึ้นแทน อีกทั้งยังใช้น้ำเสียงที่ได้ยินกันแค่สองคนโดยที่กล่าวไปว่า “วาจานี้ของน้องหญิงนับว่ากล่าวหนักไปแล้ว สตรีอ้วนที่ไม่คิดจะขยับเขยื้อนอย่างเจ้า ต่อให้เจ้าจะมีฝีปากที่
เจี๋ยงจาวอวิ๋นถูกแรงกดดัน และน้ำเสียงของนางทำเอาแตกตื่นยิ่งกว่าเดิม กระทั่งดวงตาก็อดไม่ได้ที่จะมีหยาดน้ำตาขึ้นโดยไม่ทันรู้ตัวเมื่อเห็นเย่เหลียนเดินมา ทันใดนั้นก็เหมือนกับเห็นที่พึ่งสุดท้าย “ท่านอ๋อง ข้ายังไม่ได้ตบนาง้ลยนะเพคะ! ไม่สิ...ข้าหมายความว่า ข้าไม่ได้ตบโดนนางจริง ๆ!”เย่เหลียนที่เป็นคนเย็นชาเสมอต้นเสมอปลาย แต่ก็ไม่ได้เย็นชาเหมือนอย่างเย่เฟยหลี ภายในตัวของเขามีความเคร่งขรึมมากกว่า แต่กลับให้ความรู้สึกกดันที่น้อยกว่าเย่เฟยหลีเมื่อพบว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังกอบกุมใบหน้า และยืนข้างเย่เฟยหลิงอย่างว่านอนสอนง่าย นางไม่เพียงแต่จะไม่พูดแก้ต่างอะไร แต่กลับยังหันไปยิ้มให้เย่เฟยหลีอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว“น้องสามก็ช่างหาโอกาสที่จะออกหน้าต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทเสียจริง แม้แต่สตรีที่ตบแต่งด้วยก็ยังเป็นที่สะดุดตาถึงเพียงนี้”ฉู่เนี่ยนซีขมวดคิ้วชนกันเล็กน้อยจากท่าทีของอ๋องเหลียน เขาทำราวกับใจกว้าง และไม่คิดจะมีข้อพิพาทด้วย แต่กลับชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่เอาชนะทุกสิ่งเมื่อนึกถึงเย่เหลียนผู้นี้ที่ตั้งแต่เล็กจนโตก็เป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท ย่อมไม่มีทางที่จะเป็นเพียงปลาในบ่ออย่างแน่นอน ฉู่เนี่ยนซีลอบ
ฉู่เนี่ยนซีจ้องมองกริยาท่าทางของทั้งสอง แม้ว่านางจะไม่มีทักษะด้านการต่อสู้เหมือนเย่เฟยหลี แต่ประสาทสัมผัสด้านการได้ยินของนางนับว่ายอดเยี่ยมมาก ยิ่งตั้งแต่ที่นางได้ทำการรักษาพี่ใหญ่และเย่เฟยหลีอย่างต่อเนื่อง ประสาทสัมผัสของนางก็เหนือกว่าคนทั่วไปแล้ว ดังนั้นนางจึงได้ยินการสนทนาระหว่างทั้งสองชัดเจน คำพูดประโยคนั้นทำให้นางตกใจเล็กน้อย หรือเขารู้แล้วว่าคนที่ลอบสังหารเขาคือเย่เหลียน หรือไม่เป็นเพียงการลองใจเท่านั้น แต่ด้วยความเป็นปรปักษ์และความเกลียดชังที่ท่านอ๋องเหลียนผู้นี้มีต่อเย่เฟยหลี เกรงว่าเรื่องนี้จะเป็นฝีมือเขาจริงๆเย่เหลียนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มกว้างขึ้น “น้องสามพูดเรื่องอะไร? ข้าไม่เข้าใจ”เย่เฟยหลีเห็นเขาทำเป็นไม่ได้ยิน ก็ไม่ได้โกรธ เพียงแต่ถอยหลังไปสองก้าว แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบว่า “ข้ากำลังพูดเรื่องอะไร พี่รองรู้ดีแก่ใจก็พอแล้ว”เย่เหลียนยักไหล่แล้วยกจะออกสุราขึ้นเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าน้องสามไม่เต็มใจจะให้เกียรติข้าฐานะพี่ชายใช่หรือไม่?” ความแข็งกร้าวดังกล่าว ทำเอาคนรอบข้างถึงกับอ้าปากค้าง ผู้คนที่ไม่ชอบเย่เฟยหลีอยู่แล้วต่างพากันเฝ้ามองสถานการณ์ และหวังว