ฉู่เนี่ยนซีและอวี๋หนานเดินเข้าไปที่สวนด้านหลังก่อนจะไปหยุดอยู่ที่บ่อน้ำแห่งหนึ่งนางมองเข้าไปในบ่อน้ำลึกและขบคิด ในเมื่อเริ่มระวังตั้งแต่การล้างผัก แสดงว่าบุคคลนั้นจะต้องวางยาพิษก่อนหน้านั้น และใส่พิษลงไปในน้ำ ดังนั้นการล้างผักและปรุงอาหารจึงเป็นพิษโดยธรรมชาติ“ตักน้ำขึ้นมา”อวี๋หนานรับคำสั่งและรีบหยิบถังมาอย่างรวดเร็วฉู่เนี่ยนซีก้มศีรษะลงแล้วมองดูน้ำในถัง การแนะนำตัวก็เข้ามาหัวของนางทันทีคนนั้นวางยาพิษในน้ำจริง ๆ ด้วย“พระชายา ในถังน้ำมีตัวข้อความทิ้งไว้ด้วยพะย่ะค่ะ” อวี๋หนานชี้ไปที่ถังแล้วตะโกนขึ้นฉู่เนี่ยนซีมองตามนิ้วมือของเขา และเห็นตัวอักษรสองแถวที่เขียนอยู่ด้านในถังน้ำ“เจ้าอยากรู้จุดประสงค์ของข้าใช่หรือไม่? อย่าอยากรู้เลย ข้าเพียงแค่สนใจเจ้าเท่านั้น ดังนั้นจุดประสงค์ของข้าก็คือเจ้า”ฉู่เนี่ยนซีมองคำเหล่านี้อย่างว่างเปล่า รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกล้อเล่นเมื่ออวี๋หนานเห็นคำเหล่านี้ เขาก็กลั้นเสียงหัวเราะไว้เป็นเวลานานหลังจากถูกฉู่เนี่ยนซีจ้อง เขาก็กลั้นยิ้มและถามอย่างจริงจังว่า "เหตุใดถึงไม่เคยเห็นตัวหนังสือพวกนี้มาก่อนเลย?"“เขาใช้วิธีพิเศษ เขาคงคาดการณ์ไว้แล้วว
พูดจบ ฉู่เนี่ยนซีก็ฮัมเพลงเล็กน้อยและขึ้นไปที่ห้องเล็ก ๆ บนชั้นสามด้วยอารมณ์ที่มีความสุขไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือผี ข้า ฉู่เนี่ยนซีจะได้เห็นชัดในวันนี้!ในไม่ช้า อวี๋หนานก็แอบกลับเข้ามาในหอการแพทย์ และพยักหน้าให้อวี๋ตงเกือบครึ่งชั่วโมงต่อมา อวี๋หนานก็ออกจากหอการแพทย์ผ่านประตูด้านข้างอีกครั้งหลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงเคาะประตูด้านหน้า ดวงตาของอวี๋ตงเป็นประกายด้วยความตื่นเต้นก่อนจะรีบเปิดประตูที่หน้าประตู เย่ฉงเฉิงค้ำขอบประตูด้วยสีหน้าเหนื่อยหอบ เมื่อเห็นประตูเปิด เขาก็รีบแทรกตัวเข้ามาทันที“ท่านอ๋องเฉิง วันนี้หอการแพทย์ปิดพะย่ะค่ะ โปรดกลับไปเถิด”“ข้าอยากพบหมอเทวดาซานเซิง ให้ข้าเข้าไป”ในขณะที่อวี๋ตงกำลังขวางเย่ฉงเฉิง เขาก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าลำบากใจ "ตอนนี้คุณชายของกระหม่อมไม่สะดวกที่จะพบแขก ท่านอ๋องกลับไปก่อนเถิด"“ข้ารู้ว่าเขาไม่สะดวก จึงได้พาหมอหลวงมาด้วย อาจช่วยรักษาอาการของเขาได้ รีบให้ข้าเข้าไปเร็วเข้า”พูดจบ เย่ฉงเฉิงก็พยายามบุกเข้าไปด้านใน แต่ศิลปะการต่อสู้ของอวี๋ตงนั้นสูงเกินไป เขาจึงถูกสกัดกั้นไว้ในเวลาไม่นาน“คุณชายของกระหม่อมไม่ได้ป่วย ท่านพาหมอหลวงมาก็เปล่าประโยชน
เขาเดินหาไปรอบ ๆ ห้องเล็กบนชั้นสาม และในที่สุดก็มาหยุดที่ประตูสุดท้าย เขาถือขวดยาพิษอยู่ในมือ และค่อย ๆ เปิดประตูที่แง้มไว้ออกสิ่งที่ดึงดูดสายตาคือโต๊ะตัวหนึ่ง ถัดไปด้านในคือเตียงนอน และมีชายชุดขาวผู้หนึ่งกำลังนอนอยู่บนนั้นผิวของบุรุษคนนั้นเรียบเนียนราวกับหยก ดวงตาของเขาปิดสนิท ขนตายาวราวกับขนนกทอดเงาใต้ดวงตา จมูกสันตรง และริมฝีปากสีแดงอวบอิ่มละเอียดอ่อนราวกับสตรี แต่ใบหน้าของเขากลับแหลมคม ดุจใบมีดทำให้มีพลังแบบบุรุษคนผู้นี้คือฉู่เนี่ยนซีที่แต่งตัวเป็นบุรุษชายที่สวมผ้าคลุมจ้องไปที่ฉู่เนี่ยนซีบนเตียงอย่างว่างเปล่า สายตาหลงใหลเต็มไปด้วยความตกใจ"แม่บุญธรรม!"เสียงกระซิบที่น่าตกใจของชายคนนั้นทำให้ฉู่เนี่ยนซีที่นอนเงียบ ๆ บนเตียงเกิดความสงสัยขึ้นมาทันทีแต่เมื่อนึกถึงสถานการณ์ปัจจุบัน ในมือนางก็มีเข็มเงินเพิ่มขึ้นมาสองสามเล่มทันที และในขณะที่ชายคนนั้นยังคงตกตะลึง นางก็แทงเข็มเงินเหล่านั้นเข้าไปที่จุดฝังเข็มของเขาอย่างแน่นหนาทันใดนั้นชายคนนั้นก็เดินกะเผลกก่อนจะทรุดตัวลงนั่งกับพื้น มองไปที่ฉู่เนี่ยนซีด้วยสีหน้าประหลาดใจ“ท่านไม่ได้ถูกวางยาพิษ!”ฉู่เนี่ยนซีปัดฝุ่นที่ไม่มีอยู่บน
ดูเหมือนว่าคนคนนี้จะไม่ได้ฟังคำพูดของนางเลย และเสียงร้องไห้ของนางก็ยิ่งดังมากขึ้นเรื่อย ๆ ฉู่เนี่ยนซีเห็นว่านางไม่ยอมหยุดร้องไห้สักที ใบหน้าที่ดูราวกับตุ๊กตาเด็กในตอนที่กำลังร้องไห้ ก็ยิ่งทำให้ฉู่เนี่ยนซีรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังรังแกเด็กน้อยอยู่ นางก็ยิ่งทำอะไรไม่ถูก เลยรีบคุกเข่าลง“เจ้าอย่าร้องไห้นะ…เอ่อ…”ฉู่เนี่ยนซียังไม่ทันจะได้เอ่ยจบประโยค สตรีที่อยู่ตรงหน้าก็โบกข้อมือ ก่อนจะมีผงอะไรบางอย่างลอยกระจายออกมาจากในขวด“ฮ่า ๆ …เจ้าโดนหลอกแล้ว ใครใช้ให้เจ้ามาซุ่มโจมตีข้า!” สตรีมองไปยังฉู่เนี่ยนซีที่นิ่งไม่ขยับเขยื้อนพลางหัวเราะออกมาอย่างหนัก ในตอนที่นางพูดนางก็เช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าที่ดูตื่นเต้นอย่างคาดเดาไม่ได้ฉู่เนี่ยนซีมองไปยังสตรีที่ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ มุมปากของนางก็โค้งขึ้น ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำชวนน่าหลงใหลออกมา “ในที่สุดก็หยุดร้องเสียที!”“แน่นอนสิ ปกติข้าไม่ได้ร้องไห้ง่าย…” ตอนนั้นเองสตรีก็เพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ ก่อนจะรีบหันขวับไปมองฉู่เนี่ยนซีทันที “เจ้า…ทำไมเจ้ายังไม่ล้มไป!”“ถ้าข้าล้มไปเจ้าก็คงกองอยู่ที่นี่ตลอดไปแล้วล่ะ” ฉู่เนี่ยนซีเอ่ยอย่างเย็นชา โชคดีที่ก่อนหน้านี้นางรอบค
ฉู่เนี่ยนซีเห็นว่านางไม่ได้โกหก ก่อนจะเดินไปข้างหน้าและแทงเข็มเงินไปบางส่วนใส่จุดที่ฝังเข็มไปเหยียนตั่วรู้สึกร้อนผ่าวบนร่างกาย จากนั้นท่อนแขนท่อนขาทั้งสี่ที่อ่อนแรงของนางก็กลับมาเป็นปกติในทันที“เอ๊ะ? ได้แล้วนี่” เหยียนตั่วขยับตัวไปมา ก่อนจะลุกขึ้นอย่างตื่นเต้น “พลังข้ากลับมาแล้ว! พิษของท่านช่างมหัศจรรย์มาก ท่านสอนข้าหน่อยสิ”ฉู่เนี่ยนซีเมื่อเห็นรอยยิ้มจริงใจของอีกฝ่าย ในใจนางก็รู้สึกผ่อนคลายลงตั้งแต่ถูกส่งมาในโลกใบนี้ นางก็เป็นเด็กสาวคนแรกที่นางได้พบ แม้ว่านางจะมีท่าทีที่ระมัดระวัง แต่เวลาร้องไห้หรือหัวเราะกลับไม่มีเล่ห์เหลี่ยมเลยคงจะมีแต่หญิงสาวที่ได้รับการปกป้องเลี้ยงดูเป็นอย่างดีจากครอบครัวเท่านั้นจึงจะเป็นเช่นนี้ได้“นั่นไม่ใช่ยาพิษ เป็นแค่เข็มเงินโจมตีในจุดฝังเข็มเท่านั้น” ฉู่เนี่ยนซีตอบด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้นเหยียนตั่วราวกับได้เปิดโลกใบใหม่ที่ไม่เคยรู้มาก่อน สีหน้าเกิดความอยากรู้อยากเห็น “การฝังเข็มเงิน นั่นเป็นการรักษาโรคไม่ใช่หรือ? แต่เมื่อครู่ข้าไม่มีพลังอะไรเลยจริง ๆ นะ อ้อ หรือท่านใส่ยาพิษลงไปที่เข็ม!”ฉู่เนี่ยนซีเบิกตากว้าง สีหน้านางก็ถึงบางอ้อทันที ก่อนนางจะส่ายหน
ท้ายที่สุดแล้วทุกคนก็ล้วนสงสัย และได้พูดถึงหมอเฮ่อหลาน และในตอนนั้นเองอวี๋หนานที่แกล้งกลับไปหาหมอเฮ่อหลานกลับมาบอกว่าหมอเฮ่อหลานไม่ได้อยู่บ้านนี่จึงกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทับอูฐตายดังนั้นทุกคนจึงเชื่อว่าซีซานเซิงถูกวางยาพิษและกำลังจะตายดังนั้นผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือจากหอการแพทย์ และคนที่อิจฉาในชื่อเสียง และก็เกิดความตื่นเต้นขึ้นเมื่อผู้คนเริ่มเห็นซีซานเซิงเป็นเช่นนั้นก็โห่ร้องกันขึ้นมาบรรยากาศก็ยิ่งวุ่นวายขึ้นไปใหญ่นี่เป็นสิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีคิดไว้ล่วงหน้าแล้ว อาจกล่าวได้ว่านี่เป็นกลอุบายที่ฉู่เนี่ยนสร้างขึ้นเพื่อจุดประสงค์ของนางเอง นั่นคือการล่อให้คนที่วางยาพิษปรากฏตัวออกมาเพราะนางมั่นใจว่าคนที่วางยาพิษไม่ได้มีเจตนาทำร้ายคนอื่น หากได้ยินว่าซีซานเซิงโดนยาพิษเสียเอง คนอื่นก็คงไม่มีทางรักษาให้หายได้ ดังนั้น คนผู้นั้นจะต้องกังวลกับสถานการณ์ของซีซานเซิงเช่นนั้นเหยียนตั่วผู้ซึ่งวางยาพิษก็ถูกฉู่เนี่ยนซีชักนำละขั้น“พวกเจ้าทำอะไรกัน?!” ฉู่เนี่ยนซีเห็นเวลาใกล้จะหมดลงแล้ว จึงได้เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นทุกคนที่ได้ยินเสียงนั้น ต่างมองไปยังประตู เห็นซีซานเซิงในอาภรณ์สีขาว ยืนตัว
“ข้าโตขนาดนี้แล้วนะ จะทำตัวเองหลงทางได้อย่างไรเล่า?!” เหยียนตั่วทำหน้าบูดบึ้ง สีหน้าไม่พอใจ“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกเจ้าค่ะ แต่ท่านยังไม่คุ้นเคยกับที่นี่ ถ้าเจอคนไม่ดีจะทำอย่างไรเจ้าคะ?”“คนไม่ดี? ยังมีที่เลวกว่าข้าอีกเหรอ?” เหยียนตั่วเลิกคิ้ว อดไม่ได้ที่จะยิ้มตรงมุมปาก “เอาล่ะ ข้าแค่อยากจะมาดูว่าพี่ชายข้ามอบอำพันทะเลก้อนนั้นแก่ใครก็เท่านั้น ตอนนี้รู้แล้ว จะไม่กลับได้เหรอ? ไปเถอะ”เหยียนตั่วเอ่ยจบ ก่อนจะเดินนำไป สาวใช้อีกสองสามคนหันมามองหน้ากันก่อนจะรีบตามนางไปด้วยคำสัญญาของฉู่เนี่ยนซี หอการแพทย์จึงกลับมาทำการได้ตามปกติ เถ้าแก่จ้าวเมื่อได้รับการรักษาก็เริ่มดีขึ้นในทุก ๆ วัน เขาปิดหอหุยชุนเร็วขึ้นและมาที่หอการแพทย์เนื่องจากนึกถึงบุญคุณของฉู่เนี่ยนซี และเรื่องราวเหล่านี้ก็เป็นหัวข้อที่ประชาชนเริ่มนำมาพูดคุยกันทางด้านเย่ฉงเฉิง นับตั้งแต่ที่เขาออกจากหอการแพทย์ ไปที่จวนอ๋องหลี เขาก็เริ่มปลีกวิเวกศึกษาตำรา การเปลี่ยนแปลงของเขาทำให้เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่และเหล่าองค์ชายคนอื่น ๆ เกิดความสงสัย หลังจากที่สอบถามบางอย่างไปจึงรู้ว่าเป็นเพราะคำพูดหนึ่งของซีซานเชิง สิ่งนี้ทำให้จักรพรรดิเริ่มสนใจในต
ฉู่เนี่ยนซีฟังคำตอบของเขาแล้วก็รู้สึกหดหู่ในใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก“อืม ที่ทะเลสาบลมแรง ต้องสวมเสื้อผ้าให้หนาหน่อย หากกลับมาป่วยอีก การรักษาอาการบาดเจ็บของท่านที่ผ่านมาจะเสียเปล่าเอาได้!” ฉู่เนี่ยนซีพูดทีละคำ ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห จนรู้สึกว่าตัวเองเริ่มโกรธอย่างไม่มีเหตุผล “แล้วก็ ขอให้ท่านไปเที่ยวกับซ่างกวานเยียนให้สนุกแล้วกันเจ้าค่ะ”เอ่ยเสร็จ ฉู่เนี่ยนซีก็หันหลังกลับด้วยความโกรธเย่เฟยหลีฟังแล้วก็สับสนเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นยืนคว้านางทันที“นี่ไม่เกี่ยวกับ…”“ถ้าพี่หญิงอยากไป ก็ไปด้วยกันกับพวกเราสิเจ้าคะ”เย่เฟยหลีกำลังจะอธิบาย แต่เสียงของซ่างกวานเยียนก็ดังออกมาจากหลังประตูเสียก่อนรอยยิ้มที่อ่อนโยนปรากฏบนใบหน้าของนาง เดินเข้ามาด้วยท่าทางสูงส่งสง่างามจากนั้นก็เดินเข้าไปใกล้ฉู่เนี่ยนซีทันที ก่อนจะดึงมือนางขึ้นมา “พี่หญิง เพราะอาการของท่านอ๋องช่วงนี้เขาจึงไม่ค่อยได้พักผ่อน ทำไมเราไม่ออกไปพักผ่อนด้วยกันสักหน่อยเล่าเจ้าคะ?”ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองไปยังมือที่ถูกนางจับไว้อย่างเย็นชา ก่อนจะดึงมือตัวเองกลับ“ท่านอ๋องบาดเจ็บก็เพราะข้า ข้าก็ต้องรักษาเขาอยู่แล้ว แต่มันก็มีแค่นั้น เรื่องทะเล
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่เนี่ยนซีจึงฟาดไปที่ไหล่ของเขาหนึ่งที พลางมองดูสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย “เช่นนั้นท่านก็ถอดเสื้อออก ข้าจะดูแผลให้”เดิมทีไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเห็นเย่เฟยหลีถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นตรงหน้า ฉู่เนี่ยนซีก็หันหน้าหนีด้วยความเขินอาย แม้ว่าเขาจะทำอย่างองอาจ แต่ก็ยังทำให้นางอายจนต้องเบือนหน้าหนี“เสร็จแล้ว”ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมาจับแผ่นหลังกว้างของเย่เฟยหลีไว้ แต่นางก็ไม่เขินอายอีกต่อไป เพราะร่องรอยบาดแผลจากการสู้รบในอดีตทำให้ใจของนางสั่นสะท้านนางค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลออกทีละชั้น เมื่อแกะชั้นสุดท้าย เย่เฟยหลีก็ทนต่อความเจ็บปวดจนตัวสั่นฉู่เนี่ยนซีรีบโรยผงยาลงบนผ้าผ้าพันแผลทันที ซึ่งไม่เพียงแต่บรรเทาความเจ็บปวดของเย่เฟยหลีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ปลดผ้าพันแผลออกได้ง่ายขึ้นอีกด้วยผงยานำความเย็นแพร่ไปตามบาดแผลทั่วทั้งแผ่นหลัง เย่เฟยหลีจึงคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ช้าๆฉู่เนี่ยนซีมองไปยังบาดแผลไฟไหม้ที่สภาพดูไม่ได้“นอนลงบนเตียง ข้าจะทายาให้ท่านใหม่”“ได้”เย่เฟยหลีทำตามอย่างเชื่อฟัง เขาคว่ำตัวเหยียดยาวอยู่บนเตียงฉู่เนี่ยนซีโรยผงยาอีกขวดบนแผลให้เสมอกัน ผงยานี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย
ซุนจื่อซีที่อยู่ข้าง ๆ ไทเฮา ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ท่านป้า เนื่องด้วยจื่อซีและพระชายาหลีอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้วจึงได้รู้ว่าหากตระกูลไม่มีการอบรมสั่งสอนที่เข้มงวด พวกเขาก็จะไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรีให้เติบโตมาอย่างดีเช่นนี้ได้ ฉู่กุ้ยเฟยต้องถูกใส่ร้ายแน่นอนเพคะ ได้โปรดทรงอย่าปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องรับผิดอย่างไม่เป็นธรรมเลยนะเพคะ”องค์จักรพรรดิคิดว่าเขาไม่สามารถลงโทษสนมไป๋ได้เพียงเพราะการคาดเดาของหยางเหอ แต่สนมไป๋ ล่วงเกินฉู่กุ้ยเฟยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งนั่นเป็นความจริงที่แน่ชัด จึงมีรับสั่งให้สนมไป๋ถูกปรับเงินเดือนครึ่งปีและถูกกักบริเวณในตำหนักเป็นเวลาหนึ่งเดือน และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกโดยพลการองค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้เย่เหลียนและเย่เฟยหลีสืบเรื่องนี้ด้วยกัน หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายพ้นผ่าน งานเลี้ยงในพระราชวังก็สูญเสียบรรยากาศที่สนุกสนานไป องค์จักรพรรดิทรงกังวลว่าไทเฮาจะทรงหวาดกลัว จึงประคองไทเฮาเสด็จกลับไปยังพระตำหนักอันชิ่งเพื่อพักผ่อนทุกคนที่หมดสนุกแล้วจึงหยุดทุกอย่างและรีบพากันกลับจวนช่องว่างเล็ก ๆ ของหน้าต่างหน้าต่างสีแดงลายมังกรถูกปิดลงอย่างเงียบ ๆ อย่างไม่มีใครสังเกตเผย
ฉู่เนี่ยนซีมาอยู่ข้างกายฉู่กุ้ยเฟยร่วมกับหยางเหอ หลังจากจับชีพจรและตรวจดูให้แน่ใจว่านางไม่เป็นอะไรแล้ว ก็สั่งให้คนรับใช้นำเบาะขนห่านมาวางไว้ด้านหลังฉู่กุ้ยเฟยหยางเหอดูเหมือนจะมีอะไรจะพูด แต่นางก็ไม่กล้าพูด ทว่าเมื่อเห็นฉู่กุ้ยเฟยเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ หัวใจของนางก็เต้นรัวและสุดท้ายนางก็ลุกขึ้นยืนทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่หยางเหอ นางหายใจเข้าลึก ๆ พลางมองตรงไปที่องค์จักรพรรดิ“โปรดทรงอภัยในความอวดดีของหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่สามารถทนเห็นกุ้ยเฟยถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ เช่นนี้ได้ แม้จะเสี่ยงต่อการถูกบั่นหัว แต่หม่อมฉันก็ต้องพูดอะไรบางอย่างเพคะ”“เกิดอะไรขึ้น?”องค์จักรพรรดิทรงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยและหรี่ตามองไปยังหยางเหอที่กำลังคุกเข่าด้วยใบหน้าแห่งความยุติธรรม“สนมไป๋ที่เข้ามาใหม่ไม่มีความเคารพต่อกุ้ยเฟยเลย เมื่อใดก็ตามที่ได้พบกับกุ้ยเฟย นางมักจะใช้คำพูดที่แฝงเป็นนัยเสียดสีอยู่เสมอ ไม่ก็สาปแช่งให้กุ้ยเฟยรักษาพระโอรสไว้ไม่ได้หรือไม่ก็เสียดสีว่ากุ้ยเฟยไม่คู่ควรกับตำแหน่งสูง กุ้ยเฟยไม่ต้องการโต้เถียงกับสนมไป๋จึงลืมมันไปทุกครั้งเพคะ”“สาวใช้ต่ำช้า กล้าพูดจาว่าร้ายข้าอย่างนั้นห
เย่เฟยหลีอาศัยโอกาสนี้จับมือนาง รู้สึกดีกับการตรวจดูอย่างละเอียดของอีกฝ่ายพลางพูดเสียงอ่อน “ข้าไม่เป็นไร แค่เป็นแผลนิดหน่อย หมอหลวงจ่ายยาให้ข้าเรียบร้อยแล้ว”“เจ้ามาดูสิ นี่มันคืออะไร?”เย่เฟยหลีพาฉู่เนี่ยนซีไปยังจุดที่เพิ่งเกิดเพลิงไหม้ พื้นถูกไฟไหม้และมีรอยดำเต็มไปหมด เก้าอี้เอียงตะแคงโดยมีขาหักไปฉู่เนี่ยนซีนั่งยอง ๆ พลางใช้นิ้วชี้ขวาสัมผัสพื้น จากนั้นยกมาที่ปลายจมูกสูดดมเบาๆ ก่อนพูดด้วยความตกใจ “มันคือดินปืน แต่ไม่ใช่ดินปืนบริสุทธิ์ มันจึงไม่ทำให้เกิดการระเบิด แค่ติดไฟเร็วเท่านั้น”“ใช่ มีคนโปรยดินปืนประเภทนี้ไว้ตั้งแต่แรก แต่ท้องฟ้ามืดจนมองไม่เห็น คนจึงคิดว่ามันดูเหมือนฝุ่นกรวดทั่วไป”เย่เฟยหลีเหยียดแขนออกไปประคองให้ฉู่เนี่ยนซียืนขึ้นฉู่เนี่ยนซีขึ้นไปที่ลานถงฮวาอีกครั้งและมองไปที่เครื่องมือที่ฉู่กุ้ยเฟยใช้ในการจุดไฟ มันปนเปื้อนด้วยเศษสะเก็ดไฟบางส่วน แม้จะเผาไหม้ได้ แต่มันก็อยู่ได้ไม่นานและเปลวไฟก็ไม่ลุกลามมากเท่ากับดินปืนโดยทั่วไปนางยืนอยู่บนลานพลางมองไปที่เย่เฟยหลี ดวงตาของนางก็ค่อย ๆ ดูน่ากลัวมากขึ้น น้ำเสียงของนางก็เยือกเย็นลงตามลมหนาว“รู้หรือไม่ว่าใครมาที่นี่บ้างก่อ
เหล่าขันทีและนางกำนัลที่รีบรุดมาพร้อมกับอ่างน้ำเย็น นำมาราดลงบนเปลวไฟที่อยู่บริเวณรอบ ๆ องค์จักรพรรดิและเย่เฟยหลี ทำให้เกิดเสียงน้ำสาดกระเซ็นเย่เฟยหลีไม่รู้สึกถึงความรู้สึกแสบร้อนที่แผ่นหลัง เขาจึงประคององค์จักรพรรดิลุกขึ้นยืนไทเฮาถูกนางกำนัลอาวุโสซิวเหลียงประคองมา ทว่าพระนางยังไม่หายตกใจ องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นคิ้วคมเข้มของเย่เฟยหลีที่ขมวดเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวด จึงทอดพระเนตรมองไปยังแผ่นหลังของเขา พบว่าอาภรณ์สีดำของเขาถูกไฟไหม้เป็นวงกว้าง และร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาถูกเปลวเพลิงเผาจนเป็นสีแดงเข้ม เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดขึ้นไปอีก“ฝ่าบาท” ฉู่กุ้ยเฟยเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ รีบคุกเข่าคำนับด้วยความตื่นตระหนกเย่เหลียนตะโกนทันที “ฉู่กุ้ยเฟย นี่ท่านคิดลอบปลงพระชนม์หรือ? ท่านจงใจล่อลวงทุกคนมาที่นี่เพื่อวางแผนลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อหรือ เอาคนมา จับฉู่กุ้ยเฟยไว้!”“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ทำ! หม่อมฉันไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด! ขอฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาด้วยเพคะ!”เมื่อเห็นเหล่าราชองครักษ์ในชุดเกราะเข้ามาใกล้ ฉู่กุ้ยเฟยก็ตะโกนทูลต่อองค์จักรพรรดิด้วยความตื่นกลัว“โอหัง!
ทุกคนเดินไปที่ลานถงฮวาและเห็นว่ามีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งอยู่ด้านล่าง อีกทั้งยังมีน้ำชากับผลไม้ที่จัดอย่างประณีตวางไว้ด้วยบนเวทีมีเสาไม้ห้าต้นสูงประมาณหกศอก ติดตั้งล้อมรอบมุมทั้งสี่และด้านบนตรงกลาง เสาไม้ทั้งหมดนั้นถูกพันด้วยเชือกหากมองลงมาจากหลังคาตำหนักที่อยู่ใกล้ ๆ จะรู้สึกว่าเชือกนั้นเปรียบเสมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่ปกคลุมเสาไม้ไว้แม้องค์จักรพรรดิจะทรงสับสน แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสถามอะไรมากนัก เพียงแค่ทรงยิ้มมุมปากแล้วตรัสกับไทเฮา “ดูเหมือนว่าฉู่กุ้ยเฟยจะมีอะไรใหม่ ๆ มานำเสนอ เสด็จแม่ทรงนั่งลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขันทีและนางกำนัลมาช่วยบรรดาผู้เป็นนายหาที่นั่งเพื่อไม่ให้ทุกคนพากันสับสนวุ่นวายนางกำนัลผู้น้อยจัดให้เย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีนั่งด้วยกันที่ฝั่งหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันจะได้นั่งลง ก็เห็นหลานชุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ เย่หลิงเอ๋อร์เดินมาเชิญฉู่เนี่ยนซีไปพูดคุยหลานชุ่ยมาเชิญนางด้วยตนเอง คงจะไม่มีเรื่องหลอกลวง ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่เฟยหลีอย่างสบายใจ หลังจากทำความเคารพองค์จักรพรรดิและไทเฮา นางก็ตามหลานชุ่ยไปทันใดนั้น ลานถงฮวาก็สว่างขึ้นมาก ทุกคนเงยหน้าเห็นเด็กผู้หญิงอายุราวเจ็ดแปดขวบห
“ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ให้นางอยู่ด้วยกันต่อไปเถอะ ช่วงนี้เราเข้ากันได้ดี นางอ่อนโยน มีน้ำใจและใฝ่เรียนใฝ่รู้ ข้าชอบนางมาก ดีที่มีนางอยู่ที่จวนแห่งนี้ ข้าจึงคลายความเบื่อลงไปได้บ้าง”สิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีพูดนั้นเป็นความจริง ตอนแรกนางสงสัยในเจตนาของซุนจื่อซีที่ช่วยนางจากการตกน้ำ แต่ตอนที่นางตกจากรถม้า ซุนจื่อซีกลับไม่ห่วงตนเองและเอาตัวมารองรับนางไว้ ช่างเป็นสตรีที่จิตใจงามอย่างแท้จริงทันใดนั้น ท้องฟ้าก็สว่างไสวไปด้วยดอกไม้ไฟ ส่องแสงไปทั่วทุกสารทิศ ราวกับแสงสว่างของรุ่งอรุณส่องขึ้นมาจากความมืดมิดประกายแสงนั้นส่องสว่างราวกับหมู่ดาวที่โอบล้อมภูเขาและแม่น้ำอันกว้างใหญ่ที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก รวมไปถึงป่าอันงดงามและที่ราบอันไร้ขอบเขต ทำให้ความขุ่นข้องในใจของคนสองคนจางลง และคนทั้งคู่ก็ยังได้มองดูความยิ่งใหญ่ที่พร่างพราวนี้ไปด้วยกันณ พระตำหนักเจาฮุย ซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอย่างงดงามดุจนางสวรรค์ หลังจากการแสดงสิ้นสุดลง ผู้คนในโถงยังคงตกอยู่ในภวังค์องค์จักรพรรดิทรงปรบมือใหญ่แล้วหันไปหาไทเฮาพร้อมรอยยิ้ม “ทักษะการร่ายรำของจื่อซีดีขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่านางจะฝึกฝนอย่างหนักและลำบากไม่น้อย เป็นเสด็จแม่
ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ จนแทบมองเห็นแสงสว่าง เช่นนี้เขาเห็นดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่สุดที่ว่านั่นจากที่ใดกัน?“ท่านอ๋องชื่นชมดวงจันทร์ได้อย่างไรหรือ?”ฉู่เนี่ยนซีมองดูแสงสีเหลืองจาง ๆ ที่ขอบฟ้านั้น อย่างกับมันถูกขัดถูจนไร้ซึ่งความแวววาวเย่เฟยหลีทัดผมฉู่เนี่ยนซีไว้ข้างหลังใบหูของนาง พลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เพราะดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่ว่านี้ไม่ใช่ดวงจันทร์ดวงนั้น”ฉู่เนี่ยนซีหันมาสบตาที่เป็นประกายของเย่เฟยหลี มือที่ค้างเติ่งในตอนแรกเลื่อนมาตรงแก้มของนาง เย่เฟยหลีรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ส่งผ่านมายังฝ่ามือ เขาคลี่ยิ้มออกมาเพราะรู้ว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังเขินอาย“ข้าได้ยินจากน้องเจ็ดว่าเจ้าคิดว่าซุนจื่อซีกับข้าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากหรือ?”เย่เฟยหลีดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน หางตาของเขาเห็นท่าทางหงุดหงิดของฉู่เนี่ยนซีพลางคิดว่าช่างน่าสนุกฉู่เนี่ยนซีแอบด่าทอเย่ฉงเฉิงในใจว่าเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ นางพูดความในใจออกไปเพียงนิดเดียวเขาก็นำไปบอกเจ้าตัวในพริบตาเสียอย่างนั้น“ก็คิดบ้าง เป็นบางครั้ง”ฉู่เนี่ยนซีกะพริบตาและพยายามอย่างมากเพื่อรักษาท่าทางสงบนิ่งอย่างเคย นางไม่สามารถปฏิเส
เย่เฟยหลีเหลือบมองอีกฝ่าย “เจ้าว่าเจ้ารู้จักข้าดีที่สุดไม่ใช่หรือ?”“แต่พี่สะใภ้สามไม่รู้จักท่านดีเท่าข้า หากมีเรื่องเข้าใจผิดกันก็ควรรีบแก้ไขเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าก็ช่วยท่านไม่ได้”เมื่อได้ยินเสียงดนตรีดังมาจากพระตำหนักเจาฮุย เขาก็รู้ได้ทันทีว่างานเลี้ยงได้เริ่มขึ้นแล้ว เย่เฟยหลีจึงให้เย่ฉงเฉิง เรียกฉู่เนี่ยนซีมาที่นี่เพราะเขามีเรื่องจะพูดกับนางเย่ฉงเฉิงรับคำสั่งแล้วจากไป ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องจัดงาน เขาก็เห็นซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอยู่อย่างอ่อนช้อย นางอยู่ในชุดกระโปรงสีแดงราวกับดอกเหมยที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ท่ามกลางหิมะขาว ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเขาหันไปด้านข้างและกระซิบกับฉู่เนี่ยนซี “พี่สะใภ้สาม พี่สามกำลังรอท่านอยู่ไม่ไกลจากทางเหนือของ พระตำหนักเจาฮุย ท่านรีบไปเถิด”ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่ฉงเฉิงอย่างสงสัยและบอกให้เสี่ยวเถารออยู่ที่นี่ หากใครถามหาก็บอกว่านางออกไปเดินรับลมข้างนอกให้สร่างเมาในห้องจัดงาน ซุนจื่อซีออกท่วงท่าราวกับต้นหลิวที่กำลังแผ่กิ่งก้านสาขาอย่างเพลินใจ ชายแขนเสื้อในมือของนางกระพือเบา ๆ แขนเรียวยาวใต้เสื้อคดเคี้ยวราวกับดอกบ๊วยแดงที่ล่องลอยในอากาศแต่ไม่ว่านางจะพย