ท้ายที่สุดแล้วทุกคนก็ล้วนสงสัย และได้พูดถึงหมอเฮ่อหลาน และในตอนนั้นเองอวี๋หนานที่แกล้งกลับไปหาหมอเฮ่อหลานกลับมาบอกว่าหมอเฮ่อหลานไม่ได้อยู่บ้านนี่จึงกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทับอูฐตายดังนั้นทุกคนจึงเชื่อว่าซีซานเซิงถูกวางยาพิษและกำลังจะตายดังนั้นผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือจากหอการแพทย์ และคนที่อิจฉาในชื่อเสียง และก็เกิดความตื่นเต้นขึ้นเมื่อผู้คนเริ่มเห็นซีซานเซิงเป็นเช่นนั้นก็โห่ร้องกันขึ้นมาบรรยากาศก็ยิ่งวุ่นวายขึ้นไปใหญ่นี่เป็นสิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีคิดไว้ล่วงหน้าแล้ว อาจกล่าวได้ว่านี่เป็นกลอุบายที่ฉู่เนี่ยนสร้างขึ้นเพื่อจุดประสงค์ของนางเอง นั่นคือการล่อให้คนที่วางยาพิษปรากฏตัวออกมาเพราะนางมั่นใจว่าคนที่วางยาพิษไม่ได้มีเจตนาทำร้ายคนอื่น หากได้ยินว่าซีซานเซิงโดนยาพิษเสียเอง คนอื่นก็คงไม่มีทางรักษาให้หายได้ ดังนั้น คนผู้นั้นจะต้องกังวลกับสถานการณ์ของซีซานเซิงเช่นนั้นเหยียนตั่วผู้ซึ่งวางยาพิษก็ถูกฉู่เนี่ยนซีชักนำละขั้น“พวกเจ้าทำอะไรกัน?!” ฉู่เนี่ยนซีเห็นเวลาใกล้จะหมดลงแล้ว จึงได้เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นทุกคนที่ได้ยินเสียงนั้น ต่างมองไปยังประตู เห็นซีซานเซิงในอาภรณ์สีขาว ยืนตัว
“ข้าโตขนาดนี้แล้วนะ จะทำตัวเองหลงทางได้อย่างไรเล่า?!” เหยียนตั่วทำหน้าบูดบึ้ง สีหน้าไม่พอใจ“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกเจ้าค่ะ แต่ท่านยังไม่คุ้นเคยกับที่นี่ ถ้าเจอคนไม่ดีจะทำอย่างไรเจ้าคะ?”“คนไม่ดี? ยังมีที่เลวกว่าข้าอีกเหรอ?” เหยียนตั่วเลิกคิ้ว อดไม่ได้ที่จะยิ้มตรงมุมปาก “เอาล่ะ ข้าแค่อยากจะมาดูว่าพี่ชายข้ามอบอำพันทะเลก้อนนั้นแก่ใครก็เท่านั้น ตอนนี้รู้แล้ว จะไม่กลับได้เหรอ? ไปเถอะ”เหยียนตั่วเอ่ยจบ ก่อนจะเดินนำไป สาวใช้อีกสองสามคนหันมามองหน้ากันก่อนจะรีบตามนางไปด้วยคำสัญญาของฉู่เนี่ยนซี หอการแพทย์จึงกลับมาทำการได้ตามปกติ เถ้าแก่จ้าวเมื่อได้รับการรักษาก็เริ่มดีขึ้นในทุก ๆ วัน เขาปิดหอหุยชุนเร็วขึ้นและมาที่หอการแพทย์เนื่องจากนึกถึงบุญคุณของฉู่เนี่ยนซี และเรื่องราวเหล่านี้ก็เป็นหัวข้อที่ประชาชนเริ่มนำมาพูดคุยกันทางด้านเย่ฉงเฉิง นับตั้งแต่ที่เขาออกจากหอการแพทย์ ไปที่จวนอ๋องหลี เขาก็เริ่มปลีกวิเวกศึกษาตำรา การเปลี่ยนแปลงของเขาทำให้เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่และเหล่าองค์ชายคนอื่น ๆ เกิดความสงสัย หลังจากที่สอบถามบางอย่างไปจึงรู้ว่าเป็นเพราะคำพูดหนึ่งของซีซานเชิง สิ่งนี้ทำให้จักรพรรดิเริ่มสนใจในต
ฉู่เนี่ยนซีฟังคำตอบของเขาแล้วก็รู้สึกหดหู่ในใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก“อืม ที่ทะเลสาบลมแรง ต้องสวมเสื้อผ้าให้หนาหน่อย หากกลับมาป่วยอีก การรักษาอาการบาดเจ็บของท่านที่ผ่านมาจะเสียเปล่าเอาได้!” ฉู่เนี่ยนซีพูดทีละคำ ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห จนรู้สึกว่าตัวเองเริ่มโกรธอย่างไม่มีเหตุผล “แล้วก็ ขอให้ท่านไปเที่ยวกับซ่างกวานเยียนให้สนุกแล้วกันเจ้าค่ะ”เอ่ยเสร็จ ฉู่เนี่ยนซีก็หันหลังกลับด้วยความโกรธเย่เฟยหลีฟังแล้วก็สับสนเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นยืนคว้านางทันที“นี่ไม่เกี่ยวกับ…”“ถ้าพี่หญิงอยากไป ก็ไปด้วยกันกับพวกเราสิเจ้าคะ”เย่เฟยหลีกำลังจะอธิบาย แต่เสียงของซ่างกวานเยียนก็ดังออกมาจากหลังประตูเสียก่อนรอยยิ้มที่อ่อนโยนปรากฏบนใบหน้าของนาง เดินเข้ามาด้วยท่าทางสูงส่งสง่างามจากนั้นก็เดินเข้าไปใกล้ฉู่เนี่ยนซีทันที ก่อนจะดึงมือนางขึ้นมา “พี่หญิง เพราะอาการของท่านอ๋องช่วงนี้เขาจึงไม่ค่อยได้พักผ่อน ทำไมเราไม่ออกไปพักผ่อนด้วยกันสักหน่อยเล่าเจ้าคะ?”ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองไปยังมือที่ถูกนางจับไว้อย่างเย็นชา ก่อนจะดึงมือตัวเองกลับ“ท่านอ๋องบาดเจ็บก็เพราะข้า ข้าก็ต้องรักษาเขาอยู่แล้ว แต่มันก็มีแค่นั้น เรื่องทะเล
ประมาณหนึ่งชั่วยาม**ต่อมา เย่เฟยหลีก็พาฉู่เนี่ยนซีและซ่างกวานเยียนขึ้นรถม้าไปยังทะเลสาบในเขตชานเมือง ฉู่เนี่ยนซีทำสีหน้าไร้ความรู้สึกมาตลอดทาง ไม่สนใจเย่เฟยหลีแม้แต่น้อย หลังจากนั้นไม่นาน ทุกคนก็มาถึงเป็นที่เรียบร้อย เนื่องจากเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง จึงมีเรือหลายลำลอยอยู่ในทะเลสาบเป็นกลุ่ม ๆ กลุ่มละสองสามลำ ทันทีที่ทั้งสามลงจากรถม้า พวกเขาก็เห็นบุรุษคนหนึ่งในชุดสีดำเดินลงจากเรือลำใหญ่บนฝั่ง “ไม่คิดว่าน้องสามจะมาล่องทะเลสาบกับเขาด้วย?” เย่เหลียนโบกพัดจิ๋วในมือสองสามครั้ง ผมบนหน้าผากของเขาถูกพัดไปตามลม ทำให้เขาดูราวกับบุรุษรูปงาม ฉู่เนี่ยนซีและเย่เฟยหลีต่างตกตะลึง พวกเขาไม่คิดว่าเย่เหลียนจะอยู่ที่นี่ด้วย! “ว่ากันว่าทิวทัศน์ของทะเลสาบในเขตชานเมืองนั้นสวยงามมาก ข้าควรจะเอาอย่างพี่รอง โดยการมาเยี่ยมชมที่นี่และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขบ่อย ๆ ” “โอ้~ ข้าคงไม่มีความสุขเท่าน้องสามกระมังที่มีชายาล้อมหน้าล้อมหลัง” ขณะที่พูด เย่เหลียนก็มองไปยังฉู่เนี่ยนซี เย่เฟยหลีที่เห็นก็รีบเอาตัวมาบังไว้ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเยือกเย็น “ได้ยินมาว่าหลังจบงานเลี้ยงที่จวนเสนาบดีพี่รองได้รับบ
อ๋องหลีขมวดคิ้ว หากวันนี้เขาจากไปอีก ผู้คนก็จะพากันครหาว่าพี่น้องในราชวงศ์ไม่ถูกกัน อ๋องหลีตั้งใจทำตัวห่างเหินกับอ๋องเหลียน อยากให้มีกำแพงแห่งความบาดหมางเกิดขึ้นในหมู่พี่น้อง หากปล่อยไว้เช่นนี้ ก็จะเป็นการทำให้ตัวเขาเสียหน้า อีกทั้งยังถูกเย่เหลียนหัวเราะเยาะด้วย ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้ามองเย่เฟยหลีแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง เรือของเรายังมาไม่ถึง ไปเรือลำเดียวกับท่านอ๋องเหลียนดีกว่าเพคะ” ในเวลานี้ คำพูดของผู้เป็นภรรยาน่าจะดีที่สุด เพราะถึงอย่างไรทุกคนก็มีหน้ามีตาให้ต้องรักษา เย่เฟยหลีเหลือบมองฉู่เนี่ยนซีด้วยสายตาที่มีความรักเจือปนอยู่ในนั้น “ได้! ข้าจะฟังเจ้า” ฉู่เนี่ยนซีไม่รู้ว่าเขากำลังแสดงหรือจริงจัง พูดง่าย ๆ ก็คือดวงตาของเขาเร่าร้อนจนจู่ ๆ นางก็รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง ซ่างกวานเยียนที่อยู่ข้าง ๆ กำชายเสื้อของตัวเองไว้ กระทั่งฉู่หว่านเอ๋อร์ดึงนางให้สงบลง เย่เหลียนที่เฝ้าดูอยู่ก็ครุ่นคิดอยู่ในใจ เป็นไปได้หรือไม่ว่าเย่เฟยหลีจะตกหลุมรักสตรีนางนี้เข้าแล้วจริง ๆ ? เช่นนั้น...เขาคงต้องแย่งมาให้ได้ หน้าตาจะอัปลักษณ์แค่ไหนไม่สำคัญ ขอแค่มีประโยชน์ก็พอ ตอนนี้นางไม่ได้เป็นเพียงบุตรสาว
“ไม่ล่ะ เจ้าไปจับกลุ่มของตัวเองเถอะ” ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้ามอง เสียงของนางเย็นชาและไม่มีความหวั่นไหวใดใด “แต่พี่หญิง ท่าน…” ซ่างกวานเยียนดูลังเลและเป็นกังวล ฉู่เนี่ยนซีถึงกับสาปแช่งในใจ สตรีมากมารยาผู้นี้นี่วุ่นวายไม่เลิกราเลยจริง ๆ! แต่เมื่อคนที่อยู่รอบ ๆ เห็นสีหน้าของทั้งสองคน พวกเขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าซ่างกวานเยียนเป็นคนจิตใจดี ในขณะที่ฉู่เนี่ยนซีเป็นคนที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ต่างพูดกันว่า “คุณหนูซ่างกวาน ในเมื่อคนอื่นไม่เห็นคุณค่าของท่าน เหตุใดถึงยังไม่ยอมแพ้?” “นั่นสิ เมื่อนับจากความสามารถของท่าน ท่านคงคว้าที่หนึ่งมาได้ แต่หากท่านพานางไปด้วย อย่าว่าแต่ที่หนึ่งเลย ท่านคงได้ที่โหล่เสียด้วยซ้ำ” ทุกคนคุยกัน แต่ไม่มีใครสนใจฉู่เนี่ยนซีเลย เย่เฟยหลีมองดูเหตุการณ์ด้วยสายตาเคร่งขรึม และมองไปยังผู้คนที่กำลังพูดคุยกันด้วยสายตาที่เย็นชา และจำทุกอย่างไว้ในใจ ซ่างกวานเยียนทำสีหน้าลำบากใจและโบกมืออย่างรวดเร็ว “ไม่ใช่เจ้าค่ะ ไม่ใช่ พี่หญิงแค่ปิดบังความสามารถเอาไว้ไม่ให้ใครรู้เท่านั้น ในแง่ของความสามารถ เยียนเอ๋อร์เป็นเพียงแสงหิ่งห้อย จะกล้าดีไปแข่งกับพรสวรรค์ของพี่หญิงได้อย่างไร?” เ
ดังนั้น นางจึงดึงแขนเสื้อของซ่างกวานเยียนอย่างเงียบ ๆ และกระซิบว่า “ท่านพี่ซ่างกวาน หว่านเอ๋อร์จะต้องชนะให้ได้” ฉู่เนี่ยนซีที่เห็นสีหน้าของทั้งสองคนอย่างชัดเจน ก็อดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ยอยู่ในใจ แล้วจงใจพูดว่า “น้องหญิง ดูสิ นี่คือรางวัลของวันนี้ เราจะชนะด้วยกันเป็นกลุ่มอย่างแน่นอน” ฉู่เนี่ยนซีพูด จากนั้นก็หันหน้าไปทางฉู่หว่านเอ๋อร์ “แล้วน้องหว่านเอ๋อร์ล่ะ เจ้าจะไปด้วยกันกับพวกเราหรือไม่?” เมื่อฉู่เนี่ยนซีเอ่ยชื่อของพวกนาง ทั้งสองก็สะดุ้งทันทีพลางหลบสายตา ฉู่เนี่ยนซีมองพวกเขาอย่างงงงวยพร้อมก้าวไปข้างหน้าสองก้าว “น้องหญิงทั้งสองเป็นอะไรไป? ไยไม่ตอบเล่า?” “คือ...ข้า...” ทั้งคู่มีท่าทางไม่สบายใจ และสีหน้าของพวกนางก็ยิ่งดูลำบากใจมากขึ้นเมื่อเห็นสายตาของทุกคน “นี่หมายความว่า พวกเจ้าไม่อยากอยู่กับข้าหรือ?” ฉู่เนี่ยนซีมองด้วยความเหลือเชื่อ แล้วจ้องไปที่ซ่างกวานเยียนอย่างเศร้าสร้อย “น้องหญิง เมื่อครู่เจ้าก็พูดเองนี่ว่าข้าถ่อมตัวปิดบังความสามารถไม่ให้ใครรู้ เหตุใดตอนนี้เจ้าถึงไม่เชื่อว่าพี่สาวคนนี้จะคว้าชัยมาได้ เจ้ากลัวจะชวดของรางวัลไปเช่นนั้นหรือ?” “มะ...ไม่ใช่เจ้าค่ะ...” “แล้วเพ
ฉู่เนี่ยนซีมองไปยังมือที่ยื่นมาของเย่เฟยหลีและกระตุกมุมปาก เขากำลังทำอะไร? แต่การจัดตั้งกลุ่มก็จำเป็นต้องมีคนจำนวนสี่คนและจะดีกว่าถ้าเย่เฟยหลีเข้าร่วมด้วย ฉู่เนี่ยนซีจึงยิ้มและจับมือกับเย่เฟยหลี สัมผัสที่เย็นและนุ่มนวลบนมือของเขาทำให้มุมปากของเย่เฟยหลียกขึ้นเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเย่เหลียนที่อยู่อีกด้านเห็นสิ่งนี้ ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นและลุกขึ้นยืนทันที “ข้าขอถามว่าข้าจะเข้าร่วมกลุ่มด้วยได้หรือไม่?!” หลังจากพูดจบ เย่เหลียนก็ยื่นมือมา พร้อมรอยยิ้มที่คิดว่ามีเสน่ห์ และมองตรงไปยังฉู่เนี่ยนซี ฉู่เนี่ยนซีคาดไม่ถึงว่าเขาจะอยากเข้าร่วมกลุ่มของพวกนางด้วย แต่นางก็ไม่กังวลว่าเขาจะวางแผนอะไรมา เพราะท้ายที่สุดแล้วหากเขาแพ้ก็จะไม่ดีต่อชื่อเสียงของเขาเอง และเห็นได้ชัดว่าในตอนนี้นอกจากพวกเขาแล้วก็ไม่มีใครอยากอยู่กลุ่มเดียวกับนาง เมื่อคิดได้ดังนั้น ฉู่เนี่ยนซีก็พยักหน้าและกำลังจะพูด เย่เฟยหลีที่อยู่ข้าง ๆ ก็เป็นฝ่ายเอื้อมมือไปจับมือเย่เหลียนแทน จากนั้นเสียงเย็น ๆ ก็ดังขึ้น “ยินดีต้อนรับ!” สีหน้าของเย่เหลียนขรึมขึ้นเล็กน้อย เขาดึงมือกลับ จ้องมองไปยังเย่เฟยหลีด้วยท่าทางรัง