ประมาณหนึ่งชั่วยาม**ต่อมา เย่เฟยหลีก็พาฉู่เนี่ยนซีและซ่างกวานเยียนขึ้นรถม้าไปยังทะเลสาบในเขตชานเมือง ฉู่เนี่ยนซีทำสีหน้าไร้ความรู้สึกมาตลอดทาง ไม่สนใจเย่เฟยหลีแม้แต่น้อย หลังจากนั้นไม่นาน ทุกคนก็มาถึงเป็นที่เรียบร้อย เนื่องจากเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง จึงมีเรือหลายลำลอยอยู่ในทะเลสาบเป็นกลุ่ม ๆ กลุ่มละสองสามลำ ทันทีที่ทั้งสามลงจากรถม้า พวกเขาก็เห็นบุรุษคนหนึ่งในชุดสีดำเดินลงจากเรือลำใหญ่บนฝั่ง “ไม่คิดว่าน้องสามจะมาล่องทะเลสาบกับเขาด้วย?” เย่เหลียนโบกพัดจิ๋วในมือสองสามครั้ง ผมบนหน้าผากของเขาถูกพัดไปตามลม ทำให้เขาดูราวกับบุรุษรูปงาม ฉู่เนี่ยนซีและเย่เฟยหลีต่างตกตะลึง พวกเขาไม่คิดว่าเย่เหลียนจะอยู่ที่นี่ด้วย! “ว่ากันว่าทิวทัศน์ของทะเลสาบในเขตชานเมืองนั้นสวยงามมาก ข้าควรจะเอาอย่างพี่รอง โดยการมาเยี่ยมชมที่นี่และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขบ่อย ๆ ” “โอ้~ ข้าคงไม่มีความสุขเท่าน้องสามกระมังที่มีชายาล้อมหน้าล้อมหลัง” ขณะที่พูด เย่เหลียนก็มองไปยังฉู่เนี่ยนซี เย่เฟยหลีที่เห็นก็รีบเอาตัวมาบังไว้ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเยือกเย็น “ได้ยินมาว่าหลังจบงานเลี้ยงที่จวนเสนาบดีพี่รองได้รับบ
อ๋องหลีขมวดคิ้ว หากวันนี้เขาจากไปอีก ผู้คนก็จะพากันครหาว่าพี่น้องในราชวงศ์ไม่ถูกกัน อ๋องหลีตั้งใจทำตัวห่างเหินกับอ๋องเหลียน อยากให้มีกำแพงแห่งความบาดหมางเกิดขึ้นในหมู่พี่น้อง หากปล่อยไว้เช่นนี้ ก็จะเป็นการทำให้ตัวเขาเสียหน้า อีกทั้งยังถูกเย่เหลียนหัวเราะเยาะด้วย ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้ามองเย่เฟยหลีแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง เรือของเรายังมาไม่ถึง ไปเรือลำเดียวกับท่านอ๋องเหลียนดีกว่าเพคะ” ในเวลานี้ คำพูดของผู้เป็นภรรยาน่าจะดีที่สุด เพราะถึงอย่างไรทุกคนก็มีหน้ามีตาให้ต้องรักษา เย่เฟยหลีเหลือบมองฉู่เนี่ยนซีด้วยสายตาที่มีความรักเจือปนอยู่ในนั้น “ได้! ข้าจะฟังเจ้า” ฉู่เนี่ยนซีไม่รู้ว่าเขากำลังแสดงหรือจริงจัง พูดง่าย ๆ ก็คือดวงตาของเขาเร่าร้อนจนจู่ ๆ นางก็รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง ซ่างกวานเยียนที่อยู่ข้าง ๆ กำชายเสื้อของตัวเองไว้ กระทั่งฉู่หว่านเอ๋อร์ดึงนางให้สงบลง เย่เหลียนที่เฝ้าดูอยู่ก็ครุ่นคิดอยู่ในใจ เป็นไปได้หรือไม่ว่าเย่เฟยหลีจะตกหลุมรักสตรีนางนี้เข้าแล้วจริง ๆ ? เช่นนั้น...เขาคงต้องแย่งมาให้ได้ หน้าตาจะอัปลักษณ์แค่ไหนไม่สำคัญ ขอแค่มีประโยชน์ก็พอ ตอนนี้นางไม่ได้เป็นเพียงบุตรสาว
“ไม่ล่ะ เจ้าไปจับกลุ่มของตัวเองเถอะ” ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้ามอง เสียงของนางเย็นชาและไม่มีความหวั่นไหวใดใด “แต่พี่หญิง ท่าน…” ซ่างกวานเยียนดูลังเลและเป็นกังวล ฉู่เนี่ยนซีถึงกับสาปแช่งในใจ สตรีมากมารยาผู้นี้นี่วุ่นวายไม่เลิกราเลยจริง ๆ! แต่เมื่อคนที่อยู่รอบ ๆ เห็นสีหน้าของทั้งสองคน พวกเขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าซ่างกวานเยียนเป็นคนจิตใจดี ในขณะที่ฉู่เนี่ยนซีเป็นคนที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ต่างพูดกันว่า “คุณหนูซ่างกวาน ในเมื่อคนอื่นไม่เห็นคุณค่าของท่าน เหตุใดถึงยังไม่ยอมแพ้?” “นั่นสิ เมื่อนับจากความสามารถของท่าน ท่านคงคว้าที่หนึ่งมาได้ แต่หากท่านพานางไปด้วย อย่าว่าแต่ที่หนึ่งเลย ท่านคงได้ที่โหล่เสียด้วยซ้ำ” ทุกคนคุยกัน แต่ไม่มีใครสนใจฉู่เนี่ยนซีเลย เย่เฟยหลีมองดูเหตุการณ์ด้วยสายตาเคร่งขรึม และมองไปยังผู้คนที่กำลังพูดคุยกันด้วยสายตาที่เย็นชา และจำทุกอย่างไว้ในใจ ซ่างกวานเยียนทำสีหน้าลำบากใจและโบกมืออย่างรวดเร็ว “ไม่ใช่เจ้าค่ะ ไม่ใช่ พี่หญิงแค่ปิดบังความสามารถเอาไว้ไม่ให้ใครรู้เท่านั้น ในแง่ของความสามารถ เยียนเอ๋อร์เป็นเพียงแสงหิ่งห้อย จะกล้าดีไปแข่งกับพรสวรรค์ของพี่หญิงได้อย่างไร?” เ
ดังนั้น นางจึงดึงแขนเสื้อของซ่างกวานเยียนอย่างเงียบ ๆ และกระซิบว่า “ท่านพี่ซ่างกวาน หว่านเอ๋อร์จะต้องชนะให้ได้” ฉู่เนี่ยนซีที่เห็นสีหน้าของทั้งสองคนอย่างชัดเจน ก็อดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ยอยู่ในใจ แล้วจงใจพูดว่า “น้องหญิง ดูสิ นี่คือรางวัลของวันนี้ เราจะชนะด้วยกันเป็นกลุ่มอย่างแน่นอน” ฉู่เนี่ยนซีพูด จากนั้นก็หันหน้าไปทางฉู่หว่านเอ๋อร์ “แล้วน้องหว่านเอ๋อร์ล่ะ เจ้าจะไปด้วยกันกับพวกเราหรือไม่?” เมื่อฉู่เนี่ยนซีเอ่ยชื่อของพวกนาง ทั้งสองก็สะดุ้งทันทีพลางหลบสายตา ฉู่เนี่ยนซีมองพวกเขาอย่างงงงวยพร้อมก้าวไปข้างหน้าสองก้าว “น้องหญิงทั้งสองเป็นอะไรไป? ไยไม่ตอบเล่า?” “คือ...ข้า...” ทั้งคู่มีท่าทางไม่สบายใจ และสีหน้าของพวกนางก็ยิ่งดูลำบากใจมากขึ้นเมื่อเห็นสายตาของทุกคน “นี่หมายความว่า พวกเจ้าไม่อยากอยู่กับข้าหรือ?” ฉู่เนี่ยนซีมองด้วยความเหลือเชื่อ แล้วจ้องไปที่ซ่างกวานเยียนอย่างเศร้าสร้อย “น้องหญิง เมื่อครู่เจ้าก็พูดเองนี่ว่าข้าถ่อมตัวปิดบังความสามารถไม่ให้ใครรู้ เหตุใดตอนนี้เจ้าถึงไม่เชื่อว่าพี่สาวคนนี้จะคว้าชัยมาได้ เจ้ากลัวจะชวดของรางวัลไปเช่นนั้นหรือ?” “มะ...ไม่ใช่เจ้าค่ะ...” “แล้วเพ
ฉู่เนี่ยนซีมองไปยังมือที่ยื่นมาของเย่เฟยหลีและกระตุกมุมปาก เขากำลังทำอะไร? แต่การจัดตั้งกลุ่มก็จำเป็นต้องมีคนจำนวนสี่คนและจะดีกว่าถ้าเย่เฟยหลีเข้าร่วมด้วย ฉู่เนี่ยนซีจึงยิ้มและจับมือกับเย่เฟยหลี สัมผัสที่เย็นและนุ่มนวลบนมือของเขาทำให้มุมปากของเย่เฟยหลียกขึ้นเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเย่เหลียนที่อยู่อีกด้านเห็นสิ่งนี้ ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นและลุกขึ้นยืนทันที “ข้าขอถามว่าข้าจะเข้าร่วมกลุ่มด้วยได้หรือไม่?!” หลังจากพูดจบ เย่เหลียนก็ยื่นมือมา พร้อมรอยยิ้มที่คิดว่ามีเสน่ห์ และมองตรงไปยังฉู่เนี่ยนซี ฉู่เนี่ยนซีคาดไม่ถึงว่าเขาจะอยากเข้าร่วมกลุ่มของพวกนางด้วย แต่นางก็ไม่กังวลว่าเขาจะวางแผนอะไรมา เพราะท้ายที่สุดแล้วหากเขาแพ้ก็จะไม่ดีต่อชื่อเสียงของเขาเอง และเห็นได้ชัดว่าในตอนนี้นอกจากพวกเขาแล้วก็ไม่มีใครอยากอยู่กลุ่มเดียวกับนาง เมื่อคิดได้ดังนั้น ฉู่เนี่ยนซีก็พยักหน้าและกำลังจะพูด เย่เฟยหลีที่อยู่ข้าง ๆ ก็เป็นฝ่ายเอื้อมมือไปจับมือเย่เหลียนแทน จากนั้นเสียงเย็น ๆ ก็ดังขึ้น “ยินดีต้อนรับ!” สีหน้าของเย่เหลียนขรึมขึ้นเล็กน้อย เขาดึงมือกลับ จ้องมองไปยังเย่เฟยหลีด้วยท่าทางรัง
“ยังเพคะ!” เย่เหลียนตะลึง ‘ยังรึ? นางจงใจทำให้เรื่องแย่ลงหรือ?’ นั่นยิ่งทำให้เย่เหลียนขมวดคิ้ว ‘หรือว่านางเคยมีเพียงโอกาสได้ศึกษาแค่ความรู้ด้านการแพทย์? ส่วนความรู้ด้านอื่น ๆ ไม่มีเลย?’ ขณะที่ครุ่นคิด ก็ได้ยินเสียงของฉู่เนี่ยนซีพูดขึ้นอีกครั้ง “หม่อมฉันเป็นหัวหน้ากลุ่ม จะให้พวกท่านตอบคำถามแทนเช่นนั้นหรือ?” “แต่หัวข้อจะยากขึ้นเรื่อย ๆ ฉะนั้นเจ้าควรตอบหัวข้อนี้ก่อน” “ไม่ล่ะเพคะ! หม่อมฉันชอบที่จะทำให้ทุกอย่างจบในคราวเดียว!” หลังจากพูดเช่นนั้น ฉู่เนี่ยนซีก็จิบชาต่อไป เย่เฟยหลีเห็นฉู่เนี่ยนซีที่จิบชาต่ออย่างเป็นธรรมชาติ ก็มีเสียงเย็นชาดังออกมาจากริมฝีปากบางอันเย้ายวนของเขา “ความมืดมิดที่บดบังตาถูกคลายออกด้วยพื้นผิวของทะเลสาบ เผยให้เห็นทองที่ตั้งตระหง่านอยู่ทางต้นทะเลสาบ สิ่งที่คิดว่าเป็นเรื่องจริงที่แท้เป็นเพียงการปิดบังความชั่วร้ายที่อยู่เบื้องหลัง” พูดจบ ทุกคนก็ตกตะลึง บรรดาคนที่คิดออกแล้วและยังคิดไม่ออกต่างก็หยุดเคลื่อนไหวและดื่มด่ำกับแนวความคิดทางศิลปะของบทกวีของเขาอย่างเงียบ ๆ ไม่มีใครพูดอะไรอีก ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเย่เฟยหลีชนะในหัวข้อนี้ ซ่างกวานเยียนมองเขาด้วยแววตาชื่น
ฉู่เนี่ยนซีไม่รู้ว่าเย่เฟยหลีมีความรู้สึกเกี่ยวกับบทกวีที่นางยืมมาเช่นนั้น เย่เหลียนที่อยู่ข้าง ๆ ก็มีสีหน้าประหลาดใจเช่นกัน และเมื่อรู้สึกตัว เขาก็ปรบมือขึ้นสองสามครั้ง ตามด้วยเสียงปรบมือของคนอื่น ๆ บนเรือ คนรับใช้ที่รับผิดชอบในการบันทึกที่อยู่ด้านข้างก็รีบถอดความออกมา “นี่มันพรสวรรค์ชัด ๆ” “แต่ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าพระชายาหลีจะเก่งด้านบทกวี นี่นางถ่อมตัวปิดบังความสามารถไว้จริง ๆ หรือ?” “แต่ข้าไม่คิดอย่างนั้น หากนางมีความรู้ขนาดนี้ จะยอมโดนดูถูกมานานหลายปีโดยไม่มีเหตุผลได้อย่างไร บางทีบทกวีนี้อาจจะมีคนอื่นเขียนให้ในตอนเช้าตรู่” “เจ้าหมายถึงท่านอ๋องหลี…” “ชู่...หยุดพูดได้แล้ว” แม้ว่าทุกคนตั้งใจลดเสียงลง แต่ฉู่เนี่ยนซีก็ยังได้ยินชัดเจน นางไม่รีบปฏิเสธ เพราะความแข็งแกร่งคือคำอธิบายที่ดีที่สุด “กลุ่มที่สามเริ่มเถอะ!” ฉู่เนี่ยนซีพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหัวข้อต่อ ๆ ไปก็เป็นฉู่เนี่ยนซีคนแรกที่ตอบ นั่นทำให้ทุกคนที่เอ่ยคำครหาในตอนแรกกลายเป็นพูดไม่ออก แม้ว่าซ่างกวานเยียนจะจงใจให้หัวข้อที่ยาก แต่นางก็ตอบได้อย่างคล่องแคล่ว จึงทำให้นางอิจฉาและโกรธอย่างหนัก!
“ใช่ คุณหนูหว่านเอ๋อร์บอกว่านางเคยเห็นมันในห้องทำงานของท่านมหาเสนาบดีฉู่ นั่นไม่ใช่บทกวีที่นางแต่งเอง นางไปลอกมาต่างหาก!” เย่เฟยหลีมองไปยังฉู่หว่านเอ๋อร์ด้วยดวงตาคมกริบ ขณะที่เขากำลังจะพูด ฉู่เนี่ยนซีก็จับมือของเขาไว้ จากนั้นนางก็ยืนขึ้นและเดินไปหาฉู่หว่านเอ๋อร์ “เจ้าหมายความว่าเคยเห็นบทกวีเหล่านี้ในห้องทำงานของพ่อข้าหรือ?” ฉู่หว่านเอ๋อร์มองเข้าไปในดวงตาคมปราดของนาง จู่ ๆ ความกดดันก็เกิดขึ้นภายในใจ นางบีบต้นขาตัวเองไว้ พยายามข่มใจไม่ให้กลัว “หว่านเอ๋อร์เคยเห็น...” “เจ้าต้องคิดให้ถี่ถ้วน! หากเจ้าใส่ร้ายพระชายาด้วยเหตุผลนี้ เจ้าจะต้องถูกโบย” ไม่ทันที่ฉู่หว่านเอ๋อร์จะพูดจบ ฉู่เนี่ยนซีก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง ฉู่หว่านเอ๋อร์ตัวสั่นและพยายามครุ่นคิด ซ่างกวานเยียนเห็นดังนั้น นางก็รีบเอาตัวเข้ามาบังทันทีและพูดว่า "พี่หญิง เหตุใดต้องพูดจารุนแรงขนาดนี้? น้องหว่านเอ๋อร์เป็นคนที่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง หากท่านทำเช่นนี้ เกรงว่านางคงจะไม่กล้าพูดอะไรต่อแล้ว” ซ่างกวานเยียนไม่ได้พูดตรง ๆ แต่บอกทุกคนด้วยคำพูดเป็นนัย ๆ ว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังบังคับให้ฉู่หว่านเอ๋อร์โกหกเพื่อปกปิดความผิดให้ตัวเอง นั