หลังจากล้างแผลแล้ว นางใช้เข็มเงินห้ามเลือดเพื่อป้องกันไม่ให้พิษแพร่กระจาย จากนั้นก็ใช้เข็มเงินเพื่อจิ้มลงตรงจุดฝังเข็มอีกครั้ง หลังจากจิ้มเข็มเงินเข้าไปในจุดฝังเข็ม ความเจ็บปวดของเย่เฟยหลีก็บรรเทาลงและสีหน้าของเขาก็เริ่มดีขึ้น ฉู่เนี่ยนซีหยิบยาแก้อักเสบและน้ำจากลำธารที่นางเตรียมไว้ล่วงหน้าจากห้วงว่างเปล่าและป้อนให้เขา ผ่านไปประมาณสิบห้านาที ฉู่เนี่ยนซีก็ดึงเข็มเงินออกและทายาตามบาดแผล จากนั้นก็ค่อย ๆ ประคองให้เขาเอนนอนลงบนฟาง แม้ว่าจะควบคุมพิษไว้ได้แล้ว แต่ผลข้างเคียงจากพิษยังไม่ถูกกำจัดออกไป ประกอบกับยังมีอาการบาดเจ็บสาหัสอยู่ หลังจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวของเย่เฟยหลีเองแล้ว ฉู่เนี่ยนซีเหนื่อยมาทั้งวัน แต่เพราะกลัวว่าเย่เฟยหลีจะอาการกำเริบอีกครั้ง นางจึงระงับความง่วงงุนและนั่งพิงกำแพงถ้ำมองดูเขาอย่างใกล้ชิด “ท่านแม่...” ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เย่เฟยหลีขมวดคิ้วขณะหลับและเริ่มพึมพำกับตัวเอง เย่เฟยหลีที่แสนฉลาดหลักแหลมผู้ที่ทำให้นางต้องรุดไปอยู่ข้าง ๆ คอยสังเกตอาการบาดเจ็บของเขา “ท่านแม่...” “เจ้าพูดอะไร?” “อย่าทิ้งลูกไป!” เย่เฟยหลีขมวดคิ้วแน่นมากกว่าเดิมและปัดป่า
ฉู่เนี่ยนซีพูดไปพลางพยุงเย่เฟยหลีให้นั่งพิงกำแพงแล้วยื่นผลไม้ให้เขา เย่เฟยลี่หยิบผลไม้ขึ้นมา เหลือบมองมัน แล้วมองไปยังปลาตัวอ้วนที่อยู่ไม่ไกล “ได้ปลาพวกนี้มาจากไหน?” “มีแม่น้ำอยู่ตรงนั้น อยากกินอะไรก็ไปจับได้...” นางคงไม่มีทางบอกไปว่านี่เป็นปลาที่นางเลี้ยงในบ่อน้ำพุในห้วงว่างเปล่าแน่ ๆ เย่เฟยหลีพยักหน้า แต่ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่กระโปรงของนางซึ่งไม่มีคราบน้ำโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ถามต่อ ฉู่เนี่ยนซีจุดไฟอย่างรวดเร็วและวางปลาที่เตรียมไว้ลงบนไฟ เนื่องจากนี่คือปลาที่เลี้ยงในบ่อน้ำพุจากห้วงว่างเปล่า แม้จะไม่ได้ปรุงรสใดใด แต่ก็อร่อยกว่าปลาย่างธรรมดา นั่นจึงช่วยให้ฉู่เนี่ยนซีพ้นจากเรื่องยุ่งยากไปได้มาก หลังจากจัดการทุกอย่างแล้ว ฉู่เนี่ยนซีก็ตรวจสอบอาการบาดเจ็บของเย่เฟยหลีและเปลี่ยนยาบนแผลให้เขา จากนั้นทั้งสองก็นั่งพิงกำแพงด้วยความหลงใหลในประกายไฟที่พุ่งออกมาเป็นครั้งคราว ในที่สุด ฉู่เนี่ยนซีก็เป็นคนแรกที่ทำลายความเงียบ นางหันไปมองเย่เฟยหลีด้วยสายตาแสดงความขอบคุณ “ขอบคุณสำหรับเรื่องเมื่อคืน!” “เจ้าช่วยข้าไว้ ข้าต่างหากที่ควรเป็นฝ่ายขอบคุณ” “นั่นไม่เหมือนกั
ทันทีที่ทั้งสองมาถึงทางเข้าถ้ำ เหลียงหยวนและคนอื่น ๆ ที่กำลังค้นหาเห็นทั้งสองคนพวกเขาก็ดีใจและวิ่งมาอย่างรวดเร็ว “ท่านอ๋อง” เหลียงหยวนวิ่งไปหาทั้งสองคน ด้วยสีหน้าเป็นกังวล “ท่านอ๋อง พระองค์ได้รับบาดเจ็บนี่พ่ะย่ะค่ะ” เย่เฟยหลีที่ดูซีดเซียวไม่พูดอะไร เพียงแค่พยักหน้า เมื่อเห็นว่าเขาอ่อนแอเพียงใด เหลียงหยวนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนักใจ “พระชายา ให้กระหม่อมช่วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ขณะที่พูด เขาก็ค่อย ๆ ประคองเย่เฟยหลีที่พิงฉู่เนี่ยนซีอยู่เปลี่ยนมาพิงตนอย่างช้า ๆ กลิ่นหอมและความนุ่มนวลจากผู้หญิงที่อยู่ข้าง ๆ เขาหายไป ทำให้เย่เฟยหลีขมวดคิ้ว และดวงตาคู่นั้นก็จ้องมองเหลียงหยวนด้วยเจตนาสังหาร ทันใดนั้น เหลียงหยวนก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ เย่เฟยหลีที่กำลังพิงเขาอยู่มองเขาอย่างเยือกเย็น ทำให้เขาตกใจ “ท่านอ๋องรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ? ให้กระหม่อมดูบาดแผลให้หรือไม่? ขอพระองค์ทรงวางพระทัย กระหม่อมจะระวังให้มากขึ้น” “ไม่เป็นไร...ข้าสบายดี” เย่เฟยหลีหรี่ตาลงและกัดฟันพูด “เจ้าไม่ได้กลับไปที่สนามฝึกมานานแล้วใช่หรือไม่? ในเมื่อเจ้าว่างขนาดนี้ก็ไปได้เลย พรุ่งนี้ค่อยกลับมา” เหลียงหยวนตกตะลึง
เหลียงหยวนยืนอยู่ข้างเย่เฟยหลี ใบหน้าของเขาสับสนอยู่ครู่หนึ่ง และสุดท้ายเขาก็กัดฟันพูดขึ้น “ท่านอ๋องคิดมากเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ บางทีชายารองซ่างกวานอาจจะแค่เป็นห่วงพระองค์เท่านั้นเอง” “นางออกจากวังมาก่อนพวกข้า หากเป็นคนธรรมดา นางก็จะรออยู่ที่จวนเงียบ ๆ นางจะขอให้เจ้าตามหาข้าทันทีที่กลับถึงจวนได้อย่างไร?” ท่าทางของเย่เฟยหลีนับว่ายากจะคาดเดา หากเป็นก่อนหน้านี้เขาคงแตกต่างออกไป เขาอาจจะไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วครั้งเล่าทำให้เขารู้ว่าซ่างกวานเยียนไม่ได้เรียบร้อยและไร้เดียงสาอย่างที่เห็น ครั้งก่อนที่นางตกลงไปในน้ำ จู่ ๆ ฮองเฮาและองค์จักรพรรดิก็เสด็จมา เขาก็คิดว่าเรื่องนี้ช่างบังเอิญเกินไป ระหว่างทางกลับวันนี้ก็ได้ยินจากเหลียงหยวนว่าเมื่อคืนนี้ซ่างกวานเยียนกลับมาด้วยท่าทีตื่นตระหนก นางเข้าไปในเรือนของเขาหลายครั้ง และเมื่อเห็นเหลียงหยวนก็ทำท่าอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ท้ายที่สุดนางก็บอกเหลียงหยวนว่าเย่เฟยหลียังไม่กลับมา กลัวว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้น จึงขอให้ออกตามหาเขา ทว่าติดสินบนคนขับรถม้าให้พาไปยังที่ห่างไกล ทั้งยังเข้าไปในป่าลึก แต่หาชายสวมหน้ากากเหล่านั้นไม่เจอ เข
หมอเทวดาเฮ่อหลานตามมาด้วยความตื่นเต้นอย่างรวดเร็ว และทัศคติของเขาที่มีต่อฉู่เนี่ยนซีก็ถือว่าเคารพเป็นพิเศษ “ท่านจะออกตรวจหรือ?” “ใช่” จากนั้นฉู่เนี่ยนซีก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่ง เขียนชื่อยาลงไปแล้วส่งให้เขา “อีกเดี๋ยวต้องใช้ตัวยาพวกนี้ ข้าจะออกไปก่อน ท่านกับอวี๋หนานค่อยตามมาทีหลัง!” การจัดการของหอการแพทย์นั้นเข้มงวดมาก ตัวอย่างเช่น วัตถุยาล้ำค่าบางตัวจะถูกเก็บไว้แยกต่างหากในเขตมังกรดำบนชั้นสาม เฉพาะผู้ที่มีป้ายมังกรดำเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้ ขณะนี้มีป้ายมังกรดำเพียงสามป้ายเท่านั้น ป้ายหนึ่งอยู่ในมือของฉู่เนี่ยนซี อีกป้ายอยู่ในมือของอวี๋ตงที่เป็นผู้ดูแลหอการแพทย์และอีกป้ายมอบให้แก่หมอเทวดาเฮ่อหลาน “ได้! เช่นนั้นข้าขอตัว” หมอเทวดาเฮ่อหลานมองดูรายนามยาในมือ ดวงตาของเขาแทบจะเป็นประกาย เขาพยักหน้าตอบรับแล้วเดินออกไป นั่นทำให้จ้าวฉงเฉิงตกตะลึง เขานึกถึงข่าวลือที่ว่า “ตราบใดที่หมอเทวดาซานเซิงเป็นผู้ทำการรักษา ก็จะมีหมอเทวดาเฮ่อหลานคอยเป็นผู้ช่วยเสมอ” ดูท่าว่าทั้งหมดนี้จะเป็นเรื่องจริง นี่ทำให้จ้าวเฉิงไฉเคารพชายหนุ่มที่ดูเด็กกว่าตรงหน้ามากยิ่งขึ้น จากนั้นจ้าวเฉิงไฉก็นำทางไปยังบ้านของ
หลังจากที่ฮูหยินจ้าวได้ยินดังนั้นก็รีบดึงจ้าวเฉิงไฉไปอีกทาง ลดเสียงลงและดุว่า ”เจ้าลูกชายคนนี้ เจ้าบ้าไปแล้วหรือ? พ่อเจ้าหาหมอมาตั้งมากมายขนาดนั้นแต่ก็ยังไร้ประโยชน์ นี่เขาเพิ่งจะอายุเท่าไหร่ แม้จะมีพรสวรรค์แต่ก็สู้หมอที่มีประสบการณ์มาหลายสิบปีไม่ได้หรอก” “ท่านแม่ หอการแพทย์ของเขาตอนนี้ดีกว่าหอหุยชุนของท่านพ่อเป็นร้อยเท่า ไม่เพียงเพราะได้รับการสนับสนุนจากท่านหมอเทวดาเฮ่อหลานเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะความรู้ด้านการแพทย์ของท่านหมอเทวดาซานเซิงเองด้วย ว่ากันว่าความรู้ด้านการแพทย์ของเขาสูงกว่าท่านหมอเทวดาเฮ่อหลานเสียอีก ยิ่งไปกว่านั้นในเมื่อท่านพ่อขอให้ข้าเชิญเขามา แปลว่าท่านพ่อคงจะเชื่อใจเขามากแน่ ๆ” จ้าวเฉิงไฉอธิบายอย่างจริงจัง แต่ฮูหยินจ้าวไม่ได้ใส่ใจนัก นางปรายตามองฉู่เนี่ยนซี ลดเสียงลงเล็กน้อยและดึงจ้าวเฉิงไฉมาแล้วพูดว่า “วัน ๆ เจ้าเอาแต่เรียนจะไปรู้อะไร ตอนนี้คนเขาลือกันว่าพวกเขาแค่อาศัยชื่อเสียงของท่านหมอเทวดาเฮ่อหลานเพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ นั่นคือกลยุทธ์ของพวกเขา ความรู้ด้านการแพทย์ของเขาเองอาจไม่ดี โรคส่วนใหญ่ที่รักษาให้หายขาดได้เป็นเพราะท่านหมอเทวดาเฮ่อหลานเป็นคนรักษา” ฮูหยิน
“ท่านแม่! หยุดพูดได้แล้ว! ท่านพ่อพูดแล้วนี่ว่ามีเพียงคุณชายซีเท่านั้นที่จะช่วยเขาได้! ท่านคิดจะทำร้ายท่านพ่อหรือ!” จ้าวเฉิงไฉได้ยินแม่ของเขาพูดมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาก็เริ่มวิตกกังวล เมื่อฮูหยินจ้าวได้ยินสิ่งที่เขาพูด นางก็สงบลงทันที ในใจของนาง บุตรชายมีความกตัญญูมาโดยตลอด นางไม่คาดคิดว่าเขาจะพูดเรื่องแบบนี้กับนางเสียด้วยซ้ำ “เจ้ากำลังพูดอะไร ข้าทำร้ายอะไรพ่อเจ้า? คนที่ทำร้ายเขาคือลูกอกตัญญูเช่นเจ้าต่างหาก เจ้าไม่ไปเชิญท่านหมอเทวดาเฮ่อหลาน แต่กลับเชิญคุณชายน้อยเช่นนี้มาจะมีประโยชน์อะไร?! ที่ข้าทำตัวนอมน้อมสงบเสงี่ยมเช่นนี้ก็เพื่อใครเล่า ถ้าไม่ใช่เพราะอยากให้พ่อเจ้าหายดีเร็ว ๆ?!” ขณะที่พูด ฮูหยินจ้าวรู้สึกเสียใจมากขึ้นเรื่อย ๆ และน้ำตาของนางไหลไม่หยุด “และถ้าพ่อของเจ้าไม่ได้ใช้เงินทั้งหมดที่เคยได้รับจากหอหุยชุนไปช่วยเหลือขอทานเหล่านั้นเสียหมด ตอนนี้ก็คงไม่ต้องขายทุกอย่างเพื่อเอาเงินมาจ่ายค่ารักษาหรอก” “ที่ผ่านมาข้าใช้ชีวิตลำบากร่วมกับเขามา ข้าก็ไม่เคยบ่น ยามเขาป่วยข้าก็พยายามไปขอร้องให้คนมารักษา เจ้าเป็นลูกที่ดี แต่ตอนนี้กลับกล่าวหาว่าข้ากำลังทำร้ายพ่อของเจ้าอีกรึ?!” “ชาติที่แล้วข
ภาพลักษณ์ที่เย็นชาและสง่างามของเขาเป็นสิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีไม่เคยเห็นมาก่อนตั้งแต่ที่ได้พบเขา ซึ่งทำให้นางรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย เขาสนับสนุนนาง “มะ...ไม่ใช่...” ฮูหยินจ้าวเห็นว่าท่าทีของหมอเทวดาเฮ่อหลานแปลกไป จึงรีบโบกไม้โบกมือ แต่คำพูดของเขาทำให้นางสับสนอย่างหนัก นางต้องการอธิบาย แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดจากตรงไหน หมอเทวดาเฮ่อหลานส่งเสียงในลำคออย่างเย็นชาและสะบัดแขนเสื้ออย่างหงุดหงิด “หากในโลกนี้มีโรคที่คุณชายน้อยของข้าไม่อาจรักษาได้ ไม่ว่าจะตามใครมารักษาก็ไร้ประโยชน์! หากคุณชายน้อยของข้าบอกว่าสามารถรักษาได้ ก็ถือว่าสวรรค์ทรงโปรด ใครก็ไม่สามารถพรากชีวิตเขาไปได้” ไม่เพียงแต่คนอื่น ๆ จะตะลึงกับคำพูดนั้น แม้แต่ฉู่เนี่ยนซีก็พลอยตกใจไปด้วย ท่านหมอเฮ่อหลานต้องเชื่อใจนางมากเพียงใดถึงพูดเรื่องบ้า ๆ เช่นนั้นออกมาได้ แต่...เขาพูดถูก! แม้แต่ยมทูตแห่งนรกก็ไม่สามารถพรากคนที่นางต้องการรักษาไปได้! “จะ...จะเป็นไปได้อย่างไร?!” ฮูหยินจ้าวมองอย่างเหลือเชื่อ แต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของหมอเทวดาเฮ่อหลาน ซึ่งดูเหมือนเขาจะไม่ได้ล้อเล่น หัวใจหล่นวูบไปอยู่ตาตุ่ม เมื่อเห็นท่าทางของนาง หมอเทวดาเ
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่เนี่ยนซีจึงฟาดไปที่ไหล่ของเขาหนึ่งที พลางมองดูสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย “เช่นนั้นท่านก็ถอดเสื้อออก ข้าจะดูแผลให้”เดิมทีไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเห็นเย่เฟยหลีถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นตรงหน้า ฉู่เนี่ยนซีก็หันหน้าหนีด้วยความเขินอาย แม้ว่าเขาจะทำอย่างองอาจ แต่ก็ยังทำให้นางอายจนต้องเบือนหน้าหนี“เสร็จแล้ว”ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมาจับแผ่นหลังกว้างของเย่เฟยหลีไว้ แต่นางก็ไม่เขินอายอีกต่อไป เพราะร่องรอยบาดแผลจากการสู้รบในอดีตทำให้ใจของนางสั่นสะท้านนางค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลออกทีละชั้น เมื่อแกะชั้นสุดท้าย เย่เฟยหลีก็ทนต่อความเจ็บปวดจนตัวสั่นฉู่เนี่ยนซีรีบโรยผงยาลงบนผ้าผ้าพันแผลทันที ซึ่งไม่เพียงแต่บรรเทาความเจ็บปวดของเย่เฟยหลีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ปลดผ้าพันแผลออกได้ง่ายขึ้นอีกด้วยผงยานำความเย็นแพร่ไปตามบาดแผลทั่วทั้งแผ่นหลัง เย่เฟยหลีจึงคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ช้าๆฉู่เนี่ยนซีมองไปยังบาดแผลไฟไหม้ที่สภาพดูไม่ได้“นอนลงบนเตียง ข้าจะทายาให้ท่านใหม่”“ได้”เย่เฟยหลีทำตามอย่างเชื่อฟัง เขาคว่ำตัวเหยียดยาวอยู่บนเตียงฉู่เนี่ยนซีโรยผงยาอีกขวดบนแผลให้เสมอกัน ผงยานี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย
ซุนจื่อซีที่อยู่ข้าง ๆ ไทเฮา ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ท่านป้า เนื่องด้วยจื่อซีและพระชายาหลีอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้วจึงได้รู้ว่าหากตระกูลไม่มีการอบรมสั่งสอนที่เข้มงวด พวกเขาก็จะไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรีให้เติบโตมาอย่างดีเช่นนี้ได้ ฉู่กุ้ยเฟยต้องถูกใส่ร้ายแน่นอนเพคะ ได้โปรดทรงอย่าปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องรับผิดอย่างไม่เป็นธรรมเลยนะเพคะ”องค์จักรพรรดิคิดว่าเขาไม่สามารถลงโทษสนมไป๋ได้เพียงเพราะการคาดเดาของหยางเหอ แต่สนมไป๋ ล่วงเกินฉู่กุ้ยเฟยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งนั่นเป็นความจริงที่แน่ชัด จึงมีรับสั่งให้สนมไป๋ถูกปรับเงินเดือนครึ่งปีและถูกกักบริเวณในตำหนักเป็นเวลาหนึ่งเดือน และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกโดยพลการองค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้เย่เหลียนและเย่เฟยหลีสืบเรื่องนี้ด้วยกัน หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายพ้นผ่าน งานเลี้ยงในพระราชวังก็สูญเสียบรรยากาศที่สนุกสนานไป องค์จักรพรรดิทรงกังวลว่าไทเฮาจะทรงหวาดกลัว จึงประคองไทเฮาเสด็จกลับไปยังพระตำหนักอันชิ่งเพื่อพักผ่อนทุกคนที่หมดสนุกแล้วจึงหยุดทุกอย่างและรีบพากันกลับจวนช่องว่างเล็ก ๆ ของหน้าต่างหน้าต่างสีแดงลายมังกรถูกปิดลงอย่างเงียบ ๆ อย่างไม่มีใครสังเกตเผย
ฉู่เนี่ยนซีมาอยู่ข้างกายฉู่กุ้ยเฟยร่วมกับหยางเหอ หลังจากจับชีพจรและตรวจดูให้แน่ใจว่านางไม่เป็นอะไรแล้ว ก็สั่งให้คนรับใช้นำเบาะขนห่านมาวางไว้ด้านหลังฉู่กุ้ยเฟยหยางเหอดูเหมือนจะมีอะไรจะพูด แต่นางก็ไม่กล้าพูด ทว่าเมื่อเห็นฉู่กุ้ยเฟยเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ หัวใจของนางก็เต้นรัวและสุดท้ายนางก็ลุกขึ้นยืนทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่หยางเหอ นางหายใจเข้าลึก ๆ พลางมองตรงไปที่องค์จักรพรรดิ“โปรดทรงอภัยในความอวดดีของหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่สามารถทนเห็นกุ้ยเฟยถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ เช่นนี้ได้ แม้จะเสี่ยงต่อการถูกบั่นหัว แต่หม่อมฉันก็ต้องพูดอะไรบางอย่างเพคะ”“เกิดอะไรขึ้น?”องค์จักรพรรดิทรงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยและหรี่ตามองไปยังหยางเหอที่กำลังคุกเข่าด้วยใบหน้าแห่งความยุติธรรม“สนมไป๋ที่เข้ามาใหม่ไม่มีความเคารพต่อกุ้ยเฟยเลย เมื่อใดก็ตามที่ได้พบกับกุ้ยเฟย นางมักจะใช้คำพูดที่แฝงเป็นนัยเสียดสีอยู่เสมอ ไม่ก็สาปแช่งให้กุ้ยเฟยรักษาพระโอรสไว้ไม่ได้หรือไม่ก็เสียดสีว่ากุ้ยเฟยไม่คู่ควรกับตำแหน่งสูง กุ้ยเฟยไม่ต้องการโต้เถียงกับสนมไป๋จึงลืมมันไปทุกครั้งเพคะ”“สาวใช้ต่ำช้า กล้าพูดจาว่าร้ายข้าอย่างนั้นห
เย่เฟยหลีอาศัยโอกาสนี้จับมือนาง รู้สึกดีกับการตรวจดูอย่างละเอียดของอีกฝ่ายพลางพูดเสียงอ่อน “ข้าไม่เป็นไร แค่เป็นแผลนิดหน่อย หมอหลวงจ่ายยาให้ข้าเรียบร้อยแล้ว”“เจ้ามาดูสิ นี่มันคืออะไร?”เย่เฟยหลีพาฉู่เนี่ยนซีไปยังจุดที่เพิ่งเกิดเพลิงไหม้ พื้นถูกไฟไหม้และมีรอยดำเต็มไปหมด เก้าอี้เอียงตะแคงโดยมีขาหักไปฉู่เนี่ยนซีนั่งยอง ๆ พลางใช้นิ้วชี้ขวาสัมผัสพื้น จากนั้นยกมาที่ปลายจมูกสูดดมเบาๆ ก่อนพูดด้วยความตกใจ “มันคือดินปืน แต่ไม่ใช่ดินปืนบริสุทธิ์ มันจึงไม่ทำให้เกิดการระเบิด แค่ติดไฟเร็วเท่านั้น”“ใช่ มีคนโปรยดินปืนประเภทนี้ไว้ตั้งแต่แรก แต่ท้องฟ้ามืดจนมองไม่เห็น คนจึงคิดว่ามันดูเหมือนฝุ่นกรวดทั่วไป”เย่เฟยหลีเหยียดแขนออกไปประคองให้ฉู่เนี่ยนซียืนขึ้นฉู่เนี่ยนซีขึ้นไปที่ลานถงฮวาอีกครั้งและมองไปที่เครื่องมือที่ฉู่กุ้ยเฟยใช้ในการจุดไฟ มันปนเปื้อนด้วยเศษสะเก็ดไฟบางส่วน แม้จะเผาไหม้ได้ แต่มันก็อยู่ได้ไม่นานและเปลวไฟก็ไม่ลุกลามมากเท่ากับดินปืนโดยทั่วไปนางยืนอยู่บนลานพลางมองไปที่เย่เฟยหลี ดวงตาของนางก็ค่อย ๆ ดูน่ากลัวมากขึ้น น้ำเสียงของนางก็เยือกเย็นลงตามลมหนาว“รู้หรือไม่ว่าใครมาที่นี่บ้างก่อ
เหล่าขันทีและนางกำนัลที่รีบรุดมาพร้อมกับอ่างน้ำเย็น นำมาราดลงบนเปลวไฟที่อยู่บริเวณรอบ ๆ องค์จักรพรรดิและเย่เฟยหลี ทำให้เกิดเสียงน้ำสาดกระเซ็นเย่เฟยหลีไม่รู้สึกถึงความรู้สึกแสบร้อนที่แผ่นหลัง เขาจึงประคององค์จักรพรรดิลุกขึ้นยืนไทเฮาถูกนางกำนัลอาวุโสซิวเหลียงประคองมา ทว่าพระนางยังไม่หายตกใจ องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นคิ้วคมเข้มของเย่เฟยหลีที่ขมวดเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวด จึงทอดพระเนตรมองไปยังแผ่นหลังของเขา พบว่าอาภรณ์สีดำของเขาถูกไฟไหม้เป็นวงกว้าง และร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาถูกเปลวเพลิงเผาจนเป็นสีแดงเข้ม เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดขึ้นไปอีก“ฝ่าบาท” ฉู่กุ้ยเฟยเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ รีบคุกเข่าคำนับด้วยความตื่นตระหนกเย่เหลียนตะโกนทันที “ฉู่กุ้ยเฟย นี่ท่านคิดลอบปลงพระชนม์หรือ? ท่านจงใจล่อลวงทุกคนมาที่นี่เพื่อวางแผนลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อหรือ เอาคนมา จับฉู่กุ้ยเฟยไว้!”“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ทำ! หม่อมฉันไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด! ขอฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาด้วยเพคะ!”เมื่อเห็นเหล่าราชองครักษ์ในชุดเกราะเข้ามาใกล้ ฉู่กุ้ยเฟยก็ตะโกนทูลต่อองค์จักรพรรดิด้วยความตื่นกลัว“โอหัง!
ทุกคนเดินไปที่ลานถงฮวาและเห็นว่ามีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งอยู่ด้านล่าง อีกทั้งยังมีน้ำชากับผลไม้ที่จัดอย่างประณีตวางไว้ด้วยบนเวทีมีเสาไม้ห้าต้นสูงประมาณหกศอก ติดตั้งล้อมรอบมุมทั้งสี่และด้านบนตรงกลาง เสาไม้ทั้งหมดนั้นถูกพันด้วยเชือกหากมองลงมาจากหลังคาตำหนักที่อยู่ใกล้ ๆ จะรู้สึกว่าเชือกนั้นเปรียบเสมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่ปกคลุมเสาไม้ไว้แม้องค์จักรพรรดิจะทรงสับสน แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสถามอะไรมากนัก เพียงแค่ทรงยิ้มมุมปากแล้วตรัสกับไทเฮา “ดูเหมือนว่าฉู่กุ้ยเฟยจะมีอะไรใหม่ ๆ มานำเสนอ เสด็จแม่ทรงนั่งลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขันทีและนางกำนัลมาช่วยบรรดาผู้เป็นนายหาที่นั่งเพื่อไม่ให้ทุกคนพากันสับสนวุ่นวายนางกำนัลผู้น้อยจัดให้เย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีนั่งด้วยกันที่ฝั่งหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันจะได้นั่งลง ก็เห็นหลานชุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ เย่หลิงเอ๋อร์เดินมาเชิญฉู่เนี่ยนซีไปพูดคุยหลานชุ่ยมาเชิญนางด้วยตนเอง คงจะไม่มีเรื่องหลอกลวง ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่เฟยหลีอย่างสบายใจ หลังจากทำความเคารพองค์จักรพรรดิและไทเฮา นางก็ตามหลานชุ่ยไปทันใดนั้น ลานถงฮวาก็สว่างขึ้นมาก ทุกคนเงยหน้าเห็นเด็กผู้หญิงอายุราวเจ็ดแปดขวบห
“ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ให้นางอยู่ด้วยกันต่อไปเถอะ ช่วงนี้เราเข้ากันได้ดี นางอ่อนโยน มีน้ำใจและใฝ่เรียนใฝ่รู้ ข้าชอบนางมาก ดีที่มีนางอยู่ที่จวนแห่งนี้ ข้าจึงคลายความเบื่อลงไปได้บ้าง”สิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีพูดนั้นเป็นความจริง ตอนแรกนางสงสัยในเจตนาของซุนจื่อซีที่ช่วยนางจากการตกน้ำ แต่ตอนที่นางตกจากรถม้า ซุนจื่อซีกลับไม่ห่วงตนเองและเอาตัวมารองรับนางไว้ ช่างเป็นสตรีที่จิตใจงามอย่างแท้จริงทันใดนั้น ท้องฟ้าก็สว่างไสวไปด้วยดอกไม้ไฟ ส่องแสงไปทั่วทุกสารทิศ ราวกับแสงสว่างของรุ่งอรุณส่องขึ้นมาจากความมืดมิดประกายแสงนั้นส่องสว่างราวกับหมู่ดาวที่โอบล้อมภูเขาและแม่น้ำอันกว้างใหญ่ที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก รวมไปถึงป่าอันงดงามและที่ราบอันไร้ขอบเขต ทำให้ความขุ่นข้องในใจของคนสองคนจางลง และคนทั้งคู่ก็ยังได้มองดูความยิ่งใหญ่ที่พร่างพราวนี้ไปด้วยกันณ พระตำหนักเจาฮุย ซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอย่างงดงามดุจนางสวรรค์ หลังจากการแสดงสิ้นสุดลง ผู้คนในโถงยังคงตกอยู่ในภวังค์องค์จักรพรรดิทรงปรบมือใหญ่แล้วหันไปหาไทเฮาพร้อมรอยยิ้ม “ทักษะการร่ายรำของจื่อซีดีขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่านางจะฝึกฝนอย่างหนักและลำบากไม่น้อย เป็นเสด็จแม่
ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ จนแทบมองเห็นแสงสว่าง เช่นนี้เขาเห็นดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่สุดที่ว่านั่นจากที่ใดกัน?“ท่านอ๋องชื่นชมดวงจันทร์ได้อย่างไรหรือ?”ฉู่เนี่ยนซีมองดูแสงสีเหลืองจาง ๆ ที่ขอบฟ้านั้น อย่างกับมันถูกขัดถูจนไร้ซึ่งความแวววาวเย่เฟยหลีทัดผมฉู่เนี่ยนซีไว้ข้างหลังใบหูของนาง พลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เพราะดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่ว่านี้ไม่ใช่ดวงจันทร์ดวงนั้น”ฉู่เนี่ยนซีหันมาสบตาที่เป็นประกายของเย่เฟยหลี มือที่ค้างเติ่งในตอนแรกเลื่อนมาตรงแก้มของนาง เย่เฟยหลีรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ส่งผ่านมายังฝ่ามือ เขาคลี่ยิ้มออกมาเพราะรู้ว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังเขินอาย“ข้าได้ยินจากน้องเจ็ดว่าเจ้าคิดว่าซุนจื่อซีกับข้าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากหรือ?”เย่เฟยหลีดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน หางตาของเขาเห็นท่าทางหงุดหงิดของฉู่เนี่ยนซีพลางคิดว่าช่างน่าสนุกฉู่เนี่ยนซีแอบด่าทอเย่ฉงเฉิงในใจว่าเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ นางพูดความในใจออกไปเพียงนิดเดียวเขาก็นำไปบอกเจ้าตัวในพริบตาเสียอย่างนั้น“ก็คิดบ้าง เป็นบางครั้ง”ฉู่เนี่ยนซีกะพริบตาและพยายามอย่างมากเพื่อรักษาท่าทางสงบนิ่งอย่างเคย นางไม่สามารถปฏิเส
เย่เฟยหลีเหลือบมองอีกฝ่าย “เจ้าว่าเจ้ารู้จักข้าดีที่สุดไม่ใช่หรือ?”“แต่พี่สะใภ้สามไม่รู้จักท่านดีเท่าข้า หากมีเรื่องเข้าใจผิดกันก็ควรรีบแก้ไขเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าก็ช่วยท่านไม่ได้”เมื่อได้ยินเสียงดนตรีดังมาจากพระตำหนักเจาฮุย เขาก็รู้ได้ทันทีว่างานเลี้ยงได้เริ่มขึ้นแล้ว เย่เฟยหลีจึงให้เย่ฉงเฉิง เรียกฉู่เนี่ยนซีมาที่นี่เพราะเขามีเรื่องจะพูดกับนางเย่ฉงเฉิงรับคำสั่งแล้วจากไป ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องจัดงาน เขาก็เห็นซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอยู่อย่างอ่อนช้อย นางอยู่ในชุดกระโปรงสีแดงราวกับดอกเหมยที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ท่ามกลางหิมะขาว ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเขาหันไปด้านข้างและกระซิบกับฉู่เนี่ยนซี “พี่สะใภ้สาม พี่สามกำลังรอท่านอยู่ไม่ไกลจากทางเหนือของ พระตำหนักเจาฮุย ท่านรีบไปเถิด”ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่ฉงเฉิงอย่างสงสัยและบอกให้เสี่ยวเถารออยู่ที่นี่ หากใครถามหาก็บอกว่านางออกไปเดินรับลมข้างนอกให้สร่างเมาในห้องจัดงาน ซุนจื่อซีออกท่วงท่าราวกับต้นหลิวที่กำลังแผ่กิ่งก้านสาขาอย่างเพลินใจ ชายแขนเสื้อในมือของนางกระพือเบา ๆ แขนเรียวยาวใต้เสื้อคดเคี้ยวราวกับดอกบ๊วยแดงที่ล่องลอยในอากาศแต่ไม่ว่านางจะพย