ตอนนี้ สถานที่ตั้งค่ายของพวกเขากับกองทหารมณฑลทางเหนืออยู่ห่างกันไม่ถึงหนึ่งร้อยยี่สิบลี้ระยะห่างนี้ ทหารม้าหนึ่งวันก็สามารถบุกมาถึงได้กู่เก๋อยังบอกข่าวร้ายกับเจียเหยาสายลับหลายคนที่พวกเขาส่งออกไปตอนนี้ยังไม่กลับมากู่เก๋อคาดเดาว่า สายลับพวกนี้น่าจะถูกทัพศัตรูจัดการทิ้งแล้ว บางทีอาจจะถูกจับทั้งเป็นก็ได้!หากถูกจัดการทิ้งไปยังดีหน่อยแต่หากถูกจับเป็น ทัพศัตรูน่าจะรู้สถานการณ์ตอนนี้ของพวกเขาแล้วด้วยสถานการณ์เช่นนี้ เป็นไปได้มากว่าทัพศัตรูจะเริ่มบุกโจมตีกล่าวเรื่องพวกนี้ กู่เก๋อถอนหายใจไม่หยุดเช่นกันหากเป็นเมื่อก่อน ให้ทหารชั้นยอดหนึ่งหมื่นคนกับเขา เขากล้าปะทะกับทหารม้าสองสามหมื่นของต้าเฉียนอย่างแน่นอนทว่าตอนนี้ ความเชื่อมั่นของเป่ยหวนตีไม่เหลือแล้ว คนมากมายหวาดกลัวทหารม้าต้าเฉียนความหวาดกลัวเช่นนี้ บนสนามรบจะเป็นอันตรายถึงชีวิตเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจของกู่เก๋อ สีหน้าของเจียเหยายิ่งเคร่งขรึมหนักแน่นความมั่นใจของกู่เก๋อถูกตีไม่เหลือ ความมั่นใจของนางก็ถูกตีไม่เหลือเช่นกัน!หากเป็นก่อนหน้านี้ ทัพศัตรูกล้ากดดันมาข้างหน้าเช่นนี้ พวกเขาคงออกไปสู้นานแล้วไหนเลยจะเอาแต่เฝ
เช้าวันที่สอง กองทัพหยุนเจิงเคลื่อนไหวอีกครั้งครั้งนี้ หยุนเจิงเปลี่ยนวิธีการเดินทัพชวีจื้อนำทหารม้าเก้าพันคนเป็นแนวหน้า เข้าประชิดหุบเขาทะเลทรายตะวันออกเขานำทัพทหารม้าหนึ่งหมื่นสองพันคนเป็นทัพกลางหวังชี่นำทหารม้าสามพันที่เหลือคุ้มกันเสบียงและทหารราบที่แบกสัมภาระหนักพวกเขาทำท่าทางต้องการโจมตีทางเดินทะเลทรายตะวันออกเวลาตอนบ่าย หยุนเจิงได้รับข่าวที่ชวีจื้อส่งกลับมาเป่ยหวนส่งทหารออกไปประมาณสองพันคน ก่อกวนและจู่โจมอย่างต่อเนื่อง เจตนาถ่วงเวลาความเร็วในการโจมตีของพวกเขาทั้งสองผ่ายเปิดศึกปะทะกัน ต่างฝ่ายต่างบาดเจ็บแต่ว่า ความเสียหายเล็กน้อยเป้าหมายของทัพศัตรูก็แค่ก่อกวน โดยพื้นฐานแล้วก็คือตีแล้วหนีไม่นาน ชวีจื้อก็ส่งคนกลับมารายงานอีกพวกเขาพบกับการก่อกวนของทัพศัตรูอีกครั้งระยะเวลาการก่อกวนสองครั้ง ไม่เกินครึ่งชั่วยามผลการต่อสู้ครั้งนี้ ไม่ต่างกับครั้งก่อนหน้าการก่อกวนของศัตรู ถ่วงเวลาความเร็วในการเคลื่อนทัพของพวกชวีจื้ออย่างรุนแรงภูมิประเทศที่นี่ไม่เปิดกว้างเหมือนบริเวณสามเมืองชายแดนที่นี่ล้วนเป็นเนินเขาทุกหนทุกแห่ง ทัพศัตรูซ่อนตัวได้ง่ายเพื่อป้องกันการโจมต
ทิศทางถูกต้องแล้ว?เกาเหอและโจวมี่ครุ่นคิดเงียบๆอีกทาง ฮั่วกู้พาคนควบม้ามาถึงกองทัพด้านหลัง นำคำสั่งของหยุนเจิงบอกกับหวังชี่เมื่อได้รับคำสั่งจากหยุนเจิง หวังชี่ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจแล้ว จึงตะโกนบอกคนข้างกาย “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ทุกคนเพิ่มความเร็วในการขนส่งเสบียง อย่าเอาแต่อาศัยม้าลากบรรทุก เอาคนบางส่วนมาเข็นรถเกวียน! รวบรวมวัสดุระหว่างทางมาทำคบเพลิง เร็วเข้า!”เมื่อได้รับคำสั่งของหวังชี่ ทหารส่งสารวิ่งจไปถ่ายทอดคำสั่งทันที“พี่หวัง ความสัมพันระหว่างท่านกับท่านอ๋องสนิทกัน เกลี่ยกล่อมท่านอ๋องดีกว่า!”ฮั่วกู้กล่าวอย่างเป็นกังวล “ท่านอ๋องหัวรุนแรงเช่นนี้ ดีไม่ดีจะเกิดเรื่อง!”“เกิดเรื่องใดไร้สาระ!”หวังชี่ส่งสายตาให้ฮั่วกู้ ควบม้าไปด้านข้างกับฮั่วกู้ “ข้าคิดว่า ท่านอ๋องต้องการให้โอกาสคนเป่ยหวนลอบโจมตีค่าย! แต่ว่า ที่ท่านอ๋องทำเช่นนี้ ข้าเองก็คาดไม่ถึง”“โจมตีค่าย?”ฮั่วกู้ตกใจ จากนั้นก็เกิดอาการสั่นขึ้นมาแผนการที่พวกเขากำหนดไว้ในตอนแรก ก็เพื่อให้คนเป่ยหวนข้ามทะเลทรายเหลืองมาโจมตีค่ายไม่ใช่หรือ?เพียงแต่ เป่ยหวนทางนี้ไม่มีความเคลื่อนไหว เขาคิดไปเองว่าหยุนเจิงละทิ้งแผน
ใกล้เวลาพลบค่ำ หยุนเจิงส่งคนมาสั่งกองกำลังชวีจื้อให้กลับมากองกำลังชวีจื้อรวมตัวกับพวกเขา พวกเขาถอยไปข้างหลังทันที อยู่รวมกับพวกหวังชี่ คุ้มกันส่งเสบียงไปด้านหน้าเสบียงที่ได้รับการคุ้มกันแน่นหนาจากกองทัพ จุดไฟเดินไปข้างหน้าไม่หยุดจากนั้น สายสืบกลับมารายงาน มีกองทหารกลุ่มหนึ่งข้ามทะเลทรายเหลืองมา ดูท่าทางแล้ว คิดจะเผาเสบียงของพวกเขาเมื่อได้รับข่าวนี้ หยุนเจิงสั่งคนให้เตรียมตัวทว่า รอจนกระทั่งกลางดึก ทัพศัตรูก็ยังไม่มาเผาเสบียงหยุนเจิงหัวเราะแห้ง สั่งให้คนตั้งค่ายเขารู้ แผนของเขาถูกศัตรูมองออกแล้วทัพศัตรูไม่มีทางมาเผาเสบียงแล้วทัพศัตรูแสร้งทำเป็นติดกับ ทำเหมือนพวกเขา!แผนการตามไม่ทันความเปลี่ยนแปลงตอนนี้ จำเป็นต้องกำหนดแผนการใหม่แล้วจากนั้น หยุนเจิงสั่งให้พวกแม่ทัพระดับเดียวกับชวีจื้อเข้ามาในกระโจม“ทุกท่าน สนใจที่จะเล่นตั๋วใหญ่กันหรือไม่?”หยุนเจิงเข้าประเด็นถามทุกคนเมื่อได้ฟังคำพูดของหยุนเจิง ทุกคนตาเป็นประกายขึ้นมาทันทีเล่นตั๋วใหญ่?“องค์ชาย ท่านมีแผนการใด?”ชวีจื้อซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธเป็นคนแรกที่ถาม“ท่านอ๋อง ท่านมีแผนการใดก็บอกมาเถอะ! พวกเราล้วนทำตามท
แต่ความเสียหาย ยากที่จะกล่าวแม้จำนวนคนของทัพศัตรูจะเหนือกว่า ต่อให้ในมือถือกระบองไฟ ไม่แน่อาจทำคนตายได้เมื่อได้ฟังคำของชวีจื้อ หยุนเจิงรู้ว่าชวี้จื้อมีความคิดใด จากนั้นก็กล่าวทันที “พูดความเห็นของเจ้า”ชวี้จื้อหัวเราะ จากนั้นก็กล่าว “ทัพศัตรูไม่ใช่วางมาดให้พวกเราดูไม่ใช่หรือ? เช่นนั้นพวกเราก็วางมาดให้ทัพศัตรูดู!”“พูดต่อ”หยุนเจิงยิ้มเล็กน้อยดูเหมือน ชวี้จื้อคิดในสิ่งที่เขาคิดได้แล้วชวี้จื้อกล่าวต่อ “ข้าคิดว่า พวกเราสามารถแบ่งทหารชั้นยอดออกหลายพันคน ทำท่าทางจะเหมือนจะข้ามทะเลทรายเหลืองไปยังราชสำนักของพวกเขา เมื่อเป็นเช่นนี้ กองทัพศัตรูก็จะแบ่งทหารขัดขวางพวกเรา! หากทัพศัตรูตามมาไม่ทัน พวกเราก็สามารถบุกราชสำนักได้โดยตรง!”ขอแค่ทัพศัตรูแบ่งทหาร กำลังการปะทะก็จะน้อยลงเช่นนี้ ต่อให้พวกเขาโจมตีอย่างรุนแรง ความเสียหายก็จะน้อยลงเมื่อได้ฟังคำของชวี้จื้อ ทุกคนพากันพยักหน้าแผนการนี้ของชวี้จื้อ ไม่เลวเลยหยุนเจิงพยักหน้า จากนั้นก็ขมวดคิ้วกล่าว “ข้าก็คิดเช่นนี้ แต่ข้ายังกังวล”“หืม?”ชวี้จื้อกล่าวอย่างไม่เข้าใจ “องค์ชายกังวลสิ่งใด?”“ข้ากังวลทัพศัตรูจะมีแผนสำรอง”หยุนเจิงขมวด
กองทัพกลางเป่ยหวนเจียเหยานอนไม่หลับอีกคืนตั้งแต่เสด็จพ่อนางตาย นางไม่รู้ว่าตัวนางนอนไม่หลับมาแล้วกี่คืนไม่ใช่นางไม่อยากนอน แต่นอนไม่หลับจริงๆความกดดันนับพันชั่งกดทับร่างกายนาง ความกดดันของนางมีมากกว่าคนอื่นนักแม้เมื่อวานจะดูแผนการของทัพศัตรูออก แต่นางกลับไม่ดีใจแม้แต่น้อยปู้ตูไม่ได้มาถึงในเวลาตามสัญญา!เมื่อวานนางดูเจตนาของทัพศัตรูออกแล้ว ทัพศัตรูก็อาจมองเจตนาของนางออกเช่นกัน!วันนี้ เป็นไปได้มากว่าทัพศัตรูจะเคลื่อนตัวจู่โจมขนาดใหญ่!เมื่อทัพศัตรูตีมา คาดว่าต้องยกทหารสองหมื่นคนให้เป็นของรางวัลให้ทัพศัตรูแล้ว!ตอนนี้นางมีเพียงต้องถ่วงเวลา พยายามยื้อเวลาไว้ ให้สองกองกำลังของเหมิงกู่และเจินเกอมารวมตัวกับพวกเขานางส่งคนไปเร่งกองทัพให้มารวมตัวกับพวกเขาแล้วหากมีคนและม้าสองหมื่นรวมเข้ามา ขวัญทหารภายในกองทัพก็จะเพิ่มขึ้นตอนนี้ ต่อให้ขวัญทหารเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ก็ล้วนเป็นประโยชน์กับพวกเขาหากขวัญทหารสูงขึ้น บวกกับสองกำลังของเหมิงกู่และเจินเกอสู้กับทัพศัตรู พวกเขาอาจเอาชนะทัพศัตรูได้!“องค์หญิง สายสืบรายงาน ทัพศัตรูเปิดฉากโจมตีขนาดใหญ่!”เวลานี้เอง กู่เก๋อวิ่งเข้ามารายงานด้
บรรยากาศใกล้ทำสงครามใหญ่แผ่ซ่านออกมาหากเป็นเมื่อก่อน บรรยากาศเช่นนี้ล้วนทำให้คนตื่นเต้นดีใจแต่ตอนนี้ เจียเหยารับรู้เพียงความหดหู่อย่างยิ่งบรรยากาศหดหู่เช่นนี้ทำให้เจียเหยาอยากจะกรีดร้องออกมา แต่สุดท้ายนางก็ข่มเอาไว้ ต้องทำท่าทีดูสงบนิ่งเจียเหยาขี่ม้าศึกของตัวเอง ห้ามไม่ให้โม่ยื่อเกินพาคนติดตามมา นางควบม้าออกจากค่ายไปอย่างรวดเร็วมาถึงบริเวณนอกค่ายที่ไร้ผู้คน ในที่สุดเจียเหยาก็ถอนหายใจขุ่นเคืองออกมาบรรยากาศภายในค่ายหดหู่เกินไปแล้ว!ใบหน้าของทหารเป่ยหวนล้วนไม่เห็นรอยยิ้มใดราวกับว่า ทุกคนกำลังเห็นความตายมาเยือนไม่มีใครไม่กลัวตายต่อให้ชายชาตรีเป่ยหวนเลือดร้อนเพียงใด สุดท้ายร่างกายก็ยังมีเลือดเนื้อรบแพ้ติดต่อกันหลายครั้ง จิตวิญญาณของพวกเขาถูกตีจนไม่เหลือแล้ว!บรรยากาศเช่นนี้ อาจเป็นเรื่องดี แล้วก็อาจเป็นเรื่องร้ายหากทุกคนต่างเตรียมใจต้องตายไปสู้ศึกครั้งนี้ ต่อให้พวกเขาแพ้พ่าย ทัพศัตรูก็ต้องลำบากเช่นกัน!แต่หากถูกบรรยากาศเช่นนี้สะท้อนกลับ ขวัญกองทัพของพวกเขาก็อาจพังทลายได้ง่ายเมื่อศัตรูโจมตีจากด้านหน้า พวกเขาก็ถูกตีแตกพ่าย!ตอนนี้ นางจำเป็นต้องสงบลง เปลี่ยนข้อเสียใ
เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ปู้ตูนำกองหนุนสองหมื่นคนมาถึงแล้วเวลานี้ ภายในค่ายได้เตรียมเนื้อไว้แล้วเมื่อเห็นเนื้อ คนของสองกองกำลังเหมิงกู่และเจินเกอราวกับหมาป่าหิวโหยเจียเหยาไม่ได้กล่าวสิ่งใด ให้พวกเขาแยกย้ายกันกินข้าวตอนนี้ กองทัพศัตรูกดดันเข้ามา ได้ข้าวดีๆ สักมื้อ ก็เป็นการกระตุ้นขวัญทหารมีขวัญทหาร จึงสามารถทำสงครามกับทัพศัตรูได้อย่างวางใจขณะที่ทหารทั้งหมดกำลังร่วมงานเลี้ยง เจียเหยาเรียกปู้ตูเข้ามาในกระโจม ถามสถานการณ์ของเหมิงกู่และเจินเกอสองกองกำลัง ปู้ตูหัวเราะ “สมองของคนเหล่านี้ง่ายดาย แขนขาที่ได้รับการพัฒนามาอย่างดี! ขอแค่มีเนื้อให้กิน พวกเขาสามารถขายชีวิตได้!”หลังจากได้รับผลกระทบจากโรคระบาดตั๊กแตนที่แพร่ระบาดในปีที่แล้ว เหมิงกู่ เจินเกอล้วนใช้ชีวิตไม่สบายนักเหมิงกู่และเจินเกอมีคนหิวตายแล้วเมื่อได้ฟังว่าหากพวกเขามาต่อสู้ก็สามารถได้กินเนื้อ แต่ละคนส่งเสียงร้องตะโกนคนผมหงอกเต็มหัวก็ยังคิดจะติดตามมาด้วย!หากไม่ใช่ปู้ตูไล่คนชราอ่อนแอเหล่านั้นออกไป พวกเขาพาคนม้าได้ถึงห้าหกหมื่นคนล้วนไม่ใช่ปัญหา!“เช่นนั้นก็ดี!”เจียเหยาถอนหายใจ จากนั้นก็สั่งปู้ตู “อีกเดี๋ยวส่งคนนำม
เมื่อได้ฟังโจวเต้ากงบ่นอย่างนี้ หยุนลี่ก็เดาได้ทันทีว่าเจ้านี่ต้องการพูดอะไรต่อไป ชัดเลย เขาคงจะมาขอเกราะจากตนแน่ๆ ใช่ไหม? “พอแล้วๆ!” หยุนลี่ขัดจังหวะคำพูดของโจวเต้ากง “ที่นี่ยังขาดเกราะอีกเท่าไหร่?” “หนึ่งหมื่นสามพันชุด” โจวเต้ากงตอบทันที “ขาดมากขนาดนี้เลย?” ใบหน้าของหยุนลี่กระตุกเล็กน้อย “ตามที่เจ้าพูด คนหนึ่งหมื่นที่ประจำอยู่ห่างออกไปสิบห้าลี้ก็แทบไม่มีเกราะเลยใช่ไหม?” “พ่ะย่ะค่ะ!” โจวเต้ากงพยักหน้า “หนึ่งหมื่นนั้นล้วนเป็นทหารที่เพิ่งเกณฑ์ใหม่ และตอนนี้กำลังฝึกซ้อมอยู่ที่นั่น…” ฝึกซ้อม? ใบหน้าของหยุนลี่มืดครึ้ม เกือบจะสบถออกมา ไม่มีเกราะป้องกัน นี่ก็เรียกว่าฝึกซ้อมหรือไงวะ? นี่มันเรียกว่าทิ้งข้าวเปลืองเบี้ยเลี้ยงมากกว่า! ถ้าเจ้าหกยกพลบุกมา จะหวังพึ่งคนพวกนี้ได้ไหม? พวกทหารนี่คงเป็นแค่เป้าซ้อมมือให้เจ้าหกไม่ใช่หรือไง? บ้าบอคอแตก! แนวป้องกันนี่ ไม่มีเสียยังจะดีกว่า! อย่างนี้ ราชสำนักยังประหยัดค่าใช้จ่ายได้มหาศาลอีกด้วย! หยุนลี่โมโหจนแทบจะระเบิด แต่ก็ไม่อาจระบายความโกรธใส่โจวเต้ากงได้ เรื่องนี้จะไปโทษโจวเต้ากงก็ไม่ได้! เกรา
ฟู่โจวหัวเมืองเมืองสี่ทิศนี่คือพื้นที่ที่ใกล้กับซั่วเป่ยที่สุดของฟู่โจว หยุนเจิงจะจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาที่ฟู่โจว การสร้างจวนอ๋องใหม่ในเวลาสั้นๆ เป็นไปไม่ได้ จึงต้องซื้อจวนจากเหล่าขุนนางใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศแทน เดิมทีเรื่องนี้ควรเป็นหน้าที่ของหยุนลี่ องค์รัชทายาท ที่จะช่วยดูแลจัดการ แต่หยุนลี่ไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย สั่งให้ขุนนางในกรมพิธีการตัดสินใจกันเอง เขาเกลียดชังหยุนเจิงจนแทบอยากสับร่างหยุนเจิงเป็นชิ้นๆ แล้วจะให้เขามาช่วยเลือกจวนให้อย่างนั้นหรือ? ถ้าให้ช่วยเลือกโลงศพแทน เขาคงรีบทำอย่างกระตือรือร้นแน่! หลังจากโยนเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ให้ขุนนางระดับล่างจัดการ หยุนลี่ก็พาคนเดินทางไปยังค่ายใหญ่หัวเมืองสี่ทิศ นับตั้งแต่จ้าวจี๋นำทัพไปยังเขตตะวันตกเฉียงเหนือ ฟู่โจวก็เหลือเพียงกองกำลังสามหมื่นนาย และกองกำลังทั้งสามหมื่นนายนี้ก็เกือบทั้งหมดประจำอยู่ในหัวเมืองสี่ทิศ หยุนลี่ไม่หวั่นเกรงที่จะถูกตำหนิเรื่องการติดต่อกับแม่ทัพในกองทัพโดยพลการ การตรวจสอบค่ายใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศ เป็นภารกิจที่จักรพรรดิเหวินมอบหมายให้เขาก่อนที่จะเดินทางไปยังซั่วเป่ย เมื่อหยุนลี่พาคนมา
“เสด็จพ่อ ที่ซั่วเป่ยขาดแคลนอาหารอย่างหนัก!” หยุนเจิงกล่าวด้วยสีหน้าทุกข์ใจ “ตอนนี้ลูกไม่ได้ดูแลแค่ชาวซั่วเป่ย แต่ยังต้องเลี้ยงดูคนในเขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือ อีกทั้งเป่ยหมัวถัว กุ่ยฟาง เป่ยหวน ทุกพื้นที่เหล่านี้…” “คำพูดพวกนี้ไปบอกพี่สามของเจ้าสิ อย่ามาพูดกับข้า!” จักรพรรดิเหวินไม่ฟังคำพร่ำบ่นของหยุนเจิง ตัดบทอย่างไร้เยื่อใย บอกกับเจ้าสาม? หยุนเจิงเบะปาก แค่มันเทศในห้องใต้ดินนี้ เจ้าสามจะซื้อไหวหรือ? ตามราคาที่ตนตั้งไว้ก่อนหน้า ถ้าเจ้าสามไม่จ่ายเงินออกมาสักหลายล้านตำลึง คงไม่มีทางซื้อมันเทศในห้องนี้ได้ ถ้าถึงขั้นนั้น เจ้าสามคงต้องกลายเป็นหัวหน้าแผนกปล้นบ้านประจำราชสำนักต้าเฉียนแน่! มองเห็นสีหน้าขัดใจของหยุนเจิง จักรพรรดิเหวินวางมันเทศในมือ พลางตบไหล่หยุนเจิงอย่างแรง “จงจำไว้ ประชาชนในเขตในก็ล้วนเป็นราษฎรในความดูแลของเจ้า!” นั่นไง! เริ่มมาล้างสมองกันอีกแล้ว! หยุนเจิงบ่นในใจ พลางเปลี่ยนเรื่องถาม “เสด็จพ่ออยากลองชิมรสมันเทศนี่ไหม?” “ตอนนี้เลย?” จักรพรรดิเหวินแปลกใจเล็กน้อย “อื้ม” หยุนเจิงพยักหน้า “มันเทศนี่ปอกเปลือกแล้วกินดิบได้ กินน้อ
ผ่านไปไม่กี่วัน พวกเขาก็เดินทางกลับถึงเมืองติ้งเป่ยจนได้ ด้วยเหตุที่จักรพรรดิเหวินทรงกำชับไว้ล่วงหน้า การเสด็จมายังเมืองติ้งเป่ยครั้งนี้จึงถูกปิดเป็นความลับอย่างเข้มงวด มีเพียงผู้คนในจวนอ๋องเท่านั้นที่รับทราบ ครั้นถึงเมืองติ้งเป่ย จักรพรรดิเหวินก็ไม่ได้รีบไปยังจวนอ๋องในทันที แต่กลับยืนกรานให้หยุนเจิงพาไปชมมันเทศเสียก่อน ถึงกับดึงตัวไปก็ยังไม่ยอม หยุนเจิงถึงกับเอ่ยว่าให้คนยกมันเทศมาถวายให้ทอดพระเนตรที่จวนก็ยังไม่ยอม ทั้งยังยืนกรานจะไปดูด้วยพระองค์เองที่ห้องใต้ดินเก็บมันเทศ หยุนเจิงเริ่มระแวงหนักว่าตาแก่นี้คงกลัวว่าตนจะยกมันเทศไม่กี่หัวมาหลอกให้พอพระทัย จึงต้องการไปตรวจดูคลังสำรองเสียก่อนว่าจะสามารถยึดมันเทศไปจากตนได้สักเท่าใด ด้วยการยืนกรานของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงจึงจำต้องพาไปยังสถานที่เก็บมันเทศแห่งหนึ่ง แม้ว่ามันเทศจะถูกแบ่งเก็บไว้ในห้องใต้ดินหลายแห่ง แต่สถานที่เหล่านั้นก็อยู่ติดกัน เพื่อให้สะดวกต่อการจัดการยามเฝ้ารักษา จักรพรรดิเหวินเพียงลงจากรถม้า ก็เห็นกองทหารจำนวนมากสวมเกราะพร้อมอาวุธครบมือ “เจ้าช่างเฝ้าแน่นหนาดีจริง! หรือเจ้ากลัวใครจะมาขโมยมันเทศของเจ
“จะใช้เงินมากมายขนาดไหนกัน?” “ก็เยอะจริงพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ลูกเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกใช้เงินไปมากขนาดนี้” หยุนเจิงทำหน้ามุ่ยเหมือนคนมีทุกข์ จนเยี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ แทบอยากจะตีเขา เจ้าคนนี้นี่! พูดเกินจริงก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ! เสด็จพ่ออย่างไรก็เป็นถึงกษัตริย์ แม้จะไม่ทราบรายละเอียดว่าการสร้างเมืองใช้เงินเท่าไร แต่ก็น่าจะพอรู้คร่าวๆ อยู่บ้าง สิบล้านตำลึงขึ้นไป เขากล้าพูดออกมาได้อย่างไร? นี่มันก็เหมือนกับการโกหกเสด็จพ่ออย่างโจ่งแจ้งเลยไม่ใช่หรือ? “พอแล้ว อย่ามาทำตัวพล่ามเป็นคนจนให้ข้าฟังเลย!” จักรพรรดิเหวินเหลือบมองหยุนเจิงด้วยหางตา “ข้าไม่ได้อยากได้เงินของเจ้าหรือธุรกิจทำเงินของเจ้า! และเจ้าก็อย่าหวังจะได้สักตำลึงจากข้าเลย ท้องพระคลังตอนนี้ไม่มีเงินให้เจ้าแล้ว!” พล่ามว่าจนหรือ? เขาอยากพล่ามว่าจนนักหรือ! ในปีนี้ ต้าเฉียนก็ถือว่าเจอภัยพิบัติไม่น้อย ใช้เงินไปเหมือนน้ำไหล ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสะสมจากหลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักคงอดอยากไปแล้ว! “ก็ได้ๆ!” หยุนเจิงพยักหน้ารับหลายครั้ง ในใจโล่งอกอย่างยิ่ง เขายังกลัวว่าเสด็จพ่อจะมาที่นี่เพื่อมารีดไถ โดยเ
วันถัดมา จักรพรรดิเหวินที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางก็ตื่นสายเล็กน้อย หลังจากรับประทานอาหารเช้าอย่างง่ายๆ จักรพรรดิเหวินก็ให้ทุกคนพาเดินสำรวจในเล่ออาน จักรพรรดิเหวินไม่ได้เปิดเผยฐานะตนเอง ไม่ได้พาผู้ติดตามมากมาย และยังปลอมตัวเล็กน้อยเพื่อเลี่ยงความยุ่งยาก หลังจากเดินสำรวจรอบเมือง จักรพรรดิเหวินก็ค่อนข้างพอใจ ระหว่างเดินบนถนนในเมือง จักรพรรดิเหวินก็ย่อตัวลงดูอะไรบางอย่าง “นี่มันอะไรหรือ?” จักรพรรดิเหวินชี้ไปที่ปูนระหว่างก้อนอิฐสองก้อนแล้วถาม “นี่คือปูนซีเมนต์” หยุนเจิงอธิบาย “มันทำหน้าที่เหมือนกาวข้าวเหนียว แต่มีความแข็งแรงกว่าเล็กน้อย และหาง่ายกว่า ไม่เปลืองข้าว แค่ปริมาณการผลิตยังน้อยอยู่” “สิ่งนี้ใช้ได้ทีเดียว!” จักรพรรดิเหวินลุกขึ้นช้าๆ “เจ้าเคยคิดจะขายปูนซีเมนต์นี้ไปพื้นที่เขตในหรือไม่?” “นั่นคงยากหน่อย” หยุนเจิงส่ายหัว “ซั่วเป่ยยังขาดปูนนี้มาก จะเอาไปขายที่เขตในได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ส่วนใหญ่ใช้ในงานของราชสำนัก ชาวบ้านทั่วไปไม่จำเป็นต้องใช้” “เช่นนั้น มันเทศล่ะ?” จักรพรรดิเหวินมองหยุนเจิงด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่ามันเทศในซั่วเป่ยป
“ห้ะ?” หยุนเจิงเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง “วางใจเถอะ ข้ารู้ขอบเขตดี” จักรพรรดิเหวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นช่วงสำคัญที่เจ้าจะรวบรวมใจชาวเป่ยหวน แม้ข้าจะอยากไปบวงสรวงฟ้าดินที่เขาเทพหมาป่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลา ข้าเข้าใจดี” “เสด็จพ่อ นี่ไม่ใช่เรื่องของขอบเขตหรือไม่ขอบเขตนะพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงคร่ำครวญแทบล้มประดาตาย “เสด็จพ่อจะไปเยือนวังหลวงเป่ยหวน เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่เสด็จพ่อคิดดูเถิด หากเสด็จพ่อไป ลูกคงต้องนำทัพสักหมื่นสองหมื่นนายเพื่อคุ้มครองเสด็จพ่อใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? ทัพหมื่นสองหมื่นนาย เดินทางหน้าหนาว ต้องขนเสบียงและเสื้อผ้ากันหนาวแค่ไหน? ไปกลับอย่างไรเสียก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” นี่ยังไม่รวมว่าต้องออกเดินทางจากค่ายใหญ่เขาห่านป่าหวนกลับ! หากออกเดินทางจากที่อื่น เวลาก็ยิ่งนานกว่านี้! นี่เป็นการเดินทางของฮ่องเต้นะ! จะให้เดินทางเร่งด่วนตลอดทางก็ไม่ได้! ต่อให้เสด็จพ่ออยากไปจริง ก็ควรรอเวลาที่เหมาะสมกว่านี้! “สักสองเดือนก็สักสองเดือนเถอะ!” จักรพรรดิเหวินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างไรเสีย เจ้าก็ไม่จัดงานแต่งกับเจียเ
จักรพรรดิเหวินหยุดครู่หนึ่ง ก่อนถ่ายทอดคำที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนเคยกล่าวไว้ให้หยุนเจิงฟัง ผู้เลี้ยงแกะในมือนั้น ต้องมีผืนดิน หมาป่า แกะ และสุนัข! ผืนดิน คือกฎเกณฑ์ ขีดเส้นจำกัดไว้เป็นคอก หมาป่าคือภัยคุกคาม บอกฝูงแกะว่าอย่าได้วิ่งพล่าน ในพื้นที่ที่ขีดเส้นให้เท่านั้นจึงจะปลอดภัยจากหมาป่า แกะ คือหัวหน้าฝูง ขณะเลี้ยง หากควบคุมหัวหน้าฝูงได้ ฝูงแกะก็จะไม่หลงทาง สุนัขช่วยต้อนฝูงแกะ นำแกะที่ไม่เชื่อฟังกลับเข้าฝูง เมื่อได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงก็อดไม่ได้ที่จะตระหนักในทันที ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จางฮว๋ายก็คือหัวหน้าฝูงแกะตัวนั้น ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิพระองค์ก่อนหรือเสด็จพ่อ ต่างก็ต้องการหัวหน้าฝูงตัวนี้เพื่อควบคุมฝูงแกะ ผ่านไปครู่หนึ่ง หยุนเจิงก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “เสด็จพ่อคงไม่ได้คิดจะส่งเกาซื่อเจินมาให้ลูกเป็นหัวหน้าฝูงใช่ไหม?” “เจ้าคิดว่าเกาซื่อเจินมีความสามารถจะเป็นหัวหน้าฝูงหรือ?” จักรพรรดิเหวินเผยรอยยิ้มเหยียดหยาม กล่าวอย่างมีนัยว่า “หัวหน้าฝูงไม่ใช่ว่าใครจะเป็นได้!” เช่นนี้เองหรือ? หยุนเจิงครุ่นคิดอยู่ในใจ จริงแท้ เกาซื่อเจินไม่มีความสามาร
คนเราไม่ใช่หญ้าหรือไม้ ใครเลยจะไร้ซึ่งความรู้สึก? แต่ตราบใดที่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ หลายเรื่องก็จะมิอาจทำตามใจตนได้อีก เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะอื่นใดมากมาย สถานะแรกของเจ้าก็คือจักรพรรดิ! “ความจริง ลูกไม่ได้คิดถึงตำแหน่งนั้นมากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงจัง “ก็เพราะลูกเข้าใจสิ่งที่เสด็จพ่อพูด ลูกถึงไม่อยาก…” “เจ้าคิดว่าตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่เจ้าเลือกเองได้หรือ?” จักรพรรดิเหวินตัดคำพูดของหยุนเจิงทันที “หากเจ้าไม่ขึ้นครองราชย์ แล้วผู้คนภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะเป็นเช่นไร? บรรดาแม่ทัพผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่เหล่านี้ ใครเล่าจะทำให้พวกเขารู้สึกวางใจได้ นอกจากเจ้า?” เพราะผลงานสูงจนสั่นคลอนพระราชอำนาจใช่หรือไม่? หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา ในข้อนี้ เขาเองก็เห็นด้วย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีแม่ทัพมากมายที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า เพียงเมื่อพวกเขาสิ้นชีวิต จักรพรรดิจึงจะวางใจได้ ไม่ฉะนั้น เมื่อแม่ทัพผู้เกรียงไกรส่งเสียงเรียก ใครเล่าจะไม่เกรงกลัว? “เรื่องในวันข้างหน้า ไว้ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงไ