ระยะห่างของเมืองเป่ยลู่กับชายแดนกู้มีเกือบแปดร้อยลี้มีจักรพรรดิเหวินเดินทางมากับพวกเขา พวกเขาไม่อาจเร่งเดินทางโดยไม่คิดชีวิตหลังห้าวัน พวกเขาก็มาถึงชายแดนกู้ชายแดนกู้เวลานี้ผ่านการบูรณะอย่างยาวนานแล้ว โดยพื้นฐานแล้วนับว่าซ่อมแซมเรียบร้อยแล้วจักรพรรดิเหวินไม่ได้สนทนากับเหล่าแม่ทัพน้อยใหญ่ในชายแดนกู้มากนัก ทรงทนไม่ไหวที่จะขึ้นไปบนกำแพงชายแดนกู้ ยืนอยู่ตรงกำแพง จักรพรรดิเหวินค่อยๆ หันพระวรกายกลับมา มองนอกและในเมืองชายแดนกู้จากที่สูง“ได้! ดีมาก!”“นึกไม่ถึงว่าตอนที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ยังสามารถได้ยืนบนกำแพงเมืองชายแดนกู้ได้!”“ข้านับว่าไม่เสียดินแทนของบรรพบุรุษไปแล้ว เมื่อไปถึงน้ำพุเก้าแห่ง ข้าก็มีหน้าไปพบจักรพรรดิองค์ก่อนแล้ว...”ตรัสไปตรัสมา ดวงพระเนตรของจักรพรรดิก็มีเปียกชื้นสามเมืองชายแดนสร้างขั้นตั้งแต่สมัยจักรพรรดิองค์ก่อนหลังเขาสืบทอดตำแหน่ง ก็บำรุงซ่อมแซมอยู่หลายครั้ง จึงสามารถซ่อมแซมสามเมืองชายแดนเรียบร้อยสามเมืองชายแดนเป็นแนวป้องกันแรกของอาณาจักรเป่ยหวนทางตอนเหนือเพื่อซ่อมแซมสามเมืองชายแดนในปีนั้น ต้าเฉียบสิ้นเปลืองกำลังคนและทรัพย์สินไปมหาศาลถูกบังคับให้สังเ
“ฮ่าๆ...”จักรพรรดิเหวินหัวเราะเบิกบานใจป็นพิเศษทว่าพวกหยุนเจิงกลับทำหน้าแปลกประหลาดเป่ยหวนไม่เพียงแต่ไม่วุ่นวาย ทั้งยังรวบรวมอำนาจได้อย่างสมบูรณ์สำหรับต้าเฉียนแล้วนี่ไม่ใช่ข่าวดีกระมัง?เหตุใดจักรพรรดิเหวินทรงดีพระทัยเช่นนี้?หรือว่า เขาคิดว่าสตรีอย่างเจียเหยาทำตัวเป็นจักรพรรดิเป็นเรื่องน่าตลกหรือ?“เสด็จพ่อ ท่านกำลังหัวเราะสิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ?”เนิ่นนาน หยุนเจิงทนไม่ไหวเอ่ยปากถามจักรพรรดิเหวินหนุมพระวรกายกลับมา จากนั้นก็ตบไหล่หยุนเจิงหนักๆ ตรัสด้วยเสียงหัวเราะ “เจ้ามีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับเจียเหยาไม่ใช่หรือ? ตามคำพูดของรัชสมัยข้า ต่อไป ประมุขใหญ่เป่ยหวนพบเจ้าแล้ว ก็ต้องเรียกเจ้ามาลุงเขย! ฮ่าๆ...”เมื่อตรัสถึงสิ่งที่น่าตลก จักรพรรดิเหวินทรงอดไม่ได้ที่จะทรงหัวเราะเสียงดังอีกครั้ง“……”เมื่อได้ฟังคำดำรัสของจักรพรรดิเหวิน ทุกคนล้วนจนใจเกิดสิ่งใดขึ้นระหว่างหยุนเจิงและเจียเหยา นายพลมากมายในซั่วเป่ยรู้ดีก็เป็นแค่สามีภรรยาในนามก็เท่านั้นหรือจักรพรรดิเหวินคิดจะให้เจียเหยามาเป็นลูกสะใภ้ให้ได้?หยุนเจิงฆ่าพ่อและพี่ของเจียเหยาหมดแล้ว!ไม่ว่าเช่นไรเจียเหยาก็ไม่มีทางยอมแต่งงานก
สองวันให้หลัง จักรพรรดิเหวินรีบไปยังชายแดนเว่ยอีกครั้งเวลานี้ สะพานตรงแม่น้ำสาขาของแม่น้ำไป๋สุ่ยที่ชายแดนเว่ยสร้างเสร็จไปแล้วเบื้องต้นจักรพรรดิเหวินฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ฉับพลัน ขี่ม้าไปรอบๆ ทุ่งหญ้ามู่หม่าหนึ่งรอบให้ได้ ทำเอาพวกตู๋กูเช่อเป็นห่วงอย่างมากยังดี จักรพรรดิเหวินไม่ได้หลงระเริงเกินไป เพียงแค่ไปเดินพอเป็นพิธีก็กลับมาแล้วเมื่อรู้ว่าตู้กุยหยวนตายในสนามรบ จักรพรรดิเหวินได้เสด็จไปยังหลุมศพของตู้กุยหยวนและประทับอยู่ด้านหน้าหลุมชั่วครู่ ได้แต่งตั้งตู้กุยหยวนเป็นแม่ทัพตั้งเป่ยขั้นสาม นำฉายาอูเลี่ยที่มอบให้หยุนเจิงไม่สำเร็จ ได้มอบให้กับตู้กุยหยวนแทนแล้ว เพื่อเป็นเกียรติแก่ความสำเร็จของเขาต่อไป จักรพรรดิเหวินเสด็จไปกราบไหว้ที่สุสานผู้พลีชีพที่เหล่าทหารได้หลั่งเลือดสละชีพเพื่อต้าเฉียนสำหรับข้อนี้ ทุกคนไม่คัดค้านจักรพรรดิเหวินเป็นจักรพรรดิของต้าเฉียนไปกราบไหว้ทหารผู้เสียชีวิตเหล่านั้น สำหรับเหล่าทหารผู้เสียชีวิต นับว่าเป็นเกียรติยศต่อให้ตอนนี้พวกเขาไม่อาจเพลิดเพลินกับเกียรติยศได้แล้วก็ตามหยุนเจิงแม้เข้าใจเจตนารมณ์ของจักรพรรดิเหวิน แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางจักรพรรดิเหวินพาท
ดังนั้น ต่อให้เขารู้เป้าหมายจักพรรดิเหวินตั้งแต่แรกเริ่ม เขาก็ไม่ขัดขวางเพียงแต่ไม่รู้ เงินบำนาญและรางวัลที่เสด็จพ่อกล่าวถึง จะเป็นความจริงหรือไม่สีพระพักตร์ของจักรพรรดิเหวินค่อยๆ อบอุ่นขึ้น จากนั้นก็ทรงชี้แผ่นป้ายหิน “กลับไปสั่งให้คนสลักลงแผ่นหินตั้งไว้ที่ประตูทางเข้าสุสานผู้พลีชีพ ผู้พบแผ่นหิน เหมือนดั่งพบข้า! ผู้ใดกล้าขี่ม้าเข้าไป ประหาร!”“พ่ะย่ะค่ะ!”หยุนเจิงรับคำสั่งจักรพรรดิเหวิน “อีกอย่าง ข้าออกเงินส่วนตัว เจ้าส่งคนไปสร้างศาลสักการะบริเวณใกล้ๆ ให้วิญญาณวีรบุรุษเหล่านี้ได้รับการจุดธูปจากชาวบ้าน!”“ก่อนหน้านี้ลูกก็มีแผนการนี้เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”หยุนเจิงตอบ “แต่ว่า ลูกวางแผนว่าหลังสบยเป่ยหวนแล้ว ค่อยสั่งให้คนสร้าง!”“ได้ เช่นนั้นทำตามแผนการของเจ้า!”ในเมื่อหยุนเจิงวางแผนแล้ว จักรพรรดิเหวินจึงไม่ตรัสสิ่งใดมากจากนั้น ทุกคนก็ติดตามจักรพรรดิเหวินไปจากสุสานผู้พลีชีพตอนที่กำลังขึ้นไปบนกำแพงชายแดนเว่ย จักรพรรดิเหวินรับสั่งให้ทุกคนถอยไปอีกครั้ง พระองค์เสด็จขึ้นไปบนกำแพงเพียงลำพัง ประทับอยู่บนกำแพงเมืองที่ผุพังขอชายแดนเว่ย ไม่รู้ทรงคิดสิ่งใดอยู่ฉวยโอกาสนี้ เสิ่นลั่วเยี่ยนดึ
สี่วันให้หลัง งานแต่งงานของหยุนเจิงและเยี่ยจื่อจัดขึ้นที่ติ้งเป่ยแม้บอกว่าไม่จัดใหญ่โต ทว่าจัดได้คึกคักยิ่งนักหยุนเจิงเป็นเจ้าบ่าวครั้งที่สอง ภายในใจทั้งดีใจ ทั้งรู้สึกผิดนับดูแล้ว เมี่ยวอินต่างหากที่เป็นผู้หญิงคนแรกของเขาทว่า จวบจนทุกวันนี้เมี่ยวอินยังไม่มีสถานะอย่างเป็นทางการเลยหลังเขาแต่งงานกับเยี่ยจื่อ เมี่ยวอินล้วนไม่เคยโผล่มาเห้อ!ปมระหว่างเมี่ยวอินกับเสด็จพ่อ ไม่มีวันคลี่คลายไปตลอดกาลงานแต่งงานของเมี่ยวอิน มีเพียงเขาต้องชดเชยให้นางภายหลังเท่านั้นเขาต้องมอบงานแต่งงานที่สมบูรณ์แบบที่สุดให้กับนาง!หยุนเจิงสาบานเงียบๆ ในใจเทียบกับงานแต่งของเสิ่นลั่วเยี่ยนแล้ว งานแต่งงานของหยุนเจิงกับเยี่ยจื่อเรียบง่ายกว่ามากไม่มีกำหนดการรับเจ้าสาวใด มีเพียงกราบไว้ฟ้าดินเป็นสามีภรรยากันฮูหยินเสิ่นในฐานะแม่บุญธรรมนั่งอยู่ตรงนั้น มองดูเยี่ยจื่อผ้าคลุมศีรษะ ภายในใจมีความรู้สึกนับร้อยนางควรค่ากับความใจดีของนาง แล้วก็ควรค่ากับเยี่ยจื่อมีเพียงข้อเดียว คือผิดต่อลูกชายนางเองหน้ามือหลังมือถ้วนเป็นเนื้อ!คนที่ยังมีชีวิต สุดท้ายก็สำคัญกว่าคนที่จากไปแล้ว!หลินเอ๋อร์ หากเจ้าจะโทษ เ
“ข้าก็คิดไม่ถึงเช่นกัน”เยี่ยจื่อพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็เงยหน้ามองหยุนเจิง “บางที ฝ่าบาทนำราชโองการฉบับนี้เป็น...” “ยังจะเรียกฝ่าบาท?” หยุนเจิงมุมปากยิ้ม “ควรเรียกเสด็จพ่อ”เสด็จพ่อหรือ?เยี่ยจื่อเมื่อได้ฟัง ใบหน้าแดงเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่อยู่เรียกฝ่าบาทมาตั้งหลายปี จู่ๆ ให้เปลี่ยนเป็นเรียกเสด็จพ่อ นางยังไม่ค่อยคุ้นชินเยี่ยจื่อยิ้มด้วยความเขินอาย จากนั้นก็กล่าวอย่างถ่อมตน “เจ้าสังหารประมุขใหญ่เป่ยหวน กอบกู้สามเมืองชายแดน ฝ่าบาทควรพระราชทานรางวัลให้เจ้ามากมาย...”หยุนเจิงรู้ว่าเยี่ยจื่อต้องการกล่าวสิ่งใด จึงยื่นนิ้วมือไปปิดริมฝีปากแดงของเยี่ยจื่อคนงาม กล่าวอย่างจริงจัง “ราชโอกาสการของเสด็จพ่อสำหรับข้าแล้ว เป็นรางวัลชิ้นใหญ่ที่สุดแล้ว!”บางที ในมุมที่เสด็จพ่อยืนอยู่ รางโองการฉบับเดียวทดแทนรางวัลของเขาได้ ได้กำไรอย่างแน่นอนแต่มองจากมุมที่เขายืนอยู่ รางโองการฉบับนี้ เป็นรางวัลที่ดีที่สุดแล้วตำแหน่งขุนนาง?ตำแหน่งซั่วเป่ยเจี๋ยตู้สื่อ พร้อมตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ฝู่กั๋วของเขา ต่อให้ประทานตำแหน่งให้อีก ก็ไม่มีตำแหน่งที่ดีไปกว่านี้แล้ว ทรัพย์สินเงินทอง?เขาสามารถหาเงินเองได้ขอแค่
วันที่สองตอนเช้า หยุนเจิงและเยี่ยจื่อไม่สนใจความอบอุ่น รีบตื่นแต่เช้าไปคาราวะจักรพรรดิจักรพรรดิเหวินในสถานะพ่อ ตรัสทักทายง่ายๆ กับทั้งสองคนไม่กี่ประโยคหลังเสวยอาหารเช้า จักรพรรดิเหวินก็ทรงเสด็จจากไปสามวันให้หลัง พวกหยุนเจิงส่งจักรพรรดิเหวินออกจากด่านเป่ยลู่ส่วนภรรยาและลูกของฉินชีหู่ มาถึงด่านเป่ยลู่แล้วนี่เป็นครั้งแรกที่หยุนเจิงได้พบลูกสาวลูกชายของฉินชีหู่ ครั้งนั้นที่ดื่มสุราที่บ้านตระกูลฉิน เขาไม่ได้พบภรรยาและลูกของฉินชีหู่ลูกสาวหนึ่ง ลูกชายสองลูกสาวของฉินชีหู่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเสิ่นเนี่ยนฉือ แล้วก็ลูกชายที่ยังเล็กสองคน ดูไปแล้วคงอายุไม่ถึงสามขวบ ดูเหมือนฝาแฝด แต่กลับต่างกันอย่างสิ้นเชิงคนหนึ่งหน้าตานิสัยดุดัน อีกครั้งใบหน้าสะอาดหมดจดมองดูเหล่าลูกชายของฉินชีหู่ หยุนเจิงอดไม่ได้ที่จะนึกเลื่อมใสในใจเจ้าฉินชีหู่ นอนอยู่บ้านในปีนั้น เอาแต่ผลิตลูก!จักรพรรดิเหวินเดินมาข้างหน้า อุ้มลูกชายคนเล็กหน้าตาสะอาดหมดจดในสายตาเด็กน้อย จักรพรรดิเหวินไม่ใช่จักรพรรดิจักรพรรดิเหวินทรงเพิ่งอุ้มเด็กน้อย เด็กน้อยก็เอื้อมมือไปคว้าเคราของจักรพรรดิเหวิน“เจ้าตัวเล็ก อยู่นิ่งหน่อ
จักรพรรดิเหวินถามหยุนเจิงอีกครั้ง“นี่...”หยุนเจิงกลืนน้ำลายอย่างยากเย็น “นี่คงไม่ใช่...ลูกชายของพี่ใหญ่กระมัง?”ท่าทางของจักรพรรดิเหวินและฉินชีหู่ที่มีต่อเด็กคนนี้ ผิดปกติจริงแท้บวกกับเด็กคนนี้เรียกเขาเช่นนี้ หยุนเจิงคิดถึงได้เพียงรัชทายาทองค์ก่อน“อื้ม”จักรพรรดิเหวินพยักพระพักตร์ ถอนพระทัยเบาๆ “พี่ใหญ่เจ้ามีลูกชายสองหญิงหนึ่ง ข้ามาทันได้ช่วยเด็กชายคนนี้...” กล่าวจบ จักรพรรดิเหวินค่อยๆ ตรัสเล่าความจริงออกมาหนึงปีก่อน รัชทายาทองค์ก่อนก่อกบฏล้มเหลว จึงฆ่าตัวตายด้วยความจนใจไม่ว่ารัชทยาทองค์ก่อนถูกตราหน้าว่าก่อกบฏหรือไม่ หรือว่าเขามีใจคิดก่อกบฏจริง ขอเพียงเขายกทัพ เรื่องนี้ก็ไม่มีที่ว่างให้ถอยกลับแล้วจักรพรรดิเหวินอยากจะรักษาลูกชายสองคนกับลูกสาวหนึ่งคนของรัชทยาทองค์ก่อน ทว่าไม่อาจทำได้เปิดเผย ทำได้เพียงแอบส่งคนไปช่วยเวลานั้น พระชายารัชทายาทองค์ก่อนได้พาลูกๆ ไปยังบ้านมารดาเมื่อรู้ข่าวรัชทายาทองค์ก่อนพ่ายแพ้และฆ่าตัวตาย พระชายารัชทายาทองค์ก็รู้ว่าครอบครัวคงหลบไม่พ้นคราวเคราะห์ ตอนที่ไปล้อมป้อมเมืองอวี่หลิน จึงจุดไปเผาจวน ตั้งใจพาลูกชายสองลูกสาวหนึ่งของรัชทายาทองค์ก่อนติ
เมื่อได้ฟังโจวเต้ากงบ่นอย่างนี้ หยุนลี่ก็เดาได้ทันทีว่าเจ้านี่ต้องการพูดอะไรต่อไป ชัดเลย เขาคงจะมาขอเกราะจากตนแน่ๆ ใช่ไหม? “พอแล้วๆ!” หยุนลี่ขัดจังหวะคำพูดของโจวเต้ากง “ที่นี่ยังขาดเกราะอีกเท่าไหร่?” “หนึ่งหมื่นสามพันชุด” โจวเต้ากงตอบทันที “ขาดมากขนาดนี้เลย?” ใบหน้าของหยุนลี่กระตุกเล็กน้อย “ตามที่เจ้าพูด คนหนึ่งหมื่นที่ประจำอยู่ห่างออกไปสิบห้าลี้ก็แทบไม่มีเกราะเลยใช่ไหม?” “พ่ะย่ะค่ะ!” โจวเต้ากงพยักหน้า “หนึ่งหมื่นนั้นล้วนเป็นทหารที่เพิ่งเกณฑ์ใหม่ และตอนนี้กำลังฝึกซ้อมอยู่ที่นั่น…” ฝึกซ้อม? ใบหน้าของหยุนลี่มืดครึ้ม เกือบจะสบถออกมา ไม่มีเกราะป้องกัน นี่ก็เรียกว่าฝึกซ้อมหรือไงวะ? นี่มันเรียกว่าทิ้งข้าวเปลืองเบี้ยเลี้ยงมากกว่า! ถ้าเจ้าหกยกพลบุกมา จะหวังพึ่งคนพวกนี้ได้ไหม? พวกทหารนี่คงเป็นแค่เป้าซ้อมมือให้เจ้าหกไม่ใช่หรือไง? บ้าบอคอแตก! แนวป้องกันนี่ ไม่มีเสียยังจะดีกว่า! อย่างนี้ ราชสำนักยังประหยัดค่าใช้จ่ายได้มหาศาลอีกด้วย! หยุนลี่โมโหจนแทบจะระเบิด แต่ก็ไม่อาจระบายความโกรธใส่โจวเต้ากงได้ เรื่องนี้จะไปโทษโจวเต้ากงก็ไม่ได้! เกรา
ฟู่โจวหัวเมืองเมืองสี่ทิศนี่คือพื้นที่ที่ใกล้กับซั่วเป่ยที่สุดของฟู่โจว หยุนเจิงจะจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาที่ฟู่โจว การสร้างจวนอ๋องใหม่ในเวลาสั้นๆ เป็นไปไม่ได้ จึงต้องซื้อจวนจากเหล่าขุนนางใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศแทน เดิมทีเรื่องนี้ควรเป็นหน้าที่ของหยุนลี่ องค์รัชทายาท ที่จะช่วยดูแลจัดการ แต่หยุนลี่ไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย สั่งให้ขุนนางในกรมพิธีการตัดสินใจกันเอง เขาเกลียดชังหยุนเจิงจนแทบอยากสับร่างหยุนเจิงเป็นชิ้นๆ แล้วจะให้เขามาช่วยเลือกจวนให้อย่างนั้นหรือ? ถ้าให้ช่วยเลือกโลงศพแทน เขาคงรีบทำอย่างกระตือรือร้นแน่! หลังจากโยนเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ให้ขุนนางระดับล่างจัดการ หยุนลี่ก็พาคนเดินทางไปยังค่ายใหญ่หัวเมืองสี่ทิศ นับตั้งแต่จ้าวจี๋นำทัพไปยังเขตตะวันตกเฉียงเหนือ ฟู่โจวก็เหลือเพียงกองกำลังสามหมื่นนาย และกองกำลังทั้งสามหมื่นนายนี้ก็เกือบทั้งหมดประจำอยู่ในหัวเมืองสี่ทิศ หยุนลี่ไม่หวั่นเกรงที่จะถูกตำหนิเรื่องการติดต่อกับแม่ทัพในกองทัพโดยพลการ การตรวจสอบค่ายใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศ เป็นภารกิจที่จักรพรรดิเหวินมอบหมายให้เขาก่อนที่จะเดินทางไปยังซั่วเป่ย เมื่อหยุนลี่พาคนมา
“เสด็จพ่อ ที่ซั่วเป่ยขาดแคลนอาหารอย่างหนัก!” หยุนเจิงกล่าวด้วยสีหน้าทุกข์ใจ “ตอนนี้ลูกไม่ได้ดูแลแค่ชาวซั่วเป่ย แต่ยังต้องเลี้ยงดูคนในเขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือ อีกทั้งเป่ยหมัวถัว กุ่ยฟาง เป่ยหวน ทุกพื้นที่เหล่านี้…” “คำพูดพวกนี้ไปบอกพี่สามของเจ้าสิ อย่ามาพูดกับข้า!” จักรพรรดิเหวินไม่ฟังคำพร่ำบ่นของหยุนเจิง ตัดบทอย่างไร้เยื่อใย บอกกับเจ้าสาม? หยุนเจิงเบะปาก แค่มันเทศในห้องใต้ดินนี้ เจ้าสามจะซื้อไหวหรือ? ตามราคาที่ตนตั้งไว้ก่อนหน้า ถ้าเจ้าสามไม่จ่ายเงินออกมาสักหลายล้านตำลึง คงไม่มีทางซื้อมันเทศในห้องนี้ได้ ถ้าถึงขั้นนั้น เจ้าสามคงต้องกลายเป็นหัวหน้าแผนกปล้นบ้านประจำราชสำนักต้าเฉียนแน่! มองเห็นสีหน้าขัดใจของหยุนเจิง จักรพรรดิเหวินวางมันเทศในมือ พลางตบไหล่หยุนเจิงอย่างแรง “จงจำไว้ ประชาชนในเขตในก็ล้วนเป็นราษฎรในความดูแลของเจ้า!” นั่นไง! เริ่มมาล้างสมองกันอีกแล้ว! หยุนเจิงบ่นในใจ พลางเปลี่ยนเรื่องถาม “เสด็จพ่ออยากลองชิมรสมันเทศนี่ไหม?” “ตอนนี้เลย?” จักรพรรดิเหวินแปลกใจเล็กน้อย “อื้ม” หยุนเจิงพยักหน้า “มันเทศนี่ปอกเปลือกแล้วกินดิบได้ กินน้อ
ผ่านไปไม่กี่วัน พวกเขาก็เดินทางกลับถึงเมืองติ้งเป่ยจนได้ ด้วยเหตุที่จักรพรรดิเหวินทรงกำชับไว้ล่วงหน้า การเสด็จมายังเมืองติ้งเป่ยครั้งนี้จึงถูกปิดเป็นความลับอย่างเข้มงวด มีเพียงผู้คนในจวนอ๋องเท่านั้นที่รับทราบ ครั้นถึงเมืองติ้งเป่ย จักรพรรดิเหวินก็ไม่ได้รีบไปยังจวนอ๋องในทันที แต่กลับยืนกรานให้หยุนเจิงพาไปชมมันเทศเสียก่อน ถึงกับดึงตัวไปก็ยังไม่ยอม หยุนเจิงถึงกับเอ่ยว่าให้คนยกมันเทศมาถวายให้ทอดพระเนตรที่จวนก็ยังไม่ยอม ทั้งยังยืนกรานจะไปดูด้วยพระองค์เองที่ห้องใต้ดินเก็บมันเทศ หยุนเจิงเริ่มระแวงหนักว่าตาแก่นี้คงกลัวว่าตนจะยกมันเทศไม่กี่หัวมาหลอกให้พอพระทัย จึงต้องการไปตรวจดูคลังสำรองเสียก่อนว่าจะสามารถยึดมันเทศไปจากตนได้สักเท่าใด ด้วยการยืนกรานของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงจึงจำต้องพาไปยังสถานที่เก็บมันเทศแห่งหนึ่ง แม้ว่ามันเทศจะถูกแบ่งเก็บไว้ในห้องใต้ดินหลายแห่ง แต่สถานที่เหล่านั้นก็อยู่ติดกัน เพื่อให้สะดวกต่อการจัดการยามเฝ้ารักษา จักรพรรดิเหวินเพียงลงจากรถม้า ก็เห็นกองทหารจำนวนมากสวมเกราะพร้อมอาวุธครบมือ “เจ้าช่างเฝ้าแน่นหนาดีจริง! หรือเจ้ากลัวใครจะมาขโมยมันเทศของเจ
“จะใช้เงินมากมายขนาดไหนกัน?” “ก็เยอะจริงพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ลูกเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกใช้เงินไปมากขนาดนี้” หยุนเจิงทำหน้ามุ่ยเหมือนคนมีทุกข์ จนเยี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ แทบอยากจะตีเขา เจ้าคนนี้นี่! พูดเกินจริงก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ! เสด็จพ่ออย่างไรก็เป็นถึงกษัตริย์ แม้จะไม่ทราบรายละเอียดว่าการสร้างเมืองใช้เงินเท่าไร แต่ก็น่าจะพอรู้คร่าวๆ อยู่บ้าง สิบล้านตำลึงขึ้นไป เขากล้าพูดออกมาได้อย่างไร? นี่มันก็เหมือนกับการโกหกเสด็จพ่ออย่างโจ่งแจ้งเลยไม่ใช่หรือ? “พอแล้ว อย่ามาทำตัวพล่ามเป็นคนจนให้ข้าฟังเลย!” จักรพรรดิเหวินเหลือบมองหยุนเจิงด้วยหางตา “ข้าไม่ได้อยากได้เงินของเจ้าหรือธุรกิจทำเงินของเจ้า! และเจ้าก็อย่าหวังจะได้สักตำลึงจากข้าเลย ท้องพระคลังตอนนี้ไม่มีเงินให้เจ้าแล้ว!” พล่ามว่าจนหรือ? เขาอยากพล่ามว่าจนนักหรือ! ในปีนี้ ต้าเฉียนก็ถือว่าเจอภัยพิบัติไม่น้อย ใช้เงินไปเหมือนน้ำไหล ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสะสมจากหลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักคงอดอยากไปแล้ว! “ก็ได้ๆ!” หยุนเจิงพยักหน้ารับหลายครั้ง ในใจโล่งอกอย่างยิ่ง เขายังกลัวว่าเสด็จพ่อจะมาที่นี่เพื่อมารีดไถ โดยเ
วันถัดมา จักรพรรดิเหวินที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางก็ตื่นสายเล็กน้อย หลังจากรับประทานอาหารเช้าอย่างง่ายๆ จักรพรรดิเหวินก็ให้ทุกคนพาเดินสำรวจในเล่ออาน จักรพรรดิเหวินไม่ได้เปิดเผยฐานะตนเอง ไม่ได้พาผู้ติดตามมากมาย และยังปลอมตัวเล็กน้อยเพื่อเลี่ยงความยุ่งยาก หลังจากเดินสำรวจรอบเมือง จักรพรรดิเหวินก็ค่อนข้างพอใจ ระหว่างเดินบนถนนในเมือง จักรพรรดิเหวินก็ย่อตัวลงดูอะไรบางอย่าง “นี่มันอะไรหรือ?” จักรพรรดิเหวินชี้ไปที่ปูนระหว่างก้อนอิฐสองก้อนแล้วถาม “นี่คือปูนซีเมนต์” หยุนเจิงอธิบาย “มันทำหน้าที่เหมือนกาวข้าวเหนียว แต่มีความแข็งแรงกว่าเล็กน้อย และหาง่ายกว่า ไม่เปลืองข้าว แค่ปริมาณการผลิตยังน้อยอยู่” “สิ่งนี้ใช้ได้ทีเดียว!” จักรพรรดิเหวินลุกขึ้นช้าๆ “เจ้าเคยคิดจะขายปูนซีเมนต์นี้ไปพื้นที่เขตในหรือไม่?” “นั่นคงยากหน่อย” หยุนเจิงส่ายหัว “ซั่วเป่ยยังขาดปูนนี้มาก จะเอาไปขายที่เขตในได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ส่วนใหญ่ใช้ในงานของราชสำนัก ชาวบ้านทั่วไปไม่จำเป็นต้องใช้” “เช่นนั้น มันเทศล่ะ?” จักรพรรดิเหวินมองหยุนเจิงด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่ามันเทศในซั่วเป่ยป
“ห้ะ?” หยุนเจิงเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง “วางใจเถอะ ข้ารู้ขอบเขตดี” จักรพรรดิเหวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นช่วงสำคัญที่เจ้าจะรวบรวมใจชาวเป่ยหวน แม้ข้าจะอยากไปบวงสรวงฟ้าดินที่เขาเทพหมาป่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลา ข้าเข้าใจดี” “เสด็จพ่อ นี่ไม่ใช่เรื่องของขอบเขตหรือไม่ขอบเขตนะพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงคร่ำครวญแทบล้มประดาตาย “เสด็จพ่อจะไปเยือนวังหลวงเป่ยหวน เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่เสด็จพ่อคิดดูเถิด หากเสด็จพ่อไป ลูกคงต้องนำทัพสักหมื่นสองหมื่นนายเพื่อคุ้มครองเสด็จพ่อใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? ทัพหมื่นสองหมื่นนาย เดินทางหน้าหนาว ต้องขนเสบียงและเสื้อผ้ากันหนาวแค่ไหน? ไปกลับอย่างไรเสียก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” นี่ยังไม่รวมว่าต้องออกเดินทางจากค่ายใหญ่เขาห่านป่าหวนกลับ! หากออกเดินทางจากที่อื่น เวลาก็ยิ่งนานกว่านี้! นี่เป็นการเดินทางของฮ่องเต้นะ! จะให้เดินทางเร่งด่วนตลอดทางก็ไม่ได้! ต่อให้เสด็จพ่ออยากไปจริง ก็ควรรอเวลาที่เหมาะสมกว่านี้! “สักสองเดือนก็สักสองเดือนเถอะ!” จักรพรรดิเหวินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างไรเสีย เจ้าก็ไม่จัดงานแต่งกับเจียเ
จักรพรรดิเหวินหยุดครู่หนึ่ง ก่อนถ่ายทอดคำที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนเคยกล่าวไว้ให้หยุนเจิงฟัง ผู้เลี้ยงแกะในมือนั้น ต้องมีผืนดิน หมาป่า แกะ และสุนัข! ผืนดิน คือกฎเกณฑ์ ขีดเส้นจำกัดไว้เป็นคอก หมาป่าคือภัยคุกคาม บอกฝูงแกะว่าอย่าได้วิ่งพล่าน ในพื้นที่ที่ขีดเส้นให้เท่านั้นจึงจะปลอดภัยจากหมาป่า แกะ คือหัวหน้าฝูง ขณะเลี้ยง หากควบคุมหัวหน้าฝูงได้ ฝูงแกะก็จะไม่หลงทาง สุนัขช่วยต้อนฝูงแกะ นำแกะที่ไม่เชื่อฟังกลับเข้าฝูง เมื่อได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงก็อดไม่ได้ที่จะตระหนักในทันที ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จางฮว๋ายก็คือหัวหน้าฝูงแกะตัวนั้น ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิพระองค์ก่อนหรือเสด็จพ่อ ต่างก็ต้องการหัวหน้าฝูงตัวนี้เพื่อควบคุมฝูงแกะ ผ่านไปครู่หนึ่ง หยุนเจิงก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “เสด็จพ่อคงไม่ได้คิดจะส่งเกาซื่อเจินมาให้ลูกเป็นหัวหน้าฝูงใช่ไหม?” “เจ้าคิดว่าเกาซื่อเจินมีความสามารถจะเป็นหัวหน้าฝูงหรือ?” จักรพรรดิเหวินเผยรอยยิ้มเหยียดหยาม กล่าวอย่างมีนัยว่า “หัวหน้าฝูงไม่ใช่ว่าใครจะเป็นได้!” เช่นนี้เองหรือ? หยุนเจิงครุ่นคิดอยู่ในใจ จริงแท้ เกาซื่อเจินไม่มีความสามาร
คนเราไม่ใช่หญ้าหรือไม้ ใครเลยจะไร้ซึ่งความรู้สึก? แต่ตราบใดที่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ หลายเรื่องก็จะมิอาจทำตามใจตนได้อีก เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะอื่นใดมากมาย สถานะแรกของเจ้าก็คือจักรพรรดิ! “ความจริง ลูกไม่ได้คิดถึงตำแหน่งนั้นมากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงจัง “ก็เพราะลูกเข้าใจสิ่งที่เสด็จพ่อพูด ลูกถึงไม่อยาก…” “เจ้าคิดว่าตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่เจ้าเลือกเองได้หรือ?” จักรพรรดิเหวินตัดคำพูดของหยุนเจิงทันที “หากเจ้าไม่ขึ้นครองราชย์ แล้วผู้คนภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะเป็นเช่นไร? บรรดาแม่ทัพผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่เหล่านี้ ใครเล่าจะทำให้พวกเขารู้สึกวางใจได้ นอกจากเจ้า?” เพราะผลงานสูงจนสั่นคลอนพระราชอำนาจใช่หรือไม่? หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา ในข้อนี้ เขาเองก็เห็นด้วย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีแม่ทัพมากมายที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า เพียงเมื่อพวกเขาสิ้นชีวิต จักรพรรดิจึงจะวางใจได้ ไม่ฉะนั้น เมื่อแม่ทัพผู้เกรียงไกรส่งเสียงเรียก ใครเล่าจะไม่เกรงกลัว? “เรื่องในวันข้างหน้า ไว้ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงไ