จักรพรรดิเหวินต้องการเสด็จไปจวนของหยุนเจิง หยุนเจิงก็ไม่สามารถหยุดเขาได้หลังจากสั่งให้หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนเมืองส่งม้าไปยังกองทหารเสินอู่ จักรพรรดิเหวินผู้ซึ่งอารมณ์ดีจึงให้คนจัดขบวนเสด็จไปยังจวนขององค์ชายหกในขณะที่กำลังเบิกบานพระทัย จักรพรรดิเหวินก็เริ่มรู้สึกกังวลอีกครั้งควรให้รางวัลเจ้าหกเป็นสิ่งใดดี?เอาม้าศึกชั้นดีหลายร้อยตัวมาจากเจ้าหกแล้ว ถ้าไม่ประทานรางวัลให้บ้าง ก็ดูจะไม่เหมาะสมแต่ของรางวัลสำหรับความดีความชอบของเจ้าหกก่อนหน้านี้ก็ยังไม่ได้ประทานให้ ตอนนี้เขาก็สร้างผลงานอีกแล้ว!คราวนี้เขาไม่รู้ว่าจะให้รางวัลเขาอย่างไรขณะที่จักรพรรดิเหวินกำลังกลุ้มพระทัยอยู่นั้น มู่ซุ่นก็ตามขึ้นมา และรายงานจักรพรรดิเหวินผ่านม่านรถม้าว่า “ฝ่าบาท เมื่อครู่มีคนจากจุดพักม้ามารายงานว่า องค์ชายหกทำให้ปานปู้โกรธจนกระอักเลือด เขาถามว่าควรส่งหมอหลวงไปตรวจอาการดีหรือไม่...”“อะไรนะ”ทันใดนั้นจักรพรรดิเหวินก็เปิดม่านแล้วตรัสว่า “เจ้าหกยังทำให้โจรเฒ่าปานปู้โกรธจนกระอักเลือดงั้นรึ”“พ่ะย่ะค่ะ!”มู่ซุ่นพยักหน้า“รีบบอกข้าเร็ว ว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร ให้ข้าพลอยสนุกไปด้วยคน”จักรพรรดิเหวินเบิก
หยุนเจิงขานรับ แต่อดไม่ได้ที่จะบ่นในใจตาเฒ่าคนนี้ชอบทำตัวเด่นจริงๆ!เมื่อเข้าไปในจวน จักรพรรดิเหวินเหลือบมองพ่อบ้านโดยตั้งใจแต่คล้ายไม่ตั้งใจ เกือบจะเตะพ่อบ้านออกไปหลายครั้งเห็นได้ชัดว่าเจ้าหกชนะการเดิมพัน เขากลับบอกว่าเจ้าหกกำลังตกอยู่ในอันตราย!ตัวเองกำลังอยู่ในอารมณ์อันสนุกสนาน แต่ถูกขัดจังหวะเสียได้!กระจายข่าวมั่วๆ โดยไม่เข้าใจสถานการณ์ด้วยซ้ำ!ช่างเถอะ!เช่นนั้นก็ใช้เหตุผลนี้ย้ายเขาออกไปจากเจ้าหกก็แล้วกัน!จักรพรรดิเหวินตัดสินใจ แล้วเสด็จเข้าไปในจวนภายใต้การคารวะจากทุกคน“บอกข้ามาเร็ว ว่าเรื่องการเดิมพันของพวกเจ้าเป็นมาอย่างไร!”ทันทีที่จักรพรรดิเหวินนั่งลง เขาก็แทบรอไม่ไหวที่จะถามบอกน้องสาวท่านน่ะสิ!ข้ายังไม่ได้กินข้าวเลยด้วยซ้ำ!หยุนเจิงบ่นในใจแล้วพูดว่า “ยากนักที่เสด็จพ่อจะมาที่จวนของลูก ให้ลูกสั่งคนเตรียมสุราอาหารมาดีหรือไม่ เสด็จพ่อกับลูกจะได้กินข้าวไปด้วยคุยไปด้วย”จักรพรรดิเหวินไม่หิว แต่พอนึกถึงปานปู้ที่โกรธหยุนเจิงจนกระอักเลือด เข้าก็นึกครึ้มอกครึ้มใจ พยักหน้าว่า “ก็ดี!”เมื่อเห็นว่าจักรพรรดิเหวินตกลง คนรับใช้ในจวนก็เริ่มเตรียมสุราและอาหารทันทีระหว่า
ระงับความโทมนัส!คำพูดที่พูดขึ้นอย่างกะทันหันของหยุนลี่นี้ ทำให้จักรพรรดิเหวินกับมู่ซุ่นตะลึงงันพวกตู้กุยหยวนสามคนที่คุกเข่าอยู่ก็อึ้งรรับประทาน ทั้งสามกำลังอยากจะเงยหน้าขึ้นมองว่าใครที่บังอาจมาตะโกนโหวกเหวกโวยวายอยู่ต่อหน้าพระพักตร์จักรพรรดิเหวิน แต่พวกเขาก็ไม่กล้าพอจะเงยหน้าขึ้นจักรพรรดิเหวินมองไปที่หยุนลี่ที่วิ่งมาอย่างโซซัดโซเซ พระพักตร์กระตุกขึ้นอย่างอดไม่ได้มู่ซุ่นรู้ดีว่าแย่แล้ว จึงรีบส่งสัญญาณผ่านสีหน้าให้กับหยุนลี่อย่างเต็มกำลังแต่ตอนนี้ความสนใจของหยุนลี่อยู่บนตัวจักรพรรดิเหวินเท่านั้น เขาจะเห็นสีหน้าท่าทางของมู่ซุ่นได้อย่างไรกันเล่า!หยุนลี่ยังไม่เข้าใจเรื่องราวพอเห็นจักรพรรดิเหวินจ้องมองมายังตนอย่างตะลึงงัน เขายังคิดว่าเป็นเพราะจักรพรรดิเหวินกำลังโศกพระทัย!ในที่สุด หยุนลี่ก็วิ่งไปถึงข้างกายจักรพรรดิเหวิน จากนั้นก็บีบเค้นน้ำตาออกมาได้สองสามหยด พูดขึ้นอย่างโศกเศร้าว่า “เสด็จพ่อ น้องหกโชครายตกตายก่อนวัยอันควร พวกเราต่างก็ล้วนเศร้าโศกนัก แต่เสด็จพ่อเป็นประมุขของรัฐ ต้องรักษาพระวรกายให้ดีนะพ่ะย่ะค่ะ…”พวกตู้กุยหยวนทั้งสามคนพอได้ฟังคำพูดของหยุนลี่ก็ตกใจจนนิ่งอึ้งน
จักรพรรดิเหวินหย่นก้นลงปุ๊บ ไม่รอให้ใครมารินสุราให้ ทรงยื่นพระหัตถ์ไปคว้ากาสุรามาแล้วยกขึ้นจ่อพระโอษฐ์เสวยดัง “อึกๆ” ไปหลายอึก“ฝ่าบาท โปรดระวังพระวรกายด้วยพ่ะย่ะค่ะ”มู่ซุ่นตักเตือนอย่างระมัดระวัง“ระวังกับผีสิ!”จักรพรรดิเหวินโกรธจนไฟโทสะสุมอก กระแทกกาสุราลงพื้นจนแตกละเอียด ตะโกนขึ้นเสียงหอบ “ข้าต้องถูกลูกทรพีนี่ยั่วโมโหจนตายเข้าสักวัน”จักรพรรดิเหวินโมโหขึ้นมา ผู้คนก็รู้สึกเย็นวาบกันไปทั่ว ไม่มีใครกล้าพูดอะไรอีกมู่ซุ่นรีบโบกมือไปทางบ่าวรับใช้ของหยุนเจิง เป็นเชิงให้พวกเขาทำความสะอาดพื้นให้สะอาด“ฝ่าบาทเย็นพระทัยลงก่อนพ่ะย่ะค่ะ”มู่ซุ่นยิ้มกล่าวอย่างระมัดระวัง “องค์ชายสามอาจได้ยินข่าวคร่าวแล้วเข้าใจผิดคิดว่าองค์ชายหกแพ้การเดิมพันแล้ว กลัวว่าฝ่าบาทจะโทมนัสเกินเหตุจึงได้รุดหน้ามาปลอบพระทัย…”หืม?พอได้ยินมู่ซุ่นช่วยหยุนลี่พูด ในใจหยุนเจิงกระตุกวาบเจ้าคนนี้คงไม่ใช่คนของเจ้าสามหรอกนะ?จักรพรรดิเหวินพอได้ฟัง พระพักตร์ก็คล้ำลงทันที ถามขึ้นว่า “ใครเป็นคนแพร่งพรายออกไปว่าเจ้าหกแพ้แล้ว ไม่กลัวตายหรือ?”ผู้ดูแลจวนพอได้ยินคำพูดของจักรพรรดิเหวิน ในใจสั่นวาบ รีบคุกเข่าลงอย่างแรงว่า
หลังจากที่หยุนเจิงเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายเขาก็ทิ้งคำถามนี้กลับไปให้จักรพรรดิเหวิน“ลูกเพียงแค่อยากจะกำจัดความอวดเบ่งของปานปู้เท่านั้น ไม่ได้คิดอยากได้ของรางวัล...”หยุนเจิงทำท่าทางนอบน้อมจักรพรรดิเหวินมองไปที่เขาปราดหนึ่ง จากนั้นก็ครุ่นคิดเงียบๆ ขึ้นมาผ่านไปครู่ใหญ่ จักรพรรดิเหวินราวกับได้ตัดสินพระทัยแล้ว ตรัสขึ้นเสียงขรึม “เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน ข้าจะอนุญาตให้เจ้าเลี้ยงกองกำลังทหารในจวนได้!”หา?สิ้นเสียงจักรพรรดิเหวิน ผู้คนต่างตะลึงงันขึ้นทันทีหยุนเจิงก็จ้องไปที่จักรพรรดิเหวินอย่างตะลึง ทั้งประหลาดใจทั้งดีใจมีทหารประจำจวนเป็นของตนเอง!นี่เป็นอำนาจที่องค์รัชทายาทและท่านอ๋องเท่านั้นถึงจะมีได้!ตาแก่นี่กลับอนุญาตให้ตนมีทหารประจำจวนได้?ฉิบหายแล้ว!ตาแก่นี่คงไม่ได้มองอะไรออกแล้วอยากจะทดสอบตนหรอกนะ?สมองของหยุนเจิงประมวลผลอย่างว่องไว กำลังครุ่นคิดเงียบๆ ว่าจะตอบรับหรือไม่แน่นอนว่าเขาอยากมีอำนาจในการสั่งสมทหารจวนเป็นของตนเอง!แต่ก็ต้องระวังว่านี่จะเป็นกับดักที่บิดาจำเป็นของเขาวางไว้ให้เขา!หากเดินพลาดไปเพียงก้าวเดียว เป็นเรื่องคอขาดบาดตายเลยทีเดียว!“โง่ไปเลยหรือ?”จัก
เสียงของเยี่ยจื่อดังขึ้นหยุนเจิงลุกขึ้น รีบเปิดประตูห้อง“องค์ชายราวกับดูไม่ค่อยเบิกบานใจนัก?”เยี่ยจื่อเข้าประตูห้องมาก็ถามขึ้นอย่างใคร่รู้หยุนเจิงกลอกตาขาวใส่นาง “เจ้าคิดว่าข้าควรดีใจหรือไง?”“แน่นอนว่าควรดีใจ”เยี่ยจื่อพยักหน้ากล่าวว่า “นี่เป็นความโปรดปรานที่ฝ่าบาทมีต่อเจ้าโดยเฉพาะเลยนะ!”ความโปรดปราน?หยุนเจิงส่ายหัวยิ้มอย่างขมขื่นโปรดปรานก็นับว่าโปรดปรานอยู่ แต่โปรดปรานมากเกินไปแล้วนี่สิก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะตาแก่นี่จู่ๆ ก็เกิดอยากแสดงความรักของบิดาขึ้นมาหรือไง เหตุใดจึงมอบความโปรดปรานเช่นนี้ให้กับตนได้?“ข้าไม่ได้ความโปรดปรานนี้ยังจะดีเสียกว่า!”หยุนเจิงปวดหัวจนต้องนวดศีรษะเยี่ยจื่อมองสีหน้าอมทุกข์ของหยุนเจิง จู่ๆ นางก็อยากจะถอดรองเท้าขึ้นมาลูบหน้าหยุนเจิงสักทีดูเข้า!ตานี่พูดจาบ้าบออะไรเนี่ย?หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นที่มีอำนาจสั่งสมทหารจวน คงจะดีใจจนแทบบ้าแล้ว!แต่เขากลับมานั่งอมทุกข์อยู่ตรงนี้ได้!นี่เขากลัวเลี้ยงทหารจวนห้าร้อยนายนั่นไม่ไหวหรือไง?หยุนเจิงส่ายหัว มองไปทางเยี่ยจื่ออย่างมีความนึกคิดสุดเหนือคณานับ “หากเป็นเจ้า เจ้าจะอยากได้ทหารจวนห้าร้
เช้าวันต่อมาว่าราชการเช้า จักรพรรดิเหวินได้ประกาศกลางท้องพระโรงว่าพระองค์ตัดสินพระทัยจะมอบอำนาจให้หยุนเจิงเป็นคนรับสมัครทหารจวนส่วนตัวด้วยตัวเองไม่แปลกที่การตัดสินพระทัยของจักรพรรดิเหวินถูกขุนนางจำนวนมากคัดค้านการเกณฑ์ทหารจวนส่วนตัวนั้น มีเพียงแค่ตำแหน่งองค์รัชทายาทและท่านอ๋องเท่านั้นที่มีสิทธิ์กระทำได้!แต่หยุนเจิงไม่ได้มีตำแหน่งดังกล่าว มีสิทธิ์อันใดมาเกณฑ์ทหารจวนส่วนตัวด้วยแต่ไม่ว่าเหล่าขุนนางจะคัดค้านเพียงใดก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงการตัดสินพระทัยของจักรพรรดิเหวินได้ หลังจากเลิกการประชุม ซูเฟยก็รีบรุดไปหาสวีสือฝู่ทันทีการกระทำของจักรพรรดิเหวินทำให้นางรู้สึกถึงภัยคุกคามอันใหญ่หลวงแม้ก่อนหน้านี้จักรพรรดิเหวินจะเคยตรัสต่อหน้าขุนนางกลางท้องพระโรงว่าไม่มีทางมอบตำแหน่งองค์รัชทายาทให้หยุนเจิงเป็นอันขาด แต่ใครจะรู้ได้เล่า เกิดวันใดจักรพรรดิเหวินสมองกลับบ้าขึ้นมาอาจจะทำเช่นนั้นขึ้นก็ได้แม้แต่อำนาจในการเกณฑ์ทหารจวนส่วนตัวจักรพรรดิเหวินก็มอบให้กับหยุนเจิงไปแล้ว การแต่งตั้งให้หยุนเจิงเป็นองค์รัชทายาทก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เมื่อเห็นซูเฟยกลัดกลุ้มใจเช่นนี้ สวีสือฝู่กลับห
ระหว่างทางกลับ พวกตู้กุยหยวนทั้งสามคนใช้สายตาแปลกๆ มองหยุนเจิง ไม่รู้ว่าในใจกำลังพูดว่าหยุนเจิงนั้นโง่หรือว่ากำลังคิดเรื่องอื่นอยู่“พวกเจ้ากำลังคิดว่าข้าเป็นคนโง่ใช่หรือไม่”หยุนเจิงยิ้มถาม“อาจเป็นเพราะว่า องค์ชายมีความคิดอื่นร่วมด้วย!”ตู้กุยหยวนยิ้มขมขื่นไม่เอาชุดเกราะเกล็ดแต่เอาชุดเกราะหนังไม่โง่ไปหน่อยหรือหยุนเจิงหัวเราะ แล้วหันไปพูดว่า “พวกเจ้าทั้งสามคนล้วนเคยออกรบกับชาวเป่ยหวนที่ซั่วเป่ยมาหลายครา ข้าขอถามพวกเจ้าหน่อย พวกทหารม้าเป่ยหวนใส่ชุดเกราะประเภทใดเป็นหลัก”“แน่นอนว่าต้องเป็นชุดเกราะหนัง”อวี๋ซื่อจงตอบกลับ “แต่ทหารม้าเป่ยหวนใช้ชุดเกราะหนัง นั่นเป็นเพราะไม่มีทางเลือก! เป่ยหวนขาดแคลนชุดเกราะ ทหารบางนางไม่มีแม้กระทั่งชุดเกราะหนังใส่เสียด้วยซ้ำ”หยุนเจิงหัวเราะ แล้วถามอีกว่า “แล้วสิ่งที่น่าเกรงขามของทหารม้าเป่ยหวนอยู่ที่ใด”จั่วเริ่นตอบกลับ “ทหารม้าเป่ยหวนเคลื่อนไหวดุจลม เชี่ยวชาญในด้านการวิ่งระยะไกล มักจู่โจมใส่ชุดอ่อนของทหารฝ่ายเราโดยไม่รู้ตัวเสมอ …”เมื่อพูดถึงทหารม้าเป่ยหวน ทั้งสามต่างรู้สึกหดหู่ใจเป็นอย่างมากทหารม้าเป่ยหวนเป็นฝันร้ายของพวกเขาในอดีต กองท
นางรู้ดีว่า หากต้องการบีบให้กุ่ยฟางยอมจำนน จำเป็นต้องมีกำลังทหารมากพอที่จะกดดันพวกกุ่ยฟางหยุนเจิงจะต้องให้นางนำกองทหารม้าหมื่นนายออกไปยังกุ่ยฟางแน่นอนนางจึงต้องการซื้อเสบียงจากหยุนเจิงล่วงหน้า เพื่อใช้เป็นเสบียงสำหรับกองทัพหมื่นนายความตั้งใจของเจียเหยานั้นง่ายมากเมื่อนางเจรจาต่อรองกับกุ่ยฟางสำเร็จ และได้ผลประโยชน์จากกุ่ยฟางแล้ว นางจะนำทองคำและเงินมาชำระค่าเสบียงหรือในภายหลัง อาจคืนเสบียงให้หยุนเจิงแทนก็ได้พูดง่ายๆ คือขอล่วงหน้าก่อน!แต่อย่างไรก็ดี นางย่อมอยากใช้ทองคำและเงินซื้อเสบียงมากกว่าหลังจากเคยเผชิญความยากลำบากเพราะขาดเสบียง นางยอมสะสมเสบียงไว้มากกว่าเก็บทองคำและอัญมณี“จริงๆ แล้ว เสบียงของเราก็ขาดแคลนเช่นกัน”หยุนเจิงส่ายหน้ายิ้ม “เจ้าคิดหรือว่าเรามีเชลยครั้งนี้กี่คน? เจ้าคิดว่าเชลยเหล่านี้ไม่กินไม่ดื่มหรือ? หรือเจ้าคิดว่าข้าเป็นพวกเถื่อนทางเหนือ ที่พาเชลยกลับไปกินแทนอาหาร?”เชลยแสนคนเชียวนะ!ต้องใช้เสบียงมากแค่ไหนเพื่อเลี้ยงดูพวกเขา?และไม่ใช่ว่าพาเชลยพวกนี้กลับไปแล้วจะไม่ต้องใช้เสบียงตราบใดที่คนพวกนี้ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาก็ต้องกินเสบียงทุกวันนางยังคิดว่
หยุนเจิงไม่ชอบให้ใครมาต่อรองกับเขาโดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาไม่ชอบเจียเหยาให้มาต่อรองกับเขาเจียเหยาทำเป็นไม่เห็นสีหน้าที่แสดงความไม่พอใจของหยุนเจิง แล้วพูดขึ้นว่า “เรื่องเสบียงที่สามส่วน ข้ายอมตามเจ้า ส่วนอาวุธ ชุดเกราะ และม้าที่เรายึดได้จากที่นั่น เจ้าเอาไปห้าส่วน...”หยุนเจิงขมวดคิ้ว เตรียมจะปฏิเสธ แต่เจียเหยาก็รีบขัดขึ้นมา “อย่าเพิ่งปฏิเสธ ฟังข้าพูดให้จบก่อน!”“ได้ พูดมา!”หยุนเจิงฮึเบาๆ “ข้าจะดูว่าเจ้าจะโน้มน้าวข้าได้อย่างไร”เจียเหยาเงยหน้ามองท้องฟ้าไกลโพ้น สีหน้าเรียบเฉยพลางพูดว่า “ม้าที่ข้าให้เจ้าห้าส่วน ข้ารับรองว่าทุกตัวไม่มีบาดแผล! ชุดเกราะและอาวุธ ส่วนที่สมบูรณ์ข้าให้เจ้าไปทั้งหมด ของที่ชำรุดเสียหายจะเก็บไว้กับเราเอง”อ้อ?ยังมีข้อเสนอแบบนี้ด้วย?หยุนเจิงแปลกใจเล็กน้อยให้ม้าที่ไม่มีบาดแผลทั้งหมด?เงื่อนไขนี้ของเจียเหยา ดูน่าสนใจทีเดียว!ทว่า แบบนี้ไม่เหมือนนิสัยของเจียเหยาเลยสักนิด!หยุนเจิงคิดในใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนยิ้มและถามว่า “เจ้าแอบซ่อนของที่ยึดมาไว้เองหรือไม่?”เจียเหยาหันมามองเขา “พวกเจ้ายังมีคนเฝ้าอยู่ที่นั่น เจ้าว่าพวกเราจะแอบซ่อนของได้หรือ?”“ของที่ได้ม
“ขอรับ” ทัวฮวนและจู่หลู่รีบพยักหน้ารับคำเมื่อได้ยินพวกเขาเรียกนางว่า "ฮูหยินเจียเหยา" ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เจียเหยาก็โกรธจนแทบจะกัดฟันครั้งนี้นางถูกหยุนเจิงใช้ประโยชน์อย่างชัดเจนอย่างไรก็ตาม เจียเหยายังควบคุมตัวเองได้ ไม่แสดงอารมณ์ออกมา และยังพูดคุยหยอกล้อกับทัวฮวนและจู่หลู่อย่างเป็นกันเองหยุนเจิงมองภาพนี้อยู่ก็อดขำในใจไม่ได้ด้วยความเฉลียวฉลาดของเจียเหยา นางต้องเข้าใจความตั้งใจของเขาแน่แต่สิ่งเดียวที่เขาไม่แน่ใจคือ อีกสักพักนางจะขู่ฟ่อใส่เขาหรือไม่จากนั้น หยุนเจิงก็คุยเรื่องแผนการในอนาคตกับพวกเขาทว่า หยุนเจิงพูดเพียงแค่แนวทางคร่าวๆรายละเอียดปลีกย่อยทั้งหมด อย่างไรก็ต้องให้เจียเหยาเป็นคนจัดการหลังจากพูดคุยเรื่องงานจนจบ ทุกคนก็รับประทานอาหารจนเต็มอิ่มเมื่อทัวฮวนและคนอื่นๆ ออกไปแล้ว หยุนเจิงก็ถามเจียเหยาด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนนี้เจ้ารู้ความตั้งใจของข้าแล้วใช่ไหม?”เข้าใจแล้วหรือยัง?เจียเหยายิ้มแห้งๆแน่นอนว่านางเข้าใจหยุนเจิงตั้งใจใช้นางจัดการกุ่ยฟาง และนางก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงการถูกหยุนเจิงใช้นางไม่เพียงเข้าใจเรื่องนี้ แต่ยังเข้าใจเหตุผลที่หยุนเจิงต้องแสร้งทำเป็นคู่ส
เมื่อหยุนเจิงส่งสัญญาณให้ ทุกคนจึงค่อยนั่งลงหยุนเจิงตั้งใจจะดึงมือกลับที่โดนบีบจนแทบเสียรูป แต่เจียเหยากลับไม่ยอมปล่อยให้ตายเถอะ!ผู้หญิงคนนี้จิตพยาบาทจริงๆ!หยุนเจิงอดทนกับความเจ็บปวดที่มือ ก่อนจะเริ่มแนะนำทัวฮวนและเหมิงตัวให้เจียเหยารู้จักส่วนจู่หลู่ เจียเหยารู้จักอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องแนะนำ“ข้าลือชื่อตำหนักเจียเหยามานาน วันนี้ได้พบนับว่าเป็นบุญสามชาติ”ทัวฮวนยิ้มพลางกล่าวคำประจบเจียเหยาเจียเหยายิ้มละมุน “เจียเหยาก็ลือชื่อท่านเสนาบดีมานาน อยากพบท่านนานแล้ว แต่ก็ไม่มีโอกาสเสียที วันนี้ต้องขอบคุณท่านอ๋องที่ทำให้ได้พบ”“พอเถอะๆ พวกเราเป็นคนครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนั้น”หยุนเจิงหัวเราะพลางหยุดการพูดคุยของทั้งสอง “ยากนักที่พวกเราจะได้มานั่งด้วยกันวันนี้ ต้องดื่มสักหน่อย! องค์หญิง ไปหยิบถ้วยเหล้ามาให้ข้าหน่อย”พูดจบ หยุนเจิงก็ชี้ไปยังที่วางถ้วยเหล้าเจียเหยาบีบมือของหยุนเจิงแรงๆ อีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบถ้วยเหล้ามา แล้วกลับมานั่งข้างหยุนเจิงเหมือนเดิมทัวฮวนเมื่อเห็นดังนั้นก็รีบลุกขึ้นหยิบเหยือกเหล้า เตรียมจะรินให้เจียเหยาและหยุนเจิง“ท่านเสนาบดีไม่ต้อง
อย่าว่าแต่เจียเหยาเลย แม้แต่พวกเขาเองก็ยังรู้สึกว่าหยุนเจิงทำเกินไปการที่สามารถเอาชนะกุ่ยฟางได้ในครั้งนี้ เป่ยหวนมีส่วนสำคัญอย่างมากหากไม่มีเป่ยหวนช่วยดึงความสนใจ ในระหว่างที่พวกเขากำลังรบกับโฉวฉือและแคว้นต้าเย่ว์ กุ่ยฟางอาจโจมตีอวี่ซื่อจงจนแตกพ่าย หรืออาจลอบตีค่ายใหญ่ที่แย้นฮุ่ยซานจนตัดเส้นทางล่าถอยของพวกเขาโดยสิ้นเชิงในสถานการณ์เช่นนี้ ที่หยุนเจิงยังทำตัวเข้มงวดกับเป่ยหวน ถือว่าไร้น้ำใจอย่างมากที่เจียเหยาไม่ระเบิดอารมณ์ออกมาทันที ก็ถือว่านางควบคุมตัวเองได้ดีแล้ว“เจ้าจะทำท่าขู่ใส่ข้าอีกแล้วใช่ไหม?”หยุนเจิงหรี่ตาลงเล็กน้อย มองเจียเหยาด้วยแววตาเตือน“ข้าจะกล้าได้อย่างไร!”เจียเหยาตอบด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “ท่านจิ้งเป่ยอ๋องไร้พ่าย หากข้ากล้าขู่ใส่ท่าน เป่ยหวนของข้าคงเต็มไปด้วยศพในไม่ช้า ข้ามีสิทธิ์ไปขู่ใส่ท่านหรือ?”“รู้อย่างนี้ก็ดีแล้ว!”หยุนเจิงกล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เจ้าชอบฟังข้าแค่ครึ่งๆ กลางๆ แล้วก็มาทำเสียงประชดประชันใส่ข้า เจ้าเป็นโรคหลงผิดว่าตัวเองถูกทำร้ายหรืออย่างไร?”เจียเหยาพยายามกลั้นความโกรธ พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ท่านจิ้งเป่ยอ๋องมีสิ่งใดจะพูดอีก
เจียเหยาและอวี่ซื่อจงรวมกันสามารถจับเชลยศึกได้ทั้งหมด 13,000 นายพวกเขายังสังหารทหารข้าศึกที่ดื้อดึงต่อสู้อีกประมาณ 3,000 นายเดิมทีพวกเขาต้องการจับเชลยเพิ่มอีก แต่เสบียงแห้งที่พวกเขานำมามีจำกัด จึงต้องแบ่งปันให้เชลยเพื่ออย่างน้อยพวกเขาจะมีแรงเดินทางดังนั้น แม้จะยังมีเชลยให้จับได้อีกมาก แต่พวกเขาก็ไม่ได้ไล่ตามต่อเชลยที่พวกเขาจับได้เกือบทั้งหมดเป็นทหารราบที่ล้าหลังส่วนทหารม้าของข้าศึกนั้นหลบหนีได้รวดเร็วเกินไป พวกเขาไม่สามารถตามทัน“อืม ไม่เลว!”หยุนเจิงยิ้มอย่างพอใจ ก่อนถามต่อ “พวกเจ้าที่โจมตีหน่วยของมู่ลี่จวี มีความสูญเสียแค่ไหน?”อวี่ซื่อจงตอบ “หน่วยของเราสูญเสียไปกว่า 3,000 นาย และยังมีทหารบาดเจ็บเล็กน้อยอีกกว่า 1,000 นายที่เราปล่อยไว้ในพื้นที่เพื่อรักษาตัว พร้อมกับดูแลผู้บาดเจ็บสาหัส”“เราสูญเสียไปกว่า 5,000 นาย”เจียเหยารายงานต่อทันที “ในศึกครั้งก่อนเรามีผู้บาดเจ็บสาหัสหลายร้อยนายที่ไม่สามารถรอดชีวิตได้ ในศึกครั้งนี้คาดว่าจะมีทหารบาดเจ็บสาหัสที่รอดไม่ถึงครึ่ง และยังมี…”“พอแล้ว พอแล้ว! ไม่ต้องพูดละเอียดขนาดนั้น”หยุนเจิงขัดคำพูดของเจียเหยา แล้วถามต่อ “ในศึกครั้งนี้
จู่หลู่โค้งคำนับขอบคุณหยุนเจิงก่อน แล้วพูดอย่างลำบากใจว่า “กระหม่อมเข้าใจถึงความเมตตาของท่านอ๋อง แต่เสบียงอาหารสำหรับกองทัพสองหมื่นนายนี้ มันช่าง…”“ข้าได้เสบียงมาจากศึกครั้งนี้ จะจัดสรรให้พวกเจ้า”หยุนเจิงขัดคำพูดของจู่หลู่ ด้วยท่าทางที่ทรงอำนาจโดยไม่ต้องแสดงความโกรธ “เมื่อเจ้าจัดเตรียมกองทัพเสร็จแล้ว เจ้าจะยังขาดเสบียงอีกหรือ? หากเจ้าออกทัพช่วยรัฐมนตรี รัฐมนตรีได้เสบียงมา จะไม่มีส่วนของเจ้าได้อย่างไร?”ในตอนนี้ ทัวต๋าได้สิ้นชีวิตไปแล้วยังไม่ทราบว่าใครจะได้เป็นราชาองค์ใหม่ของกุ่ยฟางแต่ไม่ว่าใครจะขึ้นเป็นราชาองค์ใหม่ของกุ่ยฟางก็ไม่มีพลังที่จะสู้รบต่อได้อีกแล้วหากราชาองค์ใหม่ของกุ่ยฟางฉลาด ก็ควรมาหาเขาเพื่อเจรจาสงบศึกหากกุ่ยฟางต้องการสงบศึก ก็ต้องยอมสละบางอย่างออกมาหากกุ่ยฟางไม่สงบศึก ก็ให้ทัวฮวนยกทัพไปโจมตีเองหากมีกองทัพเป่ยหมัวถัวของจู่หลู่ช่วยสนับสนุน การปราบปรามกุ่ยฟางที่ใกล้ตายก็เป็นเรื่องง่ายถึงตอนนั้น พวกเขาก็จะสามารถใช้เสบียงที่ปล้นจากกุ่ยฟางมาเลี้ยงกองทัพของตัวเองได้เมื่อจู่หลู่รู้ว่าหยุนเจิงได้เตรียมการทุกอย่างไว้ให้เรียบร้อย เขาก็กล่าวขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า ค
สองวันต่อมา จู่หลู่ที่ได้รับคำสั่งก็รีบควบม้าพร้อมกับองครักษ์ไม่กี่คนมาพบหยุนเจิงก่อนที่จู่หลู่จะมาถึง ทัวฮวนได้นำเชลยกุ่ยฟางจัดพิธีศพให้กับทัวต๋าน่าเสียดายที่สภาพอากาศในตอนนี้ไม่เอื้อให้สามารถนำร่างของทัวต๋ากลับไปฝังกุ่ยฟางได้สุดท้าย ทัวฮวนเป็นผู้นำในการสร้างโลงศพให้ทัวต๋าด้วยตัวเอง และฝังร่างเขาในพื้นที่นั้นการกระทำของทัวฮวนกลับช่วยให้หยุนเจิงได้รับความจงรักภักดีจากเชลยกุ่ยฟางกลุ่มใหญ่ซึ่งนี่เป็นผลลัพธ์ที่หยุนเจิงยินดีที่จะเห็นเมื่อจู่หลู่มาถึง หยุนเจิงก็พาทัวฮวนและเหมิงตัวจัดงานเลี้ยงในกระโจมใหญ่ชั่วคราวเพื่อต้อนรับเขาหลังจากแนะนำทัวฮวนและเหมิงตัวให้จู่หลู่รู้จัก หยุนเจิงก็เข้าสู่หัวข้อสำคัญทันที“กองทัพใหญ่ของกุ่ยฟางถูกเราทำลายทั้งหมดแล้ว! ข้าจำคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้าได้ ข้าจะมอบดินแดนเฉวียนหรงให้อยู่ในปกครองของเจ้า…”“ขอบพระทัยฝ่าบาท!”หยุนเจิงยังพูดไม่ทันจบ จู่หลู่ก็ลุกขึ้นด้วยความตื่นเต้นและกล่าวขอบคุณ“ฟังข้าพูดให้จบก่อน!”หยุนเจิงยกมือหยุดจู่หลู่ ก่อนจะพูดต่อ “ทหารแห่งเป่ยหมัวถัวมีความกล้าหาญเพียงพอ แต่ไม่เข้าใจการรบ ข้าจะส่งรองผู้ช่วยสองคนไปช่วยเจ้าเตรี
เมื่อเห็นทั้งสองคน ทหารยามที่อยู่หน้ากระโจมรีบคำนับ“ไม่ต้องมากพิธี!”หยุนเจิงโบกมือ แล้วพาเมี่ยวอินเข้าไปในกระโจมแม้ว่าทัวต๋าจะฟื้นสติได้สองสามวันแล้ว แต่สีหน้าของเขายังคงดูแย่มาก แทบไม่มีเลือดฝาด ดูเหมือนคนที่ใกล้สิ้นใจเต็มทีเมื่อเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามา ทัวต๋าถามอย่างแผ่วเบา “หยุน... หยุนเจิง?”นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบกันแต่ทัวต๋าก็สามารถตัดสินได้ทันทีว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้านี้คือจิ้งเป่ยอ๋อง หยุนเจิง“ใช่แล้ว!”หยุนเจิงพยักหน้า พร้อมจ้องทัวต๋าด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าคงได้ยินข่าวว่ากองทัพของเจ้าพ่ายแพ้ทั้งสายแล้วใช่หรือไม่? หากยังไม่ทราบ ข้าก็ยินดีบอกให้เจ้าฟัง”ทัวต๋ารู้ข่าวการพ่ายแพ้ของกองทัพแนวหน้าแล้วจริงๆอีกทั้ง ยังรู้ด้วยว่าพวกเขาพ่ายแพ้อย่างไรแม้ว่าเขาจะไม่เคยออกจากกระโจม แต่ก็ได้ยินทหารยามที่อยู่นอกกระโจมพูดถึงเรื่องนี้ไม่น้อย“เจ้าต้องการ…ให้ข้ายอมจำนนหรือ?”ทัวต๋าพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา หายใจรัว พร้อมกับคาดเดาจุดประสงค์ของหยุนเจิงได้“ใช่แล้ว!”หยุนเจิงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าจะไม่พูดอ้อมค้อมกับเจ้า ตราบใดที่เจ้ายอมรับเงื่อนไขของข้า ข้าก็จะให้โอกาสเจ้าแ